สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ม้ง,วัฒนธรรม,วิถีชีวิต,ความเชื่อ,พิธีกรรม,ประเทศไทย
Author Robert Cooper, Nicholas Tapp, Gary Yia Lee, Gretel Schwoer-Kohl
Title The Hmong
Document Type หนังสือ Original Language of Text ภาษาอังกฤษ
Ethnic Identity ม้ง, Language and Linguistic Affiliations ม้ง-เมี่ยน
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 83 Year 2534
Source Artasia Press Co. Ltd.
Abstract

หนังสือเล่มนี้นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับวัฒนธรรม วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของม้งแบบดั้งเดิม เพื่อให้ความรู้เบื้องต้นทั่วไป โดยบทแรกกล่าวถึงประวัติความเป็นมาของม้งคร่าว ๆ ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน บทที่สอง ถึง บทที่สี่ และบทที่หก กล่าวถึงโครงสร้างทางสังคม ได้แก่ ครอบครัว ครัวเรือน ตระกูล หมู่บ้าน และการแต่งงาน บทที่ห้ากล่าวถึงอัตลักษณ์ม้ง 3 กลุ่มย่อย บทที่เจ็ด เป็นเรื่องลักษณะเศรษฐกิจทั่วไป บทที่แปดกล่าวถึงดนตรี บทที่เก้ากล่าวถึงหัตถกรรม ส่วนบทที่สิบถึงบทที่สิบสี่ เป็นเรื่องความเชื่อและพิธีกรรม

Focus

กล่าวถึงลักษณะทางสังคม วัฒนธรรมและเศรษฐกิจทั่วไปของม้ง

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

ม้งขาวและม้งเขียวในประเทศไทย

Language and Linguistic Affiliations

ไม่มีข้อมูล

Study Period (Data Collection)

ไม่ระบุ

History of the Group and Community

ตามบันทึก the Shu Ching ประวัติศาสตร์คลาสสิคของจีน จีนเรียกม้งว่า "Miao" (และคำว่า Miao นี้ จีนยังใช้เรียกชนเผ่าอื่นๆ ที่อยู่ทางใต้ด้วย) ม้งถูกจีนขับไล่จากที่ราบแยงซีตอนกลาง (the central Yangtzu plain) ไปยังกันซูตะวันตกเฉียงเหนือ (north-western Kansu) (น.5) ประมาณกลางคริสตศตวรรษที่ 19 ม้งได้เริ่มอพยพลงมาทางใต้ของจีนเข้ามายังเวียดนาม ลาว และไทย เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับม้งได้เลวร้ายขึ้นเรื่อย ๆ ม้งถูกจีนใช้อำนาจกดขี่ ทำให้มีการสู้รบกันเรื่อยมา สงครามระหว่างม้งกับจีนที่รุนแรงที่สุดอยู่ในช่วง ค.ศ.1855 และ 1881 และแม้ว่าม้งจะอพยพเข้ามายังเวียดนามแล้ว ม้งก็ยังมีการสู้รบอยู่ โดยในช่วงคริสตทศวรรษ 1860 ม้งได้สู้รบกับชาวเวียดนาม (Annamese) และไต (Tai) ในอ่าวตังเกี๋ย (Tonkin) ขณะที่ในลาวม้งก็ได้ทำสงครามกับผู้ปกครองชาวฝรั่งเศสในปี ค.ศ.1918 และสิ้นสุดลงในปี ค.ศ.1921 เมื่อฝรั่งเศสตั้งหัวหน้าม้งขึ้นเป็นผู้ปกครองม้งในแถบนั้น ม้งเข้ามาในประเทศไทยเมื่อปี ค.ศ. 1885 (น.6)

Settlement Pattern

ม้งตั้งบ้านเรือนรวมกลุ่มตามสายตระกูล (lineage) แต่หมู่บ้านที่มีแต่คนในสายตระกูลเดียวในทางปฏิบัติแทบจะไม่มี ลักษณะที่พบส่วนใหญ่คือ ในหมู่บ้านหนึ่งๆ จะมีสายตระกูลหลัก (a lineage core) หนึ่งกลุ่ม และหมู่บ้านบริวาร (sattellites) ที่มีแต่คนในสายตระกูลเดียวกัน (น.18) ม้งย้ายบ้านหลายครั้ง โดยนำหิ้งบูชาบรรพบุรุษและเถ้าดินจากบริเวณที่ละทิ้งไปด้วย (น.9) ทำเลที่ตั้งบ้านของม้งจะต้องสอดคล้องกับรูปร่างของภูเขาที่อยู่รอบๆ แต่ในทางปฏิบัติทำเลที่ตั้งบ้านถูกจำกัดด้วยความจำเป็นที่ต้องการอยู่ใกล้ที่ไร่ เนื่องจากเหตุผลทางเศรษฐกิจและความจำเป็นที่ต้องอยู่ใกล้กับม้งอื่น ๆ เพื่อการปกป้องคุ้มครอง (น.15) ก่อนสร้างบ้าน หัวหน้าครัวเรือนจะตรวจสอบทำเลที่ตั้งก่อนว่าดีหรือไม่โดยทำพิธีถามเจ้าที่ (spirit) วิธีหนึ่งที่ปฏิบัติกันคือ ขุดหลุมเล็กๆ ในจุดที่จะตั้งเสาเอกของบ้าน แล้วกองข้าวเป็นทรงกรวยในหลุม แล้วคว่ำชามปิดกองข้าว ทิ้งไว้หนึ่งคืน ในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น ถ้าข้าวยังเป็นกองเหมือนเดิม แสดงว่าที่ตรงนี้ปลูกบ้านได้ แต่ถ้าไม่เป็นกองเหมือนเดิมแสดงว่า เจ้าที่ไม่พอใจ ถ้าปลูกบ้าน คนในบ้านก็อาจจะเจ็บป่วยและตาย และแม้บ้านที่สร้างมาแล้วหลายปี ถ้าคนในบ้านเจ็บป่วยบ่อยโดยหาสาเหตุไม่ได้หรือสัตว์เลี้ยงตายบ่อย ม้งก็จะปลูกบ้านใหม่ โดยย้ายที่ตั้งบ้านออกห่างจากที่เดิม 1-2 เมตร เพื่อให้เจ้าที่หายโกรธ (น.15-16) ม้งจะไม่ปลูกบ้านเป็นแถวตรงกับบ้านหลังอื่น เพราะจะกีดขวางทางเดินของผี ทำให้ผีบรรพบุรุษเข้าบ้านไม่ได้ เนื่องจากม้งเชื่อว่าผีเดินทางเป็นเส้นตรง แม้แต่การนำศพคนตายออกจากบ้านก็ต้องนำศพออกไปตรง ๆ เดินลงไปยังที่โล่งด้านข้างหมู่บ้าน โดยไม่ผ่านรอบ ๆ บ้านหลังอื่น และก็มีอยู่บ่อย ๆ ที่ต้องพังฝาบ้านเพื่อนำศพออกไปฝัง (น.16) รูปทรงบ้านของม้งเขียว (Green Hmong or Hmoob Ntsuab) กับม้งขาว (White Hmong or Hmoob Dawb) จะต่างกัน บ้านของม้งเขียวเป็นรูปสี่เหลี่ยม มีประตูหนึ่งบาน ส่วนบ้านม้งขาวเป็นรูปตัว L มีประตู 2 บาน เป็นประตูใหญ่กับประตูเล็กอยู่คนละด้านของข้างฝา (น. 17) และประตูบ้านของม้งจะหันหน้าลงไปยังตีนเขา (น.16) ขนาดของบ้านม้งขึ้นอยู่กับจำนวนสมาชิกในครัวเรือนและฐานะการเงิน ซึ่งความแตกต่างในฐานะทางการเงินนี้มาพร้อมกับการปลูกพืชเงินสด (น.9) บ้านม้งอาจจะมีเสาถึง 15 ต้น โดยจะลงเสาเอกก่อน เมื่อลงเสาเรียบร้อยแล้วจึงผูกคาน และมุงหลังคาด้วยใบหญ้าหรือไม้แผ่นเล็ก ๆ (wood tiles) ฝาบ้านเป็นไม้กระดานหรือไม้ไผ่ บ้านม้งไม่มีหน้าต่าง ไม่มีปล่องไฟ พื้นบ้านเป็นดิน ภายในบ้านด้านตรงข้ามกับประตูเป็นที่ตั้งหิ้งผีบรรพบุรุษ แต่ถ้ามีประตูบ้าน 2 บาน ก็จะตั้งหิ้งผีบรรพบุรุษตรงข้ามกับประตูใหญ่ (the main door) บ้านม้งแต่ละหลังจะมีเตาไฟ 2 เตา เป็นเตาใหญ่ (the main fire) หนึ่งเตาอยู่ใกล้ประตูใหญ่ (น.16-17) บ้านม้งสะท้อนให้เห็นจักรวาลวิทยาของม้ง หลังคาและจันทัน (rafter) จะแทนฟากฟ้า (the vault of heaven) พื้นบ้านที่เป็นดินแทนโลกธรรมชาติ และระหว่างสวรรค์กับโลกธรรมชาติเป็นโลกมนุษย์ เสาบ้านเป็นที่อยู่ของผีบรรพบุรุษ ขณะที่แต่ละส่วนของบ้านจะมีผี/เทพควบคุมดูแล (น. 56)

Demography

จำนวนประชากรม้งที่อาศัยในประเทศจีนมีอย่างน้อยประมาณ 3,000,000 คน ในเวียดนามประมาณ 200,000 คน ในลาวประมาณ 200,000 คน ในไทยประมาณ 100,000 คน และอีกประมาณ 80,000 คนเป็นผู้อพยพลี้ภัยในประเทศตะวันตก ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในสหรัฐอเมริกา (น.8)

Economy

การเพาะปลูก : ม้งทำการเพาะปลูกแบบโค่นถางและเผา (swidden or shifting cultivation) ม้งไม่ได้ใช้ที่ดินเพาะปลูกแบบระบบหมุนเวียนผืนดิน (systematic rotation of land use) ซึ่งมีการปล่อยพื้นดินให้ว่างระยะหนึ่ง 10-15 ปีเพื่อให้ดินฟื้นตัว(fallow) ทั้งนี้เพราะม้งปลูกฝิ่นเป็นพืชหลัก ซึ่งดินที่ปลูกฝิ่นได้ผลดีต้องเป็นดินในป่าที่เปิดใหม่ (the primary forest) พื้นดินที่ใช้แล้วและปล่อยให้ฟื้นตัวไม่ได้ทำให้ดินอุดมสมบูรณ์เพียงพอกับการปลูกฝิ่น (น.33) ม้งดูความอุดมสมบูรณ์ของดินจากลักษณะของต้นไม้ในป่า ยิ่งต้นไม้มีความสูงเท่าใด ดินก็ยิ่งมีความอุดมสมบูรณ์มากเท่านั้น การตัดไม้ถางป่าจะทำในเดือนกุมภาพันธ์ - มีนาคม แล้วทิ้งไว้ให้แห้ง จากนั้นประมาณกลางเดือนเมษายนก่อนฝนแรกจะมาจึงเผา (น.34) ม้งปลูกพืชหลักสำคัญ 3 ชนิด คือ ข้าว ฝิ่น และ ข้าวโพด - ข้าว เป็นพืชอาหารหลักของม้ง หลังจากฝนแรกมาถึงสมาชิกในครอบครัวจะช่วยกันทำงานในนาข้าว ผู้ชายจะเดินนำหน้าและ ขุดหลุมเล็ก ๆ ผู้หญิงจะเดินตามหลังหยอดข้าวลงหลุมและกลบดิน การดูแลกำจัดวัชพืชเป็นหน้าที่ของผู้หญิงซึ่งจะทำ 2 ครั้งในเดือนมิถุนายนและเดือนสิงหาคม ปลายเดือนตุลาคมจึงเก็บเกี่ยวผลผลิต (น.35-36) - ฝิ่น เป็นพืชเศรษฐกิจ ปลูกได้ดีในดินปูนขาว (limestone soil) บนที่สูง แสงแดดดี ม้งมักจะปลูกฝิ่นในแปลงเดียวกับข้าวโพด โดยต้นข้าวโพดจะช่วยกันน้ำฝนชะล้างหน้าดิน การหว่านเมล็ดฝิ่นมี 2 ระยะ คือ กลางเดือนสิงหาคมและกลางเดือนกันยายน ทั้งนี้เพื่อขยายเวลาการเก็บเกี่ยวและลดความเสี่ยงในการสูญเสียผลผลิตที่จะเกิดในช่วงอากาศหนาวหรือฝนแล้ง การถางวัชพืชจะทำในเดือนตุลาคม พร้อมกับตัดต้นข้าวโพดออกเพื่อให้ต้นฝิ่นที่กำลังเจริญเติบโตได้รับแสงแดดเต็มที่ ครั้นถึงเดือนพฤศจิกายนก็จะกำจัดวัชพืชอีกครั้งหนึ่ง ปลายเดือนธันวาคมฝิ่น (ส่วนที่เป็นกระเปาะ) ก็พร้อมที่จะให้กรีด ( tapping) เอายางออก การกรีดจะกระทำกันหลายครั้งจนกระทั่งฝิ่นให้ยางออกมาหมด (น. 36-37) - ข้าวโพด เป็นพืชที่ม้งส่วนมากในลาวและภาคเหนือของไทยปลูกเป็นอาหารเลี้ยงหมู และบางคนก็ปลูกเพียงเพราะว่าข้าวโพดปลูกร่วมกับฝิ่นได้ดี แต่ก็มีม้งบางแห่งในลาวและจีนปลูกข้าวโพดสำหรับบริโภคเป็นอาหารหลัก (น.37) การเลี้ยงสัตว์ ม้งเลี้ยงสัตว์โดยปล่อยให้เดินรอบบริเวณบ้านหาอาหารกินเอง ไม่ทำคอกให้อยู่ แต่จะทำรั้วกั้นบริเวณสวนครัวเพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์เลี้ยงเข้าไป ม้งเลี้ยงสัตว์ไว้ใช้งานและประกอบพิธีกรรม ที่ใช้งาน ได้แก่ ม้า ที่ประกอบพิธีกรรม ได้แก่ หมู ไก่ และวัว (น.38) การล่าสัตว์และหาของป่า การล่าสัตว์เป็นเรื่องของผู้ชายเท่านั้น อาวุธที่ใช่ได้แก่ ปืนบรรจุกระสุนที่ปากกระบอกและธนู สัตว์ที่ล่าได้แก่ หมูป่า กวาง และลิง โดยจะแบ่งกันในหมู่สมาชิกครอบครัว ส่วนการหาของป่าทำได้ทั้งผู้หญิง ผู้ชาย และเด็ก ในฤดูฝนจะเก็บหน่อไม้และเห็ด (น.39) การแบ่งแรงงานในครัวเรือน งานหุงหาอาหาร เย็บปักถักร้อย เป็นงานของผู้หญิง งานช่างไม้ งานช่างเหล็ก ล่าสัตว์ ค้าขายฝิ่นเป็นงานของผู้ชาย ส่วนการทำงานในไร่นาแม้จะช่วยกันทำ แต่ก็มีงานบางอย่างที่แบ่งหน้าที่กัน งานในไร่นาที่เป็นหน้าที่ผู้หญิงคือ การกำจัดวัชพืช ส่วนหน้าที่ผู้ชายคือ การตัดต้นไม้ การเผาไร่ การเลี้ยงวัวและม้า สำหรับเด็กก็มีหน้าที่เช่นกัน ได้แก่ การดูแลหมูและไก่ การเก็บฟืน ตักน้ำ การตำข้าว การบดข้าวโพด เลี้ยงน้อง และเลี้ยงควาย (น.38)

Social Organization

ครัวเรือน : ภาษาม้งใช้คำว่า tsev มีความหมายว่า house หรือ household ในภาษาอังกฤษ tsev เป็นหน่วยที่เล็กที่สุดประกอบด้วย สามี ภรรยา (ซึ่งอาจจะมากกว่าหนึ่งคน) และลูก ๆ ที่ยังไม่แต่งงาน โดยปกติภายใต้หลังคาบ้านเดียวกันของม้งจะมีคน 3 ชั่วอายุ (generation) ครอบครัวม้งเป็นครอบครัวขยาย อาจจะมีญาติอยู่ด้วย เช่น ป้าที่เป็นม่าย ลุงและน้องสาวที่หย่าร้าง บางครอบครัวอาจจะรับเด็กที่ไม่ใช่ม้งมาเลี้ยงเป็นลูกและปฏิบัติต่อเด็กคนนั้นเหมือนกับสมาชิกที่เกิดใน tsev (น.9)

ผู้ชายม้งมีภรรยาได้หลายคน ภรรยาทุกคนจะอยู่ในบ้านเดียวกัน ผู้ชายม้งที่มีฐานะการเงินดีเท่านั้นจึงจะสามารถมีภรรยาได้หลายคน ทั้งนี้เนื่องจากต้องจ่ายค่าสินสอด (bride price) ภรรยาคนแรกจะมีฐานะและอำนาจเหนือภรรยาคนอื่น (น.13,30)


ม้งสืบสายตระกูลข้างพ่อ (patrilinieal clan) ตระกูลของม้ง (clan หรือ xeem) ในลาวและไทยทั้งม้งขาว (Hmoob Dawb) และม้งเขียว (Hmoob Ntsuab) มีจำนวน 18 ตระกูล (น.18) ได้แก่ Dlub (Thoj); Faj; Ndlaug (Hawj); Nplua (Khaab); Koo; Kwm; Lauj; Caiv (lis); Zag (Muas); Phab; Taag (Haam); Tsaab (Tsab); Tsheej; Tswh; Vaaj; (Vaj) Vwj; Mob(Xyooj); Yaai(Yai) (คำในวงเล็บเป็นภาษาถิ่นม้งขาว) ภายในตระกูลแต่ละตระกูลแบ่งเป็นตระกูลย่อย(sub-clan) ซึ่งแต่ละตระกูลย่อยจะมีพิธีกรรมแตกต่างกัน การเป็นสมาชิกของตระกูลสืบทอดโดยการเกิดและการแต่งงาน ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในตระกูลเป็นสายสัมพันธ์แบบพี่น้อง ซึ่งม้งเรียกว่า kwutij (น.20) การแต่งงาน : ม้งทั้งหญิงและชายมีอิสระในการเลือกคู่ แต่พ่อแม่มักอยากให้ลูกชายแต่งงานกับหลานสาวของพ่อที่เป็นลูกอาหญิง หรือหลานสาวแม่ที่เป็นลูกน้าชายมากกว่า (cross cousin marriage) เพราะจะทำให้พันธะระหว่างครอบครัวทั้งสองเข้มแข็งขึ้น บางครั้งพ่อแม่ก็หมั้นหมายลูกพี่ลูกน้องไว้ให้ตั้งแต่ทั้งสองฝ่ายยังเป็นเด็ก (น.26) ม้งห้ามคนในตระกูลเดียวกันแต่งงานกัน รวมทั้งห้ามผู้ชายมีความสัมพันธ์ทางเพศกับผู้หญิงในตระกูลเดียวกันกับตน ข้อห้ามนี้รวมไปถึงคนในตระกูลเดียวกันแต่ต่างกลุ่มชาติพันธุ์ย่อย (sub-ethnic) (น.19) การแต่งงานระหว่างม้งกับคนในกลุ่มชาติพันธุ์อื่นไม่ค่อยปรากฏให้เห็น แม้จะไม่มีข้อห้ามก็ตาม ในคริสตศตวรรษที่ 20 ม้งในหมู่บ้านต่าง ๆ และม้งอพยพถูกผลักให้เข้าไปติดต่อกับวัฒนธรรมอื่น ๆ ในพื้นราบและต่างประเทศมากขึ้น ดังนั้นการแต่งงานระหว่างม้งกับคนนอกชุมชนม้งก็อาจจะเพิ่มขึ้น (น.26) ในสังคมม้ง การท้องก่อนแต่งงานไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการแต่งงานของทั้งสองฝ่าย ฝ่ายชายสามารถหลีกเลี่ยงการแต่งงานได้โดยจ่ายค่าปรับให้แก่พ่อของฝ่ายหญิงโดยเด็กที่เกิดมายังคงอยู่กับมารดา แม้ผู้หญิงม้งจะมีอิสระในการแต่งงานกับผู้ชายที่ตนเลือก แต่ถ้ามีพี่สาวที่ยังไม่แต่งงาน เธอก็จะต้องรอให้พี่สาวแต่งงานก่อน แต่ถ้าท้องก่อนแต่งงาน ก็จะทำพิธีขอขมาพี่สาว เพื่อจะได้รับอนุญาตจากพี่สาวให้แต่งงาน โดยจ่ายเงิน (silver) ที่ได้รับจากฝ่ายชายให้แก่พี่สาว (น.26) การเกี้ยวพาราสี หนุ่มสาวม้งมีอิสระในการพบปะกัน ชายหนุ่มจะมาบ้านหญิงสาวตอนมืดโดยนัดหมายกัน แล้วพากันออกไปพรอดรักนอกบ้าน การพรอดรักในบ้านเป็นสิ่งที่ไม่สมควรกระทำ เพราะอาจจะทำให้ผีบ้านไม่พอใจ หญิงสาวจะกลับเข้าบ้านก่อนไก่ขัน ถ้าไม่มีสาวนอกตระกูลในหมู่บ้านหรือถูกสาวในหมู่บ้านปฏิเสธ หนุ่มม้งจะไปหาสาวที่หมู่บ้านอื่น และพักที่บ้านญาติซึ่งอยู่ในหมู่บ้านนั้น (น.28) การเล่นบอลในงานฉลองปีใหม่ก็เป็นอีกช่วงหนึ่งที่หนุ่มสาวจะได้เกี้ยวพาราสีกัน ในเวลาเช่นนี้หนุ่มสาวจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าชุดดีที่สุดพร้อมทั้งตกแต่งร่างกายด้วยเครื่องประดับเงิน (น.28-29) การหมั้นหมาย : พ่อฝ่ายชายจะส่งญาติผู้ชายเป็นตัวแทนไปเจรจาสู่ขอฝ่ายหญิงจากพ่อแม่ผู้หญิง และเจรจาค่าสินสอด (mai tshoob) ที่จะต้องให้แก่พ่อแม่เจ้าสาว (น.29) ค่าสินสอดนี้จะจ่ายเป็นเงินแท่ง ค่าสินสอดมีนัยยะสำคัญต่อโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคม เนื่องจากลูกชายต้องพึ่งพาพ่อของตนในการจัดการแต่งงานทั้งค่าสินสอดเจ้าสาวและค่าใช้จ่ายในการจัดงาน ดังนั้นหลังจากแต่งงาน ลูกชายและภรรยาจึงต้องช่วยพ่อของตนทำงานระยะหนึ่งเพื่อตอบแทนค่าใช้จ่ายในการแต่งงาน การจ่ายค่าสินสอดเจ้าสาวถือเป็นการปกป้องผู้หญิงจากการปฏิบัติไม่ถูกต้องของฝ่ายชาย ถ้าฝ่ายชายปฏิบัติกับฝ่ายหญิงไม่ดี ไม่มีเหตุผล ผู้หญิงก็อาจจะกลับไปหาครอบครัวของพ่อแม่เธอโดยไม่คืนค่าสินสอดให้กับฝ่ายชาย (น.27) ในกรณีที่ฝ่ายชาย ไม่สามารถจ่ายค่าสินสอดได้ ฝ่ายชายจะต้องทำงานให้แก่พ่อแม่ของฝ่ายหญิงแทนตามแต่จะตกลงกันจนกว่าจะครบจำนวนค่า สินสอดที่จะต้องจ่าย ถ้าระหว่างนั้นฝ่ายหญิงท้อง ลูกที่เกิดมาถือว่าอยู่ในตระกูลของพ่อฝ่ายหญิง จะเป็นคนในตระกูลของฝ่ายชายก็ต่อเมื่อมีการจ่ายค่าสินสอดครบแล้ว (น.27,29) นอกจากค่าสินสอดแล้ว แม่ฝ่ายหญิงยังอาจจะให้ของขวัญแต่งงาน (phij cuab) ได้แก่ สร้อยคอ กำไล ต่างหูและเสื้อผ้า เป็นสินเดิมแก่ลูกสาวเพื่อประกันความปลอดภัยแก่ฝ่ายหญิง สำหรับเป็นสิ่งเตือนใจสามีและพ่อสามีว่า เธอไม่ได้พึ่งพาคนทั้งสองโดยสิ้นเชิง (น.28) การลักตัวพาหนี เกิดขึ้นในกรณีที่คู่หนุ่มสาวเกรงว่าพ่อฝ่ายหญิงจะขัดข้องหรือพ่อฝ่ายชายไม่สามารถหรือไม่เต็มใจจ่ายค่าสินสอดแก่ฝ่ายหญิง พวกเขาก็จะพากันหนีเพื่อบังคับให้เกิดการแต่งงาน พ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายจะต้องเจรจาตกลงกัน (น.29) การหย่าร้าง ถ้าฝ่ายหญิงประพฤติตนไม่ดี ติดฝิ่นหรือมีชายอื่น ฝ่ายชายมีสิทธิขอหย่าและเรียกค่าสินสอดคืน ขณะเดียวกันผู้หญิงก็สามารถขอหย่าจากฝ่ายชายได้ ถ้าถูกสามีทารุณและมีหลักฐานแสดง การหย่าร้างจะทำได้ทันทีและไม่ต้องจ่ายสินสอดคืนฝ่ายชาย ผู้หญิงจะกลับไปตระกูลเดิมของเธอ ส่วนลูกๆ จะอยู่กับฝ่ายที่บริสุทธิ์ ผู้หญิงที่หย่าร้างโดยฝ่ายชายกระทำผิดสามารถแต่งงานใหม่ได้และนำลูก ๆ ไปอยู่กับครอบครัวของสามีใหม่ได้ (น.30) สำหรับหญิงม่ายสามีตายอาจจะแต่งงานใหม่กับน้องชายสามี โดยฝ่ายชายไม่ต้องจ่ายค่าสินสอดอีก การแต่งงานนี้จะทำให้เธอและลูก ๆ ยังคงอยู่ในครอบครัวและตระกูลของสามีที่ตาย แต่ถ้าเธอไม่ต้องการแต่งงานกับน้องชายสามี ก็สามารถแต่งงานกับคนในตระกูลอื่นได้ อาจจะมีค่าสินสอดบ้างจำนวนเล็กน้อย ลูก ๆ ที่ยังไม่แต่งงานจะไปอยู่กับครอบครัวของสามีใหม่ โดยจะเข้าไปอยู่ในตระกูลของสามีใหม่หรือไม่ก็ได้ (น.30)

Political Organization

ชุมชนม้งเป็นการรวมตัวกันหลวม ๆ ของสายตระกูลและครัวเรือน (น.22) มีผู้นำเรียกว่า "tus hau zos" โดยได้รับเลือกจาก หัวหน้าครัวเรือนในชุมชนหรือเป็นคนในกลุ่มแรกที่มาตั้งชุมชน หน้าที่ของผู้นำคือการติดต่อกับคนภายนอกโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่รัฐบาล และคอยจัดการดูแลให้ที่พักแก่คนม้งนอกชุมชนที่แวะมาแล้วไม่มีญาติอยู่ในหมู่บ้าน ถ้ามีกรณีขัดแย้งกันภายในชุมชน ผู้นำจะเชิญกลุ่มผู้อาวุโส (laus neeg หรือ notable elders) หรือผู้ชายในตระกูลที่ขัดแย้งกันมาประชุมที่บ้านของตนเพื่อเจรจากัน ในกรณีที่เป็นความขัดแย้งกับชุมชนอื่นโดยเฉพาะชุมชนที่มิใช่ม้ง ผู้นำจะมีบทบาทสำคัญ (น.22-23)


บทบาทผู้นำชุมชนเป็นเหมือนสะพานเชื่อมโยงระหว่างม้งในหมู่บ้านกับคนนอกที่ไม่ใช่ม้ง แม้ผู้นำจะเป็นตัวแทนหมู่บ้าน แต่ก็ไม่มีอำนาจตัดสินใจเรื่องราวที่มีผลกระทบต่อหมู่บ้านหรือสมาชิกคนอื่น ๆ ที่อยู่นอกครัวเรือนของตน การตัดสินใจจะกระทำโดยกลุ่มผู้อาวุโส ซึ่งภายในกลุ่มผู้อาวุโสจะมีผู้อาวุโสของสายตระกูลหนึ่งคนหรือมากกว่านั้นที่ได้รับการเชื่อฟังมากกว่าคนอื่น ๆ (น.23)

Belief System

ความคิดเกี่ยวกับจักรวาลวิทยา ม้งแบ่งโลกออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ "yeeb ceeb" เป็นโลกมืดของวิญญาณ เปรียบได้กับ "yin" ของจีน และ "yaj ceeb" เป็นโลกของมนุษย์ วัตถุสิ่งของและธรรมชาติ เปรียบได้กับ "yang" ของจีน ในอดีตโลกของมนุษย์และวิญญาณสามารถพบปะพูดคุยกันได้ การเดินทางระหว่างโลกทั้งสองทำได้ง่าย ๆ ปัจจุบันโลกทั้งสองถูกแยกออกจากกัน เฉพาะ shaman เท่านั้นที่สามารถเดินทางไปโลกอื่นและกลับมาโลกมนุษย์ได้โดยปลอดภัย (น.54) ม้งเล่าว่า กบ (Nplooj Lwg) ทำให้เกิดสวรรค์และโลกมนุษย์ เมื่อครั้งที่โลกยังไม่แยกเป็นสองส่วน มนุษย์และวิญญาณ/ผียังอยู่ในโลกเดียวกันนั้น มนุษย์ได้รบกวนความสงบสุขด้วยการฆ่ากบ โดยอ้างว่ากบโกหกพวกตนว่าโลกมีขนาดไม่ใหญ่กว่าฝ่ามือและฝ่าเท้า กบได้สาปให้มนุษย์และผีอยู่แยกกันคนละโลก โลกของมนุษย์จะมีความเจ็บป่วยและความตาย มีฝนและร้อน ใบไม้จะร่วงหล่นจากต้น ป่าจะเติบโตเบาบางและมนุษย์จะไม่สามารถลุกขึ้นได้อีกดังเช่นที่พวกเขาเคยทำในวันที่ 13 หลังจากตายแล้ว (น.54) ม้งเชื่อว่า อีกโลกหนึ่ง (the Other World) มีเทพ Ntxwj Nyug และ Nyuj Vaj Tuam Teem เป็นผู้ปกครอง เทพทั้งสองมีหน้าที่ต่างกัน ดังนี้ Ntxwj Nyug อยู่บนยอดเขาใหญ่ คอยเฝ้าดูแลประตูที่วิญญาณคนตายจะต้องผ่านก่อนจะกลับไปยังหมู่บ้านของบรรพบุรุษ และชอบการเลี้ยงฉลอง เป็นผู้ตัดสินวิญญาณคนตายและกำหนดการกลับมาเกิดใหม่ของสัตว์ พืชผักและมนุษย์ ส่วน Nyuj Vaj Tuam Teem เป็นผู้ออกใบอนุญาตให้วิญญาณกลับมาเกิดใหม่ เทพทั้งสององค์จะร่วมกันควบคุมชีวิตและความตาย เมื่อใบอนุญาตให้มีชีวิตหมดอายุ เฉพาะ shaman เท่านั้นที่สามารถติดต่อกับ Ntxwj Nyug เพื่อขอให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ (น.54) นอกจากนั้น ในโลกอื่นยังมีมังกรโบราณอาศัยอยู่ด้วย มังกรที่อายุมากที่สุดชื่อ Zaj Laug เป็นผู้ควบคุมน้ำบนพื้นโลก และควบคุมฝนให้ตกลงมายังโลก กล่าวกันว่า มังกรตัวนี้จะปรากฏตัวเป็นสายรุ้ง (a rainbow หรือ zaj sawv) อาศัยอยู่ในพระราชวังใต้ทะเลซึ่งเป็นที่ที่มังกรตัวนี้ปกครองโลกแห่งน้ำ (น.55) การติดต่อกับโลกอื่นสามารถทำได้หลายวิธี แต่มีวิธีที่สำคัญที่สุด 2 วิธี คือ ua dab เป็นการเซ่นไหว้ทำให้วิญญาณพอใจ(propitiating the spirits) และ ua neeb เป็นการเข้าทรง (shamanism) (น.58) ความเชื่อเกี่ยวกับผี "dab" หรือ "ผี" ในทัศนะของม้งมีความหมายกว้าง หมายรวมทั้งวิญญาณ (spirits) และพลังอำนาจเหนือธรรมชาติ แบ่งเป็นกลุ่มๆ ได้หลายกลุ่ม แต่กลุ่มที่สำคัญที่สุดมี 2 กลุ่ม คือ dab nyeg และ dab qus (น.55) - dab nyeg เป็นผีดี ประกอบด้วยผีบ้าน (dab qhuas) ที่อยู่ในส่วนต่าง ๆ ของบ้าน ช่วยปกป้องคุ้มครองสมาชิกในครัวเรือน (น.57) ได้แก่ 1. dab neej cuab ผีประจำเสาเอกของบ้าน ในม้งเขียว หัวหน้าครัวเรือนจะทำพิธีไหว้ทุก 2 หรือ 3 ปี ต่อครั้ง 2. dab qhov cub ผีประจำบริเวณเตาไฟ 3. dab qhov txos ผีประจำบริเวณบ้านส่วนที่ทำพิธีกรรม 4. dab nthab ผีประจำบริเวณส่วนข้างบนเหนือเตาไฟ 5. dab txhiaj meej ผีประจำขื่อประตูหน้าบ้าน เหนือประตูจะมีผ้าแดงติดไว้และมีเหรียญติดอยู่ ผ้าแดงนี้จะเปลี่ยนใหม่ทุกปีในช่วงปีใหม่ (น.57) การไหว้ผีประตูบ้านจะกระทำในวันแรกของงานฉลองปีใหม่ ที่หน้าประตูหน้าบ้านจะตั้งม้านั่ง 1 ตัว บนม้านั่งมีเทียน 1 เล่ม น้ำ 1 ชาม เหล้า 1 ขวด ถ้วยเหล้า 2 ใบ และไก่ทำแล้ว 1 ตัว หัวหน้าครัวเรือนและผู้ช่วยจะยืนอยู่ข้างในบ้าน สนทนาพูดคุยสั้น ๆ กับผู้ชายสองคนที่ยืนข้างนอกบ้าน ซึ่งเปรียบเสมือนคนส่งข่าวของสวรรค์ (the messengers of heaven) ระหว่างพิธีนี้ หัวหน้าครัวเรือนและผู้ช่วยจะดูแลและล้างด้านข้างของประตู ที่บนขื่อประตูจะมีเหรียญอันใหม่ตอกไว้ใต้กระดาษแดง ซึ่งกำหนดเป็นหิ้งของผีประตู (Txhiaj Meej) และป้ายเลือดไก่ไว้ที่ประตู ส่วนผู้ส่งข่าวทั้งสองจะโยนเงินกระดาษเข้าไปในบ้าน หิ้งกระดาษอันเก่าจะถูกเผา แล้วทำอันใหม่ขึ้นมาแทน สุดท้ายไก่ในบ้านจะถูกปล่อยออกมาและถูกเฝ้าดูพฤติกรรมอันเป็นลางบอกเหตุการณ์ของปีใหม่ ผู้ส่งข่าวทั้งสองจะได้รับเชิญให้เข้ามาในบ้าน โดยจะเดินไปยังหิ้งบูชา dab xwm kab 5 ก้าว อันหมายถึงอุดมสมบูรณ์ไปด้วยเด็ก ๆ ไก่ หมู ม้า วัว ข้าว ข้าวโพดและทอง ประตูบ้านจะปิดเมื่อผู้ส่งข่าวเข้าบ้าน เพื่อกันความเจ็บไข้และโชคร้ายไว้นอกบ้าน แล้วก็จบพิธี (น.62) 6. dab roog ผีประจำห้องนอนสามีภรรยา (spirit of the marital bedroom) จะอยู่ในผลน้ำเต้าแห้งที่เก็บไว้ในห้องนอน คอยดูแลชีวิตสมรสของสามีภรรยาให้กลมเกลียวกัน (marital harmony) การไหว้ dab roog จะทำอย่างน้อยที่สุด 3 ปีต่อหนึ่งครั้งเพื่อความสงบสุขและความเจริญรุ่งเรืองของครัวเรือนหรือสมาชิกแต่ละคน โดยหัวหน้าครัวเรือนเป็นผู้ทำพิธี (น.62) 7. dab xwm kab ผีแห่งความร่ำรวยและอุดมสมบูรณ์ จะอยู่ตรงข้ามกับประตูหน้าบ้าน มีหิ้งบูชาตั้งอยู่ตรงฝาผนัง คอยดูแลปกป้องคนในเรือน (น.57) การไหว้ผีแห่งความอุดมสมบูรณ์จะทำในช่วงงานฉลองปีใหม่ในวันสุดท้ายของปีเก่า พร้อมกับปรับปรุงซ่อมแซมหิ้งบูชาด้วย (น.62) นอกจากผีทั้งสองกลุ่มนี้แล้ว ยังมีผีกลุ่มอื่นอีก ได้แก่ dab tshuaj หรือผีเกี่ยวกับยา (spirits of medicine) ในบ้านข้างหิ้งบูชา dab xwm kab - ผีแห่งความอุดมสมบูรณ์ หรือหิ้งบูชาของ shaman จะมีหิ้งบูชา dab tshuaj อยู่ โดยปกติทั่วไปผู้หญิงจะเป็นผู้ทำพิธีบูชาผียา เพราะผู้หญิงมีความชำนาญความรู้เกี่ยวกับสมุนไพร (น.57- 58) ความเชื่อเกี่ยวกับวิญญาณคนตาย ม้งแบ่งวิญญาณคนตาย (souls) ออกเป็น 3 ส่วน ส่วนแรกจะเดินทางไกลไปเกิดใหม่ ส่วนหนึ่งอยู่ที่หลุมศพและอีกส่วนหนึ่งจะขึ้นไปเป็นอมตะบนสวรรค์ซึ่งเป็นบรรพบุรุษคอยดูแลปกป้องลูกหลานในโลกมนุษย์ (น. 77-78) และม้งยังเชื่อว่า วิญญาณคนตายจะปรากฏเป็นตัวจักจั่น ทั้งนี้เพราะหลังจากที่จักจั่นอยู่ในดิน 4 ปี ก็จะโผล่จากดินขึ้นมาเป็นตัวดักแด้ (a mobile pupa) แล้วจึงเติบโตกลายเป็นแมลง จักจั่นจึงเป็นเครื่องหมายของการกลับคืนมาจากหลุม(resurrection of the grave) ในเดือนเจ็ด (เดือนทางจันทรคติ) อันเป็นช่วงเวลาที่บรรพบุรุษกลับมาเยี่ยมเยียนญาติในโลกมนุษย์ จักจั่นจะส่งเสียงร้องเพื่อเตือนลูกหลานให้เพาะปลูก (น. 68) ความเชื่อเกี่ยวกับการเข้าทรง (Shamanism หรือ ua neeb) การเข้าทรงเป็นการติดต่อกับโลกอื่นหรือโลกเหนือธรรมชาติอีกแบบหนึ่งนอกจากการไหว้ผี (ua dab) มี 2 ชนิดใหญ่ ๆ คือ ua neeb muag duab (the dark-faced shamanism of the yin world) ซึ่งเป็นการเข้าทรง (possessive trance) สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง และ ua neeb muag dawb (the white-faced shamanism of the yang world) ซึ่งไม่เกี่ยวกับการเข้าทรงใดๆ อาจจะเรียนรู้จาก shaman คนอื่นได้ การติดต่อกับโลกอื่นทั้ง 2 แบบนี้ กล่าวกันว่า Siv Yis เป็นผู้สอน

นอกจากนี้ ยังมีการติดต่ออีกแบบหนึ่ง คือ ua txheeb เป็นการเสี่ยงทายอนาคตหรือสภาพขวัญของคนเจ็บ (น. 58) ม้งเชื่อว่า การเป็น shaman หรือ txiv neeb มิใช่เป็นได้เพราะการเรียนรู้จากคนอื่น หากต้องได้รับเลือกจากผี (neeb spirits) ให้เป็นพาหนะ (a vehicle) นำพลังอำนาจจากผีไปต่อสู้กับอำนาจการทำลายของ Ntxwj Nyug ผู้ที่เป็นพาหนะนี้จะเป็นหญิงหรือชายก็ได้ ผีจะแสดงให้คนที่ได้รับเลือกเห็นโดยการเข้าฝัน ถ้าคนที่ได้รับเลือกปฏิเสธ ไ ม่ยอมรับ ผีก็จะทำให้เขาลำบากทุกข์ยาก เจ็บป่วยรักษาไม่หาย ถ้าคนนั้นยังไม่แน่ใจสาเหตุของการเจ็บป่วย ก็จะไปปรึกษากับ shaman และถ้ายังคงเจ็บป่วยอยู่ shaman ก็จะวินิจฉัยว่า เป็นเพราะ dab neeb ต้องการให้เขาเป็นพาหนะส่งผ่านพลังอำนาจ คนที่ได้รับเลือกจะต้องไปหา Xib Hwm (a Master Shaman) ให้ช่วยเหลือแนะนำการเป็น shaman ซึ่งไม่ใช่การสั่งสอน เพราะม้งเชื่อว่าความรู้นี้ไม่มีใครสั่งสอนให้กันได้ เมื่อ shaman คนใหม่รู้สึกว่าสามารถควบคุมผีพันธมิตรของเขาได้ (his spirit allies) เขากับ master shaman จะทำพิธีเข้าทรง(a shamanic rite) ร่วมกัน เพื่อปลุกผี (the neeb spirits) และเดินทางไปโลกอื่นด้วยกัน (น.65) ภายในบ้านของ shaman จะมีหิ้งบูชาเฉพาะของตนอีกหิ้งหนึ่ง ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับหิ้ง dab xwm kab ระหว่างหิ้งบูชากับจันทันและกรอบประตูจะมีเส้นใยฝ้ายโยงไว้สำหรับเป็นทางเดินของ dab neeb เวลามาเยี่ยม shaman บนหิ้งบูชาจะมีสิ่งของต่าง ๆ เช่น น้ำ 1 ชามเป็นเครื่องหมายแทนบ่อน้ำมังกร เทียนหนึ่งเล่มสำหรับจุดให้แสงสว่าง ข้าวสาร 1 จานตรงกลางมีไข่วาง 1 ใบ หมายถึงนกจำพวกนกแก้วหรือนกแขกเต้า ซึ่งเป็นวิญญาณพิเศษของ shaman กระบอกไม้ไผ่ใส่น้ำ น้ำชาและเหล้าอย่างละหนึ่งกระบอก ข้าวเปลือกหรือข้าวโพดแทนฟางหรือหญ้าแห้งสำหรับม้าของ shaman เป็นต้น (น.66) ในช่วงปีใหม่ shaman ทุกคนจะต้องทำพิธี xa qhua neeb ซึ่งเป็นพิธีส่ง neeb จากหิ้งบูชาไปฉลองปีใหม่ในโลกของวิญญาณ และหลังปีใหม่ก็จะเชิญ qhua neeb กลับมา (น.71) พิธีกรรม การเรียกขวัญ (Hu Plig) ม้งเชื่อว่ามนุษย์มีวิญญาณหรือขวัญ (souls) ในร่างกายหลายดวง ขณะนอนหลับวิญญาณหรือขวัญจะออกจากร่างไปเที่ยวเล่น shaman ได้แบ่งวิญญาณที่ชอบท่องเที่ยวออกเป็น 5 กลุ่ม (น.68) ได้แก่ 1. ขวัญนก - ntsuj qaib ntsuj noog (the soul of the birds) 2. ขวัญต้นไม้ - ntsuj xyooj ntsuj ntoo (the soul of trees) 3. ขวัญวัว - ntsuj nyuj rag ntsuj nyuj rhi (the soul of the bull) 4. ขวัญสัตว์ตัวผู้ที่อยู่ในต้นสน - ntsuj nyuj cab ntsuj nyuj kauv (the soul of the buck-that-lives-in-the-pine-trees) 5. ขวัญของเงา - ntsuj daub ntsuj hlau (the soulof the shadow) การแบ่งขวัญเป็นสัตว์ พืช และภาพลักษณ์ของมนุษย์ (image of the human) เป็นไปตามการแบ่งโลกธรรมชาติของม้ง แต่ละส่วนของร่างกายอาจจะมีขวัญ (plig) มากกว่าหนึ่ง เมื่อเดินทางออกจากร่างกาย ขวัญจะมีรูปเป็นแมลงมีปีกตัวเล็ก ๆ (น.68) การออกไปนอกร่างกายนั้น บางครั้งขวัญอาจจะไปไกลจนหลงทาง หรืออาจจะเข้าไปในรูหรือโพรงที่นำไปสู่โลกอื่น หรืออาจจะถูกผีร้าย (dab qus) จับไว้ หรือบางครั้งถ้าตกใจ ขวัญก็อาจจะออกจากร่างกายไปไกล ที่เรียกว่า "ขวัญหาย" ซึ่งม้งเรียกว่า poob plig ทำให้เจ้าของขวัญไม่สบาย เจ็บป่วย และอาจตายได้ ดังนั้น จึงต้องทำพิธีเรียกขวัญให้กลับคืนมายังเจ้าของ การให้เด็กหรือผู้ใหญ่ที่เจ็บหนักสวมสร้อยเงินก็เพื่อผูกขวัญไว้กับร่างกาย นอกจากเรียกขวัญคนเจ็บแล้ว ในเด็กเกิดใหม่และเจ้าสาวก็ต้องทำพิธีเรียกขวัญด้วย (น.60) ปกติสถานที่ทำพิธีเรียกขวัญจะกระทำกันนอกบ้านในที่ที่เชื่อว่าขวัญของคนเจ็บหายไป ผู้เรียกขวัญจะไปยังที่แห่งนั้นพร้อมกับนำไก่ 1 ตัว ธูป เงินกระดาษที่จะเผาและเหล้าหมักจากข้าว 1 ขวด ผู้เรียกขวัญจะนั่งยอง ๆ ใกล้ ๆที่ที่จะเรียกขวัญ เมื่อเสร็จพิธี ตอนกลับเขาจะนำแมลงตัวหนึ่งจากที่ตรงนั้นกลับไปด้วย อันเป็นเครื่องหมายว่า ขวัญได้กลับมาแล้ว เพราะเชื่อว่าเมื่อขวัญออกนอกร่างกายจะมีรูปเป็นแมลง ระหว่างทางกลับบ้าน ถ้ามีน้ำขวางกั้น ทำให้ขวัญเดินทางลำบาก ก็จะต้องสร้างสะพานผี (a spirit bridge) ให้ขวัญข้ามกลับมายังหมู่บ้าน (น.61) การไหว้ผีบรรพบุรุษ (Laig Dab) ทำเพื่อขอให้บรรพบุรุษช่วยปกป้องคุ้มครองสมาชิกในครัวเรือนให้ปลอดภัยจากภัยอันตรายต่าง ๆ ทั้งจากผีร้ายและโชคร้าย ในวันสุดท้ายของปี ก่อนงานฉลองปีใหม่ หัวหน้าครัวเรือนจะทำพิธีไหว้บรรพบุรุษที่หิ้งบูชาใหญ่ประจำบ้าน (dab xwm kab) โดยนำข้าวและเนื้อไปวางที่กลางโต๊ะหน้าหิ้ง แล้วเชิญผีบรรพบุรุษมาร่วมเลี้ยงฉลอง หลังเสร็จสิ้นพิธีไหว้แล้ว สมาชิกในครัวเรือนและญาติใกล้ชิดที่ได้รับเชิญจะรับประทานอาหารร่วมกัน นอกจากวันสุดท้ายของปีแล้ว ในงานแต่งงานก็ต้องทำพิธีไหว้ผีบรรพบุรุษด้วย (น.60) พิธีสู่ขวัญเด็กแรกเกิด (Birth Rites) ม้งเชื่อว่า เด็กเกิดใหม่ยังมีขวัญไม่ครบ เมื่อเกิดได้ 3 วัน จึงต้องทำพิธีเรียกขวัญ (hu plig) ให้เข้ามาสู่ตัวเด็ก หลังจากทำพิธีแล้ว ห้ามคนนอกบ้านเข้ามาในบ้านเป็นเวลาหนึ่งเดือน (เดือนจันทรคติ) การสู่ขวัญนี้ใครที่รู้พิธีและถ้อยคำในพิธีก็สามารถประกอบพิธีได้ เด็กจะได้รับการตั้งชื่อจากผู้ประกอบพิธี สถานที่ทำพิธีจัดกันที่ระเบียงหน้าบ้าน บนพื้นดินจะปักกิ่งต้นเมเปิ้ลไว้ตรงมุมระเบียงทั้ง 4 มุม แล้วนำเส้นใยต้นกัญชงมาผูกโยงกิ่งไม้ทั้งสี่กิ่งเข้าด้วยกัน ผู้ประกอบพิธีจะยืนหันหน้าเข้าหาหุบเขา แล้วกล่าวคำเชิญขวัญที่ท่องเที่ยวอยู่ให้มาสู่เด็กแรกเกิด ของที่ใช้ในพิธีมีไก่ 1 ตัว เงินกระดาษสำหรับเผา ธูป ไข่ ข้าวหนึ่งจานวางบนโต๊ะ หลังจากเสร็จพิธี ผู้ประกอบพิธีจะกินอาหารร่วมกับครอบครัวเด็กและผูกข้อมือ (khi hluas) ทุกคนในพิธีด้วยเส้นใยกัญชง (น.60-61) พิธีกรรมเกี่ยวกับความตาย มีคนตายสามประเภทที่ม้งไม่ประกอบพิธีฝังศพให้ ได้แก่ คนที่ถูกฆ่าตายลึกลับหรือโหดร้าย เด็กที่ตายในท้องและเด็กที่ตายก่อนอายุครบ 3 วัน ทั้งนี้ม้งถือว่าเด็กเหล่านี้ยังไม่มีวิญญาณเนื่องจากยังไม่ได้ทำพิธีสู่ขวัญและตั้งชื่อ ในการประกอบพิธีศพ นอกจากผู้ประกอบพิธี (a master of ceremonies) ซึ่งมี 2 คนแล้ว ยังมีผู้ช่วยอีกหลายคน ส่วนมากจะเป็นชายหนุ่มทั้งนี้เพื่อจะได้เรียนรู้การทำพิธีที่ถูกต้อง ผู้ช่วยทำพิธีแต่ละหน้าที่จะมีเป็นคู่ เช่น เป่าขลุ่ย 2 คน ตีกลอง 2 คน ตัดฟืน 2 คน ทำโลง 2 คน ตักน้ำ 2 คน ยิงปืน2 คน สวดนำวิญญาณ 2 คน (น.72-74) พิธีศพจะเริ่มต้นด้วยญาติผู้ชายที่ใกล้ชิดยิงปืนไล่ผีร้าย (dab qus) ที่อาจจะทำร้ายวิญญาณคนตาย และที่นอกบ้านจะแขวนธงขาวไว้ ลูกชายและพวกญาติผู้ชายจะนำเหล้าไปเชิญเพื่อนบ้านและผู้ทำพิธีศพ พวกญาติ ๆ จะต้องมาร่วมพิธีศพ คนที่อยู่ใกล้จะมาถึงก่อนจะเริ่มพิธี ส่วนคนที่อยู่ไกลอาจจะมาถึงระหว่างพิธี ลูกชายจะช่วยกันอาบน้ำศพและแต่งตัวให้ผู้ตายด้วยชุดที่สวยงามที่สุดซึ่งทำขึ้นพิเศษสำหรับโอกาสนี้ ที่ผู้ตายจะเดินทางไกลไปหมู่บ้านของบรรพบุรุษ ในการเดินทางไปหมู่บ้านบรรพบุรุษจะต้องมีคนกล่าวเปิดทางสวดนำวิญญาณ - qhuab ke (the opening of the way) ให้แก่วิญญาณผู้ตาย นอกจากนั้น ในการเดินทางนี้ผู้ตายยังต้องนำรกที่ฝังตรงเสากลางบ้านไปด้วยสำหรับเป็นเสื้อคลุมเดินทาง ถ้าเป็นผู้หญิงรกจะฝังไว้ใกล้ ๆ กับตรงที่คลอด (น.72) เมื่อแต่งกายศพเรียบร้อยแล้วจะนำไปวางบนแคร่และตั้งไว้ตรงฝาผนังฝั่งตรงข้ามกับประตู พร้อมกับเป่าแคนเพลง qeej tsa nees (to lift onto the horse) (น.43) ใกล้กับศีรษะผู้ตายจะวางเหล้า 1 ขวด ไก่สุกแล้ว 1 ตัว ไข่ต้ม 1 ฟอง ธนู 1 คัน มีด 1 เล่มและร่มกระดาษ 1 คัน ที่ปลายเท้าจะวางรองแตะ 1 คู่ สำหรับให้คนตายใช้เพื่อข้ามไปโลกอื่นโดยปลอดภัย และที่ปลายเท้าและศีรษะจะจุดธูปขับไล่กลิ่นศพ ระหว่างวันทำพิธีผู้หญิงจะคอยเฝ้าศพปัดแมลงวันหรือแมลงอื่น ๆ ระยะเวลาการประกอบพิธีจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความสำคัญของผู้ตาย ยิ่งมีความสำคัญมาก จำนวนวันที่ประกอบพิธีก็ยิ่งมาก และจำนวนวันประกอบพิธีอย่างน้อยที่สุดนาน 3 วัน แต่ละวันครอบครัวผู้ตายจะฆ่าหมูหนึ่งตัวสำหรับเซ่นไหว้ กิจกรรมแต่ละวันที่สำคัญคือ ช่วงเวลาอาหารเช้า กลางวันและเย็น ก่อนอาหารแต่ละมื้อ จะเป่าแคนและตีกลอง บางครั้งอาจจะร้องเพลงสลับกับแคนและกลอง (น.74) และจะต้องนำอาหารไปให้ผู้ตาย โดยต้องนำข้าวและหมูยื่นไปที่ปากด้วย ขณะที่มีการเป่าแคน (rab queej) และยิงปืนเป็นเครื่องหมายผู้ตายกินอาหาร (น.74-75) การฝังศพ ก่อนฝังศพ ถ้าคนตายมีหนี้สิน จะต้องจ่ายชำระหนี้สินเหล่านั้นก่อน มิฉะนั้นหนี้สินจะติดตัวผู้ตายไปด้วย ซึ่งเชื่อกันว่าเมื่อกลับมาเกิดใหม่อาจจะทำให้เกิดเป็นหมูหรือสัตว์อื่น ๆ ในเรือนของเจ้าหนี้ (น.75) การกำหนดสถานที่ฝังศพ วันและเวลาฝังจะกระทำด้วยความระมัดระวัง ม้งมีความเชื่อเช่นเดียวกับคนจีนว่า ความมีโชคในชีวิตปัจจุบันของมนุษย์ขึ้นอยู่กับความเป็นอยู่ของบรรพบุรุษในโลกอื่น จะต้องตรวจสอบตำแหน่งที่ตั้งของภูเขา หุบเขาและแม่น้ำเพื่อหาที่ฝังศพที่เป็นมงคลอันจะทำให้ลูกหลานผู้ตายมีความเจริญรุ่งเรือง เมื่อหันหน้ามองลงมาจากยอดเขา ด้านซ้ายของภูเขาเป็นมังกร (the Azure Dragon) คือผู้ชาย ด้านขวาเป็นเสือ (the White Tiger) คือผู้หญิง ด้านซ้ายมือควรจะอยู่ต่ำกว่าด้านขวามือ และควรจะมีทางน้ำไหลลงไปยังบ่อน้ำที่เป็นบ่อน้ำของมังกรอันเป็นสถานที่เริ่มต้นของการกลับมาเกิดใหม่ (น.75) การทำพิธีฝังศพ จะมีเฉพาะผู้ชายเท่านั้นที่เข้าร่วมพิธีฝัง คนเป่าแคนจะเดินเป่าแคนนำขบวน ตามด้วยผู้นำพิธีที่นำไก่มา 1 ตัว เหล้า ข้าวและไข่ต้มครึ่งฟอง และมีเด็กหญิงคนหนึ่งถือถ่านติดไฟมาหนึ่งก้อนสำหรับให้แสงสว่างทางเดินแก่ผู้ตาย ก่อนขบวนศพจะหยุดครั้งแรก เด็กหญิงจะโยนถ่านแล้ววิ่งกลับหมู่บ้าน ขบวนศพจะหยุดหลายครั้งเพื่อทำให้ผีร้ายสับสน ไม่สามารถติดตามไปทำอันตรายวิญญาณผู้ตายได้ ในหลุมศพจะไม่ใส่สิ่งของที่ไม่เน่าเปื่อยลงไป เพราะถ้าจะให้การกลับมาเกิดใหม่ได้ผล ทุกสิ่งทุกอย่างในหลุมต้องเน่าเปื่อย แต่จะจุดธูป เผากระดาษและกล่าวชี้ทางให้แก่วิญญาณผู้ตาย หลังจากปิดฝาโลงและกลบดินแล้ว จะยิงลูกธนูติดไฟเหนือหลุมศพขึ้นไปในอากาศ และสับแคร่หามศพแล้ววางไว้บนหลุม ม้งจะไม่วางศพหันศีรษะไปทิศตะวันออกหรือหันหน้าเข้าหาแสงอาทิตย์ ทั้งนี้เพราะเชื่อว่า จะทำให้มองไม่เห็น ซึ่งจะทำให้ลูกชายลูกสาวของผู้ตายโชคไม่ดี (น.76) การชำระล้างมลทิน (purification and cleansing rituals) จะกระทำในระหว่างเดินทางกลับบ้านหลังจากฝังศพแล้ว ในวันรุ่งขึ้นหลังจากวันฝัง และในวันที่สามหลังจากวันฝัง โดยรายละเอียดของการประกอบพิธีจะต่างกันไปในแต่ละสายตระกูล แต่ทั่วๆไปการทำพิธีวันที่สาม จะกลับไปที่หลุมศพ ปัดกวาดหลุมศพให้เรียบร้อย นำกิ่งไม้ใบไม้มาวางบนหลุม หรือเอาหินมาวางกองบนหลุม (น.76-77) พิธี xi plig เป็น พิธีเฉพาะคนในครอบครัว หัวหน้าครัวเรือนเป็นผู้ประกอบพิธี เมื่อครบ 13 วัน ครอบครัวผู้ตายจะทำพิธี xi plig เพื่อเชิญวิญญาณส่วนหนึ่งของผู้ตายกลับบ้าน วิญญาณที่เชิญมานี้ไม่ใช่วิญญาณที่จะกลับไปเกิดใหม่ แต่เป็นวิญญาณที่อยู่กับร่างในหลุม ซึ่งอาจจะกลายเป็นวิญญาณร้ายได้ ถ้าไม่เอาใจให้ดีและไม่บอกให้กลับมาระหว่างทำพิธี xi plig หัวหน้าครัวเรือนและสมาชิกจะไปที่หลุมศพเซ่นไหว้ จากนั้นจะเชิญวิญญาณคนตายกลับบ้านพร้อมเขา ในพิธีไม่มีการเป่าแคนหรือตีกลอง (น.77-78) การปล่อยวิญญาณ - tso plig (releasing the soul) เป็นพิธีกรรมการตายพิธีสุดท้าย พิธีนี้จะทำภายในหนึ่งปีหลังจากการตาย เพื่อปล่อยวิญญาณให้ไปเกิดใหม่ การประกอบพิธีอาจใช้เวลา 1-2 วัน พิธีเป็นช่วงเวลาของความสุข เพราะคนตายจะไปเกิดใหม่ ถ้าทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี วิญญาณก็จะไปเกิดเป็นคนม้งในตระกูลเดิม (น.78-79)

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

การรักษาการเจ็บป่วยมี 2 แบบ คือ รักษาด้วยสมุนไพรกับรักษาด้วยการเข้าทรง(shamanism)

ถ้าเจ็บป่วยม้งจะรักษาด้วยสมุนไพรก่อน ถ้าไม่หายจึงปรึกษา shaman หรือบางครั้งอาจจะใช้ทั้งสองวิธีพร้อมกันก็ได้ (น.58)

การรักษาด้วยสมุนไพร ส่วนมากผู้หญิงจะเป็นผู้รักษา ผู้หญิงม้งมีความชำนาญในการใช้สมุนไพรโดยเฉพาะผู้หญิงที่มีอายุ สมุนไพรแบ่งออกเป็นสมุนไพรป่า (wild herbs) และสมุนไพรที่ปลูกเอง (tame herbs) โดยทั่วไป ม้งจะใช้เฉพาะส่วนที่เป็นรากเท่านั้น จะมีบ้างบางครั้งที่ใช้ใบ (น.58)

การรักษาด้วยการเข้าทรง (shaman treatment) เมื่อจะรักษาด้วยวิธีนี้ หัวหน้าครัวเรือนจะเลือก shaman โดยใช้ไข่เสี่ยงทาย ด้วยการวางไขบนปากขวดหรือหลังมือ พร้อมกับนึกชื่อของ shaman ในใจ ถ้าไข่ยังอยู่ที่เดิมก็เป็นอันใช้ได้ หัวหน้าครัวเรือนจะไปพบ shaman ขอให้ช่วย shaman จะโยนเขาสัตว์เสี่ยงทายเพื่อดูอาการเจ็บป่วยแบบใดและผีผู้ช่วยของเขาสามารถจัดการได้หรือไม่ เขาจะรอดูอาการคนไข้ 3 วัน ถ้าอาการแย่ลงก็แสดงว่าผีผู้ช่วยของเขาไม่สามารถจัดการได้ ต้องไปหา shaman คนอื่นรักษา แต่ถ้าอาการดีขึ้นเขาก็จะติดต่อกับผี (dab qus) ที่อาจจะจับขวัญหรือวิญญาณที่ไปท่องเที่ยวไว้ บางกรณีเขาอาจจะต่อรองกับ Ntxwj Nug (the Lord of the Other World) โดยตรง เพื่อขอยืดอายุคนเจ็บ ด้วยการแลกเปลี่ยนวิญญาณคนเจ็บกับวิญญาณของหมู หรือไก่ (น.66-67) การรักษานี้มี 2 ขั้นตอน ได้แก่ การดูอาการ - ua neeb saib (to see) หรือ ua neeb qhua การดูอาการเป็นการวินิจฉัยสาเหตุการเจ็บป่วยด้วยการเข้าทรงที่บ้านคนเจ็บ ถ้าสาเหตุการเจ็บป่วยมาจากวิญญาณบรรพบุรุษที่ลูกหลานยังไม่ได้ทำพิธีกรรมหลังการฝังศพ shaman ก็ไม่ต้องทำอะไรต่อไปอีก ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของลูกหลานของวิญญาณผู้ตายทำพิธีกรรมให้ถูกต้องเหมาะสม แต่ถ้าขวัญที่หายไปของคนเจ็บยังอยู่ในโลกนี้แต่ไปพันกับ (entwined) ทารกในครรภ์มารดาที่กำลังคอยการเกิด ก็ต้องทำพิธีเข้าทรงเพื่อแยกวิญญาณออกจากกัน หรือถ้าขวัญหลงเข้าไปในโพรงหรือรูที่ไปสู่โลกอื่น shaman ก็ต้องดำเนินการรักษาตอนต่อไปคือ ua neeb kho (to heal) โดย shaman จะเข้าทรงที่บ้านคนเจ็บเพื่อออกตามหาวิญญาณหรือขวัญที่หายไป ระหว่างนี้อาจจะทำพิธีเซ่นไหว้หมู วิญญาณหมูจะไปเปลี่ยนแทนที่วิญญาณหรือขวัญที่ถูกจับไว้ หลังจากเสร็จพิธีแล้ว shaman และเจ้าของบ้านจะกินเลี้ยงร่วมกัน และ shaman จะได้รับหัวหมูกับขาหน้าของหมูเป็นการตอบแทน (น.69-70)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

เพลงและดนตรี ม้งแยกการร้องเพลงออกจากการเล่นดนตรีและการเต้นรำ ม้งไม่ร้องเพลงประกอบดนตรีหรือการเต้นรำ ม้งชื่นชมการร้องเพลง และจะร้องเพลงก็เมื่อรู้สึกอยากจะร้อง เสียงเพลงจึงออกมาจากจิตวิญญาณ และคนอื่นๆ ก็จะหยุดและฟังเพลงด้วยความซาบซึ้ง (น.40)

เครื่องดนตรีม้งแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มตามจุดมุ่งหมายในการเล่น (น.40-41) ได้แก่

กลุ่มที่ 1 ใช้เล่นเพื่อแสดงความยินดีพอใจ ได้แก่ ขลุ่ย (flutes)

กลุ่มที่ 2 ใช้เล่นในพิธีกรรมเพื่อติดต่อกับโลกของวิญญาณและความตาย และบรรเลงระหว่างพิธีศพ ได้แก่ แคน- qeej (mouth organ) และกลอง - nruas - กลอง ที่ใช้ในงานศพ ตัวกลองทำจากลำต้นของต้นไม้ หน้ากลองทำจากหนังวัว กลองจะตีตลอดพิธีศพ (น.44) - แคน ทำด้วยไม้ไผ่มีกล่องลมทำจากไม้เนื้อแข็ง มีคอยาวซึ่งเป็นท่อสูงขึ้นมาจากกล่องลมเชื่อมกับปากเป่า แคนมี 2 ชนิด คือ ntiv qeej ทำด้วยไม้ไผ่ 6 ลำ และ xyoob qeej ทำด้วยไม้ไผ่ 5 ลำ (น.42) การเล่นแคนต้องระมัดระวังเพราะเป็นเครื่องมือสำหรับติดต่อกับโลกอื่น ม้งจะไม่เล่นเพลงแห่งความตาย (qeej tuag) ในบ้าน ยกเว้นแต่เมื่อมีงานศพ การเรียนและฝึกฝน เพลงจะกระทำกันในป่า เพราะเสียงเพลงของแคนดึงดูดวิญญาณร้ายและจะทำให้เกิดอันตรายน้อยกว่า นอกจากงานศพแล้ว ยังใช้แคนบรรเลงเพลงในพิธีฉลองการเกิดและพิธีฉลองปีใหม่ด้วย อย่างไรก็ดี การไม่เล่นแคนในที่สาธารณะนี้ไม่ได้รวมไป ถึงบทเพลงที่เล่าเรื่องราวบรรพบุรุษ วีรบุรุษและตำนานของม้ง (น.42-43)

กลุ่มที่ 3 ใช้บรรเลงเพื่อแสดงคำรักของหนุ่มสาว ได้แก่ ncas (jews harp) (น.40-41) หัตถกรรม - ช่างเหล็ก ผู้ชายม้งส่วนมากมีความสมารถในการตีเหล็ก แต่ก็มีจำนวนน้อยที่มีโรงตีเหล็กและอุปกรณ์การตีเหล็กครบชุด งานตีเหล็กเป็นความชำนาญพิเศษที่ทำในยามว่าง อย่างไรก็ดี ม้งไม่มีความรู้เกี่ยวกับการหลอมเหล็กหรือเงิน พวกเขาต้องนำเหล็กหรือเงินมาจากคนพื้นราบหรือพ่อค้าคนจีน (น.46-47)


นอกจากของใช้เครื่องมือเพาะปลูกแล้ว ม้งยังทำเครื่องประดับเอง ได้แก่ กำไลคอ ซึ่งเด็กม้งทุกคนที่อายุครบ 30 วันจะได้รับในพิธีฉลองอายุคนละหนึ่งเส้น กำไลมือซึ่งสวมกันทั้งผู้หญิงและผู้ชาย แหวน และต่างหูซึ่งเฉพาะผู้หญิงเท่านั้นที่ใส่ต่างหู (น.47-48) การทอผ้า ผู้หญิงม้งปลูกต้นกัญชง (hemp หรือ cannabis sativa) เพื่อนำเส้นใยของต้นกัญชงมาทอผ้า โดยจะตัดต้นกัญชงในเดือน กรกฎาคม - สิงหาคม นำไปผึ่งแดดให้แห้งแล้วลอกเส้นใยออกมา จากนั้นจึงนำเส้นใยไปปั่นและต้ม ผ้าที่ทอจะมีหน้ากว้างประมาณ 35 เซนติเมตร (13 นิ้ว) เมื่อทอเสร็จแล้วก็จะนำผ้าไปซักน้ำเย็นอีกครั้งหนึ่งแล้วตากให้แห้ง (น.49-50) การทำบาติค เฉพาะผู้หญิงม้งเขียวเท่านั้นที่วิธีทำบาติคและย้อมผ้ากระโปรงเป็นสีน้ำเงิน (blueness) ซึ่งม้งมองว่าเป็นสีเขียว(greenness หรือ ntsuab ในภาษาม้ง) ผู้หญิงและเด็กหญิงจะช่วยกันทำผ้ากระโปรงในเวลาว่าง ขั้นตอนการทำเริ่มจากทำผ้าให้เรียบและนุ่ม จากนั้นจึงทำลายเส้นรูปทรงเรขาคณิตบนผ้า แล้วลงขี้ผึ้งตามเส้นเหล่านั้นโดยใช้หัวปากกาบาติค (a batik pen) เมื่อลงขี้ผึ้งเสร็จและขี้ผึ้งแห้งแล้ว ก็จะนำผ้าไปแช่ในน้ำคราม (indigo) ประมาณหนึ่งชั่วโมงจึงนำผ้าออกมาตากให้แห้ง การย้อมจะทำหลายครั้งจนกว่าสีของผ้าจะมีสีตามที่ต้องการ จากนั้นจึงนำผ้าไปต้มน้ำร้อนเพื่อให้ขี้ผึ้งออก (น.50-51) การเย็บปักเสื้อ การเย็บปักเป็นความชำนาญและการผ่อนคลายจากงานประจำของผู้หญิง เสื้อผ้าม้งเกือบทุกชิ้นจะมีการปักเย็บตกแต่งตามชายเสื้อ คอเสื้อของผู้หญิงด้านหลัง ปลายผ้าพันเอวของผู้ชาย หมวกของเด็กๆ และชายกระโปรงของผู้หญิงม้งเขียว (น.53)

Folklore

ตำนานเกี่ยวกับวีรบุรุษ : นายขมังธนู ม้งเชื่อว่า แต่ก่อนมีดวงอาทิตย์ 9 ดวงหมุนรอบโลก แต่มีนายขมังธนูชื่อ Kaj Yuam ได้สร้างธนูคันแรกจากเหล็กและทองแดงแล้วยิงธนูไปยังดวงอาทิตย์ 8 ดวงหล่นจากท้องฟ้า ซึ่งทำให้เกิดความแห้งแล้งและความตาย ส่วนดวงอาทิตย์ดวงที่ 9 ตกใจจึงหนีไป ไม่ปรากฏให้เห็นอีกจนกระทั่งได้ยินเสียงไก่ขันจึงได้โผล่ออกมา (น.56) จักรพรรดิม้ง (the Hmong Emperor) Tswb Tchoj เกิดจากการรวมกันระหว่างหมูป่าตัวผู้กับมนุษย์ผู้หญิง Tswb Tchoj เกิดมาแล้วหลายภพหลายชาติและได้ต่อสู้กับชาวจีน เป็นกษัตริย์ (Vaj) หรือจักรพรรดิ (Huab Tais) ของจีน แต่ถูกกลลวงจากคนจีนทำให้สูญเสียสิทธิการสืบทอดมรดก และก็ตายในที่สุด Tswb Tchoj จึงได้สัญญาว่าจะกลับมายังโลกนี้อีกเพื่อช่วยเหลือคนของเขา ซึ่งม้งบางคนยังคงเชื่อว่าเขาจะกลับมา Tswb Tchoj เป็นภาพของผู้นำตามคำพยากรณ์ของกระบวนการผีบุญม้ง (the various messianic movements) ในการต่อต้านผู้มีอำนาจปกครอง (น.56) ความเป็นมา/กำเนิดของ shaman (txiv neeb) ม้งเล่ากันว่า เมื่อแรกเริ่ม Ntxwj Nyug ได้ฆ่ามนุษย์ตายเร็วกว่าการเกิด Saub จึงเสกเครื่องมือรักษาของเขาให้มีชีวิต ชื่อ Siv Yis มีอำนาจรักษาคนเจ็บและคนตาย Siv Yis ปฏิบัติหน้าที่ด้วยดีจนกระทั่งตายและกลับไปอยู่กับ Saub ก่อนตายเขาสัญญาว่าจะกลับมาโลกมนุษย์และช่วยเหลือมนุษย์อีกในวันที่ 30 เดือน 12 (ปีใหม่) เมื่อถึงวันนัด Siv Yis ลงบันไดสวรรค์มาถึงครึ่งทางที่เป็นจุดพบกันของโลกมนุษย์กับสวรรค์ แต่มนุษย์กลับนอนหลับใหล ไม่มีใครมาต้อนรับ Siv Yis ก็โมโห จึงทิ้งเครื่องมือของเขาลงมายังโลกมนุษย์ ด้วยความสิ้นหวังในมนุษย์ เขาจึงกลับคืนสวรรค์ ส่วนเครื่องมือของเขาบางชิ้นที่ทิ้งลงมามีมนุษย์บางคนเก็บได้ แล้วลองนำไปใช้และพบว่ารักษาความเจ็บป่วยได้ คนเหล่านั้นจึงกลายเป็น shaman กลุ่มแรก ส่วนเครื่องมือที่พวกเขาใช้ก็กลายเป็นเครื่องมือของ shaman และทุกวันนี้ ในขณะเข้าทรง พวกเขาจะอ้างว่า พวกเขาเป็น Siv Yis (น.54-55)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ม้งในประเทศไทยและลาวมี 3 กลุ่มย่อย คือ ม้งเขียว - Hmoob Ntsuab (Green Hmong) ม้งขาว - Hmoob Dawb (White Hmong) และ Hmoob Quas Npab (Armband Hmong) ทั้งสามกลุ่มมีความต่างกัน ดังนี้ 1. ภาษา ภาษาของม้งเขียวและม้งขาวต่างกันที่การออกเสียงและคำศัพท์ แต่ก็ยังสามารถสื่อสารเข้าใจกัน ส่วน Hmoob Quas Npab พูดภาษาของม้งขาว (น.24) 2. การแต่งกาย ผู้หญิงม้งเขียวจะนุ่งกระโปรงผ้าบาติคสีน้ำเงินอัดกลีบมีลวดลาย ผู้หญิงม้งขาวนุ่งกางเกงสีน้ำเงินเหมือนผู้ชาย แต่ในช่วงงานฉลองปีใหม่ผู้หญิงม้งขาวจะนุ่งกระโปรงสีขาว ส่วนผู้หญิงม้ง Hmoob Quas Npab จะแต่งกายคล้ายผู้หญิงม้งขาว โดยที่แขนเสื้อ ของม้ง Hmoob Quas Npab จะมีแถบต่างจากม้งขาว (น.24) นอกจากนั้นรูปทรงกางเกงของผู้ชายม้งเขียวกับม้งขาวยังต่างกันอีกด้วย กางเกงของม้งขาวจะคล้ายกับกางเกงของคนลาวพื้นราบและคนไทยภาคเหนือ ส่วนกางเกงม้งเขียวจะหลวม ขายาว (very beggy with the legs being joined just above the feet) (น.25)

Social Cultural and Identity Change

ผู้เขียนสรุปการเปลี่ยนแปลงกว้าง ๆ ว่า การกดดันม้งในประเทศไทยให้เลิกปลูกฝิ่นและหยุดการเพาะปลูกแบบย้ายที่ (shifting cultivation) ทำให้หมู่บ้านม้งบางแห่งตั้งถิ่นฐานถาวร ขณะที่การเผยแพร่ศาสนาคริสต์นิกายต่าง ๆ ของมิชชันนารีทำให้ม้งมีตัวหนังสือใช้ ซึ่งช่วยให้ม้งสามารถสื่อสารกันได้กว้างขวางขึ้น แต่ในขณะเดียวกันศาสนาคริสต์ก็ทำให้เกิดการแตกแยกระหว่างม้งที่เป็นคริสเตียนกับญาติ ๆ ที่ไม่ใช่คริสเตียน (น.80-81)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

ไม่มี

Text Analyst อธิตา สุนทโรทก Date of Report 25 ก.ย. 2567
TAG ม้ง, วัฒนธรรม, วิถีชีวิต, ความเชื่อ, พิธีกรรม, ประเทศไทย, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง