|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
พวน ไทยพวน ไทพวน,ความสำนึกในชาติพันธุ์,นครนายก |
Author |
ปิยะพร วามะสิงห์ |
Title |
ความสำนึกในชาติพันธุ์ของลาวพวน |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ไทยพวน ไทพวน คนพวน,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
97 |
Year |
2538 |
Source |
หลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชามานุษยวิทยา ภาควิชามานุษยวิทยา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร |
Abstract |
คนพวนในอำเภอปากพลีมีเอกลักษณ์ชาติพันธุ์ที่ซับซ้อนอยู่ 2 ระดับคือ ระดับที่เป็นคนไทยและระดับที่เป็นคนพวนควบคู่กันไป ความสำนึกในชาติพันธุ์ของลาวพวนจะมีผลต่อสังคมโดยการเกิดการรวมตัวของลาวพวนในท้องถิ่นและต่างถิ่น อันก่อให้เกิดการช่วยเหลือระหว่างลาวพวนด้วยกันมากขึ้น นอกจากนี้ยังส่งผลต่อสังคมส่วนรวมโดยก่อให้เกิดความร่วมมือระหว่างลาวพวนกับเจ้าหน้าที่ของรัฐอีกด้วย |
|
Focus |
นำเสนอ ความสำนึกในชาติพันธุ์และการรักษาไว้ซึ่งความสำนึกในกลุ่มชาติพันธุ์ของลาวพวนในอำเภอปากพลี จังหวัดนครนายก |
|
Theoretical Issues |
ผู้เขียนพบว่า คนพวน ที่อำเภอปากพลี จังหวัดนครนายก มีความสำนึกชาติพันธุ์ใน 2 ระดับ คือ ระดับที่เป็นคนไทย และที่เป็นคนพวนควบคู่กันไป (หน้า 51) โดยแสดงออกให้เห็นในภาษาพูด การประกอบประเพณี และพิธีกรรมที่มีลักษณะเฉพาะเป็นของพวน เช่น กำฟ้า บุญข้าวหลาม และที่เป็นของไทยแสดงออก ให้เห็นจากการแต่งงาน การปลูกสร้างบ้านเรือน และการใช้ภาษาไทยกลาง ความเป็นพวน มิใช่เป็นเครื่องมือในการรักษาผลประโยชน์ หรือ ทำให้มีโอกาสมากขึ้นอย่างที่ Cohen (1974) ได้เสนอแนวคิดไว้ เพราะลาวพวนสามารถเป็นคนไทยได้ และมีโอกาสดังกล่าวอย่างสมบูรณ์เช่นกัน (หน้า 51) คนพวนจึงไม่มีพรมแดนชาติพันธุ์ แต่ไม่ได้หมายความว่าขาดจิตสำนึกทางชาติพันธุ์ ซึ่งได้รับถ่ายทอดจากบรรพบุรุษผ่านเรื่องเล่าต่าง ๆ ซึ่งในบางครั้งก็เกี่ยวกับความรู้สึกที่กลัวคนไทยเมื่อในอดีต |
|
Ethnic Group in the Focus |
ลาวพวน อำเภอปากพลี จังหวัดนครนายก |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาไทยและภาษาพวน (หน้า 58) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ลาวพวนที่บ้านปากพลี อพยพมาจากแขวงเมืองเชียงขวาง เมืองพวน ลาวพวนใน อำเภอปากพลีมีทั้งอพยพเข้ามาตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรีจนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีหลายหมู่บ้านที่เอาชื่อบ้านเกิดเมืองนอนในแขวงเมืองเชียงขวาง เมืองพวนมาตั้งเป็นชื่อบ้านด้วย(หน้า 11-12) อำเภอปากพลี เดิมชื่อว่าอำเภอปู่งไร่ ตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2436 ในปีพ.ศ. 2448 ได้เปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอหนองโพธิ์และย้ายที่ว่าการอำเภอไปอยู่ที่บ้านท่าแดง อำเภอเขาใหญ่เพราะท้องที่ได้ครอบคลุมถึงเขาใหญ่ เหตุที่ชื่อปากพลีนั้นเดิมสมัยก่อนประชาชนสัญจรทางเรือและบริเวณปากคลองยาง ในฤดูน้ำหลากน้ำจะหมุนวนเชี่ยว เรือที่ผ่านไปมามักจะล่มได้รับอันตราย ดังนั้นประชาชนจึงร่วมใจสร้างศาลขึ้นเพื่อทำ "พลี" หรือพลีกรรมอยู่ที่ปากคลองจึงเรียกชื่อคลองบริเวณนั้นว่า "คลองปากพลี" และใช้ชื่อเรียกหมู่บ้านและตำบลปากพลีเป็นต้นมา ในปี พ.ศ. 2457 มีกฎหมายลักษณะปกครองท้องที่จึงใช้ชื่ออำเภอปากพลีเป็นชื่อทางราชการ (หน้า 14) |
|
Settlement Pattern |
พวนนิยมสร้างบ้านอยู่ใกล้ ๆ กันเป็นคุ้มในหมู่เครือญาติที่อพยพมาด้วยกัน และที่ขาดมิได้คือ การสร้างวัดเพื่อเป็นศูนย์กลางในการพบปะและทำบุญตามประเพณีพื้นบ้าน (หน้า 12,15) เรือนของพวนสมัยก่อนเป็นเรือนสูง ใต้ถุนเรือนใช้ทำประโยชน์ได้หลายอย่าง ตัวเรือนทำด้วยไม้และไม้ไผ่ จำนวนห้องขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละครอบครัว แต่ปัจจุบันนิยมสร้างบ้านสมัยใหม่ (หน้า 15) |
|
Demography |
อำเภอปากพลีมีประชากรทั้งสิ้น 26,994 คน เป็นชาย 13,324 คน เป็นหญิง 13,670 คน สำหรับประชากรพวนในอำเภอสำรวจเมื่อ พ.ศ. 2534 มีจำนวนประมาณ 14,000 คนโดยมากอยู่อำเภอเกาะหวาย (หน้า 16) |
|
Economy |
ชาวบ้านโดยมากมีอาชีพการเกษตร เช่น ทำนา ทำสวน เช่น ปลูกไผ่ตง ทำสวนผลไม้ ถั่วเหลืองและพืชหลังฤดูการเก็บเกี่ยว อาชีพอื่นเช่น ค้าขาย บ้างก็ทำงานที่กรุงเทพฯ มีอุตสาหกรรมในครัวเรือนบ้างเล็กน้อยคือ การทำไม้กวาด (หน้า 18) |
|
Social Organization |
ชาวบ้านในอำเภอปากพลีโดยทั่วไปเป็นผู้มีนิสัยใจคอสุภาพ อ่อนโยน มีความเป็นอยู่อย่างง่าย ๆ และมีความสัมพันธ์ฉันญาติพี่น้องและความเป็นเครือญาติ ความเกี่ยวดองนั้นสืบเนื่องจากการเป็นลูกหลานของบรรพบุรุษที่สืบเชื้อสายมาจากต้นตระกูลเดียวกัน (หน้า 18-19) |
|
Political Organization |
อำเภอปากพลี แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 7 ตำบล 51 หมู่บ้าน สุขาภิบาล 1 แห่งคือสุขาภิบาลเกาะหวาย และมีสภาตำบล 7 แห่ง (หน้า 18) |
|
Belief System |
ความเชื่อในชุมชน คนพวนมีความเชื่อเรื่องผีโดยเฉพาะผีประจำหมู่บ้าน ทุกหมู่บ้านจะต้องมี "ศาลปู่ตา" เชื่อว่าเป็นผู้รักษาหมู่บ้านและลูกบ้านจะสร้างไว้ทางทิศตะวันออกหรือทิศเหนือของหมู่บ้าน พวนจะมีพิธีเลี้ยงผีปู่ตาในเดือน 6 ของทุกปี นอกจากนี้ พวนยังมีความเชื่อในฮีต 12 คอง 14 ซึ่งเป็นคล้ายธรรมเนียมที่บรรพบุรุษพวนสั่งสอนลูกหลานให้ประพฤติปฏิบัติ เช่น ประเพณีกำฟ้า เป็นต้น คนพวนที่นี่มีความศรัทธายึดมั่นในพุทธศาสนา เห็นได้จากวัดวาอารามจำนวนมากตลอดจนการทำบุญในวาระต่าง ๆ ได้เข้าไปอยู่ในข้อกำหนดของคนลาวพวนในฮีต 12 คอง 14 โดยมีคำสั่งสอนที่เน้นการปฏิบัติตนอ่อนน้อมและหมั่นทำบุญทำทาน (หน้า 19-20) ประเพณีเกี่ยวกับชีวิต - การเกิด การทำคลอดหมอตำแยจะตัดสายสะดือด้วยผิวไม้รวก ตัดแล้วจะต้องใส่กระบอกไม้ไผ่ เอาเกลือโรยเล็กน้อยแล้วนำไปฝังดินเชิงบันไดบ้าน หลังจากนั้นจะมีการโกนผมไฟ - การแต่งงาน พิธีแต่งงานที่นี่จะต้องมีพิธีกินดองด้วย คือก่อนถึงวันแต่งหนึ่งวันฝ่ายเจ้าบ่าวจะต้องไปบ้านเจ้าสาวเพื่อทำพิธีเซ่นสรวง วันเดียวกันนั้นฝ่ายหญิงจะไปบ้านเจ้าบ่าวเพื่อให้ผูกข้อมือและทำขวัญเช่นเดียวกัน - ประเพณีเกี่ยวกับการตาย คนพวนในอดีตมีข้อห้ามว่าถ้าผู้นั้นตายโหง ตายท้องกลม ตายด้วยโรคห่า โบราณท่านว่าห้ามนำศพขึ้นบ้าน ต้องนำไปฝังโดยเร็วที่สุด การอาบน้ำศพจะทำเฉพาะคนธรรมดาเท่านั้น ในสมัยก่อนยังไม่มีการสร้างเมรุจึงต้องตั้งกองฟอนหรือเชิงตระกอนขึ้นเองแล้วเผาพร้อม ๆ กับโลง (หน้า 22-24) ประเพณีของลาวพวนอำเภอปากพลีในรอบปี ที่ยังคงปฏิบัติในปัจจุบัน - ประเพณีลงแขกเกี่ยวข้าว ประเพณีทานข้าวเม่าบุญข้าวเม่า ทำกันเดือนอ้ายข้างแรมไม่กำหนดแน่นอน ประเพณีนี้เป็นการรับขวัญข้าวที่กำลังออกรวง ประเพณีบุญข้าวหลาม แต่เดิมทำเพื่อให้คนเดินป่าติดตัวไปเป็นอาหารกลางวัน ประเพณีบุญข้าวจี่ ประเพณีกำฟ้า ประเพณีอาบน้ำก่อนกา เพื่อชำระล้างสิ่งสกปรกออกจากร่างกาย ทำกันในวันที่ 13 เมษายนของทุกปี - พิธีสูดเสื้อผ้า เป็นการสวดต่ออายุโดยชาวบ้านจะนำเสื้อผ้าของครอบครัวมาห่อนำไปที่วัด นิมนต์พระสวดเพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์ - ประเพณีแห่นางแมว จะทำในเดือน 5-6 เพราะฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาลจึงต้องแห่นางแมวขึ้นโดยมีความเชื่อว่าแมวเป็นสัตว์กลัวน้ำเมื่อถูกน้ำแล้วจะทำให้เทพยดาเทฝนลงมาให้มนุษย์ - ประเพณีเลี้ยงผีปู่ตาหรือพิธีเลี้ยงบ้าน จะทำในเดือน 6 กลางเดือน 6 ขึ้น 12 ค่ำและแรม 12 ค่ำเดือน 7 ณ ที่ตั้งศาลปู่ตาเพื่อเป็นการเซ่นไหว้สิ่งเคารพบูชาประจำหมู่บ้าน ประเพณีการส่งกระทง ทำขึ้นเพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์ - ประเพณีไล่ผีย่าเจียงหรือผีไม่มีญาติ ทำเพื่อไล่ภูตผีปีศาจในวันแรม 5 ค่ำเดือน 9 โดยทำที่บ้านหรือวัดในวันสารทพวน - ประเพณีสารทพวน เป็นการทำบุญในเดือน 9 ขนมประจำเทศกาลคือกระยาสารท วัตถุประสงค์ของการทำขนมกระยาสารทนั้นเชื่อว่ามีคติมาจากพราหมณ์ ซึ่งเห็นข้าวกำลังตั้งท้อง ก็เก็บเอามาทำข้าวมธุปายาสยาคูเพื่อให้เกิดสิริมงคลในนา - ประเพณีทานข้าวเปลือก ทำกันในเดือน 9 โดยชาวบ้านจะนำข้าวเปลือกไปวัดเพื่อถวายพระองค์ละ 1 ถัง - ประเพณีบุญมหาชาติ (บุญพระเวส) จะมีในเดือน 12 พิธีทำบุญลาน เริ่มทำหลังฤดูเก็บเกี่ยว โดยมากกระทำในหมู่ชาวนาที่ทำนาได้มากในปีนั้น เพื่อเป็นการแสดงการขอบคุณต่อแม่โพสพ ประเพณีประสาทผึ้ง ทำเพื่ออุทิศให้แก่ผู้ที่ตายไปแล้วอยู่ในปรโลกและจะทำเมื่อทำบุญครบ 7 วันของผู้ตาย |
|
Education and Socialization |
อำเภอปากพลี มีนโยบายพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยจัดบริการทางการศึกษาให้แก่ประชาชนทั้งในและนอกระบบโรงเรียน มีการฝึกอาชีพให้แก่ประชาชน โดยมีสถานศึกษาคือ โรงเรียนของกรมสามัญศึกษา ระดับมัธยมตอนปลาย 1 แห่ง ครู 65 คน นักเรียน 688 คน โรงเรียนระดับประถมศึกษา 23 แห่ง ครู 215 คน นักเรียน 2,347 คน โรงเรียนเอกชนระดับอนุบาล 2 แห่ง ครู 10 คน นักเรียน 128 คน สมัยก่อนยังไม่มีโรงเรียน สถาบันครอบครัว วัด และชุมชนเป็นสถานที่ให้การศึกษาเกี่ยวกับการดำเนินชีวิต ครอบครัวเป็นสถาบันแรกที่ให้การศึกษาเกี่ยวกับการดำเนินชีวิต วัดเป็นสถานที่ให้การศึกษาทางธรรม (หน้า 17) |
|
Health and Medicine |
เมื่อการแพทย์สมัยใหม่และสถานพยาบาลยังมิได้เข้ามามีบทบาทต่อชุมชนเมื่อมีอาการเจ็บไข้จะใช้ยาสมุนไพรต้มหรือบดรับประทานถ้ามีอาการมากก็เชิญหมอมาทำการรักษาแต่เนื่องด้วยชาวบ้านมีการเชื่อถือผีสางอยู่บ้างจึงรักษาทางผีสางควบคู่กับการรักษาด้วยสมุนไพรหรือรักษาทางผีสางอย่างเดียวก็มี วิธีทิ้งข้าว เด็กขนาดเล็กที่ยังรับประทานนมแม่อยู่ เมื่อร้องไห้มากจนตัวขดงอปลอบโยนอย่างไรก็ไม่หยุด พ่อแม่ของเด็กจะต้องเรียกหญิงที่เรียกว่าแม่เฒ่ามาทำพิธีทิ้งข้าว แต่ในปัจจุบันไม่ปรากฏว่ามีพิธีนี้แล้ว นอกจากนี้ยังมีการรักษาที่เรียกว่า วิธีเสี่ยงทาย โดยใช้หมอเยาโดยหมอเยาจะเชิญผีต่าง ๆ มาเพื่อทำการเสี่ยงทาย (หน้า 23) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Folklore |
การทำบุญข้าวจี่ มีเรื่องเล่าว่าในครั้งพุทธกาลมีคนใช้ของเศรษฐีชื่อนางหุณณะ ต้องทำตักน้ำ ตำข้าวทั้งกลางวันและกลางคืน อาหารที่ทำเพื่อรับประทานเองคือข้าวจี่ วันหนึ่งขณะที่ตักน้ำ นางได้พบพระพุทธเจ้าเสด็จผ่านมา นางจึงถวายข้าวจี่แด่พระองค์และพระองค์ได้เสวยต่อหน้านาง ถือว่านางได้บุญมาก ด้วยเหตุนี้ชาวนาเมื่อเก็บเกี่ยวข้าวแล้วจึงทำบุญข้าวจี่สืบต่อกันมา (หน้า 28) ลำพวน เป็นการละเล่นพื้นเมืองของลาวพวนเล่นในเทศกาลสงกรานต์และงานรื่นเริง สถานที่เล่นคือลานบ้านหรือวัดโดยจะมีพ่อเพลงแม่เพลงเป็นผู้ร้องลำพวน สำหรับเนื้อร้องจะเป็นการตอบโต้กันระหว่างหญิงชาย เนื้อหาในทำนองตัดพ้อต่อว่าในความรักที่มีต่อกันหรือร้องจีบกันก็มี (หน้า 33) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ในระยะแรก ลาวพวนจะรวมกันอยู่เฉพาะพวกพ้องของตนและนิยมแต่งงานเฉพาะในกลุ่มชาติพันธุ์ของตน มีการรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ ตลอดมา ความสำนึกในชาติพันธุ์จึงมีอยู่อย่างครบครัน ต่อมาเริ่มมีการติดต่อกันชุมชนอื่นมากขึ้น เริ่มมีการแต่งงานกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่น เช่น คนไทย คนจีนและโซ่ง เนื่องจากการรักความสงบและยึดมั่นในพระพุทธศาสนาเช่นเดียวกันจึงเป็นเหตุหนึ่งที่สามารถอยู่ร่วมกันได้ ปัจจุบันความสำนึกในชาติพันธุ์ของลาวพวนยังคงอยู่ แต่สิ่งที่กำลังจะสูญหายคือ ภาษาพวน อย่างไรก็ตามสิ่งที่ยังดำรงอยู่คือขนบธรรมเนียม วัฒนธรรมและประเพณีต่างๆ แต่ก็มีขั้นตอนและรายละเอียดต่างไปจากเดิมเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพสังคมปัจจุบัน ในด้านอาหารการกิน คนพวนจะรับประทานอาหารเช่นเดียวกับคนไทยทั่วไป แต่อาหารที่ใช้ในพิธีกรรมยังแสดงให้เห็นถึงความเป็นพวน เช่น ข้าวปุ๊น ข้าวจี่และปลาร้าซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการประกอบอาหาร ในด้านการประกอบอาชีพและการปลูกเรือนไม่แตกต่างกับคนไทยทั่วไปเนื่องจากสภาวะของสังคมที่เปลี่ยนแปลง สังคมมีความซับซ้อนมากขึ้น ตลอดจนความล่มสลายของสภาพชีวิตในชนบท คนพวนจึงรวมกลุ่มจัดตั้งชมรมไทยพวนสาขาจังหวัดต่างๆ ถึง 18 สาขาจังหวัดโดยมีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงเทพมหานคร มีการจัดงานรวมน้ำใจไทยพวนทุกปี เป็นการรวบรวมคนในกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกันเพื่อสร้างจิตสำนึกและความสามัคคีในหมู่เชื้อสายไทยพวนและนำไปสู่ความสามัคคีของสังคมไทยในส่วนรวม (หน้า 47 - 60) |
|
Social Cultural and Identity Change |
เรือนของพวน สมัยก่อนเป็นเรือนสูง ใต้ถุนเรือนใช้ทำประโยชน์ได้หลายอย่าง ตัวเรือนทำด้วยไม้และไม้ไผ่ จำนวนห้องขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละครอบครัวแต่ปัจจุบันสภาพสังคมเปลี่ยนแปลงไปทำให้การปลูกเรือนนิยมสร้างแบบสมัยใหม่ (หน้า 15) การแต่งงาน พิธีแต่งงานที่นี่จะต้องมีพิธีกินดองด้วย คือก่อนถึงวันแต่งหนึ่งวันฝ่ายเจ้าบ่าวจะต้องไปบ้านเจ้าสาวเพื่อทำพิธีเซ่นสรวง วันเดียวกันนั้นฝ่ายหญิงจะไปบ้านเจ้าบ่าวเพื่อให้ผูกข้อมือและทำขวัญเช่นเดียวกัน แต่ปัจจุบันรายละเอียดในพิธีบางประการจะตัดออกไปเนื่องจากเศรษฐกิจและกาลเวลาไม่เอื้ออำนวย (หน้า 22) ในอดีตนั้นเมื่ออาบน้ำศพแล้วจะไม่มีการรดน้ำศพอีก แต่ปัจจุบันมีการพบปะกับกลุ่มต่าง ๆ มากขึ้นจึงต้องเพิ่มการรดน้ำศพเข้าไปด้วย อีกทั้งการเผาศพในอดีตยังไม่มีการสร้างเมรุขึ้นมาในวัดเหมือนปัจจุบัน จึงต้องสร้างกองฟอนหรือเชิงตะกอนขึ้นเองแล้วเผาไปพร้อมๆ กับโลงศพ (หน้า 24) ประเพณีบุญข้าวหลาม แต่เดิมทำเพื่อให้คนเดินป่าติดตัวไปเป็นอาหารกลางวันปัจจุบันประเพณียังคงทำกันอยู่ที่จะเปลี่ยนไปคือ การเตรียมกระบอกไม้ไผ่ สมัยดั้งเดิมชาวบ้านจะตัดลำไผ่มาทำปล้องข้าวหลามเอง แต่ปัจจุบันนิยมซื้อกระบอกข้าวหลามสำเร็จรูปบางบ้านก็เผาเองบ้างก็ซื้อจากแม่ค้าที่ทำไว้ขาย (หน้า 28) |
|
Map/Illustration |
- แผนที่เส้นทางการอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย(13) - คลองท่าแดง วัดท่าแดง อำเภอปากพลี จังหวัดนครนายก(38) - บริเวณคลองท่าแดง ที่ลาวพวนอพยพมาเริ่มแรก(39) - วัดท่าแดง อำเภอปากพลี จังหวัดนครนายก(40) - ศาลเจ้าปู่เจ้าตา วัดท่าแดง(41) - ศาลเจ้าปู่เจ้าตา วัดท่าแดง(42) - สภาพชุมชนลาวพวน(43) - ตลาดสุขาภิบาลเกาะหวาย(44) - ตลาดสุขาภิบาลเกาะหวาย(45) - ศาลปู่ตา วัดเกาะหวายอำเภอปากพลี จังหวัดนครนายก(61) - ทุ่งนาหลังการเก็บเกี่ยว(62) - ทุ่งนาหลังการเก็บเกี่ยว(63) - ที่ทำการชมรมไทยพวน(64) - ชุมชนลาวพวน(65) |
|
|