|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลาวเวียง,ภาษา,มานุษยวิทยาวัฒนธรรม,อุตรดิตถ์ |
Author |
กิตติภัต นันท์ธนะวานิช |
Title |
การศึกษามานุษยวิทยาวัฒนธรรมของชุมชนลาวเวียง กรณีศึกษา หมู่บ้านหาดสองแคว ตำบลหาดสองแคว อำเภอตรอน จังหวัดอุตรดิตถ์ |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ลาวเวียง ลาวกลาง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
307 |
Year |
2545 |
Source |
ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาพัฒนาชนบทศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล |
Abstract |
วัฒนธรรมชุมชนลาวเวียง หมู่บ้านหาดสองแคว ตำบลหาดสองแคว อำเภอตรอน จังหวัดอุตรดิตถ์ ระบบเศรษฐกิจของชุมชนมีการเปลี่ยนจากการผลิตเพื่อยังชีพสู่ระบบการผลิตเพื่อขาย มีวิถีชีวิตวัฒนธรรมทางการผลิตที่ผูกพันอยู่กับการทำนาเพาะปลูกข้าวเป็นอาชีพหลัก ระบบครอบครัวและเครือญาติภายในชุมชนมีพัฒนาการจากระบบ ครอบครัวขยายมาสู่ระบบครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น เป็นผลสืบเนื่องจากการเพิ่มของประชากรและการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ทางเครือญาติแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะคือ เครือญาติโดยสายโลหิตและเครือญาติโดยการสมรส ชุมชนมีระบบความเชื่อทางพุทธศาสนาผสมผสานกับความเชื่อเรื่องผีบรรพบุรุษ
ระบบเสียงภาษาลาวเวียง ประกอบด้วยหน่วยเสียงพยัญชนะต้นเดี่ยว 20 หน่วยเสียง สามารถปรากฏเป็นพยัญชนะท้ายคำได้ 9 หน่วยเสียงและมีพยัญชนะควบกล้ำ 2 หน่วยเสียง หน่วยเสียงสระ 21 หน่วยเสียง หน่วยเสียงวรรณยุกต์มีการแตกตัวเป็นสามและมีจำนวนหน่วยเสียง 5 หน่วยเสียง ลักษณะโครงสร้างพยางค์สามารถแบ่งได้เป็น 3 ลักษณะ ได้แก่ โครงสร้างพยางค์เดี่ยว โครงสร้างสองพยางค์และโครงสร้างหลายพยางค์
ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของชุมชนลาวเวียง หมู่บ้านหาดสองแควมี 2 ลักษณะได้แก่ ปัจจัยภายนอก เช่น การเข้ามาของเส้นทางคมนาคมขนส่ง ไฟฟ้า การแนะนำแผนทางการผลิตในรูปแบบใหม่โดยเจ้าหน้าที่และหน่วยงานภาครัฐตลอดจนการเผยแพร่เทคโนโลยีสมัยใหม่ในกระบวนการผลิต ปัจจัยภายใน ได้แก่ อัตราการขยายตัวของประชากรและคุณภาพของพื้นที่ทำกินมีความอุดมสมบูรณ์ลดลง |
|
Focus |
ศึกษาระบบเสียงลาวเวียงและวัฒนธรรม ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรมชุมชนลาวเวียง หมู่บ้านหาดสองแคว ตำบลหาดสองแคว อำเภอตรอน จังหวัดอุตรดิตถ์และปัจจัยที่ส่งผล |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ระบบเสียงภาษาลาวเวียง ประกอบด้วยหน่วยเสียงพยัญชนะต้นเดี่ยว 20 หน่วยเสียง สามารถปรากฏเป็นพยัญชนะท้ายคำได้ 9 หน่วยเสียงและมีพยัญชนะควบกล้ำ 2 หน่วยเสียง หน่วยเสียงสระ 21 หน่วยเสียง หน่วยเสียงวรรณยุกต์มีการแตกตัวเป็นสามและมีจำนวนหน่วยเสียง 5 หน่วยเสียง ลักษณะโครงสร้างพยางค์สามารถแบ่งได้เป็น 3 ลักษณะ ได้แก่ โครงสร้างพยางค์เดี่ยว โครงสร้างสองพยางค์และโครงสร้างหลายพยางค์ |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
พงศาวดารล้านช้างกล่าวว่า ประมาณ พ.ศ. 1272 "ขุนบูลมหรือพระเจ้าพีล่อโก๊ะ" ได้เสวยราชย์เป็นกษัตริย์ลาวราชวงศ์หนองแสพระองค์ได้ขยายอาณาจักรลาวหนองแสออกไปอย่างกว้างขวาง โดยส่งพระโอรสทั้ง 7 ไปสร้างบ้านแปลงเมืองขึ้นใหม่ในดินแดนแหลมทองเพื่อขยายอาณาจักร ต่อมาในปี พ.ศ.1797 "คุปไลข่าน" กษัตริย์ชนชาติมองโกลแห่งราชวงศ์หงวน ได้ใช้อำนาจทางทหารแผ่ขยายลงมาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ เข้าตีอาณาจักรลาวหนองแส จนอาณาจักรลาวหนองแสสูญเสียเอกราชแก่จีน
ชนชาติลาวจึงพากันอพยพมาทางใต้ในดินแดนสุวรรณภูมิหรือแหลมทองโดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ได้แก่ กลุ่มแม่น้ำโขง
กลุ่มแม่น้ำคงและสายแม่น้ำแดง กลุ่มที่อพยพมาทางแม่น้ำโขงต่อมาได้แยกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่อพยพมาตั้งตัวเป็นอิสระในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาเรียกตนเองว่า "ไทหรือไท้" กลุ่มที่อพยพสู่ลุ่มแม่น้ำโขงเรียกตนเองว่า "ลาว"
ในปี พ.ศ. 2321 อาณาจักรล้านเพีย สามารถรวบรวมอาณาจักรล้านาและล้านช้างเข้ามาเป็นสหราชอาณาจักรเดียวกันเรียกว่า
"พระราชอาณาจักรสยามหรือประเทศสยาม" กระทั่งปี พ.ศ. 2436 ฝรั่งเศสได้ยึดอาณาจักรล้านช้างทั้ง 3 รัฐเป็นอาณานิคม
ได้แก่ ล้านช้างหลวงพระบาง เวียงจันทน์และล้านช้างจำปาศักดิ์ซึ่งเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของอาณาจักรสยาม จนกระทั่ง พ.ศ. 2497 ฝรั่งเศสถอนตัวออกจากอินโดจีนตามสัญญาเจนีวาทำให้ลาวได้รับเอกราช ... การอพยพย้ายถิ่นของชนลาวเวียงจันทน์
แบ่งได้เป็น 2 ช่วงหลักได้แก่ สมัยกรุงธนบุรี และสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ (หน้า 52-54,58 )
ชุมชนลาวเวียงหมู่บ้านหาดสองแคว ตำบลหาดสองแคว อำเภอตรอน จังหวัดอุตรดิตถ์ บรรพบุรุษของตนได้ถูกกวาดต้อนมา
จากเมืองลาวเวียงจันทน์ในฐานะเชลยศึก เริ่มแรกถูกส่งเข้ามาตั้งหลักแหล่งที่หมู่บ้านกองโค ตำบลคอรุม อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ในปัจจุบัน เมื่อชุมชนขยายใหญ่ขึ้นจึงขยายจากที่ตั้งเดิมขึ้นไปทางทิศเหนือตามแม่น้ำน่านจนถึงเขตบ้านแก่งจนเกิด
เป็นชุมชนเล็กๆ ได้แก่บ้านวังสะโม บ้านหาดสองแคว บ้านเด่นสำโรงและบ้านวังแดง เนื่องจาก ที่ตั้งของหมู่บ้านหาดสองแควเป็นทางออกของลำน้ำสองสายได้แก่ แม่น้ำน่านและคลองตรอนมาบรรจบกันจึงเรียกว่า "สองแคว" และที่ตั้งของหมู่บ้านเกิดเป็นสันทรายยื่นออกมาจนเป็นหาดทรายแนวยาวตลอดหมู่บ้าน จึงเรียกบริเวณนี้ว่า "บ้านหาดสองแคว" (หน้า 65) |
|
Settlement Pattern |
การตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนแบบรวมตัวกันแบบจับกลุ่มเรียงเดี่ยวไปตามแนวยาวของลำน้ำ (หน้า 80)
รูปแบบเรือนลาวเวียงบ้านหาดสองแควสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทตามลักษณะการใช้สอย ได้แก่
- เรือนลักษณะกึ่งถาวร เช่น เรือนเครื่องผูกแบบอเนกประสงค์สร้างแบบง่าย ๆ จะมีเพียง 2 ห้อง ตัวเรือนประกอบด้วย เรือนใหญ่มีระเบียง ครัวไฟซึ่งจะอยู่ในแนวระเบียง วัสดุที่ใช้โดยมากเป็นไม้ไผ่และหวาย ฝาเรือนเป็นฝาขัดแตะ พื้นเรือนเป็นพื้นฟากทำจากไม้ไผ่สีสุก หน้าต่างทำเป็นแผงเวลาเปิดจะใช้ไม้ค้ำยัน ส่วนหลังคามุงด้วยตับจากหรือแฝก
- เรือนลักษณะถาวร ได้แก่ เรือนเครื่องสับ เป็นเรือนไม้จริงหรือเรือนฝากระดาน โดยมากมีผังพื้นเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า จัดเป็นเรือนประเภทเรือนระเบียงหรือเรือนเกย มีลักษณะเป็นเรือนเดี่ยวใต้ถุนสูง มีหลังคาทรงจั่วแต่ไม่สูงแบบเรือนสยามภาคกลาง มีทั้งการมุงหลังคาด้วยแป้นเกล็ดและแฝก ตัวเรือนประกอบด้วย เรือนใหญ่นิยมมี 3 ช่วงเสา ระเบียงหรือเกย ชานแดด เรือนครัวและพื้นที่ใต้ถุน (หน้า 80-81 )
ยุ้งของชาวบ้านหาดสองแควมี 2 แบบได้แก่ แบบสร้างเป็นอาคารไม้ มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมกว้างประมาณ 2 เมตร ยกพื้นสูงห่างจากพื้นดินประมาณ 1.50 เมตรฝาผนังทำจากไม้ไผ่สานขัดแตะทาด้วยมูลวัวหรือควายผสมดินหรือาจใช้ฝากระดานทึบทั้ง 4 ด้าน ทั้งนี้ขึ้นกับฐานะของเจ้าของเรือน แบบที่สร้างด้วยไม้ไผ่สานจะมีลักษณะรูปทรงกระบอก ตรงกลางป่องเล็กน้อยสูงตั้งแต่ 1 -3 เมตรชาวบ้านเรียกยุ้งแบบนี้ว่า "กระพ้อม" (หน้า 158) |
|
Demography |
ลาวเวียงบ้านหาดสองแควจัดเป็นกลุ่มชาติพันธุ์มนุษย์ผิวเหลืองหรือมองโกลอยด์ใต้ มีจำนวนทั้งสิ้น 423 หลังคาเรือน มีประชากรจำนวน 1,674 คน จำแนกเป็นชาย 775 คน หญิง 889 คน หลังคาเรือนเฉลี่ยต่อประชากร อัตราส่วน 1 หลังคาเรือนต่อประชากร 3-4 คน (หน้า 82-83) โรงเรียนบ้านหาดสองแคว มีข้าราชการครู 18 คน นักการ 1 คน เด็กนักเรียน 306 คน (หน้า 89) |
|
Economy |
ในอดีตเป็นการผลิตเพื่อยังชีพ มีลักษณะความผูกพันอยู่กับการผลิตทางการเกษตรภายในครัวเรือนและชุมชนเป็นหลัก ได้แก่ การทำนาปลูกข้าว การปลูกพืชไร่บางชนิดรวมถึงการปลูกพืชยืนต้นจำพวกไม้ผลและเลี้ยงสัตว์ เช่น โคเนื้อ ไก่ เป็นต้น โดยมากเป็นการผลิตเพื่อใช้ภายในครัวเรือนและชุมชน ส่วนที่เหลือจะนำไปแลกเปลี่ยนหรือขายให้กับชุมชนข้างเคียง โดยมีปัจจัยการผลิตที่สำคัญ ได้แก่ ที่ดิน แรงงาน เทคโนโลยีการผลิตขั้นพื้นฐาน และทุน ซึ่งแต่เดิมมิได้จัดอยู่ในรูปแบบการสะสมทุนในลักษณะที่เป็นเงินตรา แต่อยู่ในรูปแบบของการนำผลิตผลหรือเมล็ดพันธุ์ที่เหลือจากการบริโภคไปขายหรือแลกเปลี่ยนกันภายในและภายนอกชุมชน โดยเฉพาะสิ่งของเครื่องใช้ที่ไม่สามารถผลิตได้ในชุมชน
ต่อมาเมื่อมีระบบการผลิตเพื่อการค้าที่มีเงินเป็นปัจจัยในการกำหนดราคาสินค้ามีตลาดเป็นแหล่งแลกเปลี่ยนเกิดขึ้นส่งผลให้ชาวบ้านต้องใช้ความพยายามในการเพิ่มผลผลิตเพื่อส่งออกให้กับตลาดภายนอกชุมชนมากขึ้น (หน้า 133,160) |
|
Social Organization |
ความสัมพันธ์ของกลุ่มชาวบ้านตั้งอยู่บนพื้นฐานของระบบเครือญาติ มีการนับญาติทั้งฝ่ายบิดามารดาและมีการนับถือบรรพบุรุษร่วมกัน สามารถแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะคือเครือญาติโดยสายโลหิตและเครือญาติโดยการสมรส รูปแบบครอบครัวในอดีตจะมีลักษณะที่เป็นวงจรครอบครัวเดี่ยวมาสู่ครอบครัวขยายจากนั้นจะเริ่มเป็นครอบครัวเดี่ยวอีกครั้งที่มีการพัฒนาหมุนเวียนต่อเนื่อง ครอบครัวเดี่ยวจะมีสมาชิกเฉลี่ย 5 - 6 คน ผู้เป็นพ่อจะทำหน้าที่หลักเป็นส่วนใหญ่ (หน้า 85,187) |
|
Political Organization |
มีองค์กรที่เป็นสถาบันการปกครองส่วนท้องถิ่นในระดับหมู่บ้านและตำบลทั้งอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ กำนันและผู้ใหญ่บ้านต้องเป็นผู้ทำหน้าที่ติดต่อประสานงานระหว่างชุมชนกับทางราชการโดยตรงอยู่เสมอ แต่จะมีการประสานร่วมมือ
กับผู้นำอย่างไม่เป็นทางการในชุมชนด้วย (หน้า 84) |
|
Belief System |
พิธีกรรม
- พิธีขอพื้นที่ทำกินจากผีบรรพบุรุษหรือผีปู่ตา เป็นการขออนุญาตให้ผีบรรพบุรุษซึ่งเป็นเจ้าของหมู่บ้านทราบถึงเจตนาของตนและครอบครัวก่อน โดยหัวหน้าครอบครัวจะกล่าวในเชิงขออนุญาตประกอบกิจกรรมทางการเกษตรในพื้นที่ เมื่อย่างเข้าฤดูฝนในเดือน 6 จะเริ่มทำการเพาะปลูกข้าวไร่ ก่อนที่จะทำการเพาะปลูกจะทำพิธีเลี้ยงผีบรรพบุรุษ เพื่อขอบคุณที่ช่วยดูแลและปกป้องรักษาผลผลิตในไร่ให้งอกงาม
- พิธีเอาฝุ่นเข้านา พิธีกรรมจะเริ่มต้นในการเพาะปลูกข้าวในวันขึ้น 3 ค่ำเดือน 3 เชื่อว่าจะทำให้ได้ผลผลิตข้าวดีออกรวงงามเก็บเกี่ยวกินกันไม่มีวันหมดและจำนวนข้าวจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
- พิธีแฮกนา จัดกันในเดือน 6 วันข้างขึ้นหรือข้างแรม 1 ค่ำ 3 ค่ำ 6 ค่ำ 11 ค่ำถึง 13 ค่ำวันใดวันหนึ่ง เชื่อว่าเป็นการไถนาครั้งแรกเพื่อเอาฤกษ์ก่อนการไถนาเพื่อหว่านกล้าและปักดำ
- พิธีกรรมสู่ขวัญควาย เดือน 8 เป็นการขอขมาและรำลึกถึงบุญคุณของควาย
- พิธีตาแฮก จัดในเดือน 8 เช่นกัน อาจถือฤกษ์วันเดียวกับพิธีสู่ขวัญควายก็ได้ โดยจะจัดขึ้นในบริเวณแปลงแฮกก่อนเวลาเที่ยงวันเพื่อขอให้รักษาไร่นา ให้ต้นข้าวออกรวงงามใหญ่อย่าให้แมลงมากัดแทะ
- พิธีกรรมทำขวัญแม่โพสพ จัดขึ้นประมาณเดือน 11 เวลาเย็นมีการกล่าวคำเรียกขวัญแม่โพสพ เมื่อย่างเข้าเดือน 12 หัวหน้าครัวเรือนจะประกอบพิธีเกี่ยวกกแฮก ในพิธีจะไม่มีเครื่องบูชามีแต่คำกล่าวในขณะที่เกี่ยวกกแฮก (หน้า 142 - 145,149,153)
ประเพณีการเกิด ผู้เป็นมารดาจะละเว้นการกินอาหารที่เกิดโทษหรืออันตรายที่จะเกิดกับลูกที่อยู่ในครรภ์และปฏิบัติตัวตามความเชื่อที่ได้สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ เช่น ห้ามกินของที่มีรสชาติจัดเพราะเชื่อว่าจะทำให้เด็กในครรภ์ร้อนเนื้อร้อนตัว ห้ามกินเนื้อวัวควายเพราะเชื่อว่าจะทำให้เกิดเมือกไขมันตามตัวเด็กเมื่อคลอดออกมาจะทำความสะอาดยาก ห้ามกินสัตว์ที่ฟักไม่เป็นตัว เช่นไข่ข้าวหรือลูกวัว เพราะเชื่อว่าจะทำให้ลูกในท้องเสียชีวิต ห้ามนั่งขวางบันได ขวางประตูเพราะเชื่อว่าลูกที่คลอดออกมาจะมีความบกพร่องทางจิต เป็นต้น (หน้า 215)
ประเพณีการบวช เกณฑ์การบวชกำหนดอายุการบวชเรียนเริ่มตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไป โดยมีระยะเวลาการถือครองบรรพชิตตั้งแต่ 7 วัน 9 วัน 15 วันหรือ 1 เดือน เพื่อเป็นการทดแทนพระคุณของพ่อแม่ก่อนที่จะมีเหย้าเรือน
ประเพณีการแต่งงาน จะมีการเลือกคู่ครอง 2 ลักษณะได้แก่ พ่อแม่และญาติผู้ใหญ่จะเป็นผู้จัดหาให้ ในลักษณะที่สองจะเป็นการชอบพอรักใคร่กันเองระหว่างชายหญิง ค่าสินสอดจะเป็นเงินที่อาจจะเริ่มต้นตั้งแต่ 10 บาทและต้องลงท้ายด้วย 4 เสมอเพื่อเป็นค่าบูชาให้แก่ผีบรรพบุรุษของครอบครัวฝ่ายหญิง โดยมากพิธีแต่งงานจะจัดที่บ้านของฝ่ายหญิง เนื่องจากอุดมคติของรูปแบบการตั้งถิ่นฐานหลังการแต่งงานจะนำเอาฝ่ายชายเข้ามาอยู่ร่วมกับครอบครัวฝ่ายหญิง
ประเพณีงานศพ หากยังไม่สามารถบรรจุศพได้ไม่ว่ากรณีใดจะต้องจุดตะเกียงตามไฟที่ปลายเท้าของศพผู้ตายพร้อมกับนำผ้าขาวมาคลุมศพ พิธีศพโดยมากจะจัดกันที่บ้านอย่างน้อย 3 วัน ขณะที่เผาศพ ลูกหลานของผู้ตายจะนำผ้าขาวที่คลุมโลง โยนข้ามโลงศพไปมา 3 ครั้งแล้วนำผ้าดังกล่าวถวายพระสงฆ์ในพิธีต่อไป หลังจากนั้น 3 วันลูกหลานจะมาทำพิธีเก็บกระดูกแล้วนิมนต์พระสงฆ์มา "สวดบังสุกุลตาย" แล้วช่วยกันยกผ้าขาวที่มีเถ้ากระดูกของผู้ตายให้หันกลับมาทางทิศตะวันออกเพื่อพระสงฆ์จะได้สวด "บังสุกุลเป็น" ซึ่งเป็นการส่งวิญญาณผู้ตายให้ไปเกิดใหม่ จากนั้นจะเก็บกระดูกผู้ตายไว้ในโกศไม้จำลอง ขวดแก้วหรือห่อด้วยผ้าขาวเพื่อนำไปบรรจุเจดีย์หรือนำไปบูชาสักการะที่บ้านต่อไป |
|
Education and Socialization |
การศึกษาของชุมชนลาวเวียงหมู่บ้านหาดสองแควปัจจุบันมี 2 ประเภท ได้แก่
- การศึกษาในระบบโรงเรียน ชื่อโรงเรียนบ้านหาดสองแคว เป็นโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษา ทำการสอน ระดับก่อนประถมศึกษา ประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษา
- การศึกษานอกระบบโรงเรียน มี 1 แห่งคือศูนย์การเรียนเฉลิมพระเกียรติ มีกรมการศึกษานอกโรงเรียนเป็นผู้ดำเนินการ เป็นกิจกรรมทางการศึกษาที่ไม่มีรูปแบบโครงสร้างแน่นอน (หน้า 89) |
|
Health and Medicine |
อดีตชาวบ้านใช้วิธีการรักษาพยาบาลแบบแผนโบราณ หมอพื้นบ้านที่กระจายอยู่ตามชุมชนต่าง ๆ ได้แก่
- หมอเป่า ใช้วิธีการรักษาโดยใช้คาถาอาคมเสกเป่าลมในปากหรือเสกเป่าคาถาอาคมใส่วัตถุสิ่งของ
- หมอน้ำมัน ใช้น้ำมันที่ได้จากพืชและสัตว์ในการรักษา เช่น มะพร้าว งาดำ เลียงผา เป็นต้น
- หมอยา ใช้ยาสมุนไพรในการรักษาโรค หมอตำแย เป็นหมอที่ดูแลรักษาเกี่ยวกับการตั้งครรภ์และคลอดลูก
ปัจจุบันชาวบ้านโดยมากเข้ารับการรักษาพยาบาลที่สถานีอนามัยประจำตำบล เนื่องจากสะดวกในการเดินทางและอาการของโรคหายขาดอย่างรวดเร็ว หากมีอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยจะหาซื้อยาแผนปัจจุบันมารับประทานเอง แต่ก็มีชาวบ้านจำนวนหนึ่งที่ใช้การรักษาโดยใช้ยาสมุนไพรกับหมอพื้นบ้าน (หน้า 90-92) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
รูปแบบเรือนลาวเวียงบ้านหาดสองแคว ดูหัวข้อ Settlement Pattern |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
อดีตชาวบ้านหาดสองแควใช้วิธีการรักษาพยาบาลแบบแผนโบราณโดยหมอพื้นบ้าน ที่กระจายอยู่ตามชุมชนต่าง ๆ ปัจจุบันชาวบ้านโดยมากเข้ารับการรักษาพยาบาลที่สถานีอนามัยประจำตำบล เนื่องจากสะดวกในการเดินทางและอาการของโรคหายขาดอย่างรวดเร็ว (หน้า 90-92)
ในอดีตเป็นการผลิตเพื่อยังชีพ มีลักษณะความผูกพันอยู่กับการผลิตทางการเกษตรภายในครัวเรือนและชุมชนเป็นหลัก ต่อมาเมื่อมีระบบการผลิตเพื่อการค้าที่มีเงินเป็นปัจจัยในการกำหนดราคาสินค้ามีตลาดเป็นแหล่งแลกเปลี่ยนเกิดขึ้นส่งผลให้ชาวบ้านต้องใช้ความพยายามในการเพิ่มผลผลิตเพื่อส่งออกให้กับตลาดภายนอกชุมชนมากขึ้น (หน้า 133,160)
ปัจจุบันการเกิดของชาวบ้านหาดสองแควเปลี่ยนแปลงมาก เนื่องจากความเจริญทางการแพทย์และสาธารณสุข (หน้า 219)
ปัจจุบันการแต่งงานของชาวบ้านหาดสองแควได้เปลี่ยนไปตามสภาพทางเศรษฐกิจทุนนิยม คนหนุ่มสาววัยแรงงานเข้าไปหางานหรือศึกษาเล่าเรียนในเมืองใหญ่ ทำให้ได้มีโอกาสใช้ชีวิตและพบปะกับบุคคลนอกหมู่บ้านส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทัศนคติในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นทัศนะคติของการปฏิบัติตัวกับเพศตรงข้ามในการเข้าหาสังคม หรือทัศนคติของการเลือกคู่ครอง (หน้า 228 - 229) |
|
Map/Illustration |
ตาราง
- แสดงจำนวนร้อยละของประชากร( 83)
- แสดงรายชื่อกำนันหาดสองแคว(85)
- แสดงจำนวนคุ้มเรือน(85)
- แสดงจำนวนนักเรียนโรงเรียนบ้านหาดสองแคว(89)
- แสดงหน่วยเสียงพยัญชนะที่พบในภาษาลาวเวียง(93)
- แสดงการปรากฏร่วมกันของหน่วยเสียงพยัญชนะต้น หน่วยเสียงควบกล้ำและหน่วยเสียงสระที่พบในภาษาลาวเวียง(102)
- แสดงหน่วยเสียงสระที่พบในภาษาลาวเวียง(103)
- แสดงการปรากฏร่วมกันของหน่วยเสียงสระ หน่วยเสียงพยัญชนะท้ายที่พบในภาษาลาวเวียง(113)
- แสดงคำศัพท์ทดสอบหน่วยเสียงวรรณยุกต์(114)
- แสดงหน่วยเสียงวรรณยุกต์ที่พบในภาษาลาวเวียง(115)
- แสดงการปรากฏร่วมกันของหน่วยเสียงวรรณยุกต์กับคำพยางค์เป็นและพยางค์ตายที่พบในภาษาลาวเวียง(120)
- แสดงการปรากฏร่วมกันของโครงสร้างพยางค์กับหน่วยเสียงวรรณยุกต์ที่พบในภาษาลาวเวียง(132)
แผนภาพ
- แสดงที่ตั้งจังหวัดอุตรดิตถ์และอำเภอตรอน(300)
- แสดงที่ตั้งหมู่บ้านหาดสอง ตำบลหาดสองแคว
อำเภอตรอน จังหวัดอุตรดิตถ์ (301)
แผนภูมิ
- แสดงกรอบความคิดในการศึกษา(43)
- แสดงโครงสร้างการบริหารคณะกรรมการหมู่บ้านหาดสองแคว(86)
- แสดงคำเรียกชื่อกลุ่มเครือญาติของชาวบ้านหาดสองแคว(195) |
|
|