สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject มุสลิม,คนจีน,ความสัมพันธ์,สุสานลิ้มกอเหนี่ยว,ปัตตานี
Author นันทิยา พิมลศิริผล
Title ความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาวจีนกับชุมชนชาวมุสลิมในจังหวัดปัตตานี : กรณีศึกษาสุสานลิ้มกอเหนี่ยว
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม, Language and Linguistic Affiliations ออสโตรเนเชี่ยน
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 173 Year 2543
Source หลักสูตรปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Abstract

ความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนจีนกับชุมชนมุสลิมในปัตตานี เกิดขึ้นเป็นระยะเวลานานแล้ว ทั้งนี้สืบเนื่องจากการที่ปัตตานีเป็น เมืองสำคัญในประวัติศาสตร์ และที่ตั้งของอาณาจักรลังกาสุกะที่มีความเจริญทางการค้าเป็นอย่างมาก มีการติดต่อค้าขาย กับชาวอาหรับ เปอร์เซีย อินเดีย จีน และชาวต่างประเทศอื่น ๆ อีกทั้งปัตตานียังมีสภาพภูมิศาสตร์ที่เหมาะสมกับการค้า สำคัญนี้ จึงเกิดชุมชนต่าง ๆ หลายชุมชนขึ้นในปัตตานี เมื่อมีการอยู่ร่วมกันของคนหลายชุมชนจึงเกิดความสัมพันธ์ขึ้น คนจีนและคนมาเลย์มุสลิมเป็นชนสองกลุ่มที่มีจำนวนมากในปัตตานี และสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างค่อนข้างสันติ ปราศจาก การกระทบกระทั่งกันอย่างรุนแรง แสดงให้เห็นถึงการปรับตัวและเรียนรู้ในการอยู่ร่วมกัน แม้ว่าคนมาเลย์มุสลิมจะนับถือ ศาสนาอิสลามซึ่งแตกต่างจากความคิดความเชื่อของคนจีน แต่มาเลย์มุสลิมก็ไม่ได้นำความแตกต่างมาเป็นสิ่งกีดขวางความสัมพันธ์ของคนทั้งสองกลุ่ม นอกจากนั้นการที่คนจีนมีความสามารถทางการค้าจึงเข้ามามีบทบาทในเศรษฐกิจของปัตตานี ทำให้ปัตตานีมีความเจริญมากขึ้น (หน้า บทนำ, 169-173)

Focus

เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนจีนกับมาเลย์มุสลิมในปัตตานี และเข้าใจถึงการดำเนินนโยบายของรัฐในการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ให้ความสำคัญต่อสถานที่ทางศาสนา และความเชื่อของชุมชน 2 ชุมชน คือ ชุมชนสุสานลิ้มกอเหนี่ยวและชุมชนมัสยิดกรือเซะ โดยเน้นที่สุสานลิ้มกอเหนี่ยว (หน้า 6)

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

ชุมชนจีนและมุสลิม : กรณีศึกษาในชุมชนกรือเซะและพื้นที่ในเทศบาลเมืองในจังหวัดปัตตานี (หน้า 6)

Language and Linguistic Affiliations

มุสลิมในปัตตานีใช้ภาษามลายูท้องถิ่นในการติดต่อสื่อสาร แต่จะแตกต่างจากภาษามลายูที่ใช้กันทั่วไปในมาเลเซีย ภาษาที่ใช้กันในปัตตานีจะมีเสียงห้วนสั้นและใช้คำง่ายกว่าภาษามลายูทั่วไป การเขียนภาษามลายูจะใช้ตัวอักษรอาหรับเป็นตัวเขียน เรียกว่า อักษรยาวี แต่ในปัจจุบันมุสลิมจะใช้อักษรโรมันที่เรียกกันว่า อักษรรูมี เขียนแทนอักษรยาวี ส่วนภาษาไทยจะใช้ในการติดต่อกับทางราชการเท่านั้น (หน้า 10)

Study Period (Data Collection)

ไม่ระบุ

History of the Group and Community

ศาสนาอิสลามเข้ามาพร้อมกับการเข้ามาติดต่อค้าขายของพ่อค้าชาวอาหรับ ชาวอาหรับจะถ่ายทอดวิถีชีวิตของพวกมุสลิมไป ตามเส้นทางการ ศาสนาอิสลามจึงได้แพร่กระจายตามไปด้วย โดยศาสนาอิสลามเผยแพร่ไปตามหมู่พ่อค้าประชาชนจาก บุคคลสู่ครอบครัว และแพร่กระจากไปถึงผู้ปกครอง ส่วนชาวมาเลย์ได้อพยพทางการเมืองเข้ามาตั้งถิ่นฐานและแต่งงานกับ ชาวพื้นเมืองดั้งเดิม นอกจากชาวมาเลย์มุสลิมแล้ว ยังมีมุสลิมเชื้อสายอื่นๆ เข้ามาอยู่ในปัตตานีอีกด้วย เช่น ชาวอาหรับ เขมร อินเดีย หรือชาวจีน ฯลฯ อย่างไรก็ตาม กลุ่มมุสลิมมักจะตั้งถิ่นฐานในลักษณะการรวมตัวเป็นกลุ่มใหญ่ เกิดเป็น หมู่บ้าน อาศัยอยู่บริเวณฝั่งแม่น้ำต่าง ๆ กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป และในทุกชุมชนจะมีการสร้างมัสยิดขึ้นเป็นศูนย์กลางของ คนในชุมชนเพื่อประกอบพิธีทางศาสนาและให้ความรู้ทางศาสนา ส่วนชาวจีนเห็นความเจริญรุ่งเรืองทางการค้าในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงอพยพเข้ามาทำการค้าและตั้งถิ่นฐานในบริเวณนี้รวมทั้งในปัตตานีด้วย (ประมาณพุทธศตวรรษที่ 3) โดยเฉพาะทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ของพระราชวังกรือเซะเป็น ที่ตั้งของชุมชนคนจีนขนาดใหญ่ และเมื่อจำนวนคนจีนเพิ่มมากขึ้น จึงมีการขยายชุมชนออกไปจากชุมชนเล็กบริเวณใกล้เคียงกระจายไปทั่วในเขตต่าง ๆ คนจีนให้ความสำคัญกับบรรพบุรุษเป็นอย่างมาก เพราะเชื่อว่าบรรพบุรุษของตนมีบทบาทสำคัญในการคุ้มครอง และในบริเวณที่อยู่อาศัยของคนจีนมักมีศาลเจ้าซึ่งเป็นศาสนาสถานของคนจีนตั้งอยู่ในชุมชนเพื่อประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อของตน ซึ่งในสมัยรัชการที่ 3 ได้มีการเข้ามาตั้งถิ่นฐานของต้นตระกูลคณานุรักษ์ ซึ่งเป็นตระกูลสำคัญในปัตตานีและมีบทบาทเกี่ยวข้องกับการสร้างศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว (หน้า 26-41)

Settlement Pattern

มาเลย์มุสลิมที่เข้ามาอาศัยในปัตตานี โดยมากมักจะตั้งถิ่นฐานในลักษณะการกระจุกตัวเป็นกลุ่มก้อน เกิดเป็นหมู่บ้าน เป็นชุมชนบริเวณฟากแม่น้ำต่างๆ กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป ส่วนชาวจีนที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานมักรวมกับเป็นชุมชน และเมื่อมีจำนวน มากขึ้นจะมีการขยายชุมชนออกไปจากชุมชนเล็กๆ บริเวณตลาดจนกลายเป็นชุมชนใหญ่ กระจายอยู่ทั่วไปในเขตอำเภอเมือง (หน้า 30, 40)

Demography

จังหวัดปัตตานีมีประชากรทั้งหมด 598,117 คน (หน้า 9)

Economy

ประชากรในจังหวัดปัตตานีมักประกอบอาชีพหลัก คือ การเพาะปลูก แบ่งได้เป็น 1. การทำนา ในปัตตานีมีการทำนา 2 ครั้ง คือ นาปี และ นาปรัง มีประชากรประกอบอาชีพทำนามากที่สุด คือร้อยละ 43.9 2. การทำสวน ได้แก่ สวนยางพารา สวนมะพร้าว เงาะ ทุเรียน มะม่วง ลองกอง ลางสาด สับปะรด ส้มโอ ขนุน มังคุด มะม่วงหิมพานต์ 3. การทำไร่ ได้แก่ ไร่อ้อย ไร่ข้าวโพด มันสำปะหลัง กาแฟ พริกไทย ถั่ว อาชีพหลักที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ การประมง ซึ่งมีประชากรประกอบอาชีพนี้ถึงร้อยละ 20.7 อีกทั้งมีการแปรรูปผลผลิต จากทะเลเพื่อขาย เช่น การทำกุ้งแห้งและปลาเค็ม ทำน้ำบูดู และน้ำปลา กะปิ ข้าวเกรียบปลา ข้าวเกรียบกุ้งและปลาหมึก แห้ง นอกจากนี้ ยังมีการทำนาเกลือ เลี้ยงสัตว์ ทำนากุ้ง ทำโอ่ง อิฐ กระเบื้อง ภาชนะเครื่องปั้นดินเผาต่าง ๆ ทำน้ำตาลโตนด ฯลฯ และประกอบอาชีพค้าขาย ส่วนคนจีน มักประกอบอาชีพค้าขายเป็นส่วนใหญ่ โดยระยะแรกที่เข้ามาเป็นการขายของชำ เร่ซื้อ เร่ขาย จนกระทั่งเป็นเจ้าของกิจการต่าง ๆ เช่น เหมืองแร่ ค้าข้าว โรงสี เดินเรือ ทำป่าไม้ ฯลฯ จะเห็นได้ว่าการค้าของคนจีนขยับขยายและเปลี่ยนฐานะของคนจีนกลายเป็นผู้ควบคุมเศรษฐกิจที่สำคัญในเวลาต่อมา (หน้า 9-13, 31-39)

Social Organization

การอยู่ร่วมกันของคนจีนและคนมาเลย์มุสลิมถูกเชื่อมโยงโดยมุสลิมเชื้อสายจีน ที่มีลักษณะผสมทั้งจากคนจีนและคนมาเลย์ มุสลิม ซึ่งได้รับการยอมรับจากชาวบ้านในปัตตานีว่า เป็นกลุ่มที่สืบเชื้อสายมาจากลิ้มโต๊ะเคี่ยม แสดงให้เห็นถึงความเป็นมา ของมุสลิมเชื้อสายจีน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ลิ้มโต๊ะเคี่ยมเป็นบรรพบุรุษของมุสลิมเชื้อสายจีนในปัตตานี และเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงไปเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนมาเลย์มุสลิม แต่ยังคงผูกพันกับคนจีนอยู่ ดังนั้นมุสลิมเชื้อสายจีนจึงมีความเกี่ยว ข้องทั้งกับคนจีนและมาเลย์มุสลิม ทำให้เกิดการเชื่อมโยงความสัมพันธ์กันได้ ส่วนมาเลย์มุสลิมนั้นมีลักษณะวัฒนธรรมเป็นแบบสังคมปิด ที่เป็นอย่างนั้นเป็นเพราะว่า วัฒนธรรมของมาเลย์มุสลิมมีผลมา จากศาสนาอิสลามซึ่งยึดมั่น ศรัทธาในพระเจ้า คือพระอัลลอฮฺองค์เดียวเท่านั้น และมีการปฏิบัติตนตามบทบัญญัติในคัมภีร์ อัลกุรอาน ซึ่งครอบคลุมในทุกด้านของการดำเนินชีวิตของมุสลิม ทำให้มาเลย์มุสลิมปฏิบัติตามหลักศาสนาอย่างเคร่งครัดเป็นวัฒนธรรมที่สืบเนื่องกันมา ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มเป็นไปได้ยาก ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าปัจจัยทางศาสนาเป็นส่วนประกอบที่เข้มแข็งที่สุดในเอกลักษณ์ของมาเลย์มุสลิม และมีส่วนที่แยกพวกเขาออกจากประชากรส่วนใหญ่ด้วย (หน้า 102-110)

Political Organization

มาเลย์มุสลิมอาศัยอยู่ในปัตตานีมาตั้งแต่สมัยอดีต จึงมีประวัติศาสตร์ของตนเองมาอย่างน้อยก็เป็นช่วงเวลาหนึ่ง โดยอาจถือ ได้ว่ามุสลิมเป็นเจ้าของพื้นที่ในดินแดนแถบนี้ แต่เมื่ออำนาจรัฐจากส่วนกลางเข้าไปควบคุมทำให้มาเลย์มุสลิมเห็นว่าตนถูกจำกัดอิสรภาพ จึงมีการต่อต้านโดยเห็นว่าเป็นการต่อสู้เพื่อเอกราชและอิสรภาพของตนเอง การที่นโยบายผสมกลมกลืนไม่ได้ผลในหมู่มาเลย์มุสลิมนั้นเป็นเพราะมาเลย์มุสลิมไม่ยอมรับการผสมกลมกลืนที่เกิดขึ้น เพราะว่า วัฒนธรรมของมาเลย์มุสลิมมีผลมาจากศาสนาอิสลามซึ่งยึดมั่น การศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น การปฏิบัติตนตามบทบัญญัติในคัมภีร์อัล-กุรอานซึ่งครอบคลุมในทุกด้านของการดำเนินชีวิตประจำวันของมุสลิม เป็นเหตุผลที่มาเลย์มุสลิมไม่ยอมรับการผสมกลมกลืนที่เกิดขึ้น การที่มาเลย์มุสลิมมีการปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัดตามหลักศาสนาอิสลาม มีภาษามลายูในการสื่อสาร และมีวัฒนธรรมอิสลามที่สืบทอดต่อๆ กันมา เมื่อมีการผสมผสานกลมกลืนโดยใช้วัฒนธรรมพุทธศาสนาจากส่วนกลางเข้าไปเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ความเชื่อและการปฏิบัติจึงทำให้มาเลย์มุสลิมทำการต่อต้าน เพราะมาเลย์มุสลิมเห็นว่ารัฐต้องการทำให้ค่านิยมทางสังคมและสถาบันวัฒนธรรมของมาเลย์มุสลิมอ่อนแอลงและกำลังโดยแทนที่ด้วยพุทธศาสนา ซึ่งสถาบันและค่านิยมทางสังคมเหล่านี้ได้ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการต่อต้านการแทรกแซงของรัฐในสังคมมาเลย์มุสลิม ดังนั้นยิ่งรัฐบาลพยายามจะกลืนสังคมมาเลย์มุสลิมมากเท่าใด มาเลย์มุสลิมจะรู้สึกไม่มั่นคงเกี่ยวกับเอกลักษณ์ของตน และค่านิยมทางสังคมและวัฒนธรรมซึ่งตนถือว่าศักดิ์สิทธิ์ และเปลี่ยนแปลงไม่ได้มากเท่านั้น ส่วนคนจีนผู้ที่อพยพมาอาศัยอยู่ในดินแดนที่ต่างถิ่น ต่างวัฒนธรรมดั้งเดิมของตน เมื่อจีนได้อพยพเข้ามาอยู่อาศัยจึงต้องสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มชนที่อยู่มาแต่เดิม และพยายามที่จะปรับตัวและยอมรับต่อนโยบายปกครองของรัฐ คนจีนไม่ได้มีความแตกต่างในการนับถือศาสนา อีกทั้งยังมีการรับและถ่ายทอดวัฒนธรรมซึ่งกันและกันระหว่างคนไทยและคนจีน ดังนั้นเมื่อเกิดนโยบายผสมผสานกลมกลืนจึงทำให้คนจีนบางคนเข้าไปอยู่ในวงราชการ จึงทำให้คนจีนได้รับการยอมรับมากขึ้น (หน้า 115-140)

Belief System

พิธีกรรมในสุสานลิ้มกอเหนี่ยวมีความสำคัญในการแสดงออกถึงความเป็นจีนได้ และแสดงออกซึ่งความคิดความเชื่อของคนจีน ที่มีต่อตัวพิธีกรรม อีกทั้งพิธีกรรมจะทำให้เรื่องเล่าของลิ้มกอเหนี่ยวมีความสมจริง และสนับสนุนอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ของลิ้มกอเหนี่ยว โดยพิธีกรรมจะจัดขึ้นในวันเช็งเม้ง ซึ่งเป็นงานฉลองวันพิธีไว้ศพเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว วันเช็งเม้งของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวตรงกับวันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 ตามปฏิทินจันทรคติของจีน คนจีนจะเดินทางไปยังสุสานเพื่อทำพิธีสักการะบูชา ผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาจะนำเครื่องเซ่นไหว้อันได้แก่ ข้าวปลาอาหาร หมู เป็ด ไก่ แพะ ผลไม้ และกระดาษเงินกระดาษทองไปกราบไหว้เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว และมีการแห่เจ้าแม่ไปที่กรือเซะ ผู้ประกอบพิธีกรรมเป็นเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิเทพ ปูชนียสถานซึ่งเป็นผู้ดูแลศาลเจ้าและสุสาน มีการร่วมมือกันทำความสะอาดสุสานของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว หลังจากจุดธูปเทียนกราบไหว้บูชาเจ้าแม่เรียบร้อยแล้ว จะมีการเผากระดาษเงินกระดาษทองที่จัดเตรียมไว้ การเซ่นไหว้นี้เป็นการระลึกถึงเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว เพื่อแสดงความเคารพและศรัทธาที่มีอยู่ มีความเชื่อว่าเจ้าแม่จะช่วยปกป้องคุ้มครองรักษา ตลอดจนบันดาลความสุขความเจริญให้เกิดขึ้นกับผู้ที่มีความศรัทธาและครอบครัว (หน้า 82-101)

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีข้อมูล

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

มาเลย์มุสลิมและคนจีนได้ตั้งถิ่นฐานอยู่ในปัตตานีบริเวณกรือเซะ-บานา มาตั้งแต่อดีต ระยะแรกเป็นชุมชนเล็ก ๆ แต่จากการเป็นเมืองท่าค้าขายจึงทำให้มีคนจำนวนมาเข้ามาอยู่อาศัย บริเวณนี้จึงเกิดการขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว มีชาวต่างชาติเข้ามาทำการค้าขายและเข้ามาตั้งถิ่นฐานในบริเวณนี้เป็นจำนวนมาก มีการอยู่อาศัยปะปนกันระหว่างคนจีนและมาเลย์มุสลิม โดยมุสลิมจะตั้งบ้านเรือนตามริมฝั่งแม่น้ำ ส่วนคนจีนจะตั้งบ้านเรือนทางตะวันออกเฉียงใต้ของพระราชวังกรือเซะ ทั้งสองกลุ่มจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม เกิดตลาดเพื่อทำการค้าขายในการอยู่ร่วมกัน ช่วยเหลือพึ่งพาอาศัยกัน แม้ว่าคนจีนนั้นมีลักษณะทางวัฒนธรรมที่เปิดกว้าง แต่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของตนไว้ขณะที่มาเลย์มุสลิมมีลักษณะวัฒนธรรมเป็นสังคมปิด ปฏิเสธที่จะยอมรับวัฒนธรรมของชนกลุ่มอื่นที่แตกต่างจากตน แต่ในปัตตานีมีความแตกต่างจากดินแดนอื่นๆ คือคนจีนสามารถอยู่ร่วมกับมาเลย์มุสลิมได้เป็นอย่างดี มีการผสมผสานกันโดยการแต่งงานทำให้เกิดมุสลิมเชื้อสายจีนขึ้น อาจเป็นเพราะคนจีนมีลักษณะของการปรับตัวเข้ากับผู้อื่นได้ง่าย จึงไม่มีปัญหาในการอยู่ร่วมกับคนกลุ่มอื่นๆ ที่ต่างจากตน (หน้า 102-114)

Social Cultural and Identity Change

ไม่มีข้อมูล

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Text Analyst วศิน เชี่ยวจินดากานต์ Date of Report 01 ม.ค. 2548
TAG มุสลิม, คนจีน, ความสัมพันธ์, สุสานลิ้มกอเหนี่ยว, ปัตตานี, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง