|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลาหู่,มูเซอดำ,มูเซอเหลือง,การรักษาเอกลักษณ์,พรมแดนชาติพันธุ์,เชียงราย |
Author |
อธิตา สุนทโรทก |
Title |
มูเซอดำมูเซอเหลือง การรักษาเอกลักษณ์และพรมแดนชาติพันธุ์ |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ลาหู่ ลาหู่ ละหู่ ลาฮู,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
115 |
Year |
2539 |
Source |
หลักสูตรสังคมวิทยาและมานุษยวิทยามหาบัณฑิต คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ |
Abstract |
มูเซอดำและมูเซอเหลืองที่บ้านบาหลา มีเส้นทางการอพยพที่ต่างกันก่อนที่จะมาอาศัยอยู่ร่วมกัน เป็นผลให้ทั้งสองกลุ่มชนไม่ค่อยมีความผูกพันกันมากนัก นอกจากนั้นยังมีความต่างด้านศาสนา ค่านิยม พิธีกรรม มาตรฐานทางศีลธรรม เป็นผลให้กลุ่มคนทั้งสองมีการแบ่งพรมแดนทางชาติพันธุ์ |
|
Focus |
ศึกษา เปรียบเทียบการรักษาเอกลักษณ์การรักษาพรมแดนทางชาติพันธุ์ระหว่างมูเซอดำและมูเซอเหลืองในบริบทการพัฒนาของรัฐและศึกษาที่บ้านบาหลา อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย (หน้า 1) |
|
Ethnic Group in the Focus |
มูเซอดำ( Lahu Na หรือ Black Lahu ) และมูเซอเหลือง( Lahu Shi หรือ Yellow Lahu ) (หน้า 15) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษามูเซอจัดอยู่ในกลุ่มโลโลซึ่งเป็นสาขาย่อยของตระกูลภาษาธิเบต - พม่า (หน้า 34) แต่มีชาวบ้านในหมู่บ้านไม่กี่คนที่พูดภาษาไทยได้ดีบางคนฟังภาษาไทยไม่เข้าใจแต่พูดไม่ค่อยได้ (หน้า16) |
|
Study Period (Data Collection) |
เดือนกรกฎาคม พ.ศ.2538 ถึงเดือนมกราคม พ.ศ.2539 |
|
History of the Group and Community |
มูเซอในประเทศไทย จากหลักฐานลายลักษณ์อักษรที่สอดคล้องกันทั้งที่เป็นภาษาต่างประเทศและภาษาไทย ปรากฎว่า มูเซอ ได้อพยพเข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่พ.ศ.2323 (หน้า 40) สามารถจำแนกได้เป็น 7 กลุ่มดังนี้ มูเซอดำ มูเซอเฌเล มูเซอแดง มูเซอเหลืองบาหลา มูเซอเหลืองบาเกียว มูเซอล่าบ้าและมูเซอกุเลา ทั้งหมดนี้อาศัยอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงรายแม่ฮ่องสอน ตากและกำแพงเพชร โดยมีมูเซอแดงเป็นกลุ่มแรกที่อพยพเข้ามาในไทยตามด้วยมูเซอเฌเลและมูเซอเหลืองบาเกียว หลังจากนั้นประมาณปี พ.ศ.2497 มูเซอดำจึงอพยพเข้ามาในไทยและประมาณ พ.ศ.2513 ก็มีมูเซอดำ มูเซอเหลืองบาหลา และมูเซอเหลืองบาเกียวเข้ามาในไทยอีกระลอกหนึ่งเนื่องจากการสู้รบในพม่าและในปี พ.ศ.2525 มีการอพยพของมูเซอจากพม่าเข้ามาในไทยครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง (หน้า 41) |
|
Settlement Pattern |
เป็นหมู่บ้านคริสต์ ในหมู่บ้านมีโบสถ์สองแห่ง เป็นของมูเซอดำและมูเซอเหลืองกลุ่มละหนึ่งแห่ง บ้านเรือนถูกแบ่งเป็นกลุ่มๆ ตามถนนในหมู่บ้าน บ้านของมูเซอดำและมูเซอเหลืองอยู่ปะปนกัน รูปทรงบ้านเรือนมีหลายแบบ มีทั้งยกพื้นสูงและปลูกติดพื้นดิน บางหลังก็ก่ออิฐโบกปูนหลังคามุงกระเบื้อง บางหลังก็เป็นเรือนไม้ยกพื้นสูง บางหลังก็เป็นเรือนฝาไม้ไผ่หลังคาใบหญ้าหรือสังกะสี บ้านทุกหลังมีรั้วกั้น ภายในรั้วนอกจากมีเรือนนอนแล้ว ยังมียุ้งฉาง คอกหมู คอกควายและส้วม บางหลังก็มีเรือนครัวซึ่งเป็นเรือนพื้นติดดินแยกออกมาอีกหลังหนึ่ง บ้านที่มีรูปทรงแบบบ้านในเมืองส่วนใหญ่เป็นของมูเซอดำ (หน้า 63) |
|
Demography |
จำนวนประชากรมูเซอในประเทศไทยเมื่อกลางปี พ.ศ.2526 (ค.ศ.1983) มีประมาณ 40,000 คนและ 85%ของจำนวนนี้อยู่ในจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย มูเซอดำได้ย้ายจากดอยตุงเข้ามาในเขตอำเภอแม่สรวย ประมาณปี พ.ศ.2522 ประมาณ 200 ครอบครัว มีการย้ายไปตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ต่าง ๆ ประมาณปีพ.ศ. 2534 มีประมาณ 20 กว่าครอบครัวที่ย้ายมาที่บ้านบาหลาโดยซื้อที่ดินจากมูเซอเหลือง (หน้า 41, 60-61) |
|
Economy |
มีการเพาะปลูกไร่เลื่อนลอย ปลูกข้าว ฝิ่นและข้าวโพดเป็นพืชหลัก แต่ปัจจุบันไม่ทำไร่เลื่อนลอยและมิได้เพาะปลูกเพื่อบริโภคอย่างเดียวแต่ได้ปลูกเพื่อขายด้วย นอกจากนี้ ยังมีการเลี้ยงสัตว์ ทุกครัวเรือนเลี้ยงไก่ หมู บ้างก็เลี้ยงไว้ขาย เศรษฐกิจในหมู่บ้านมี 2 แบบคือการแลกเปลี่ยนสินค้าบริการและการค้าขายแบบใช้เงิน การแลกเปลี่ยนสินค้าบริการ ใช้เฉพาะภายในหมู่บ้าน ได้แก่ การสีข้าวและการจ้างผสมพันธุ์หมู ส่วนการค้าขายแบบใช้เงินซึ่งมีการค้าหลายชนิด เช่น การขายพืชผลในไร่ การขายหมูและการทอผ้าทำย่าม การรับจ้างรับส่งขนของ บางคนก็ออกไปทำงานนอกหมู่บ้าน (หน้า 74-77) |
|
Social Organization |
สังคมมูเซอไม่มีการสืบสายตระกูลบรรพบุรุษและมีเครือญาติไม่สลับซับซ้อนนับญาติเพียงแค่ 3 ชั่วอายุคน สายสัมพันธ์ของเครือญาติไม่ผูกพันแน่นแฟ้นเหมือนกลุ่มชาติพันธุ์อื่น และมิได้ตั้งอยู่บนหลักการของการสืบสายตระกูลบรรพบุรุษของฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่ง (หน้า 49) ลักษณะครอบครัวของมูเซอเหลืองและมูเซอดำยังคงรูปแบบเดิมเหมือนมูเซอทั่วไป คือ สมาชิกครอบครัวประกอบด้วย พ่อ แม่ ลูกบางครอบครัวก็ประกอบด้วยพ่อ แม่ ลูกและปู่ย่าหรือตายาย บางครอบครัวลูกแต่งงานหรือไปทำงาน นอกหมู่บ้านเหลือแต่พ่อกับแม่ ความสัมพันธ์ของครัวเรือนภายในกลุ่มมูเซอเหลืองและมูเซอดำไม่ต่างกัน ในกลุ่มมูเซอเหลือง ผู้นำศาสนาหรือสล่า เป็นกลุ่มเครือญาติใหญ่ที่สุด สำหรับมูเซอดำประกอบด้วยกลุ่มญาติพี่น้องกลุ่มใหญ่สุดกลุ่มหนึ่ง กลุ่มหัวหน้ากลุ่มเป็นผู้ที่มีอายุอาวุโส การที่ทั้งสองกลุ่มต่างมีเครือข่ายของตนอยู่แล้วและเป็นกลุ่มใหญ่ ทำให้ต่างคนต่างมีพื้นที่ช่องทางของตน ไม่จำเป็นต้องพึ่งพากันก็ได้ ที่บ้านบาหลายังไม่มีมูเซอดำและมูเซอเหลืองแต่งงานกันแต่มีสาวมูเซอดำที่บาหลาแต่งงานกับมูเซอเหลืองจากบ้านอื่น มูเซอดำเป็นสังคมที่นับญาติสองสายทั้งข้างพ่อและข้างแม่ โดยมากผู้หญิงจะเลือกแต่งกับชายที่มีความขยัน สมัยก่อนการแต่งงาน ต้องมีสินสอด หลังแต่งงานแล้วฝ่ายชายต้องอยู่บ้านฝ่ายหญิง 3 ปีจึงจะย้ายกลับบ้านได้ และฝ่ายชายต้องอยู่บ้านกับพ่อแม่อย่างน้อย 3 ปีเช่นกันจึงจะแยกบ้านได้ การแต่งงานกับคนนอกเผ่าแม่เฒ่ามูเซอเหลืองคนหนึ่งบอกว่า แต่ก่อนไม่ค่อยมีเพราะไม่ค่อยมีการติดต่อกัน แต่ปัจจุบันมีมากขึ้น เพราะหนุ่มสาวพบกันนอกหมู่บ้าน (หน้า 65 -67) ความสัมพันธ์กับคนนอกชุมชน ชาวบ้านมีการติดต่อกับคนนอกชุมชนตลอดเวลา ทั้งญาติพี่น้องที่อยู่ชุมชนอื่น ชาวเขาเผ่าอื่นและคนเมือง เนื่องจากการเดินทางค่อนข้างสะดวก (หน้า73) |
|
Political Organization |
หน่วยพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาได้ตั้งที่ทำการชุมชนขึ้นที่หมู่บ้านบาหลา ตำบลท่าก๊อ อำเภอ แม่สรวย จังหวัดเชียงราย พ.ศ. 2527 ตั้งชื่อหมู่บ้านใหม่ว่า "แม่ต๋ำสองสบ" ยังไม่มีฐานะเป็นหมู่บ้านตามกฎหมาย เป็นหมู่บ้านบริวารของบ้านแม่ต๋ำ มีตัวแทนชุมชนทำหน้าที่เป็นผู้ใหญ่บ้านเรียกว่า "พ่อหลวง" หน่วยงานราชการในชุมชน มีศูนย์เด็กเล็กซึ่งอยู่ในความดูแลของกรมประชาสงเคราะห์ มีสถานบริการสาธารณสุขอยู่ในความดูแลของอนามัยอำเภอ ห่างจากหมู่บ้านประมาณ 1 - 2 กม.มีโรงพลังงานไฟฟ้าแต่มิใช่เพื่อให้บริการแก่ชุมชนบริเวณนี้ (หน้า 58 - 59) |
|
Belief System |
มูเซอดำนับถือศาสนาคริสต์ นิกายแบ็บติสต์ ซึ่งมีข้อห้ามเคร่งครัดไม่ให้บูชาหรือเซ่นไหว้ใด ๆ นอกจากพระคริสต์ สำหรับมูเซอเหลืองนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก แม้ว่ามูเซอเหลืองนับถือคริสต์แต่ยังมีพิธีทำบุญให้ญาติพี่น้องที่เสียชีวิตไปแล้ว ในพิธีมีการฆ่าหมูเพื่อทำอาหารและมีเหล้าเลี้ยงญาติและเพื่อนบ้าน โดย "สล่า" จะต้องสวดอธิษฐานก่อน ซึ่งพิธีนี้ไม่มีในหมู่มูเซอดำ พิธีกรรมในโบสถ์วันอาทิตย์ของทั้งสองเผ่ามีความต่างกันมาก มูเซอเหลืองเข้าโบสถ์วันละ 3 ครั้งส่วนมูเซอดำเข้าโบสถ์วันละ 4 ครั้ง เช้า สาย กลางวันและเย็น พิธีภายในโบสถ์มูเซอเหลือง สล่าเป็นผู้ดำเนินพิธีกรรมคนเดียว แต่มูเซอดำนอกจากสล่าแล้วยังมีสมาชิกคนอื่นเป็นผู้นำพิธีด้วยและไม่มีแต่เพียงการสวดและเทศน์เท่านั้น ยังมีการร่วมร้องเพลงโดยมีกีตาร์บรรเลงทำนองประกอบด้วย เนื่องจากทั้ง 2 เผ่านับถือศาสนาคริสต์ต่างนิกายกัน ดังนั้นจึงต้องมีโบสถ์ 2 หลัง (หน้า 67- 70) |
|
Education and Socialization |
หมอยาสมุนไพรจะได้รับการศึกษาสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น จากพ่อสู่ลูก หรือผู้สนใจที่มีอายุเป็นผู้ใหญ่ประมาณ 20 กว่าปีขึ้นไปและต้องมีฟันครบ 32 ซี่จึงจะรักษาได้ผล (หน้า 71) |
|
Health and Medicine |
ในบ้านบาหลานอกจากมีสถานบริการสาธารณสุขแล้วยังมีหมอยาสมุนไพรเรียนการรักษามาจากพ่อตั้งแต่ยังอยู่ในพม่า สมุนไพรที่รักษามี 2 วิธีคือต้มให้ดื่มกับประคบนอกจากใช้สมุนไพรแล้วยังใช้การเป่ารักษาด้วย ในช่วงที่รักษา มีความเชื่อว่าคนไข้ต้องงดอาหาร 3 ชนิดคือ ไก่ เนื้อวัว และปลา ในคนที่โดนกระสุนปืนต้องไม่อยู่ใกล้ผู้หญิงที่มีประจำเดือนและคนท้อง (หน้า 70-71) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ผู้ชายมูเซอแต่งกายเหมือนคนพื้นราบทั่วไป นุ่งกางเกงขายาว สวมเสื้อยืดหรือเสื้อเชิ้ต ตัดผมสั้น ส่วนผู้หญิงนุ่งซิ่นป้ายขวาบ้าง ป้ายซ้ายบ้าง เหน็บชายผ้าที่เอว สวมเสื้อสำเร็จรูปที่ซื้อจากตลาด ส่วนมากไว้ผมยาว ถ้าเป็นนักเรียนจะตัดผมสั้นทรงพวงมาลัย ผู้หญิงมูเซอเหลืองที่อายุมากจะสวมต่างหูเงินอันใหญ่และสวม กำไลเงินที่ข้อมือทั้งสองข้าง มูเซอทั้งหญิงและชายจะแต่งชุดประจำเผ่าในโอกาสพิเศษ เช่นงานฉลองปีใหม่และงานแต่งงาน การแต่งกายของมูเซอเหลืองที่บ้านบาหลาไม่เคร่งครัดนักเพราะบางคนก็ใส่เสื้อผ้าของมูเซอดำ เสื้อผ้ามูเซอดำจะสีขรึมทึบกว่ามูเซอเหลืองที่ใส่เสื้อผ้าสีสดใส แต่ทั้งสองเผ่าก็มีลักษณะหนึ่งที่ร่วมกันอยู่ คือ การใช้แถบผ้าเป็นริ้วตกแต่งเป็นลวดลาย (หน้า71 - 72) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับชนเผ่าอื่นแต่ได้มีการกล่าวถึงเรื่องการแต่งงานว่าปัจจุบันมีการแต่งงานกับคนนอกเผ่าเพราะมีการติดต่อกันกับกลุ่มคนภายนอกมากขึ้น มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นภายใต้การปกครองของรัฐ วัฒนธรรมบางประการถูกกลืนและลดบทบาทลง เช่น การแต่งกาย ความเป็นอยู่และความเชื่อ เป็นต้น |
|
Social Cultural and Identity Change |
เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมจะผันแปรตามเวลาและสถานที่เพื่อให้เข้ากับสถานที่และสภาพแวดล้อมที่ดำรงอยู่ การเปลี่ยนแปลงในอดีตที่มีผลอย่างมากต่อชุมชนมูเซอคือการยอมรับนับถือศาสนาคริสต์ เพราะส่งผลกระทบต่อวัฒนธรรมของมูเซอ ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อดั้งเดิม การประกอบพิธีกรรม ประเพณีปฏิบัติหรือชีวิตความเป็นอยู่ (หน้า 85) และการที่อพยพย้ายถิ่นเข้ามาในประเทศไทยซึ่งมีสภาพแวดล้อมต่างไปจากเดิม จึงต้องมีการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมและบริบททางสังคม ในช่วงที่อพยพเข้ามาเป็นระยะที่รัฐบาลกำลังเผชิญกับปัญหาความไม่สงบ ดังนั้น นโยบายการพัฒนาชาวเขาที่รัฐประกาศจึงเน้นที่ความมั่นคงทางการเมืองเป็นสำคัญ เช่น การประกาศให้สัญชาติไทยในทะเบียนบ้านแก่ชาวเขา พ.ศ.2517 การใช้นโยบายรวมพวกในพ.ศ.2519 นอกจากนั้น การพัฒนาด้านการศึกษา การอนามัย สาธารณสุขโดยเฉพาะการส่งเสริมให้ชาวเขาคุมกำเนิด รวมทั้งโครงการพัฒนาที่สูงต่าง ๆ ก็เพื่อความมั่นคงปลอดภัยของชาติ นโยบายดังกล่าวล้วนแต่ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของมูเซอดำและมูเซอเหลือง บ้านบาหลาทั้งสิ้น |
|
Map/Illustration |
แผนที่แสดงบริเวณการตั้งถิ่นฐานของมูเซอ (32) แผนผังแสดงหมู่บ้านบาหลา(56) ภาพลักษณะการแต่งกายตามประเพณีของมูเซอดำ(53) ภาพลักษณะการแต่งกายตามประเพณีของมูเซอเหลือง(54) ภาพเด็กมูเซอดำและเด็กมูเซอเหลือง(62) ภาพเด็กอีก้อที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่บ้านบาหลา(62) ภาพบ้านมูเซอดำ(64) ภาพบ้านมูเซอเหลือง(64) ภาพโบสถ์มูเซอดำ(68) ภาพโบสถ์มูเซอเหลือง(68) ภาพงานฉลองปีใหม่ที่ลานเต้นรำกลางหมู่บ้าน(79) ภาพวัยรุ่นมูเซอดำในงานฉลองปีใหม่(81) |
|
|