|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ม้ง,การแต่งงาน,ครัวเรือน,ภาคเหนือ |
Author |
Gary Yia Lee |
Title |
Household and Marriage in a Thai Highland Society |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
ม้ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
9 |
Year |
2531 |
Source |
www.atrax.net.au/userdir/weulee/index.htm (พิมพ์ครั้งในแรกใน The Journal of the Siam Society ,1988 No.76,pp. 162-173 |
Abstract |
บทความนี้กล่าวถึงสภาพทั่วไปของการตั้งถิ่นฐานของม้งว่า ปลูกบ้านตามบริเวณเชิงเขาหรือไหล่เขา โดยหันหน้าบ้านออกไปทางไหล่เขา ในบ้านมีแต่ของใช้ที่จำเป็น การปลูกบ้านของม้งได้รับอิทธิพลจากลักษณะภูมิประเทศและข้อกำหนดทางวัฒนธรรมและศาสนา ม้งมีการแต่งงานแบบออกนอกตระกูลและ การแต่งงานจะเกิดขึ้นหลังจากการเกี้ยวพาราสีระยะหนึ่ง การแต่งงานโดยการจับคู่ยังคงมีอยู่ แต่ปัจจุบันพ่อแม่จะคำนึงถึงความรู้สึกของบุตรมากขึ้น หนุ่มม้งยังไม่สามารถจ่ายเงินค่าสินสอดและค่าใช้จ่ายในการแต่งงานได้ แม้แต่คนที่แต่งงานแล้วหลายปีก็ยังไม่อาจจัดพิธีแต่งงานที่เป็นทางการได้ทั้งนี้เนื่องจากไม่มีเงิน การแต่งงานครั้งแรกส่วนใหญ่เกิดขึ้นระหว่างอายุ 16-18 ปี โดยทั่วไปสามีอายุมากกว่าภรรยา ลักษณะครัวเรือนของม้งแบบครอบครัวเดี่ยวมีมากกว่าแบบอื่น แม้ว่าจะมีครอบครัวขยายปรากฏอยู่มากก็ตาม จำนวนสมาชิกต่อครัวเรือนโดยเฉลี่ย 8.4 คน จำนวนสมาชิกต่อครอบครัวโดยเฉลี่ย 6 คน แม้ว่าจะมีภรรยาหลายคน แต่ขนาดครอบครัวและครัวเรือนม้งก็ไม่ได้ต่างจากสังคมอื่นมาก (จากสรุป น. 9) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ม้งในประเทศไทย ผู้เขียนไม่ได้ระบุกลุ่มชาติพันธุ์ย่อยของม้ง แต่รายละเอียดในบทความส่วนใหญ่เกี่ยวกับม้งขาว (White Hmong) (น.2,6,8) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
|
Settlement Pattern |
แบบแผนการตั้งถิ่นฐาน โดยทั่วไป หมู่บ้านม้งจะมีตระกูลใหญ่หนึ่งตระกูลที่มีสมาชิกมากที่สุด จะไม่มีหมู่บ้านใดมีสมาชิกเป็นคนในตระกูลเดียวกันทั้งหมด แม้ว่าตามกฎการตั้งถิ่นแบบปิตุภูมิ (patrilocal residence) หมู่บ้านม้งควรจะมีแต่คนในตระกูลเดียวกันอาศัยอยู่ แต่เนื่องจากกฎนี้ไม่ได้บังคับใช้อย่างเข้มงวด มีการตั้งถิ่นฐานแบบสองฝ่ายหรือแยกเรือนใหม่ (bilocal or neolocal residence) จึงทำให้พบสมาชิกของตระกูล 2-3 ตระกูลอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน ในบางกรณีการตั้งบ้านเรือนก็มาจากพันธะทางสังคมที่มีกับสมาชิกในตระกูลฝ่ายภรรยา นอกจากนั้นการปฏิบัติทางศาสนา ความขัดแย้งส่วนตัวกับคนในตระกูลของตน หรือพันธะทางธุรกิจก็ทำให้ม้งบางคนต้องอาศัยอยู่ในหมู่บ้านตระกูลอื่น แบบแผนการตั้งถิ่นฐานของม้งจึงมิได้ถูกกำหนดจากแหล่งเพาะปลูกเท่านั้น แต่ยังถูกกำหนดโดยปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคมด้วย (น.1) ลักษณะบ้านเรือน ม้งจะอยู่กันเป็นกลุ่มเล็กๆ ประมาณ 5-20 ครัวเรือน ไม่มีการจัดผังหมู่บ้านให้เป็นระเบียบ ไม่มีจตุรัสกลางบ้าน(village square) ไม่มีถนนสายหลักของหมู่บ้าน อาจจะมีรั้วรอบหมู่บ้านบ้างแต่ก็สำหรับป้องกันสัตว์เลี้ยงไม่ให้เข้ามาทำลายสวนหรือพืชที่ปลูก ไม่ใช่สำหรับป้องกันศัตรู (น.1) ม้งปลูกบ้านตามความเชื่อเกี่ยวกับทำเลที่ตั้งหรือฮวงจุ้ย (geomancy) ไม่ปลูกบ้านในแนวเดียวกันหรือขนานกันกับบ้านหลังอื่น บ้านทุกหลังหันหน้าลงไหล่เขา บ้านของม้งขาว (White Hmong) จะต่างจากบ้านของม้งเขียว (Green Hmong) ที่มีประตูเพียงบานเดียว ส่วนม้งขาวมีประตู 2 บาน และบางครั้งก็อาจจะมี 3 บาน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการของเจ้าของบ้าน บ้านของม้งจะสร้างติดพื้นดิน ไม่ยกพื้นสูง หลังคาเป็นไม้แผ่นเล็ก ๆ หรือหญ้า แต่ถ้าบ้านใดมีฐานะดีก็มุงหลังคาสังกะสีหรือกระเบื้อง รูปทรงของบ้านโดยทั่วไปเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า บางหลังก็เกือบจะเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัส มีระเบียงตามความยาวของบ้านสำหรับใช้เก็บฟืน ประตูบ้านที่อยู่ด้านหน้าของตัวบ้านเป็นประตูสำหรับประกอบพิธีกรรมเรียกว่า "qhov rooj tag"(khor daung ta) ส่วนประตูที่อยู่ด้านซ้ายของตัวบ้านเรียกว่า "qhov rooj txuas"(khor daung txua) แม้ว่าจะมีประตูสำหรับพิธีกรรม แต่ก็ไม่มีกฎข้อห้ามในการใช้ประตูเข้า-ออกบ้าน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสะดวก ภายในตัวบ้านจะกั้นห้องตามความยาวของบ้านสำหรับใช้นอน เป็นห้องที่ไม่มีบานประตู ภายในห้องทำเตียงยกพื้นสูงจากพื้นดินประมาณ 0.5 เมตร ห้องใหญ่สำหรับพ่อแม่และลูกๆที่ยังไม่โต ส่วนลูกที่เป็นวัยรุ่นและลูกสาวนอนอีกห้องหนึ่ง ลูกชายที่โตแล้วหรือสมาชิกที่ยังไม่แต่งงานจะนอนในห้องที่สาม ขณะที่พื้นที่ส่วนที่ทำเป็นไม้ยกพื้นสูงจะสำรองไว้สำหรับแขก (น.2) |
|
Social Organization |
การแต่งงาน แบบแผนการแต่งงานของม้งเป็นการแต่งงานออกกับคนนอกตระกูล (clan exogamy) ห้ามแต่งงานคนในตระกูลเดียวกัน แต่ผู้เขียนก็ได้กล่าวถึงการแต่งงานที่ไม่เป็นไปตามกฎนี้ด้วย โดยยกกรณีการศึกษาในที่อื่น ๆ เช่น de Beauclair(1970: 133) ที่พบว่ามีการยกเว้นในกรณีที่ "คู่แต่งงานไม่ได้สืบสายตระกูลมาจากบรรพบุรุษคนเดียวกัน" ตัวอย่างเช่น ตระกูล Yang ในประเทศลาว และตระกูล Yang ในแถบไกวโจวตะวันตกและตอนกลางของจีน (in West and Central Kweichow, China) แต่การละเมิดกฎนี้ก็ไม่ค่อยเกิดขึ้น เพราะไม่มีการกล่าวถึงในงานของ Binney(1968) Geddes(1976) หรือ Cooper(1976) และ Mickey(1947: 50) ก็กล่าวถึง Cowrie Shell Mioa ในประเทศจีนว่า ห้ามการแต่งงานระหว่างคน "นามสกุลเดียวกัน" ขณะที่ Graham (1937:27) ก็กล่าวถึง the Chuan Mioa ว่ามอง "การแต่งงานของคนตระกูลเดียวกันเป็นอาชญากรรม" เนื่องจากกฎการแต่งงานกับคนนอกตระกูล จึงเป็นหน้าที่หรือความรับผิดชอบของหนุ่มม้งที่จะเกี้ยวพาราสีหญิงสาวต่างตระกูล ม้งบางกลุ่มในประเทศจีน "การแต่งงานกับญาติลูกพี่ลูกน้องข้างบิดาถือเป็นหน้าที่ ( "patrilinial cross-cousin marriage is said to be obligatory") และในกลุ่ม Magpie Hmong ที่เสฉวนใต้ ก็นิยมการแต่งงานกับลูกพี่ลูกน้อง แต่ก็ "ไม่ถือเป็น หน้าที่" เมื่อก่อนการแต่งงานของหนุ่มม้งกับหลานสาวของพ่อ (his father's sister's daughter) เป็นเรื่องปกติ และถ้าไม่ ปฏิบัติตามสิทธินี้ พ่อของผู้หญิงก็จะต้องจ่ายเงินแก่พ่อแม่ของผู้ชายเพื่อสิทธิในการแต่งงานกับผู้ชายคนอื่น ซึ่งปรากฏใน Chuan Miao แต่การปฏิบัติดังกล่าวนี้ไม่มีในหมู่ม้งในประเทศไทยและลาว (น.2-3) ช่วงอายุในการแต่งงาน ม้งขาวที่บ้านขุนวัง จังหวัดเชียงใหม่ ส่วนใหญ่แต่งงานระหว่างอายุ 15-21 ปี และผู้หญิงมักจะแต่งงาน เร็วกว่าผู้ชาย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้หญิงทุกคนที่แต่งงานมีอายุน้อยกว่าสามีของตน ปกติสามีที่แต่งงานมีภรรยามากกว่า หนึ่งคนหรือภรรยาเสียชีวิตหรือหย่าร้างกันจะมีอายุมากกว่าภรรยา มีคู่สมรสเพียง 2-3 คู่เท่านั้นที่ภรรยาอายุมากกว่าสามี และปัจจัยของกรณีเช่นนี้ก็มิได้มาจากแบบแผนการมีภรรยาหลายคนดังเช่นกรณีม้งเขียวที่ Geddes ศึกษา (1976:80-81) ขณะที่ Chindarsi(1976:71) ซึ่งศึกษาม้งขาวในประเทศไทยกล่าวว่า ความต้องการแรงงานในไร่นาและในบ้านเป็นปัจจัยประการหนึ่ง ที่ทำให้ม้งแต่งงานอายุน้อย พ่อของฝ่ายหญิงมองว่า ช่วงอายุที่กันห่างระหว่างบุตรสาวของตนกับบุตรเขยไม่มากเกินไป ถ้าผู้หญิงอายุมากกว่าผู้ชาย ผู้ชายอาจจะแต่งงานอีก ดังนั้นผู้หญิงจึงหลีกเลี่ยงการแต่งงานแบบนี้ อย่างไรก็ดี ความแตกต่างทางอายุแบบนี้หายากขึ้น เพราะการแต่งงานปัจจุบันเกิดจากการเกี้ยวพาแบบโรแมนติกมากกว่าพ่อแม่จัดการให้ (น.6) การมีภรรยาหลายคน(polygyny) ม้งแสดงถึงความกำกวมเกี่ยวกับการมีภรรยาหลายคน ผู้ชายม้งบางคนยอมรับว่าถ้าสามีมีฐานะร่ำรวยและภรรยาทั้งหลายนั้นสามารถเข้ากันได้เหมือนเป็นพี่น้องกัน ความขัดแย้งระหว่างภรรยาก็จะไม่ค่อยเกิด แต่ในกรณีคนยากจน การมีภรรยาหลายคนไม่ค่อยปฏิบัติกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงและแม่ของเธอไม่นิยมปฏิบัติ โดยทั่วไปแล้ว ถ้าพี่ชายเสียชีวิตโดยทิ้งภรรยาม่ายและบุตรที่ยังเล็กไว้ ถือเป็นหน้าที่ของน้องชายที่จะแต่งงานกับภรรยาม่ายของพี่ชายเพื่อรักษาเด็ก ๆ ไว้ในครอบครัว และการมีภรรยาหลายคนก็อาจจะเกิดในกรณีที่ภรรยาคนแรกไม่สามารถมีบุตรได้ หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (น.6) การเกี้ยวพาราสี ขั้นตอนการแต่งงานจะเริ่มด้วยฝ่ายชายแสดงการเกี้ยวพาราสีให้ญาติฝ่ายหญิงเห็นอย่างชัดเจน หนุ่มสาวม้งมีอิสระที่จะพบปะกันในตอนค่ำหลังจากงานประจำวัน ในอดีตหมู่บ้านจะอยู่ห่างไกลกัน หนุ่มม้งจะต้องใช้เวลาเดินทาง 2-3 ชั่วโมงไปหมู่บ้านที่ผู้หญิงอยู่ โดยอาจจะไปตามลำพังหรือเป็นกลุ่ม และอาจจะนำอาหารติดตัวไปด้วยเพื่อค้างคืน 2-3 คืนที่บ้านญาติในหมู่บ้านที่ผู้หญิงอยู่ และการเกี้ยวพาราสีก็ยังมีในช่วงที่หญิงชายทำงานในนาที่ห่างไกลบ้าน คนหนุ่มสาวยุคปัจจุบันก็ยังคงธรรมเนียมการเกี้ยวพาราสีอยู่ แต่ไม่ต้องเดินทางไกล ๆ ในตอนเย็นแล้วกลับบ้านตอนเช้าเพื่อทำงานอีกต่อไป ขณะที่บางคนก็อาจจะเกี้ยวพาหญิงสาวในหมู่บ้านของตนเอง เมื่อการเกี้ยวพาราสีดำเนินไปได้ระยะหนึ่ง ฝ่ายหญิงอาจจะตกลงแต่งงานกับชายหนุ่ม จากนั้นชายหนุ่มจะไปขออนุญาตพ่อแม่ของตน ซึ่งจำเป็นเพราะพ่อแม่ต้องช่วยจ่ายค่าสินสอดเจ้าสาวและเงินค่าใช้จ่ายในการแต่งงาน ถ้าผู้หญิงตกลงแต่งงานแล้ว ก็ไม่ต้องขออนุญาตจากพ่อแม่ฝ่ายหญิงล่วงหน้า พ่อสื่อจะเจรจากับพ่อแม่ฝ่ายหญิงในกรณีที่ผู้หญิงไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานหรือผู้หญิงผู้ชายไม่รู้จักกันดีพอ (น.3-4) การลักพา (abduction) เป็นอีกวิธีหนึ่งในการแต่งงาน มีทั้งลักพาจริงและแกล้งลักพาซึ่งใกล้เคียงกับการหนีตาม (elopement) เนื่องจากผู้หญิงจะรู้ตัวและเต็มใจไปกับผู้ชาย ชายหนุ่มและญาติของเขาจะลักพาหญิงสาวไปยังสถานที่ที่เตรียมไว้ ขณะถูกลักพาผู้หญิงจะส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ แล้วแม่ของเธอก็จะมาช่วย ถ้าเธอแสดงว่าไม่เต็มใจ แม่ของเธอก็จะร้องไห้อ้อนวอนขอให้ปล่อยลูกสาว แต่ถ้าผู้หญิงแสดงความเต็มใจไปกับผู้ชาย แม่ของเธอก็จะขอให้แต่งงานกัน ข้อน่าสังเกตในการลักพานี้ ญาติผู้ชายของฝ่ายหญิงจะไม่เข้ามาเกี่ยวข้องช่วยเหลือผู้หญิงจากการลักพา พวกเขาจะไม่มีบทบาทใด ๆ จนกระทั่งถึงพิธีแต่งงาน ซึ่งหลังจากการลักพาแล้ว พ่อแม่ชายจะส่งข่าวไปยังญาติฝ่ายหญิงเพื่อขอกำหนดการจัดพิธีแต่งงาน (น.4) ผู้เขียนกล่าวว่า การลักพายังเป็นการรักษาหน้าของผู้หญิงและครอบครัว ในกรณีที่คาดว่าการแต่งงานล้มเหลว ครอบครัวของผู้หญิงไม่ต้องรับผิดชอบต่อความล้มเหลวนั้น (น.4) พิธีแต่งงาน วันแต่งงานมี1 - 2 วัน เป็นวันสู่ขอและวันกินเลี้ยงฉลอง เริ่มที่บ้านเจ้าบ่าวก่อน แล้วมาที่บ้านเจ้าสาว แล้วก็กลับไปอยู่ที่บ้านเจ้าบ่าว ที่บ้านเจ้าบ่าวจะใช้หมู 1 ตัว ไก่ 4 ตัวสำหรับประกอบพิธีกรรมและกินเลี้ยง ที่บ้านเจ้าสาวใช้หมู 2 ตัว ไก่ 2 ตัว ขณะเดียวกันพ่อแม่เจ้าสาวต้องฆ่าหมูตัวใหญ่อีกหนึ่งตัวสำหรับเลี้ยงคนที่มาช่วยงานแต่ง และคนที่มาช่วยงานทั้งฝ่ายเจ้าบ่าวและเจ้าสาวจะได้รับเหรียญเงินตอบแทนด้วย (น.4-5) ค่าใช้จ่ายในการแต่งงาน ค่าใช้จ่ายในการแต่งงาน (nqi poj niam) ประกอบด้วยค่าสินสอดหรือค่าตัวเจ้าสาว (nqi mis nqi hno) ค่าปรับไหม (fine)ในกรณีลักพา เงินค่าหมู อาหารและเหล้า รวมกันทั้งหมดแล้วไม่ต่ำกว่า 500 เหรียญสหรัฐ และบางรายอาจสูงถึง 1,500 เหรียญสหรัฐ มีหนุ่มม้งจำนวนน้อยที่สามารถจ่ายค่าใช้จ่ายเหล่านี้ได้ ถ้าเจ้าบ่าวและญาติของเขาไม่สามารถหาเงินมาจัดงานได้ตามวันที่พ่อแม่เจ้าสาวกำหนด ก็ต้องเลื่อนกำหนดวันแต่งงานใหม่ (น.4) ถ้าชายหนุ่มหญิงสาวจะอยู่กินเป็นสามีภรรยากันโดยไม่ได้จัดงานแต่งงาน และฝ่ายชายยากจนไม่สามารถหาเงินเป็นค่าสินสอดและจัดงานแต่งงาน ฝ่ายชายจะไม่มีสิทธิในตัวบุตรเมื่อมีการหย่าร้างกับภรรยา และในกรณีที่พ่อแม่ฝ่ายชายไม่เห็นด้วยกับการแต่งงาน เจ้าบ่าวก็อาจจะต้องทำงานที่บ้านฝ่ายหญิงแทนจนกระทั่งสามารถจ่ายเงินค่าแต่งงานได้ (น.5) ปัจจุบันพ่อแม่จะไม่เรียกค่าตัวเจ้าสาวหรือสินสอด เพราะไม่อยากถูกมองว่าขายลูกสาว สินสอดเป็นเงินที่เจ้าบ่าวจ่ายให้แก่พ่อแม่เจ้าสาวเพื่อแสดงถึงการตระหนักในความรักและการเอาใจใส่เลี้ยงดูของพ่อแม่เจ้าสาว (น.7) การตั้งครอบครัวหลังการแต่งงาน เมื่อพ่อแม่จ่ายค่าสินสอดแก่เจ้าสาวแล้ว คู่แต่งงานจะอาศัยอยู่ที่บ้านพ่อแม่ฝ่ายชายเพื่อว่าในกรณีที่มีปัญหาจะได้ปรึกษารับคำแนะนำจากพ่อฝ่ายชาย และเพื่อแสดงความขอบคุณโดยการอาศัยอยู่ด้วยและช่วยเหลืองานในครัวเรือน คู่แต่งงานจะอาศัยอยู่กับพ่อแม่จนกระทั่งสามารถแยกออกมาสร้างบ้านของตนเองได้ ซึ่งพวกเขาก็มักจะมีบุตร 2-3 คนแล้ว หรือฝ่ายชายอายุได้ 30 ปี แต่อย่างไรก็ดี การแยกครัวเรือนอาจจะเกิดขึ้นเวลาใดก็ได้ ขึ้นอยู่กับจำนวนสมาชิกในครัวเรือนพ่อแม่ว่ามีความหนาแน่นเพียงใด (น.5) การแยกครัวเรือนไม่ได้มีสาเหตุมาจากความคิดเรื่องการอยู่ตามลำพัง (neolocal residence) แต่มีสาเหตุมาจากความขัดแย้งภายในครัวเรือนขนาดใหญ่ เช่น ความขัดแย้งของภรรยาหรือการไม่เห็นด้วยกับการร่วมแรงงานกัน (น.7) ครอบครัว ผู้เขียนเห็นว่าลักษณะครอบครัวของม้งมี 2 แบบ คือ ครอบครัวเดี่ยว(nuclear family) และเป็นครอบครัวขยาย(extended family) ถ้าพิจารณาตามมาตรฐานตะวันตกแล้ว ครัวเรือนของม้งมีขนาดค่อนข้างใหญ่ โดยมีจำนวนสมาชิก 6-11 คน เช่น ม้งที่จังหวัดตากมีสมาชิกในครัวเรือนโดยเฉลี่ย 14 คน (Keen,1978:210) ที่ขุนวังมี 4 - 6 ครัวเรือนที่มีขนาดใหญ่มากคือมีสมาชิก 16-23 คน (Lee,1981:56) (น.8) และม้งที่แม่วัก (Mae Wak) อาจจะมีจำนวนสมาชิกมากที่สุด คือ มีสมาชิก 45 คนในหนึ่งครัวเรือนและ 5 ครอบครัว อย่างไรก็ตาม โดยหลักประชากรครอบครัว จำนวนสมาชิกโดยเฉลี่ยประมาณ 4.1 ถึง 8 คน ซึ่งผู้เขียนเห็นว่า ครอบครัวม้งไม่ได้แตกต่างประชากรกลุ่มอื่น ๆ และครัวเรือนม้งมีแนวโน้มที่จะขยายใหญ่เนื่องจากระบบครอบครัวแบบขยาย (น.8) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ในอดีต พ่อแม่เป็นผู้จัดการจับคู่การแต่งงานให้กับบุตร ซึ่งพ่อแม่ที่เป็นเพื่อนหรือญาติกันหมั้นไว้ตั้งแต่บุตรยังเป็นเด็ก การแต่งงานแบบนี้กำลังจะยกเลิกไปเนื่องจากพ่อแม่เริ่มคิดถึงความต้องการของลูกมากกว่าของตนเอง ปัจจุบัน พ่อแม่ปล่อยให้ลูกชายลูกสาวเลือกคู่แต่งงานเอง พ่อแม่จะเข้ามาแทรกแซงการเลือกคู่ในกรณีที่คนที่เลือกเป็นคนไม่ดี เช่น ติดยา เป็นคนขี้เกียจ เป็นผู้ชายที่แต่งงานแล้ว เป็นหญิงม่ายหรือหย่าร้าง เป็นสาวแก่หรือผู้ชายที่มีญาติชื่อเสียงไม่ดีใช้ความรุนแรงกับภรรยา (น.3) ปัจจุบันพ่อแม่ไม่เต็มใจใช้อำนาจบังคับลูกสาวให้แต่งงาน แต่จะพยายามชักจูงลูกสาวให้ตกลงใจ เพราะว่าพ่อแม่อยากหลีกเลี่ยงการถูกตำหนิในกรณีที่การแต่งงานไม่ประสบความสำเร็จ (น.4) |
|
|