สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),,ปัญหาการศึกษา,เชียงใหม่
Author พชรวรรณ จันทรางศุ
Title กรณีศึกษา : สภาพและปัญหาทางการศึกษา ของชาวกะเหรี่ยงเผ่าสะกอ บ้านผาแตก ตำบลสบเปิง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ปกาเกอะญอ, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 137 Year 2539
Source ทุนวิจัยรัชดาภิเษกสมโภช จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Abstract

ผู้เขียน ได้ศึกษา เรื่องปัญหาทางการศึกษาทั้งในระบบโรงเรียน และการเรียนนอกระบบของกะเหรี่ยงเผ่าสะกอที่ทางรัฐบาลมุ่ง ให้การศึกษากับชาวบ้านโดยให้ให้เกิดความรู้สึก รักชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ การวิจัยได้สัมภาษณ์ ชาวบ้าน และ เจ้าหน้าที่ ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่โดยการสังเกตสภาพความเป็นอยู่ตลอดจนความเชื่อของชาวบ้าน และ สังเกตการเรียน ของนักเรียน ในโรงเรียนบ้านผาแตก ซึ่งเป็นสถานที่มีนักเรียนกะเหรี่ยงและคนไทยพื้นราบเข้ามาเล่าเรียน

Focus

ศึกษา โดยการวิเคราะห์เชิงระบบ (System approach) ถึงปัญหาเรื่องการศึกษาของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงสะกอ บ้านผาแตก ต.สบเปิง ต.แม่แตง จ.เชียงใหม่ โดยใช้การสัมภาษณ์แบบ มีโครงสร้าง (Structured ครูและชาวบ้านเรื่องการศึกษาทั้งใน ระบบโรงเรียน (Formal education) และ นอกระบบโรงเรียน (Non-formal education) โดยมีจุดมุ่งหมาย เพื่อนำการศึกษา ดังกล่าวมาเป็นข้อมูล เพื่อวางนโยบายการศึกษา ของชาวเขาต่อไป โดยดำเนินการวิจัย โดยการศึกษาสภาพสังคมของหมู่บ้านสภาพปัญหา ในโรงเรียน และ นอกโรงเรียน (หน้า 14,15,16,17,126)

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

กะเหรี่ยง อยู่ในกลุ่ม ธิเบต-พม่า (Tibeto Burma) แยกเป็นกลุ่มย่อยตามความแตกต่างของภาษา ในการวิจัยจะศึกษากะเหรี่ยงสะกอ ที่มีสัญชาติไทย กะเหรี่ยงในภาษาอังกฤษเรียก Karen พม่าเรียกว่า กะยี คนภาคเหนือเรียกว่า ยาง ส่วนกะเหรี่ยงจะเรียกตนเอง ปกา-เกอะ-ญอ นักประวัติศาสตร์คาดว่าแต่เดิมกะเหรี่ยง อาศัยอยู่ทางทิศตะวันออก ของธิเบต จากนั้นก็เข้ามาตั้งรกราก อยู่ในจีน เมื่อ 733 ปี ก่อนพุทธศักราช ชาวจีนเรียกว่า "ชนชาติโจว" ต่อมาถูกจีนโจมตี จึงย้ายมาอยู่ตามบริเวณลำน้ำโขง และ แม่น้ำสาละวิน กะเหรี่ยง มี รูปร่างสันทัด กะเหรี่ยงพื้นราบ จะสูงเฉลี่ย 5 ฟุต 4 นิ้ว ส่วนกลุ่มที่อยู่บนภูเขาจะต่ำกว่า ประมาณ 3 นิ้ว ผู้หญิงจะรูปร่างเล็กกว่า ผู้ชาย จะมีผิวสีเหลืองกระทั่งสีน้ำตาลคล้ำ บ้านบาน จมูกแบน ตาหยี ผมสีดำเป็นเส้นตรง (หน้า 16, 21, 40)

Language and Linguistic Affiliations

ภาษากะเหรี่ยงแบ่งเป็น 3 สาขา ได้แก่ กะเหรี่ยงสะกอ กะเหรี่ยงพโว(Pwa) และกะเหรี่ยงบเว ( Bwe ) สำหรับภาษากะเหรี่ยงสะกอ ดร.โจนาธาน เวด (Dr.Jonathan Wade) เป็นผู้ดัดแปลงเป็นภาษาเขียนเมื่อ ปี พ.ศ.2375 โดยยึดตัวอักษรพม่าเป็นหลัก ในการออกเสียง แต่มีความแตกต่างเรื่องการใช้ตัวอักษรและสัญลักษณ์ของคำ ภาษากะเหรี่ยงสะกอ มี เสียงวรรณยุกต์ 6 เสียง มีพยัญชนะ 25 ตัว สระ 10 ตัว ที่บ้านผาแตก มีเพียงคนเดียว ที่จำตัวหนังสือภาษาสะกอได้ ส่วนที่บ้านแม่ตอ อ.แม่แตง กลุ่มมิชชันนารีคริสเตียน ได้นำคัมภีร์ภาษาสะกอจากพม่ามาเผยแพร่ และ สอนเด็ก (หน้า 34, 35, 36, 81)

Study Period (Data Collection)

ไม่ระบุ

History of the Group and Community

ไม่มีข้อมูล

Settlement Pattern

ปลูกบ้านเรือนรวมกัน เป็นจุดๆ แต่ละกลุ่มบ้านจะ มี 20-30 หลังคาเรือน จะตั้งอยู่ใกล้แหล่งน้ำ ที่ใช้ในครัวเรือน โดยต่อน้ำประปาจากลำน้ำแม่จิ้ว และเพาะปลูกใช้อาบใช้กิน รูปแบบการตั้งหมู่บ้าน จะไม่ได้วางผังหมู่บ้าน ส่วนพื้นที่เพาะปลูกทำไร่ทำนา ก็จะอยู่ห่างจาก ที่อยู่อาศัย ในหมู่บ้านไม่มีไฟฟ้า (หน้า 66,127) บ้าน-จะสร้างด้วยไม้ไผ่ทั้งหลัง หลังคามุงด้วยใบตองตึงหรือใบคา หลังคาคลุมเนื้อที่บ้าน โดยฝาบ้านจะต่ำและหลังคาจะยกสูง พื้นบ้านสูงจากพื้นดินประมาณหนึ่งเมตร โดยจะปูพื้นและกั้นห้องด้วยไม้ไผ่ บ้านมี 2 ส่วนคือส่วนที่เป็นบันไดจนถึงนอกชาน และห้องโถงที่ใช้เป็นบริเวณประกอบอาหาร รับประทานอาหาร รับแขก และ เป็นที่นอน กลางห้องโถงจะสร้างเตาไฟเป็นกะบะสี่เหลี่ยม เป็นที่ทำกับข้าวและผิงไฟกันหนาว บนเตาไฟจะทำเป็นที่เก็บเมล็ดพันธุ์หรือเก็บอาหาร บริเวณใต้ถุนบ้านจะเป็นที่เก็บฟืน ลานบ้านจะใช้ปลูกพืชผักสวนครัวเอาไว้กิน (หน้า 68, 69) ยุ้งข้าว - จะสร้างเป็นรูปสี่เหลี่ยมใต้ถุนสูงเอาไว้เก็บข้าว บางบ้านจะสร้างติดกับตัวบ้าน แต่หากข้าวน้อยก็จะใส่เอาไว้ในกระบุง ยุ้งข้าว เป็นสัญลักษณ์ของการแสดงฐานะของความมีอยู่มีกิน แต่ละบ้านจะทำครกกระเดื่องเอาไว้ตำข้าว (ดูรูป หน้า 69)

Demography

จากข้อมูลของกระทรวงมหาดไทย เมื่อปี 2528 ระบุว่า มีชาวเขา ในประเทศไทยทั้งหมด 460,328 คน มีชาวเขาเผ่ากระเหรี่ยงมากที่สุด โดยมี จำนวนประชากร 237,163 คน ส่วนมากจะอาศัยอยู่ในบริเวณชายแดนไทย พม่า โดยในจังหวัดเชียงใหม่ มีจำนวน 77,460 คน (ปี 2522) จังหวัดเชียงราย 5,458 คน (ปี 2529) จังหวัดแม่ฮ่องสอน 51,088 คน (ปี 2513) ชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงแยกออกเป็น 4 เผ่า ตามความแตกต่างของภาษา ได้แก่ กะเหรี่ยงสะกอ กะเหรี่ยงเผ่าโปว์ กะเหรี่ยงเผ่าตองสู (ปะโอ) และ กะเหรี่ยงเผ่าบเว (คยา) ในเมืองไทยมี กะเหรี่ยงสะกอ 80 % อีก 20 % จะเป็นกะเหรี่ยงโปว์ (หน้า 13,39) บ้านผาแตก บ้านแม่หลอดใต้ บ้านแม่เจี้ยว บ้านแม่ตอ มีประชากร 487 คน 100 ครัวเรือน ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นกะเหรี่ยงสะกอ บ้านผาแตกมีประชากร 126 คน เป็นชาย 65 คน หญิง 60 คน ถือสัญชาติไทย เชื้อสายกะเหรี่ยงนับถือศาสนาพุทธและนับถือผี (ดูตาราง หน้า 66,127)

Economy

การผลิต : กะเหรี่ยงส่วนใหญ่ทำอาชีพเพาะปลูก เช่น ปลูกข้าว และเลี้ยงสัตว์ในครอบครัว เช่น ไก่ เป็ด หมู วัว ควาย เพื่อเอาไว้ประกอบอาหาร จำหน่าย และประกอบพิธีกรรม นอกจากนี้ ยังหาของป่า เช่น หน่อไม้ น้ำผึ้ง เอาไปขาย กะเหรี่ยงมีรายได้ 3,500 - 10,000 บาทต่อครอบครัวต่อปี บางส่วนยังทำไร่แบบเลื่อนลอยทำให้ป่าไม้ถูกทำลายเป็นจำนวนมาก ซึ่งจากภาพถ่ายทางดาวเทียมระบุว่า ในช่วงปี พ.ศ. 2516-2520 ลดลง 5.69% ต่อปี ป่าลดลงจาก 95,842 ตารางกิโลเมตร ลดลงเหลือ 68,688 ตารางกิโลเมตร และยังมีชาวบ้านปลูกฝิ่นเพราะขายได้ราคาดี ซึ่งจากการสำรวจระหว่างปี พ.ศ.2518 - 2519 มีชาวเขาปลูกฝิ่นจำนวน 6 หมื่นไร่ ให้ผลผลิต 571 กรัมต่อไร่ ผลิตผลที่ได้ถ้าขายในหมู่บ้านจะขายได้กรัมละ 15 บาท (ราคาในปี 2523) (หน้า 52-53,74-75) ชาวบ้านส่วนใหญ่ยากจน ในหมู่บ้านไม่มีไฟฟ้าใช้และไม่มีใครมีรถยนต์ใช้ ในหมู่บ้านไม่มีโรงสีต้องตำข้าวด้วยครกกระเดื่อง (หน้า 107) - การตำข้าว เป็นหน้าที่ของผู้หญิง เวลาตำข้าวจะใช้ครกกระเดื่องเพราะในหมู่บ้านไม่มีโรงสี การตำข้าวจะตำวันละครั้ง แต่ถ้า จำเป็นก็จะตำ 2 ครั้ง ในหนึ่งเดือนจะหยุดทำงานในวันขึ้นและแรม 15 ค่ำ (หน้า 71) - อาหาร กะเหรี่ยงชอบกินข้าวจ้าว กับข้าวจะเป็นอาหารที่หาได้ในท้องถิ่น เช่น ผักที่ปลูกเองหรือเก็บตามป่า เช่น ผักกูด หรือแมลงต่าง ๆ แต่ถ้าหากล่าสัตว์ เช่น หมูป่า หรือไก่ป่า ได้ ก็จะนำมาแกงแล้วใส่พริกใส่เกลือ (หน้า 72) - การเลี้ยงสัตว์ จะเลี้ยงหมู ไก่ เป็ด ไว้เป็นอาหารและประกอบพิธีต่าง ๆ และจะเลี้ยงหมาเอาไว้เฝ้าบ้านและล่าสัตว์ กะเหรี่ยงจะเลี้ยงสัตว์โดยปล่อยให้หากินเอง เช่น หมูจะปล่อยให้หากินในเวลากลางวัน จะเลี้ยงหมูด้วยปลายข้าวผสมรำในตอนเช้าและตอนเย็น เป็ดไก่ก็จะคุ้ยเขี่ยกินปลายข้าวเวลาตำข้าว (หน้า 73) - การทอผ้า ผู้หญิงจะมีหน้าที่ทอผ้าให้คนในครอบครัวใช้ โดยจะใช้เวลาว่างเมื่อไม่ได้ทำงานในไร่ แต่การทอผ้าทุกวันนี้ไม่มีการปั่นด้ายเหมือนแต่ก่อน จะซื้อด้ายจากตลาดมาทอเอง ผ้าหนึ่งผืนจะใช้เวลา 7 - 8 วัน (หน้า 73) - การต้มเหล้า จะนำข้าวที่หุงไปแช่น้ำ 5 - 6 ชั่วโมง แล้วจึงนำไปตากแดดจนแห้ง จากนั้นนำไปตำจนละเอียด ปั้นเป็นก้อนขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 4 - 5 เซนติเมตร แล้วก็จะนำไปเก็บอีก 3 วันในที่ชื้น จากนั้นก็จะเติมน้ำแช่ข้าว 2 - 3 วันจนมีกลิ่นเหล้า ขั้นตอนการต้มเหล้าจะใช้เวลา 2 - 3 ชั่วโมง โดยจะนำข้าวที่แช่มาต้ม จนกลายเป็นไอแล้วหยดกลายเป็นเหล้า (หน้า 74)

Social Organization

รูปแบบครอบครัว เป็นแบบครอบครัวเดี่ยว (Nuclear Family) ได้แก่ พ่อ แม่ ลูก ผู้ที่มีอายุน้อยจะให้ความเคารพ ต่อผู้อาวุโส กะเหรี่ยง จะอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ไม่รบกวนกัน จะอาศัยอยู่กับธรรมชาติ มีความเชื่อเรื่องผี และมีการทำงานช่วยเหลือกัน โดยหมุนเวียนการทำงานในแต่ละครัวเรือน สำหรับการแต่งงานจะมีลักษณะยึดแบบผัวเดียวเมียเดียว (Monogamous Marriage) เมื่อแต่งงานแล้วฝ่ายชายจะไปอยู่บ้านฝ่ายหญิงเป็นเวลา 1 ปีเพื่อช่วยทำงานในไร่ เมื่อพ้นฤดูเก็บเกี่ยวแล้วจึงจะแยกไปสร้างครอบครัวของตนเองต่างหาก การแต่งงานแบบมีคู่ครองคนเดียว และ เป็นคนที่อยู่ในสังคมเดียวกัน ดังคำภาษากะเหรี่ยงที่ว่า "ซิเดอทู อะพอเดอค แคนาเดอกา" หมายถึง ต้นไม้มีดอกอยู่ดอกเดียว เหมือนกับที่ฉันมีเธอเพียงคนเดียว คู่แต่งงานจะอยู่ด้วยกันจนตาย แต่ถ้าฝ่ายชายตายผู้เป็นภรรยาก็จะแต่งงานใหม่ได้ แต่กรณีหย่าร้าง ผู้หญิงมักไม่ได้แต่งงานอีกครั้ง (หน้า 44, 69, 70, 71, 78)

Political Organization

การปกครองในหมู่บ้านผาแตก จะปกครองโดย หมอผี หรือ ฮี-โข่ ซึ่งโดยมาก จะเป็นคนอาวุโสในหมู่บ้าน เป็นผู้นำทางพิธีกรรมต่างๆ ดูแลรักษาประเพณีในหมู่บ้าน และลงโทษคนที่ทำผิดประเพณี สำหรับการปกครองอย่างเป็นทางการนั้น บ้านผาแตกจะ ขึ้นกับ หมู่ 10 บ้านแม่หลอด ต.สบเปิง อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นหมู่บ้านคนไทยพื้นราบ เพราะทางการถือว่าบ้านผาแตกเป็นเพียงกลุ่มบ้านเท่านั้น ไม่ใช่หมู่บ้าน นอกจากนี้ ยังมีบ้านอื่นๆ ที่เป็นกลุ่มบ้านที่ขึ้นกับบ้านแม่หลอด เช่น บ้านแม่เจี้ยว บ้านแม่หลอดใต้ (กะเหรี่ยง) ชาวบ้านในบ้านผาแตก ถือสัญชาติไทย และ มีสำเนาทะเบียนบ้าน (หน้า 92, 93)

Belief System

ศาสนาและความเชื่อ - กะเหรี่ยงบ้านผาแตก นับถือศาสนาพุทธ และนับถือผี ที่ปฏิบัติกันมาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ สำหรับการประกอบพิธีทางศาสนา ชาวบ้านจะไปร่วมทำบุญในวันพระ และ วันสำคัญ ๆ ทางศาสนา กะเหรี่ยงเชื่อว่า ทุกหนทุกแห่งจะมีผี อยู่ในนั้น เช่น ในป่าเขา และไร่นา ลำน้ำ นอกจากนี้ ยังมีผีบรรพบุรุษ ฉะนั้น จึงมีการไหว้ผีเพื่อขอให้ผีคุ้มครองและให้เพาะปลูกได้ผลผลิตเป็นจำนวนมาก ผีที่สำคัญคือ ผีบ้าน คือผีประจำหมู่บ้าน อันมี ยี่โดะ ทำหน้าที่นำทางผ่าน และ ผีเรือน ซึ่งเป็นผีของบรรพบุรุษที่เสียชีวิตแต่ยังอาวรณ์ญาติ ๆ บุตรหลานฝ่ายแม่ เด็กที่เกิดมาจะต้องดื่มนมแม่ แต่ถ้าหากแม่คลอดลูกแล้วตายต้องปล่อยให้เด็กตายเหมือนแม่เด็ก (หน้า 81, 82, 83, 112, 113, 114,128) งานศพ - จะจัดงานตามฐานะหากเป็นคนรวยก็จะจัดอย่างใหญ่โตและเก็บศพไว้ในโลงที่ตกแต่งอย่างสวยงาม ไว้ประกอบพิธีและเลี้ยงแขกหลายวัน แต่ถ้ายากจนก็จะเอาเสื้อห่อศพแล้วใช้ด้ายพัน จากนั้น ก็จะนำไปฝังหรือเผา ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของญาติพี่น้อง ว่าจะประกอบพิธีอย่างไร ความสำคัญของงานศพอีกอย่างหนึ่งก็คือจะเป็นที่นัดพบของหนุ่มสาวที่มาช่วยร้องเพลงไว้อาลัยผู้เสียชีวิต และจะใช้เป็นที่ทำความรู้จักและแสดงความรักต่อกันหากรักกันจริง ๆ ก็จะตกลงแต่งานกันในวันข้างหน้า (หน้า 47, 85) งานแต่งงาน - เมื่อชายหญิงตกลงว่าจะแต่งงานกัน แม่ฝ่ายหญิงจะไปบอกพ่อแม่ฝ่ายชาย เมื่อตกลงกันได้แล้ว ฝ่ายชายก็จะไปสู่ขอ ตกลงวันแต่งงาน การเตรียมงานฝ่ายเจ้าบ่าวจะไปขอให้ชาวบ้าน ช่วยทำเหล้าทุกบ้านเพื่อนำมาเลี้ยงแขกในวันงาน ส่วนฝ่ายเจ้าสาวก็จะสร้างที่ทำกับข้าวและมีเพื่อนบ้านมาช่วยงานเพื่อเลี้ยงแขกเหรื่อ หรือเรียกภาษาเหนือว่า การกินแขก และไหว้เจ้าที่โดยมีหมอผีเป็นคนทำพิธี หลังจากเลี้ยงแล้วเจ้าบ่าวก็จะกลับบ้าน รุ่งขึ้นจะทำพิธีป้อนข้าว พิธีจะทำที่บ้านเจ้าสาวตอนเช้ามืด โดยทั้งสองฝ่ายจะเลือกเด็กชายหญิงมาป้อนข้าว โดยเด็กจะป้อนไก่ต้มหนึ่งคำและจะได้ไก่เป็นของตอบแทน บางครั้งเด็กผู้หญิงก็อาจจะได้สร้อยตอบแทน งานตอนกลางวันเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวจะเลือกสามีภรรยาที่สนิทมาเปลี่ยนชุดให้โดยฝ่ายหญิงเจ้าสาวจะสวม ชุดสีดำและผ้าถุงสีแดง ส่วนเจ้าบ่าวก็จะมีขบวนมาส่งที่บ้านเจ้าสาวโดยเปลี่ยนจากชุดคนพื้นราบมาสวมชุดกะเหรี่ยงสวมเสื้อแดง เมื่อเปลี่ยนชุดแล้วก็จะกลับบ้าน และจะแห่มาส่งเจ้าบ่าวอีกครั้งในตอนเย็น และถือว่าทั้งสองเป็นสามีภรรยากันตามประเพณีกะเหรี่ยง สำหรับหนุ่มสาวที่ผิดผีก็จะจัดเพียงพิธีผูกข้อไม้ข้อมือโดยจัดงานง่าย ๆ เฉพาะในกลุ่มเครือญาติเท่านั้น ในสามวันแรกของการแต่งานจะห้ามเจ้าบ่าวและเจ้าสาวเดินทางไกล ส่วนพ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายก็จะผูกข้อไม้ข้อมือเพื่อรับเจ้าบ่าวเจ้าสาวเป็นสมาชิกในบ้านโดยทางฝ่ายเจ้าสาวจะผูกข้อมือก่อน (หน้า 86, 87) งานปีใหม่ - งานจะจัดประมาณปลายเดือนมกราคม หมอผีและผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านจะบอกให้ชาวบ้านทำเหล้าเอาไว้ และหมอผีจะกำหนดวันปีใหม่ซึ่งส่วนใหญ่จะหลังจากวันข้างขึ้น 2 ค่ำ แล้ว ก่อนวันงานผู้หญิงจะทำขนมคลุกผสมน้ำอ้อยและข้าวต้มมัด ในวันงานตอนเช้าก็จะฆ่าไก่ทำกับข้าว เมื่อทำอาหารเรียบร้อยแล้วก็จะเชิญคนแก่ที่นับถือ มาผูกข้อไม้ข้อมือ ในวันนี้ชาวบ้านจะเดินไปสังสรรค์ตามบ้านตอนเย็น ก็จะร้องเพลง (หน้า 88, 89) ความเชื่อเกี่ยวกับเตาไฟ - ที่ชั้นวางของเหนือเตาไฟ จะเป็นที่เก็บเมล็ดพันธุ์ อาหาร และจะเก็บกระดูกคางหมู ที่เป็นหมูตัวแรกของบ้าน เพราะ เชื่อว่าจะช่วยป้องกันขโมย และ โจร รวมทั้งป้องกันไฟไหม้บ้าน เมื่อไม่มีใครเฝ้าบ้าน (หน้า 68, 69) ความเชื่อเรื่องสัตว์เลี้ยง - หากเลี้ยงหมูถ้าแม่หมูคลอดลูกออกมา เป็นตัวเมียทั้งหมด ก็จะฆ่าลูกหมูทิ้งทุกตัวแล้วนำไปฝังดิน เพราะเชื่อว่า เป็นสิ่งอัปมงคล และ ไม่ควรนำไก่สีขาวมาทำกับข้าวเลี้ยงแขกเหรื่อ ที่มาเยี่ยมบ้านเพราะจะทำให้แขก กับ เจ้าของบ้านไม่ถูกกัน (หน้า 73) ต่อผีไร่ (ตะแซะทู่) จะทำก่อนปลูกข้าว เพื่อบนบานให้ผีไร่ดูแลข้าวในไร่และให้ได้ผลผลิตที่ดี ผู้ชายที่เป็นหัวหน้าครอบครัว จะหาตอไม้ สูงประมาณ 3 เมตร แล้วนำไม้ยาวประมาณ 1 เมตรสี่ท่อน ไปวางครอบตอบนพื้นดิน แล้ววางด้ามเสียมพิงตอในกรอบนั้น เมื่อปลูกข้าวในกรอบนั้นแล้ว จะปลูกพืชชนิดอื่นๆ เช่น ข้าวโพด งา เผือก ลงไปด้วย จากนั้นก็จะนำน้ำใส่กระบอก วางไว้บนดิน แล้วเอาด้ามเสียมจุ่มน้ำ ผู้ที่เข้าร่วมพิธีจะนำน้ำสาดผู้ประกอบพิธีแล้วโห่ร้อง ก็จบพิธี หลังจากปลูกข้าวได้ 2 เดือน จะเลี้ยงผีไร่ เมื่อข้าวออกรวงแล้ว พิธีจะทำที่ตอผีไร่ คนในบ้านจะไปหรือไม่ไปก็ได้แล้วแต่อัธยาศัย ผู้หญิงจะทำกับข้าวใช้ในพิธี ส่วนผู้ชายที่เป็นหัวหน้าครอบครัว จะไปทำพิธีตามลำพังในตอนกลางวัน ไก่ที่ใช้เซ่นเจ้าที่แล้วจะนำกลับมากินที่บ้าน (หน้า77, 85) พิธีเลี้ยงผีบ้าน - หรือ "ถ่อกะจ่า" ภาษากะเหรี่ยงสะกอแปลว่า การขึ้นเจ้า จะจัดปีละ 2 ครั้ง แต่ถ้าเกิดเรื่องไม่เป็นมงคลในหมู่บ้านก็จะจัดมากกว่านี้ พิธีจะจัดที่ศาลประจำหมู่บ้านที่อยู่ใกล้ๆ หมู่บ้าน พิธีจะทำในตอนเย็น ก่อนทำพิธี แต่ละบ้านจะนำข้าวยี่โด๊ะ ผู้ทำพิธีที่เป็นผู้ทำเหล้าและทำกระทงดอกไม้ เวลาทำพิธีผู้ชายที่เป็นหัวหน้าครอบครัวหรือลูกชายจะไปร่วมพิธี โดยจะนำไก่ไปฆ่าและนำกับข้าวไปไหว้ด้วย เมื่อทำพิธีเสร็จก็จะนำเครื่องเซ่นไหว้กลับบ้าน ในวันทำพิธีจะห้ามคนในหมู่บ้านออกนอกหมู่บ้าน และห้ามคนนอกหมู่บ้านเข้ามาในหมู่บ้าน สำหรับการไหว้ผีเรือน ทุกๆ 3 ปี จะไหว้ผีบ้าน ด้วยสัตว์สี่เท้า เช่น ควาย เป็นต้น ชาวบ้านมีฐานะยากจนจึงไม่ปฏิบัติเช่นนั้น (หน้า 83, 84) พิธีไหว้ผีเรือน-หัวหน้าครอบครัวจะเป็นผู้นำการประประกอบพิธีและสมาชิกในบ้านจะเข้าร่วมพิธีในตอนเย็น การเลี้ยงผีถ้าพ่อหัวหน้าครอบครัวตายต้องให้แม่เป็นผู้นำการประกอบพิธี สำหรับการเลี้ยงผีบรรพบุรุษฝ่ายแม่ แม่บ้านจะเป็นผู้ทำพิธีพร้อมกับลูก แต่ถ้าหากเลี้ยงผีบรรพบุรุษฝ่ายชาย หัวหน้าครอบครัวก็จะทำพิธีเพียงลำพัง (หน้า 84, 85)

Education and Socialization

โรงเรียนบ้านผาแตก เป็นโรงเรียนชั่วคราว เปิดสอนเมื่อปี 2517 เป็นครั้งแรก สอน ป.1-ป.4 สังกัดกรมประชาสงเคราะห์ ต่อมาใช้หลักสูตรประถมศึกษา 2521 สอนถึงชั้น ป.6 เด็กนักเรียนที่มาเข้าเรียนที่นี่มาจากบ้าน ผาแตก บ้านแม่หลอดเหนือ บ้านแม่หลอดใต้ บ้านผาแด่น บ้านแม่จิ้ว บ้านแม่ตอน มีนักเรียนที่เรียนในปี 2529 จำนวน 102 คน เรียนชั้นประถม 65 คน และเรียนชั้นอนุบาล 37 คน มีครู 6 คน ชาย 4 คน หญิง 2 คน ในปี 2506 ได้แต่งตั้งคณะกรรมการชาวเขาสาขาการศึกษา ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนจาก กรมการปกครอง กรมวิชาการ หน่วยศึกษานิเทศน์ กรมประชาสงเคราะห์และสำนักงบประมาณ และได้แต่งตั้งตัวแทนจากกรมการปกครอง กรมวิชาการ หน่วยศึกษานิเทศน์ และเลือกอธิบดีกรมสามัญศึกษาเป็นประธาน ในปี 2507 โดยได้เสนอหลักการศึกษาแก่ชาวเขาในปี 2509 ตามนโยบายเพื่อให้สัญชาติไทยกับชาวเขา ให้การศึกษาเพื่อมุ่งให้ความรู้และมีความรู้สึกเป็นคนไทยและให้ทุนการศึกษากับนักเรียนที่เรียนดีเพื่อให้กลับมาสอนหนังสือให้แก่นักเรียน แต่การศึกษาจะใช้หลักสูตรพิเศษที่ไม่เหมือนนักเรียนในพื้นราบ โดยจะมุ่งให้เกิดความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ สร้างจิตสำนึกให้ชาวเขารู้สึกว่าตนเองเป็นคนไทย ในปี 2524 คณะกรรมการศึกษาแห่งชาติ ได้กำหนดนโยบายด้านการศึกษาให้แก่ชาวเขาโดยได้เน้นการศึกษานอกโรงเรียนและฝึกอาชีพให้ชาวเขา ให้การศึกษาเพื่อให้อ่านออกเขียนได้และปลูกฝังให้ชาวเขาสนับสนุนให้ลูกเรียนหนังสือให้มากขึ้น ในการดำเนินการศึกษา ได้สร้างโรงเรียนชั่วคราว โดยจัดตั้งที่ศูนย์พัฒนาสงเคราะห์ชาวเขา เมื่อปี 2508 ใช้หลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ โรงเรียนมีทั้งหมด 237 แห่ง มีเจ้าหน้าที่การเกษตรและเจ้าหน้าที่อนามัย เป็นครู 288 คน และมีนักเรียนจำนวน 7,210 คน โดยทางโรงเรียนมุ่งสอนให้นักเรียนอ่านออกเขียนได้ ทุกวันนี้ใช้หลักสูตรปี 2521 ในการสอนของโรงเรียนชั่วคราวครูที่สอนไม่สามารถสอนได้เต็มที่เพราะติดงานประจำ ดังนั้น คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจึงได้อบรมหลักสูตรการสอนเพื่อให้เป็นครูชาวเขา แต่ปัจจุบันเป็นหน้าที่ของกระทรวงศึกษาธิการที่ทำหน้าที่อบรมผู้ที่เรียนจบชั้น ม.3 เพื่อให้กลับไปเป็นครูสอนชาวเขา จนถึงปี 2528 มีผู้ผ่านการอบรม 583 คน จำนวน 12 รุ่น ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก มีอยู่ 4 ศูนย์จัดตั้งโดยกรมประชาสงเคราะห์ เมื่อปี 2520 จนในปี 2528 มีศูนย์เด็กเล็กทั้งหมด 65 ศูนย์ มีผู้ดูแลเด็กที่ได้รับการอบรมจากวิทยากรของกระทรงศึกษาจำนวน 74 คน โดยอบรมความพร้อม 45 วัน ก่อนเข้าทำงานและมีเด็กเล็กที่เข้าเรียนในศูนย์ 1,863 คน การศึกษาผู้ใหญ่ชาวเขา กรมประชาสงเคราะห์ ตั้ง เมื่อ ปี 2520 การเรียนจะใช้เวลา 6 เดือน เพื่อให้ผู้เรียนอ่านออกเขียนภาษาไทยได้เมื่อเรียนจบ ผู้เรียนจะได้รับประกาศนียบัตรจากกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อปี 2528 มีประชาชนเข้าเรียน 3 พันคน และโรงเรียนการศึกษาผู้ใหญ่ 30 แห่ง โครงการศูนย์การศึกษาเพื่อชุมชนในเขตภูเขา (ศศช.) เป็นการศึกษานอกโรงเรียนผู้เรียนทั้งเด็กและผู้ใหญ่จะได้รับวุฒิการศึกษาชั้น ป.6 เท่ากับเรียนในโรงเรียนของรัฐบาล โครงการได้เงินช่วยเหลือจากองค์การยูเสด ในโครงการทดลองเป็นเวลา 5 ปีคือในปี 2523-2528 โครงการทดลองจะมีศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา จ.เชียงใหม่ จ.เชียงราย จ.แม่ฮ่องสอน จ.ลำปาง ดูแล โครงการอยู่ใน 6 หมู่บ้านโดยมีชาวบ้านจากหมู่บ้าน 45 แห่ง ที่ประกอบด้วยชาวเขาเผ่า ม้ง เย้า มูเซอ ลีซอ กะเหรี่ยงและอีก้อเข้าเรียน โครงการสงเคราะห์เด็กยากจน ซี.ซี.เอฟ.(Christian Children s Fund) เป็นของมูลนิธิสงเคราะห์เด็กยากจน ซี.ซี.เอฟ ในประเทศไทย ให้ทุนการศึกษาค่าเล่าเรียนกับเด็กชาวเขายากจนของศูนย์พัฒนา และ สงเคราะห์ชาวเขา จ.เชียงราย จ.เชียงใหม่ จ.ลำปาง และ จ.ลำพูน จำนวน 1,500 คน มาตั้งแต่ปี 2526 การศึกษาต่อและทุนการศึกษา เด็กที่เรียนดีแต่มีฐานะยากจน กรมประชาสงเคราะห์จะสนับสนุนให้เรียนต่อตั้งแต่ชั้น ป.1 ถึง ม.6 ที่ ศูนย์สถานสงเคราะในส่วนภูมิภาคและส่วนกลาง ทุกวันนี้มีเด็กที่ได้รับการคัดเลือกให้เรียนต่อ 490 คน ที่เรียนอยู่ในสถานสงเคราะห์ นอกจากนี้ กรมประชาสงเคราะห์ก็ได้หาทุนการศึกษาจากที่ต่าง ๆ เช่น ทุนของมูลนิธิช่วยนักเรียนที่ขาดแคลน หรือทุนการศึกษาบุตรชาวเขาของมูลนิธิเผยแพร่พระพุทธศาสนาฯ เป็นต้น กับนักเรียนที่อยากเรียนสายอาชีพที่เรียนจบชั้น ม.3 (หน้า 17, 54, 55, 56, 57, 58, 59, 60, 61, 94, 95, 96, 99,100,119,121,128)

Health and Medicine

ส่วนใหญ่จะรักษาโรคด้วยไสยศาสตร์ รดน้ำมนต์ กับใช้สมุนไพรจากหมอประจำหมู่บ้านและใช้ฝิ่นรักษาโรค ชาวเขาส่วนมากสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงเพราะความเป็นอยู่ไม่สะอาดเพียงพอ ชาวบ้านยังชอบไปขับถ่ายในป่าเพราะไม่มีส้วมใช้ ทั้งนี้มีเพียงบ้านเดียวเท่านั้นที่มีส้วมใช้ ในหมู่บ้านไม่มีสถานีอนามัย การรักษาขั้นพื้นฐานจะเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่อนามัยจากหน่วยพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาบ้านผาแตก และทางหน่วยพัฒนาฯ ได้ร่วมกับมูลนิธิซี.ซี.เอฟ.(Christian Children s Fund) ช่วยเหลือเด็กโดยจะนำเด็กไปรักษาที่โรงพยาบาล โดยจะจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลเฉลี่ยคนละ 50 บาท ต่อปี (หน้า 52, 80,122) การคุมกำเนิด - จะนำสมุนไพรที่หาได้ในป่ามาต้มดื่ม แต่การดื่มจะถือว่าบาป เวลาดื่มคนที่เป็นสามีจะหามาให้ภรรยาดื่มแต่บอกว่า เป็นยาอย่างอื่นและบอกให้ใครฟังไม่ได้ ยาชนิดนี้จะดื่มในกลุ่มผู้หญิงที่ไม่ต้องการมีลูก สำหรับการคุมกำเนิดแผนปัจจุบัน ผู้หญิงนิยมฉีดยาคุมกำเนิดเพียงอย่างเดียว ส่วนผู้ชายไม่อยากทำหมัน เพราะกลัวว่าจะทำงานหนักไม่ได้ (หน้า 80-81)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

เสื้อกะเหรี่ยง (Hse) เย็บด้วยผ้า 2 ชิ้น ให้เหลือพื้นที่เอาไว้สอดแขนด้านบนจะผ่าอกเสื้อเมื่อสวมจะเป็นรูปตัววี เสื้อจะหลวมเป็นทรงกระบอกคลุมยาวจนถึงข้อเท้า (หน้า 43) ผ้าโพกหัวผู้หญิง (hko peu ki) ยาว 2 หลา กว้าง 1ฟุต ส่วนกลางมีสีขาว ขอบผ้าเป็นลวดลายต่าง ๆ เช่น ลายสลับขาวจะเลียนแบบลายของงูเหลือม เป็นต้น (หน้า 43) ย่าม ส่วนใหญ่จะใช้ผ้าสีแดง ใช้แถบขาว เหลือง หรือดำทำจากผ้า 2 ผืน ยาว 5 - 6 ฟุต กว้าง 5 - 6 นิ้ว และ ผ้าอีกชิ้นจะยาว 2 - 3 ฟุต กว้าง 6 - 8 นิ้ว โดยจะนำผ้ามาเย็บติดกันทำเป็นย่าม กะเหรี่ยงจะชอบสะพายย่ามเพื่อใส่สิ่งของชนิดต่าง ๆ (หน้า 43, 44) ห่วงใส่คอ ทำด้วยทองเหลือง กะเหรี่ยง (ผู้เขียนไม่ระบุว่าเป็นเผ่าใด) จะสวมเพื่อทำให้คอยาวโดยเริ่มแรกจะสวมห่วงไม่กี่วง ต่อมาจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และคอจะยืดออกจนสวมห่วงได้ 20-25 วง (หน้า 44) เครื่องแต่งกาย กะเหรี่ยงสะกอ ผู้ชายจะสวมกางเกงสีขาวกับสีดำเหมือนคนจีน สวมเสื้อแขนสั้นสีแดงเป็นพู่ บางครั้งก็จะสวมเสื้อสีขาวทับเสื้อแดง บางครั้งก็จะสวมเสื้อดำ แต่จะมีเสื้อสีแดงสำรองเอาไว้ใช้ จะโพกหัวด้วยผ้าสีต่าง ๆ ยกเว้นสีดำ ผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว จะสวมเสื้อสีดำที่ยาวถึงเอว อกเสื้อด้านล่างจะเย็บด้วยลูกเดือยหินสีขาวเป็นจุดสีขาวหรือสี่เหลี่ยมเล็กๆ ให้รู้ว่าแต่งงานมีครอบครัวแล้ว หญิงสาว และ เด็กหญิง จะสวมเสื้อคลุมสีขาวทรงกระบอกแขนสั้นคอผ่าซีกเป็นทรงสามเหลี่ยม ยาวกรอมข้อเท้า ประดับด้วยด้ายสีแดงรอบสะโพก เสื้อสีนี้ เป็นสัญลักษณ์ว่ายังโสด รอบคอจะสวมสร้อยลูกปัดหรือพันด้วยด้าย จะมวยผมไว้ด้านหลังแล้วพันด้วยด้าย บางครั้ง ก็ใช้ผ้าขาวโพกหัว (หน้า 41) กะเหรี่ยงโปว์ ผู้ชายจะ สวมเสื้อสีดำ และจะสวมเสื้อสีแดงประดับด้วยด้ายสีขาวเมื่อมีงาน บางครั้งก็สวมเสื้อสีขาวลายสีแดงยาวถึงครึ่งขา สวมกางเกงแบบคนจีนสีดำ ขากว้าง และ เป้ากางเกงยาว ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วจะสวมเสื้อคอวีทรงกระบอกยาวเลยเอวมานิดหน่อย บริเวณเหนืออกเสื้อจะเป็นสีดำ ใต้อกเสื้อเป็นสีแดงปัก เสื้อเป็นลาย หรือ ประดับด้วยลูกปัด สวมผ้าถุงสีแดงลายขาว ผู้หญิงโสดจะสวมเสื้อคลุมสีขาว หน้าอกเสื้อประดับด้วยผ้าแถบสีแดงกว้าง 1 คืบ ชายเสื้อปักผ้าสีแดง พันผ้าสีดำเป็นปลอกแขนยาวถึงข้อมือ มวยผมและโพกหัวด้วยผ้าสีขาวหรือสีชมพู สวมสร้อยลูกปัดหรือลูกเดือยหินข้อมือผูกด้วยสายสะพาย ที่ร้อยด้วยเหรียญสตางค์แดง ข้อเท้าผูกด้วยกระดิ่งเล็กๆหรือกระพวน (หน้า 41, 42) - กะเหรี่ยงบะเว (ยางแดง) ผู้ชายสวมเสื้อสีแดง และสีดำ สวมกางเกงลายขาวแดง ส่วนผู้หญิงที่แต่งานแล้ว และ เป็นโสด จะสวมเสื้อสีแดงและสีดำ คาดเอวด้วยผ้าสีขาว ใช้ผ้าคลุมไหล่ โพกหัวด้วยผ้าสีแดง (หน้า 42) - กะเหรี่ยงตองสู ชาวพม่าเรียกกะเหรี่ยงขาว แต่กะเหรี่ยงสะกอจะเรียก กะเหรี่ยงดำ เพราะผู้หญิงจะสวมเสื้อสีดำ (หน้า 42, 43) เพลงกะเหรี่ยง - มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า "ทา" เพลงกะเหรี่ยง มีหลายอย่าง เช่น เพลงที่ร้องในงานศพจะเป็นเพลงเกี่ยวกับวิญญาณ ผี เช่น ทาปลื้อ ทาเน่มื่อ ทาโค่เส่ เป็นต้น เพลงเหล่านี้จะไม่ร้องเวลาปกติ เพลงรัก ส่วนมาก จะร้องเมื่อทำงานในไร่แต่จะไม่ค่อยร้องในหมู่บ้าน เพลงมีเนื้อหาเกี่ยวกับความเป็นอยู่และความรักของหนุ่มสาว เช่น ทาหน่อเดอจอ หรือ เพลงหญิงสาว กับ ชายหนุ่ม ทาซะโอ้ หรือเพลงรัก ทาพค่าหรือเพลงลา ทาจีแว หรือ เพลงอวยพร เป็นต้น (หน้า 89, เนื้อเพลง และ ความหมาย หน้า 90, 91)

Folklore

ลวดลายเสื้อผ้าหญิงชาวสะกอ มาจาก ผู้หญิงชื่อ " นอมูอี " ถูก งูเหลือม ลักพาตัวไปไว้ในถ้ำ สามีของเธอออกติดตามหาก็ถูกงูเหลือมฆ่าตาย เมื่อเธอลอดตายมาได้ จึงไว้ทุกข์ให้กับสามีที่เสียชีวิตและเป็นเครื่องหมายแห่งความกล้าหาญ เธอจึงปักลวดลายต่างๆ บนซากงูเหลือม แล้วนำมาสวมใส่ จึงกลายเป็นลวดลายของเสื้อผ้าหญิงกะเหรี่ยงที่สวมใส่ (หน้า 43)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ครูและนักเรียน โรงเรียนบ้านผาแตก มีสามเชื้อชาติ และอยู่ด้วยกันอย่างราบรื่น ครูผู้สอนประกอบด้วยที่เป็นคนไทยพื้นราบ 3 คน ชาย 2 คน และ หญิง 1 คน และ มีหญิงกะเหรี่ยง ที่เป็นคนในหมู่บ้าน สอนหนังสือชั้นเด็กเล็ก และมีชายกะเหรี่ยงอีก 1 คน ทำหน้าที่สอน และ ทำงานธุรการ รวมทั้งมีครูที่เป็นชายม้ง ที่ผ่านการอบรมจากโครงการ ครูช่วยสอนชาวเขา ของคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการสอน ครูคนไทย ได้พยายามปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมของกะเหรี่ยง โดยแต่งกายชุดกะเหรี่ยงในวันศุกร์และเรียนรู้ภาษากะเหรี่ยงเพื่อช่วยในการติดต่อสื่อสาร กับนักเรียน ส่วนครูกะเหรี่ยงก็ต้องเรียนรู้ภาษาไทย และ ภาษาไทยพื้นราบ รวมทั้งเรียนรู้ในการทำงานร่วมกันครูและนักเรียนอยู่ด้วยกันและมีความสามัคคีกันโดยไม่แบ่งเชื้อชาติ แต่ครู และ นักเรียนยังมีปัญหา เรื่องการออกเสียงภาษาไทย (หน้า 100,101,103)

Social Cultural and Identity Change

หนุ่มสาวกะเหรี่ยงไม่ชอบร้องเพลงกะเหรี่ยง หรือ ปกากะญอ แล้ว แต่จะชอบร้องเพลงไทยลูกทุ่งมากกว่า อาจเป็น เพราะว่า เพลงกะเหรี่ยงไม่มีการบันทึกหรือจดเอาไว้แต่จะสอนร้องกันเอง จากคนหนึ่งถ่ายทอดไปยังคนอื่น ทำให้ค่อย ๆ สูญหายไปในที่สุด (หน้า 90, 113)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

แผนภาพแสดงองค์ประกอบของการวิเคราะห์โรงเรียน(10) จิตรกรรมสีฝุ่นรูปกะเหรี่ยง บนเสาพระวิหารหลวง วัดสุทัศน์ฯ กรุงเทพฯ(24) จิตรกรรมสีฝุ่นรูปกะเหรี่ยงบนผนังพระอุโบสถ วัดบางขุนเทียนในฝั่งธนบุรี(25) จิตรกรรมสีฝุ่นรูปกะเหรี่ยงบนบานหน้าต่าง พระอุโบสถวัดบางขุนเทียน นอกฝั่งธนบุรี(25) การอพยพของกะเหรี่ยงเข้ามาในประเทศไทย(27) ภาพตัวอักษรกะเหรี่ยงสะกอ(38) แผนที่แสดงขอบเขตหมู่บ้านผาแตก อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่(63) แผนที่แสดงเส้นทางคมนาคมาของกลุ่มบ้านผาแตก(65) ภาพแสดงสภาพทั่วไปของหมู่บ้านผาแตก(67) ภาพแสดงสภาพที่อยู่อาศัยของชาวกะเหรี่ยงสะกอบ้านผาแตก(68) ภาพแสดงชีวิตความเป็นอยู่ของชาวกะเหรี่ยงสะกอบ้านผาแตก(69) รูปภาพของโรงเรียนบ้านผาแตก(96) รูปภาพห้องเรียนของโรงเรียนบ้านผาแตก(97) ภาพแสดงสภาพทั่วไปของโรงเรียนบ้านผาแตก(98) รูปภาพเกี่ยวกับการเรียนวิชาการงานพื้นฐานอาชีพ (งานเกษตร)(104) รูปภาพเกี่ยวกับการเรียนวิชาการงานพื้นฐานอาชีพ (งานบ้าน)(105) ภาพวาดของนักเรียนประกอบเรียงความ(108-109) ภาพแสดงสายสัมพันธ์อันดีของครอบครัวกะเหรี่ยง(110) รูปภาพกิจกรรมโครงการบริการอาหารกลางวันของ ซี.ซี.เอฟ และเด็กในศูนย์พัฒนาการเด็กเล็ก(120) ภาพศูนย์พัฒนาการเด็กเล็ก(122) ภาพของหมู่บ้านผาแตก(127)  

Text Analyst ภูมิชาย คชมิตร Date of Report 04 ต.ค. 2567
TAG ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง), , ปัญหาการศึกษา, เชียงใหม่, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง