|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
มุสลิม,ประวัติศาสตร์,สังคม,วัฒนธรรม,บทบาททางเศรษฐกิจ,ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ |
Author |
วิชาญ ชูช่วย |
Title |
สังคมชาวมุสลิมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไม่ระบุ |
Location of
Documents |
เอกสารสำเนาจากศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
159 |
Year |
2533 |
Source |
หลักสูตรปริญญามหาบัณฑิต วิชาเอกภาษาไทย (เน้นสังคมศาสตร์) มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ มหาสารคาม |
Abstract |
เนื้อหาครอบคลุมประวัติการอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทยของมุสลิมสายต่าง ๆ โดยเน้นมุสลิมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อธิบายกระบวนการปรับตัวและบทบาทของมุสลิมในภูมิภาคนี้ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และ การเมือง |
|
Focus |
ประวัติความเป็นมา สภาพทางสังคมและวัฒนธรรม บทบาททางเศรษฐกิจและการเมืองของมุสลิมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ |
|
Ethnic Group in the Focus |
มุสลิมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือในงานศึกษาชิ้นนี้คือกลุ่มคนที่นับถือศาสนาอิสลามซึ่งหมายถึงกลุ่มคนผู้ยอมตนต่อพระประสงค์หรือกฎของพระเจ้า มีทั้งส่วนที่อพยพมาจากที่อื่นและส่วนที่เป็นคนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่เกิดศรัทธาศาสนา อิสลาม และมีเชื้อสายต่าง ๆ กัน |
|
Language and Linguistic Affiliations |
มุสลิมเชื้อสายปาทานมีภาษาพูดที่เรียกว่าภาษาปุชโต สื่อสารระหว่างชาวปาทานด้วยกัน (หน้า 78-79) มุสลิมสายมาเลย์พูดภาษายาวี และภาษาปักษ์ใต้ ส่วนที่มาจากภาคกลางจะพูดไทยกลาง มุสลิมสายเบงกาลีพูดได้หลายภาษา ได้แก่ ภาษาเบงกาลี ภาษาพม่า ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย ภาษาคำเมือง และภาษาอีสาน เป็นกลุ่มที่นิยมเรียนรู้ภาษาหลากหลาย (หน้า 107-108) |
|
Study Period (Data Collection) |
ระหว่างเดือนมีนาคม-พฤษภาคม พ.ศ. 2532 รวบรวมข้อมูลโดยการออกภาคสนาม สังเกต และสัมภาษณ์ผู้รู้ |
|
History of the Group and Community |
มุสลิมตั้งถิ่นฐานกระจายอยู่ทั่วโลกส่วนใหญ่อยู่ในทวีปเอเชียแถบบริเวณตะวันออกกลางและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งบริเวณที่อยู่หนาแน่นได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และบริเวณสี่จังหวัดภาคใต้ของไทย มุสลิมเข้ามาตั้งถิ่นฐานในดินแดนที่ปัจจุบันกลายเป็นประเทศไทยราวพุทธศตวรรษที่ 12 ก่อนสมัยสุโขทัยโดยมีอิทธิพลอยู่บนแหลมมาลายู การเข้ามาตั้งหลักแหล่งบนดินแดนนี้ของมุสลิมเป็นผลจากการติดต่อค้าขายระหว่างชาวยุโรป อาหรับ อินเดีย กับจีน เป็นช่วงที่มีการสร้างเรือเดินทะเลสำเร็จ ประกอบกับทางบกหรือเส้นทางสายไหม ไม่สะดวกในเรื่องของความปลอดภัย - มุสลิมที่เข้ามาในสมัยสุโขทัยเป็นกลุ่มพ่อค้าอาหรับ เปอร์เซียและอินเดีย โดยเข้ามาค้าขายทางตอนใต้ของประเทศ - ในสมัยอยุธยามีแขกจามเข้ามาเป็นทหารรับจ้างสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ และมีพ่อค้ามุสลิมชาวเปอร์เซีย ชื่อ เฉกอะหมัด คูมี เข้ามาตั้งหลักแหล่งและรับราชการในราชสำนักและกลายเป็นต้นตระกูล "บุนนาค" ในปัจจุบัน - ในสมัยรัตนโกสินทร์มุสลิมส่วนใหญ่ตั้งถิ่นฐานอยู่แถบชานกรุงเทพมหานคร นนทบุรี พระนครศรีอยุธยา - ช่วงต้นสมัยธนบุรีนอกจากจะประกอบอาชีพค้าขายแล้วมีมุสลิมได้รับราชการตำแหน่งสำคัญทางการเมือง เช่น พระราชวังสัน (จุ้ย) เป็นพระยายมราชเกษตราธิบดี พระยาจุฬาราชมนตรีว่าที่กรมท่าขวา มีการตั้งมัสยิดกุฏีหลวงทำให้มีมุสลิมเข้ามาตั้งหลักแหล่งในกรุงธนบุรีเป็นจำนวนมาก สมัยรัตนโกสินทร์มุสลิมได้มีบทบาทในการบริหารประเทศมากขึ้น บางส่วนได้เข้าไปสัมพันธ์กับราชนิกูล เช่น มุสลิมจากสกุลเฉกอะหมัดและสุลต่านสุลัยมาน มุสลิมเริ่มเข้ามาตั้งถิ่นฐานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยตั้งแต่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 (พ.ศ. 2457-2461) มีหลายเชื้อสาย ได้แก่ กลุ่มที่เป็นชาวปาทานมีจำนวนมากที่สุด นิยมดื่มชา อพยพจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศปากีสถานและอัฟกานิสถาน เริ่มจากรับจ้างเฝ้ายามดูแลวัสดุก่อสร้างสมัยที่มีการสร้างทางรถไฟจากกรุงเทพฯ สู่อุบลราชธานีจากนั้นหันไปประกอบอาชีพค้าและชำแหละเนื้อโค-กระบือ กลุ่มที่มีเชื้อสายมาเลย์ เข้ามาช่วงที่อาชีพของมุสลิมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเริ่มหลากหลายขึ้น มีจำนวนรองลงมา เคร่งศาสนามาก ส่วนใหญ่มาจากทางตอนใต้ของประเทศไทย และจากบางส่วนที่เคยถูกกวาดต้อนมาตั้งถิ่นฐานตามชานกรุงเทพฯ ช่วงนี้นอกจากอาชีพทำเนื้อ ยังมีอาชีพขายอาหาร ขายโรตี พ่อค้าเร่ ระยะหลังมีบางส่วนได้เข้ารับราชการ กลุ่มที่เป็นมุสลิมพม่าเชื้อสายบังคลาเทศ มีประชากรมากเป็นอันดับสาม ส่วนใหญ่หนีภัยการเมืองจากพม่าเข้ามาเมื่อราว 20 ปีที่แล้ว ปัจจุบันยังคงแอบหลบเข้ามาเป็นระยะในฐานะคนหลบหนีเข้าเมือง กลุ่มนี้เข้ามาขายของเร่และโรตี มักมีความสัมพันธ์กับมุสลิมที่มาอยู่ก่อนและเห็นว่าอุปนิสัยของชาวอีสานไม่รังเกียจคนต่างถิ่น มุสลิมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังประกอบด้วยมุสลิมที่มีเชื้อสายเขมร-จามตามแนวตะเข็บชายแดนไทย-กัมพูชา และรวมถึงชาวอีสานในท้องถิ่นที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามผ่านการสมรส และบางส่วนที่ไปทำงานในประเทศแถบตะวันออกกลางแล้วเกิดศรัทธาหันมานับถือศาสนาอิสลาม นอกจากนี้ ยังมีมุสลิมเชื้อสายเขมร-จาม ตามแนวตะเข็บชายแดนไทย-กัมพูชา และในค่ายอพยพ (หน้า 75-82) |
|
Settlement Pattern |
มุสลิมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมักตั้งถิ่นฐานกระจัดกระจายปะปนกับชาวอีสานที่นับถือพุทธศาสนาอยู่ในเกือบทุกอำเภอของภูมิภาคนี้ ส่วนใหญ่เลือกอยู่ในเมืองหรือบริเวณศูนย์กลางของชุมชน เช่น บริเวณเทศบาลและสุขาภิบาล เพราะเอื้อต่ออาชีพค้าขาย (หน้า 74-75) ลักษณะการตั้งบ้านเรือนของมุสลิมปาทานส่วนใหญ่นิยมมีรั้วบ้าน มีกรงนกเขาชวาและเตียงเชือกสำหรับนั่งพักผ่อน (หน้า 112) |
|
Demography |
ผู้ศึกษาระบุว่าระยะประมาณ 60 ปีนับจากช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ราว พ.ศ. 2457 ถึง พ.ศ. 2532 มุสลิมได้อพยพเข้ามาอยู่อาศัยในภาคตะวันออเฉียงเหนือเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ (หน้า 125) สถิติประชากรมุสลิมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตั้งแต่เริ่มเข้ามาตั้งถิ่นฐานตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา มีการสำรวจประชากรโดยคณะกรรมการพัฒนามุสลิมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เมื่อ พ.ศ. 2527 พบว่า มีประชากร มุสลิม จำนวน 489 ครอบครัว และมีจำนวน 2,657 คน จำแนกเป็นเพศชาย 1,390 คนและหญิง 1,267 คน กระจายอยู่ในทุกจังหวัดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สถิติอย่างเป็นทางการของกองทะเบียนนราษฎรกระทรวงมหาดไทย ปี พ.ศ. 2528 ระบุว่ามีมุสลิมในภูมิภาคนี้ จำนวน 2,975 คน กระจายไม่ครบทุกจังหวัดในภูมิภาค ต่อมาคณะกรรมการพัฒนามุสลิมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้ร่วมมือกับครูโครงการอบรมศาสนาระดับท้องถิ่นมุสลิมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อศก.) สำรวจจำนวนประชากรมุสลิมในปี พ.ศ. 2532 พบว่ามีมุสลิมกระจายในทุกจังหวัดของภูมิภาค ประกอบด้วย 845 ครอบครัว จำนวนทั้งหมด 4,967 คน ชาย 2,730 คน หญิง 2,237 คน (หน้า 72-74) |
|
Economy |
ผลการสำรวจในปี พ.ศ.2532 พบมุสลิมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือประกอบอาชีพหลัก คือ ค้าขาย 721 ครอบครัว รับราชการ 49 ครอบครัว ทำเกษตรกรรม 20 ครอบครัว และอื่น ๆ 53 ครอบครัว (หน้า 135) มุสลิมที่เข้ามาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเริ่มจากรับจ้างเฝ้ายามสำหรับดูแลการก่อสร้างทางรถไฟ ต่อมาเปลี่ยนมาประกอบอาชีพค้าโค - กระบือทั้งในท้องถิ่นและส่งเข้ากรุงเทพฯ เพราะพื้นที่ภูมิภาคนี้เหมาะแก่การเลี้ยงสัตว์ และมีโคและกระบือมาก ปาทานที่เข้ามากลุ่มแรกมีความจัดเจนในการเลี้ยงและค้าปศุสัตว์ ตลอดจนการฆ่าและแล่เนื้อ ขยัน ซื่อสัตว์ต่อลูกค้า ขณะที่คนอีสานแม้ส่วนใหญ่ชอบกินเนื้อสัตว์และเลี้ยงโค - กระบือมาก แต่ไม่นิยมฆ่าสัตว์ตัดชีวิตตามคติพุทธศาสนา ทั้งไม่เก่งทาง ค้าขาย มีเพียงกลุ่มคนที่เรียกว่า "นายฮ้อย" ที่ทำธุรกิจนี้อยู่แต่เดิมซึ่งต่อมาค่อย ๆ หมดบทบาทลงหลังจากมีทางรถไฟ และ มีพ่อค้ามุสลิมปาทานเข้ามาแข่ง (หน้า 131-132) การเข้ามามีบทบาทในวงการค้าโค-กระบือของปาทาน มีส่วนทำให้บทบาทของนายฮ้อยซึ่งคุมตลาดค้าโค-กระบือแต่เดิมลดลง ต่อมาเมื่อคนพื้นเมืองจะข้ามาในธุรกิจนี้ก็มักจะเป็นการขายปลีกตามตลาดย่อย เพราะมุสลิมสัมปทานไว้หมดแล้ว กิจการค้าโค-กระบือสร้างความมั่นคงทางทรัพย์สินให้กับมุสลิมปาทานอย่างมาก เป็นอาชีพสำคัญที่ทำให้มุสลิมยุคแรกสามารถตั้งถิ่นฐานได้อย่างมั่นคงและช่วยปูฐานทางเศรษฐกิจก่อนขยายออกสู่อาชีพอื่น ๆ ในเวลาต่อมา (หน้า133-134) นอกจากความชำนาญการค้าขายและความเอื้อเฟื้อของสังคมอีสานแล้ว ความสำเร็จในด้านอาชีพของมุสลิมในภูมิภาคนี้แล้ว ยังเกิดจากการรวมกำลังกันทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างเหนียวแน่น ทำให้มุสลิมพึ่งพากันเองได้ และกันไม่ให้คนนอกเข้ามาแข่งขันได้ง่าย ๆ มุสลิมยังมีวิถ่ายทอดทักษะต่าง ๆ แก่ทายาท เมื่อต้องจ้างลูกจ้างก็จะเลือกมุสลิมด้วยกันก่อน หากจำเป็นต้องจ้างคนพื้นเมืองก็มักให้งานที่ไม่สำคัญ เฉพาะอาชีพค้าโค-กระบือมุสลิมสามารถผูกขาดได้เกือบทั้งภูมิภาค เว้นแต่ในตัวเมืองนครพนมที่การค้าโค-กระบือตกอยู่ในมือคนญวณ พ่อค้าพื้นเมืองจะเข้ามาได้ก็เป็นการค้ารายปลีกตามชานเมืองเท่านั้น (หน้า 140) อาชีพอื่น ๆ ของมุสลิมได้แก่ร้านอาหาร ซึ่งกระจายอยู่ในจังหัดต่าง ๆ 21 แห่ง อาชีพขายโรตีซึ่งเป็นกิจการของมุสลิมเชื้อสายแบงกาลีมาแต่เดิม การขายผ้าเร่ตามท้องที่ต่าง ๆ ส่วนใหญ่เป็นอาชีพของมุสลิมสายมาเลย์ที่อพยพมาจากภาคกลาง ปัจจุบัน มีหลายรายที่ประสบความสำเร็จด้านอาชีพอย่างมากเช่นเป็นเจ้าของบริษัทสหพันธ์ทัวร์ในจังหวัดร้อยเอ็ด เป็นต้น (หน้า 141) ในปัจจุบัน แม้มุสลิมส่วนใหญ่จะยังคงนิยมประกอบอาชีพค้าขาย แต่การค้าโค-กระบือเป็นสุดยอดของอาชีพค้าขาย เนื่องจากสร้างความมั่งคั่งได้มากที่สุด หลายรายเป็นเจ้าของตลาดนัดโค-กระบือ แต่จำนวนไม่น้อยได้ขยายสู่อาชีพอื่นมากขึ้น ได้แก่อาชีพรับราชการ อาชีพรับจ้าง เกษตรกรรม เป็นต้น โดยเฉพาะอาชีพเกษตรกรรมนั้นสะท้อนให้เห็นว่าชั่ว 3 รุ่นคนนับแต่ชาวมุสลิมเข้ามาในภุมิภาคนี้ ปัจจุบัน สามารถถือครองที่ดินได้พอจะเป็นผู้ประกอบการเองในกิจการที่ต้องที่ดินเป็นทุนได้แล้ว (หน้า 106-114,145) |
|
Social Organization |
ในภูมิภาคนี้มีชนกลุ่มน้อยอยู่หลายกลุ่มทั้งที่อยู่มาก่อนและอพยพเข้ามาทีหลัง มุสลิมเป็นชนกลุ่มน้อยที่เข้ามาหลังสุด เป็นสังคมที่กระจายไปอยู่ในตัวจังหวัดและเขตชุมชนต่างๆ ไม่ได้อยู่รวมกันเป็นกลุ่มเหมือนชนกลุ่มน้อยอื่นๆ แต่รู้จักกันทั่วถึงเพราะประชากรยังมีจำนวนไม่มากนัก และสามารถรวมกลุ่มทำกิจกรรมร่วมกันได้ด้วยความผูกพันทางศาสนา มีศรัทธาร่วมกัน ช่วยเหลือกันในการประกอบอาชีพ ทำให้เกิดความมั่นคงทางรายได้ มุสลิมในภาคอีสานส่วนใหญ่จัดอยู่ในชนชั้นคนรวย และมีการศึกษาดี มุสลิมจะเคารพนับถือผู้อาวุโส ชุมชนใดจัดตั้งมัสยิดจะมีกรรมการประจำมัสยิด 15 คน มีอิหม่ามเป็นประธานกรรมการ ทำหน้าที่บริหารภายในชุมชน ปกติชุมชนมุสลิมจะช่วยกันดูแลมุสลิมด้วยกันทั้งด้านความประพฤติและปัญหาอื่นๆ มุสลิมจะให้การปรึกษาหารือกันก่อน สุดวิสัยจริงๆ ถึงจะนำเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ส่วนใหญ่จะตกลงกันได้ และมีเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเข้าไปยุ่งน้อยมาก เพราะหากภายในหมู่บ้านจัดการไม่ได้ก็จะนำเรื่องสู่ผู้นำศาสนาระดับจังหวัด หรือองค์กรมุสลิมระดับภูมิภาคต่อไป (หน้า 130-131) |
|
Political Organization |
ในบรรดาชนกลุ่มน้อยที่มีอยู่หลายกลุ่มในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมุสลิมเป็นกลุ่มเดียวที่มีการรวมตัวในระดับภูมิภาคภายใต้องค์กรที่ชื่อว่าโครงการพัฒนามุสลิมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีจุดประสงค์เพื่อพัฒนามุสลิมในด้านต่างๆ ร่วมมือประสานกันเพื่อเป้าหมายทางศาสนาอิสลาม องค์นี้ยังเข้าไปช่วยในกรณีที่เกิดกรณีขัดแย้งในเรื่องต่างทั้งระหว่างมุสลิมด้วยกันเอง และกับบุคคลภายนอกศาสนา ดังกรณีที่ทางราชการต้องการเวนคืนที่ดินซึ่งเป็นกุโบร์ในตัวเมืองจังหวัดร้อยเอ็ดเมื่อ พ.ศ. 2526 เพื่อสร้างสนามกีฬา กระทั่งรัฐต้องยุติโครงการไป ผู้ศึกษาคาดว่าองค์ดังกล่าวน่าจะยิ่งมีบทบาทมากขึ้นเมื่อประชากรมุสลิมเพิ่มขี้นกว่านี้ (หน้า 131,153) นอกจากนี้ มุสลิมในภูมิภาคนี้ยังเข้าไปมีบทบาททางการเมืองมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งจากการที่คนรุ่นหลังมีการศึกษาสูงได้เข้ารับราชการในหน่วยงานภาครัฐมากขึ้น ได้รับเลือกเป็นผู้นำระดับต่างๆ หลายคน มีมุสลิมเสนอตัวเข้าสมัครรับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกครั้ง ผู้ศึกษาระบุว่าที่ผ่านมามุสลิมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้รับสิทธิเสรีภาพทางการเมืองโดยไม่มีการกีดกัน และไม่มีความขัดแย้งรุนแรงเหมือนทางภาคใต้ของประเทศ ดังเห็นได้จากที่ชาวพื้นเมืองให้การยอมรับ เลือกมุสลิมเป็นผู้นำในระดับต่างๆ กระทั่งเคยมีมุสลิมบางคนหนีปัญหาการเมืองจากภาคอื่นมาอยู่ในภูมิภาคนี้ (หน้า 151-153) แต่ก็มีตัวอย่างอยู่บ้างที่มุสลิมระดับนายตำรวจบางคนพยายามปกปิดความเป็นคนนับถืออิสลาม ด้วยกลัวว่าจะไม่ได้เลื่อนขั้น กระทั่งมุสลิมด้วยกันเรียกว่าเป็น พวก "มุสหลบ" (หน้า 142) |
|
Belief System |
มุสลิมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังคงยึดมั่นในหลักคำสอนในศาสนาอิสลาม มุสลิมเชื่อในพระอัลลอฮฺพระองค์เดียว อิสลามสำหรับมุสลิมนอกจากจะเป็นศาสนาแล้วยังครอบคลุมถึงระบบดำเนินชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย ตั้งแต่ตื่นจนกว่าจะหลับ โดยเชื่อว่าการนอบน้อมยอมตนต่ออัลลอฮํสิ้นเชิงจะก่อให้เกิดสันติสุขในโลกนี้และโลกหน้า (หน้า 12, 97) ศาสดามูฮัมหมัดซึ่งเป็นชาวอาหรับ เกิดเมื่อประมาณ พ.ศ.1113 ที่นครเมกกะ ถือเป็นศาสนทูตองค์สุดท้ายที่ได้รับโองการจากพระเจ้าผ่านเทวทูต หรือ "มลาอิกะฮฺ" ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้น ไม่มีเพศ ไม่กิน ไม่ดื่ม ไม่มีบิดามารดา ไม่มีคู่ครอง สามารถจำแลงร่างได้ในรูปแบบ ต่าง ๆ ตามแต่ปรารถนา โองการหรือสัจธรรมที่มุสลิมเชื่อว่าพระเจ้าประทานแด่มนุษย์ชาติถูกบันทึกในมหาคัมภีร์อัลกุรอ่าน ประกอบด้วย 6,700 โองการ เดิมเป็นภาษาอาหรับ ปัจจุบันถูกแปลเป็นภาษาต่างๆ เพื่อเผยแพร่ไปทั่วโลก ศาสนาอิสลามไม่มีนักบวช มุสลิมทุกคนคือผู้สืบทอดศาสนา ประพฤติธรรมเท่าเทียมกัน มุสลิมมีสถานประกอบศาสนกิจที่สำคัญคือ มัสยิด มัสยิดที่สำคัญต่อมุสลิมทั่วโลก ได้แก่ มัสยิดนะบะวียฺที่นครมะดีนะฮฺ มัสยิดหะรอมที่นครมักกะฮฺ และมัสยิดอัลอักซอที่นครเยรูซาเล็ม มุสลิมมีพิธีกรรมที่สำคัญได้แก่ ละหมาดหรือการนมัสการพระเจ้า การถือศีลอด การประกอบพิธีฮัจญ์ เป็นต้น มุสลิมเชื่อว่าชีวิตจะสมบูรณ์ต้องมีหลักศรัทธาเป็นพื้นฐานนำสู่การปฏิบัติ หลักศรัทธาเรียกว่า "รุกนอีหมาน" มี 6 ประการ 1. ศรัทธาในอัลลอฮฺองค์เดียว อัลลอฮฺสร้างสรรพสิ่ง เป็นพระอภิบาลสรรพสิ่ง รอบรู้สรรพสิ่ง ไม่ถูกสร้าง ไม่มีกำเนิด ไม่มีอวสาน 2. ศรัทธาในมลาอีกะฮฺ ผู้เป็นเทวทุติและเป็นบ่าวพระอัลลอฮฺ ถูกสร้างโดยอัลลอฮฺ มีเป็นจำนวนมาก มีชื่อและหน้าที่ต่างกัน เป็นผู้นำโองการพระเจ้า บันทึกความดีชั่วของมนุษย์ เป็นต้น 3. ศรัทธาในคัมภีร์ซึ่งมีทั้งหมด 104 เล่ม เล่มที่สำคัญมี 4 เล่มได้แก่ คัมภีร์เตารอด (The old Testament) ประทานให้นบีมูซา หรือโมเสส คัมภีร์อินญีล (The New Testament) ประทานให้นบีอีซา หรือเยซูคริสต์ คัมภีร์ซาบูรประทานให้นบีดาวูหรือเดวิด คัมภีร์กุรอ่านประทานให้นบีมูฮัมหมัด คัมภีร์ทั้งหมดว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า มนุษย์กับมนุษย์ด้วยกัน 4. ศรัทธาในศาสดาของอัลลอฮฺซึ่งมีมาตั้งแต่เริ่มมีมนุษย์ สืบต่อกันมาเรื่อย ๆ จนสิ้นสุดที่นบีมูฮัมหมัด 5. ศรัทธาในวันพิพากษาโลก หรือวันอวสานโลกว่ามีจริง เชื่อว่าเมื่อโลกถึงจุดจบวันหนึ่งมนุษย์จะบังเกิดอีก วันนั้นทุกคนจะถูกตัดสินความดี ความชั่ว และจะได้รับผลตอนแทนจากพระผู้เป็นเจ้า ชีวิตแยกออกเป็นโลกนี้และโลกหน้า ทุกพฤติกรรมของมนุษย์ไม่สูญหาย ต้องมีผลตอบแทนเสมอ 6. ศรัทธาต่อกำหนดสภาวการณ์ ซึ่งหมายถึงระเบียบอันรัดกุมที่พระเป็นเจ้าได้กำหนดไว้แก่มนุษย์ชาติ ซึ่งแบ่งกฎตายตัวซึ่งหมายถึงกฎเกณฑ์ตามธรรมชาติที่มนุษย์ไม่อาจหลีกเลี่ยง และกฎไม่ตายตัวดำเนินไม่ตามหลักเหตุและผล อยู่ในดุลพินิจของมนุษย์จะเลือกจัดการด้วยสติปัญญาที่พระเจ้าประทานมา หลักปฏิบัติเรียกว่า "รุก่นอิสลาม" มุสลิมทุกคนต้องปฏิบัติ มี 5 ประการ 1.ปฏิญาณตนเพื่อยืนยันตนว่าเป็นมุสลิม 2.ละหมาด หรือนมาช เป็นการแสดงความเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺ เป็นการบำเพ็ญสมาธิในอิริยาบถต่างๆ ทำวันละ 5 ครั้ง คือย่ำรุ่ง กลางวัน เย็น พลบค่ำ และกลางคืน โดยหันหน้าไปทางทิศกิบลัต ซึ่งเป็นที่ตั้งของกะอบะฮฺ ซาอุดิอารเบีย 3. ถือศีลอดเดือนรอมฎอน หรือเดือนที่ 9 ของเดือนอาหรับซึ่งมี 12 เดือน เว้นการดื่มกิน ร่วมประเวณี ประพฤติชั่วในที่ลับ ที่แจ้ง มีจิตอกุศล ตั้งแต่รุ่งสาง จนถึงดวงอาทิตย์ตก ปีละ 1 เดือน 4. กาซะกาต หรือการจ่ายทาน 5. การประกอบพิธีฮัจญ์ หรือเดินทางไปประกอบศาสนกิจ ที่เมกกะ ประเทศซาอุดิอาระเบียอย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต (หน้า 10-18) ในชีวิตประจำวัน มุสลิมจะเอ่ยนามอัลลอฮฺเมื่อจะขอความเมตตาก่อนทำกิจกรรมใด ๆ เมื่อประสบความสำเร็จ ดีใจ พบสิ่งแปลก ความงดงาม ฯลฯ เมื่อพบกันหรือจากกันจะทักทายกันว่า "อัสลามมุลัยกุม" และตอบรับด้วยการกล่าวว่า "วะอะลัยกุมสลาม" เด็กเกิดได้ 7 วันให้โกนผมไฟ และตั้งชื่อดีงามให้ ซึ่งนิยมชื่อเป็นภาษาอาหรับ มักเลียนชื่อคนสำคัญในประวัติศาสตร์ หรือมีความเป็นมงคล ห้ามเป็นชื่อสัตว์ การศึกษาต้องมีทั้งทางโลกทางธรรมควบคู่กันไป เนื่องจากไม่มีนักบวช มุสลิมทุกคนจึงต้องรับผิดชอบในการเรียนรู้ฝึกฝนเพื่อเผยแผ่ธรรมและประกอบอาชีพ (หน้า 19-20) มุสิลิมให้ความสำคัญกับการแต่งงานและอนุญาตให้ผู้ชายมีภรรยาได้ 4 คนแต่ต้องให้ความสุขและความยุติธรรมเท่ากัน ห้ามคุมกำเนิดเพราะเชื่อว่าบุตรคือของฝากจากพระเจ้า มุสลิมเชื่อว่าการตายคือการกลับไปสู่ความเมตตาของอัลลอฮฺ ไม่ใช่ความทุกข์ เป็นเรื่องความเมตตาของพระเจ้า ไม่มีการไว้ทุกข์ ศพของผู้ตายจะฝังภายใน 24 ชั่วโมง ที่กุโบร์ เพื่อความสะอาดและประหยัด เมื่อมีการตายมุสลิมจะไปเยี่ยมญาติผู้ตาย และให้ความช่วยเหลือ ละหมาดให้คนตาย และร่วมพิธีศพ (หน้า 20-22) ในด้านการประกอบอาชีพนั้นมุสลิมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังคงนิยมอาชีพค้าขายด้วยเชื่อว่าเป็นอาชีพของพระมูฮัมหมัด มีความเป็นอิสระ ท้าท้าย และสร้างความมั่นคงได้เร็ว ผู้ปกครองส่วนใหญ่ไม่นิยมให้บุตรหลานศึกษาเกินภาคบังคับ แต่ส่งเสริมให้กลับมาช่วยกิจการค้าขายในครอบครัว ผู้ปกครองส่วนใหญ่ไม่นิยมให้บุตรหลานศึกษาเกินภาคบังคับ ด้วยเกรงบุตรหลานจะละเลยหลักคำสอนอิสลาม บางส่วนเกรงบุตรหลานจะไม่รู้เรื่องศาสนาถึงกับส่งไปศึกษาในโรงเรียนสอนศาสนาที่ภาคกลาง ส่วนที่ให้เรียนโรงเรียนรัฐบาลในภูมิลำเนาก็จะให้เด็กเรียนหลักคำสอนของศาสนาไปด้วย ทั้งด้วยการสอนเองโดยได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานทางศาสนาและจ้างครูชาวปาทานและครูจากภาคกลางที่มีความรู้ทางศาสนามาสอน (หน้า 86-88) |
|
Education and Socialization |
นัยยะที่สำคัญของการศึกษาสำหรับมุสลิมเป็นการฝึกให้รู้จักสักการะต่อพระเป็นเจ้า คำสอนของศาสดามุสลิมสนับสนุนให้บุตรหลานศึกษาให้มากทั้งทางโลกและทางธรรม มุสลิมเชื่อว่าการให้การศึกษาบุตรเป็นส่วนหนึ่งของการอบรมเลี้ยงดูบุตรตามบัญชาพระเป็นเจ้า หลักคำสอนส่วนนี้ยืนยันการให้ความสำคัญกับสถาบันครอบครัวในฐานะหน่วยทางสังคมที่จะผลิตสมาชิกใหม่และถ่ายทอดวัฒนธรรมอิสลามต่อไป มุสลิมถือว่ามารดาเป็นครูคนแรกของเด็ก เมื่อแรกเกิดไม่ว่าใครก็ไม่ได้รับอนุญาตให้พรากเด็กจากมารดา บุตรย่อมมีสิทธิที่จะได้รับการอบรมที่ดีจากบิดามารดาทั้งร่างกายและจิตใจ ทั้งนี้ด้วยเชื่อว่าต่อไปเขาก็จะทำหน้าที่ดังกล่าวกับทายาทของเขาต่อไป พ่อแม่จะยอมให้บุตรเข้าเรียนในโรงเรียนรัฐขณะเดียวกันก็อบรมแนวทางตามวัฒนธรรมอิสลามควบคู่ไปด้วย โดยมีหน่วยงานทางศาสนาเข้ามาจัดโครงการศึกษาอบรมทางศาสนาระดับท้องถิ่นเข้ามาร่วมรับผิดชอบในส่วนนี้ มีการจัดตั้งคณะกรรมการฝ่ายการศึกษาเพื่อจัดการศึกษาสำหรับเยาวชนมุสลิม โดยการคัดเลือกอบรมบุคลากรแล้วส่งไปประจำตามท้องถิ่นต่างๆ แทบทุกจังหวัด บางชุมชนในนครราชสีมา เลย และอุดรธานี ได้จัดการอบรมทางศาสนาแก่เยาวชนขึ้นเอง ส่วนการอบรมสั่งสอนมุสลิมโดยทั่วไปมีขึ้นเป็นประจำตามมัสยิดโดยอิหม่ามแต่ละแห่ง แนวปฏิบัติดังกล่าวเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้มุสลิมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือสามารถปรับตัวเข้ากับเงื่อนไขที่เปลี่ยนไปพร้อมทั้งธำรงเอกลักษณะทางวัฒนธรรมเอาไว้ได้ท่ามกลางวัฒนธรรมใหญ่ (หน้า 85-88) |
|
Health and Medicine |
หลักศาสนาให้ความสำคัญในเรื่องความสะอาดโดยเฉพาะอาหารการกิน ห้ามกินสัตว์ที่ตายเอง เลือดสัตว์ เนื้อสุกร ห้ามดื่มสุราและเสพสิ่งเสพติดต่าง ๆ (หน้า 22) มีข้อกำหนดให้เด็กชายมุสลิมอายุ 6-17 ปี ขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศด้วยจุดประสงค์เพื่อความสะอาด ตามหลักการรักษาความสะอาด 5 ประการของมุสลิมได้แก่ ตัดเล็บ โกนผมไฟ ตัดขนลับ-รักแร้ ขลิบหนวด และขลิบปลายหนังอวัยวะ (หน้า 20,85) มุสลิมปาทานเชื่อว่าเตียงเชือกที่นิยมมีไว้รับแขกและวางไว้ใกล้บริเวณมัสยิดสามารถป้องกันโรคปวดเมื่อยได้ (หน้า 111) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ผู้ศึกษาได้กล่าวถึงเครื่องต้นของพระมหากษัตริย์ไทยที่เรียกว่า "ฉลองพระองค์อย่างเทศ" ซึ่งมีลักษณะเป็นเสื้อยาวถึงเข่า แบบดั้งเดิมมาจากประเทศเปอร์เซีย ลักษณะเสื้อดังกล่าวยังแพร่ไปยังยุโรปและเป็นต้นแบบ "พลอดโค๊ต" ของฝรั่งเศส และเครื่องแต่งกายแบบสากลในปัจจุบันซึ่งมักเชื่อกันว่ามีที่มาจากตะวันตก อิทธิพลด้านศิลปะจากเปอร์เซียยังเห็นได้จากความนิยมนำถ้วยชามประดับวัดวามาตั้งแต่สมัยอยุธยาก่อนแพร่หลายในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นเช่นวัดอรุณราชวราราม และวันโพธิ์ธาราม เป็นต้น ลักษณะการตกแต่งสถาปัตยกรรมดังกล่าวมาจากรูปแบบการใช้ถ้วยชามหลากสีและลวดลายประดับมัสยิดของชาวเปอร์เซีย ด้านดนตรีและเพลงอย่างที่เรียกว่า "เกรตัน" นั้นมาจากพวกซูฟีซึ่งเป็นมุสลิมอาหรับสายหนึ่ง ด้านนาฏศิลป์ เช่นการรำ-ดาวดึงส์ ซึ่งมีรูปแบบการรำประเท้าแล้วสองมือตบอกนั้นรับอิทธิพลจากการเต้น-มะหะหร่ำ ของมุสลิมนิกายชีอะห์ (หน้า 32) เครื่องแต่งกาย - ผู้ศึกษาระบุว่าแต่เดิมมุสลิมปาทานนิยมแต่งกายสีขาว กางเกงขาว สวมเสื้อแขนยาวตามแบบฉบับชาวอินเดียสมัยใหม่ หรือนุ่งโสร่งแบบพม่า ผู้หญิงแต่งแบบคนมาเลย์ คือชุดเสื้อแขนยาวกระโปรงยาว การคลุมฮิญาบยังมีน้อยในหมู่มุสลิมในภูมิภาคนี้ การแต่งกายของผู้หญิงมุสลิมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่ค่อยแตกต่างกัน เมื่อมีการประกอบศาสนกิจทางศาสนาผู้ชายจะนุ่งโสร่งแบบคนมาเลย์ สวมหมวกซึ่งเป็นแบบฉบับของชายมุสลิมทั่วโลก ผู้หญิงจะใส่ชุดละหมาด (ตะละกง) เวลาออกปฏิบัติธุระนอกบ้านจะแต่งกายตามยุคสมัยทั่วไป เมื่อกลับบ้านจะแต่งตามสบาย ผู้ชายนุ่งโสร่งแบบมาเลย์ ผู้หญิงนุ่งผ้าปาเต๊ะแบบมาเลย์ |
|
Folklore |
คัมภีร์ที่ผู้ศึกษากล่าวถึงได้แก่ คัมภีร์เตารอด (The old Testament) ประทานให้นบีมูซา หรือโมเสส คัมภีร์อินญีล (The New Testament) ประทานให้นบีอีซา หรือเยซูคริสต์ คัมภีร์ซาบูรประทานให้นบีดาวูหรือเดวิด คัมภีร์กุรอ่านประทานให้นบีมูฮัมหมัด คัมภีร์ทั้งหมดว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า มนุษย์กับมนุษย์ด้วยกัน (หน้า 15-16) มีการอ้างถึงผลการศึกษาหลังศิลาจารึกสมัยสุโขทัยระบุถึงคำปฏิญาณตนยอมรับนับถือศาสนาอิสลามสองประโยคสมบูรณ์ ได้แก่ 1."ข้าพเจ้าจะนับถือพระเจ้าองค์หนึ่งไม่มีอะไรอื่นยิ่งกว่า" 2."พระนบีมุฮำหมัดเป็นผู้แทนพระองค์ของพระเจ้า" นอกจากนี้ ยังระบุว่ามีการพบหนังสือเล่มเล็กๆ ที่เรียกว่า "อิหร่านราชธรรม" ซึ่งยืนยันบทบาทของวัฒนธรรมอิสลามต่อการปกครองไทย ในกฎมณเทียรบาลสมัยอยุธยากล่าวถึงกำหนดพระราชกรณียกิจประจำวันของพระเจ้าแผ่นดิน "เวลาเจ็ดทุ่มเบิกนักเทศน์ขันที่เข้าเฝ้า" สันนิษฐานว่าขันทีจะเป็นมุสลิมจากราชสำนักอาหรับเข้าไปชี้แจงธรรมบางอย่างเกี่ยวกับคติการปกครองถวายพระเจ้าแผ่นดินโดยวิธีเล่านิทานแล้วสรุปความเป็นคติธรรม (หน้า 28-32) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
มุสลิมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังคงให้ความสำคัญกับประเพณีเกี่ยวกับชีวิตเช่นเดียวกับมุสลิมที่อื่น ๆ แต่อาจแตกต่างกันบ้างในรายละเอียดปลีกย่อย ยังคงนิยมมีบุตรหลายคนเฉลี่ยครอบครัวละ 6 คน ผู้ชายมีภรรยาได้ 4 คน การคุมกำเนิดเป็นเรื่องต้องห้าม นิยมคลอดบุตรที่โรงพยาบาล เด็กอายุครบเจ็ดวันมีการโกนผมไฟ เด็กชายอายุ 7-16 ปีทำสุหนัต หรือขลิบ มีการตั้งชื่อเป็นภาษาอาหรับควบคู่กับชื่อภาษาไทย ผลการศึกษาพบว่ามุสลิมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะใส่ใจการถ่ายทอดวัฒนธรรมอิสลามให้ทายาทเป็นอย่างมาก ด้วยตระหนักว่ามุสลิมในภาคนี้ตั้งถิ่นฐานอยู่แบบกระจาย ไม่เป็นกลุ่มหนาแน่นเหมือนมุสลิมในภูมิภาคอื่น โอกาสที่ลูกหลานจะ ละเลยหลักคำสอนพระศาสดาย่อมเป็นไปได้มาก เด็กถูกบังคับให้ท่องจำและเรียนศาสนา ผู้ปกครองบางส่วนไม่นิยมให้ลูกเรียนต่อสูงๆ ด้วยเกรงว่าจะกลายเป็น "คนไทย" (หน้า 86-87) เด็กมุสลิมจะได้เรียนทั้งหลักสูตรที่รัฐกำหนดในโรงเรียนรัฐบาลและเรียนศาสนา โดยการจัดการของผู้ปกครองและองค์กรโครงการอบรมศาสนาระดับท้องถิ่นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อศถ.) ผู้ปกครองจะส่งเสริมให้ลูกสมรสกับคนในศาสนาเดียวกัน หากเป็นคนต่างศาสนาก็ต้องยอมรับอิสลามก่อนถึงจะสมรสกันได้ เมื่อ มีการตายเกิดขึ้นก็จะร่วมมือกันและฝังในสุสานเฉพาะของมุสลิมที่เรียกว่า "กุโบร์" ผู้ศึกษาระบุว่ามุสลิมในภูมิภาคนี้ยังคงยึดหลักคำสอนศาสนาอิสลามเป็นธรรมนูญชีวิต จะสัมพันธ์กับวัฒนธรรมพื้นเมืองเฉพาะที่ไม่ขัดต่อกรอบประเพณีของตน ทำให้ยังคงรักษาโครงสร้างทางวัฒนธรรมเอาไว้ได้ ไม่แตกสลายเหมือนชนกลุ่มน้อยกลุ่มอื่น ๆ ในภูมิภาคนี้ (หน้า 154-159) ความสัมพันธ์ระหว่างมุสลิมกับชาวพื้นเมืองยังอยู่ในวงแคบ ติดต่อกันเฉพาะเรื่องธุรกิจและกิจกรรมอื่น ๆ ที่ไม่ผิดหลักศาสนา ทั้งนี้เกิดจากทัศนคติที่มีต่อกัน ผู้ศึกษาระบุว่า การที่มุสลิมในภาคอีสานสัมพันธ์กับคนต่างศาสนาน้อยเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ยังคงรักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมเอาไว้ได้ แม้จะเป็นวัฒนธรรมย่อยที่แทรกอยู่ในวัฒนธรรมใหญ่ก็ตาม ทัศนคติที่มุสลิมมีต่อคนพื้นเมืองมีทั้งด้านบวกคือใจดี เอื้อเฟื้อ ชอบสังคม อดทน ซื่อสัตย์ ไม่มีพิษมีภัย ฯลฯ และด้านลบคือเป็นคนหมกมุ่นในความสนุกสนาน ชอบดื่มสุรา ชอบง่ายๆ ชอบเล่นการพนัน ไม่กระตือรือร้น งมงาย ไม่มีเหตุผล ฯลฯ ทัศนคติด้านบวกที่ชาวพื้นเมืองมีต่อมุสลิมคือร่ำรวย รูปร่างน่าตาดี ซื่อตรง ยุติธรรม รักพวกพ้อง สะอาด กว้างขวาง ไม่สร้างความวุ่นวายในสังคม ส่วนทางลบมองว่าน่าเป็นคนน่ากลัว เจ้าชู้ ยุ่งยากในการรับประทานอาหาร งมงายในศาสนา ฯลฯ การรับสมาชิกใหม่ของสังคมมุสลิมจะคำนึงถึงความเชื่อและการยอมรับศาสนาเป็นสำคัญ คนนอกศาสนาที่จะแต่งงานกับมุสลิมต้องหันมายอมนับถืออิสลาม อย่างไรก็ตาม มุสลิมจะสนับสนุนให้บุตรหลานแต่งกันเองภายในกลุ่มมุสลิมด้วยกันมากกว่า ผู้ศึกษาระบุว่าสมาชิกใหม่ที่เข้ารับอิสลามด้วยศรัทธาโดยไม่ผ่านการสมรสยังมีน้อย (หน้า 125-128) |
|
Social Cultural and Identity Change |
แบ่งเป็นสองส่วนคือการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการผสมผสานภายในกลุ่มมุสลิมสายต่าง ๆ ซึ่งเป็นไปในขั้นตอนแรก และการเปลี่ยนแปลงที่เป็นผลจากการผสมผสานกับคนต่างศาสนาหรือวัฒนธรรมพื้นถิ่นอีสานซึ่งเกิดขึ้นในระยะต่อมา ในส่วนที่เป็นการผสมผสานในกลุ่มมุสลิมด้วยกันจำแนกได้ดังนี้ ด้านภาษา-ชาวปาทานเป็นกลุ่มแรกที่เข้ามาในภูมิภาคนี้และพูดภาษาบุชโต แต่จำกัดอยู่เฉพาะในกลุ่มชาวปาทานรุ่นเก่า เพราะเป็นภาษาที่เข้าใจยาก และชาวปาทานรุนแรกๆ เองก็ขาดทักษะในการถ่ายทอดแก่บุตรหลานซึ่งเป็นลูกครึ่งระหว่างชาวปาทาน กับมุสลิมเชื้อสายอื่นและชาวพื้นเมือง ปัจจุบันภาษาบุชโตถูกกลืนโดยภาษาอีสาน ชาวปาทานรุ่นแรกที่ยังมีชีวิตอยู่ก็จะพูด ภาษาอีสานสำเนียงบุชโต เช่น "ฉัน" เป็น "ฉาน" บุตรหลานก็หันไปใช้ภาษาอีสานหรือภาษาไทยกลาง มีเพียงศัพท์พื้นฐานไม่ กี่คำที่ยังรักษาไว้เช่น ดาดา-พ่อ กากา-ลุง มามา-น้า บาบา-ปู่หรือตา เป็นต้น มุสลิมเชื้อสายมาเลย์ที่มาจากภาคใต้ตอนล่างจะ พูดภาษายาวี กลุ่มที่มาจากภาคใต้ตอนบนจะพูดภาษาปักษ์ใต้ ส่วนที่มาจากชานกรุงเทพฯก็จะพูดภาษาไทยกลาง มุสลิมกลุ่ม นี้จะพูดภาษาเดิมเมื่อสื่อสารกันเองภายในกลุ่มที่อพยพมาด้วยกัน เมื่อต้องสื่อสารกับคนนอกกลุ่มมักพูดภาษากลางแต่สรรพนามหลายคำเป็นภาษามาลายูเช่น ป๋าหรือปะ (พ่อ) มะ (แม่) บัง (พี่ชาย) โต๊ะ (ปู่ ตาหรือยาย) เป็นต้น มุสลิมเชื้อสายเบงกาลีพูดได้หลายภาษา ได้แก่ ภาษาเบงกาลี อังกฤษ พม่า ภาษาคำเมือง เวลาสื่อสารกันเองจะใช้ภาษาเบงกาลี และภาษาพม่าเป็นส่วนใหญ่ แต่ภาษาเบงกาลีไม่แพร่หลายสู่มุสลิมกลุ่มอื่น แม้แต่คนรุ่นหลังในกลุ่มลูกหลานเบงกาลีเองก็ไม่นิยมพูด บุตรภรรยามักใช้สรรพนามในภาษาบุชโตแทน เมื่อต้องทำกิจกรรมสาธารณะร่วมกับมุสลิมด้วยกันและชาวพื้นเมืองอีสานมักใช้ภาษาไทยกลางและภาษาอีสาน (หน้า 107-108) ด้านการแต่งกาย แต่เดิมมุสลิมปาทานนิยมแต่งกายสีขาว กางเกงขาว สวมเสื้อแขนยาวตามแบบฉบับชาวอินเดียสมัยใหม่ หรือนุ่งโสร่งแบบพม่า ผู้หญิงแต่งแบบชาวมาเลย์ คือชุดเสื้อแขนยาวกระโปรงยาว ส่วนการคลุมฮิญาบยังมีน้อยในหมู่มุสลิมในภูมิภาคนี้ การแต่งกายของผู้หญิงไม่ค่อยแตกต่างกัน ปัจจุบันการแต่งกายจะผสมผสานกัน เมื่อมีการประกอบศาสนกิจทางศาสนาผู้ชายจะนุ่งโสร่งแบบคนมาเลย์ สวมหมวกซึ่งเป็นแบบฉบับของชายมุสลิมทั่วโลก ผู้หญิงจะใส่ชุดละหมาด (ตะละกง) เวลาออกปฏิบัติธุระนอกบ้านจะแต่งกายตามยุคสมัยทั่วไป เมื่อกลับบ้านจะแต่งตามสบาย ผู้ชายนุ่งโสร่งแบบมาเลย์ ผู้หญิงนุ่งผ้าปาเต๊ะแบบมาเลย์ ด้านอาหารการกิน ชาวปาทานนิยมรับประทานเนื้อสัตว์ กับโรตี นิยมดื่มน้ำชาหลังอาหารมื้อหลักหรือเวลาว่างชาวมาลายูนิยมรับประทานข้าวเจ้ากับแกงเผ็ดอย่างชาวปักษ์ใต้ นิยมทานปลามากกว่าเนื้อสัตว์อื่น ชาวเบงกาลีนิยมทานโรตีมาแต่เดิมกับข้าวจะอาจเป็นเนื้อสัตว์หรือปลาก็ได้ แต่ในปัจจุบันมุสลิมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือนิยมบริโภคข้าวจ้าวเป็นอาหารหลัก กับข้าวเป็นเนื้อสัตว์ส่วนใหญ่ อาหารเป็นโรตีและน้ำชา อาหารพื้นเมืองเช่นข้าวเหนียวส้มตำก็นิยมกันมาก โดยเฉพาะในหมู่มุสลิมลูกครึ่งและเยาวชนที่เติบโตในภูมิภาคนี้ การผสมผสานกับวัฒนธรรมต่างศาสนาจะรับเอาเฉพาะที่ไม่ขัดกับหลักการศาสนา ที่เห็นได้ชัดคือภาษาถิ่น และอาหารการกิน ในส่วนของอาหารพื้นเมืองที่รับมามุสลิมได้ตัดรายการที่ขัดกับข้อห้ามตามศาสนาของตน เช่น เว้นการใช้เลือดสัตว์สด ๆ ประกอบอาหาร เพราะอิสลามห้ามการรับประทานเลือดสัตว์ ของดิบ ๆ สุก ๆ ที่ชาวอีสานชอบกินมุสลิมก็จะนำมาทำให้สุกก่อนรับประทานเป็นต้น ส่วนชาวอีสานเองก็เริ่มนิยมอาหารอย่างโรตีมากขึ้น |
|
Map/Illustration |
- มอญรำ ส่วนใหญ่จะรำในงานศพ(43) - การรำมอญ,วงปี่พาทย์มอญ(44) - ก่อนรำมอญผู้รำจะกราบเสียก่อน(46) - บางครั้งจะสอนให้เด็กคุ้นเคยกับการรำมอญแต่เล็กๆ(47) - หนึ่งในกระบวนท่ารำที่แสดงลักษณะความเป็นมอญโดยแท้(48) - นางมะลิ วงศ์จำนงค์ ครูมอญรำอาวุโสแห่งบ้านเกาะเกร็ด(49) - ขณะถ่ายทอดการรำมอญแก่เด็กเล็ก(50) - การรำมอญ (51) - วงทะแยมอญ(52) - ซอมอญเหลืออยู่เพียง 2-2 คันเท่านั้นในเมืองไทยและผู้บรรเลงก็ใกล้สูญสิ้นหมดแล้ว เราะอายุมากขึ้นทุกที(53) |
|
|