|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มุสลิม,นโยบายรัฐ,การศึกษา,ปอเนาะ,สี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ |
Author |
อรรณพ เนียมคง |
Title |
นโยบายการศึกษาของรัฐบาลต่อชาวไทยเชื้อสายมลายูในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเนเชี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
93 |
Year |
2538 |
Source |
หลักสูตรปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร |
Abstract |
ปอเนาะถือเป็นสถานที่ที่ให้ความรู้ในด้านต่าง ๆ ของคนที่นับถือศาสนาอิสลาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องศาสนา การเมือง การปกครอง กฎหมาย คุณค่าทางสังคม ประเพณี และภาษา ปอเนาะจึงเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งของมุสลิมในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และก็เป็นอุปสรรคที่สำคัญที่สุดในการพยายามกลมกลืนวัฒนธรรมของรัฐ รัฐมีนโยบายให้มีการศึกษาภาคบังคับให้แก่เด็กไทยเชื้อสาย มลายูอย่างทั่วถึงพร้อมเพื่อพยายามยกเลิกปอเนาะไปด้วยการเปลี่ยนปอเนาะให้เป็นโรงเรียนราษฎร์ที่เน้นการสอนศาสนาอิสลามก่อให้เกิดผลกระทบขึ้นในหมู่สังคมคนไทยเชื้อสายมลายู ซึ่งมีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยกับรัฐ ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย และฝ่ายที่เป็นกลางไม่แสดงท่าทีชัดเจนว่าอยู่ฝ่ายไหน ในที่สุดฝ่ายเห็นด้วยกับรัฐและฝ่ายที่ไม่แสดงท่าทีได้ยอมรับการเปลี่ยนแปลง ในขณะที่ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยได้ออกมาต่อต้านอย่างรุนแรงในรูปการเข้าร่วมกับขบวนการต่อต้าน โดยอ้างว่าการเปลี่ยนแปลงปอเนาะเป็นการทำลายวัฒนธรรมของคนไทยเชื้อสาย มลายู การก่อการรุนแรงเพื่อต่อสู้กับอำนาจรัฐและการปราบปรามเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในช่วงปี พ.ศ. 2510 เป็นต้นมา การใช้ความรุนแรงเข้าไปยุติปัญหาของมุสลิมในสี่จังหวัดภาคใต้ ทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว เกิดความไม่ปลอดภัยในชีวิต เกิดความหวาดระแวง ระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐกับคนไทยเชื้อสายมลายู รวมทั้งคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธด้วย สถานการณ์ดังกล่าวได้ส่งผลกระทบไปถึงสภาพเศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง โดยส่วนรวมในสี่จังหวัดภาคใต้ และภาพพจน์ของประเทศไทยด้วย (หน้า บทคัดย่อ) |
|
Focus |
ศึกษานโยบายของรัฐบาลในการจัดการศึกษาสำหรับคนไทยเชื้อสายมลายูในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และปัจจัยหรือเงื่อนไขที่นำไปสู่การกำหนดนโยบายดังกล่าว (หน้า 2) |
|
Ethnic Group in the Focus |
คนไทยเชื้อสายมลายูในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (หน้า 3) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาที่ใช้กันในหมู่คนไทยเชื้อสายมลายูถูกเรียกกันหลากหลาย เช่น ภาษามลายูท้องถิ่น ภาษามลายู ภาษายาวี มีส่วนน้อยที่พูดภาษาไทยได้ (หน้า 6) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
|
Economy |
สภาพอากาศของสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นแบบเขตอิทธิพลมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ และลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้มีฝนตกชุก อาชีพส่วนใหญ่ของคนในแถบนี้จึงเป็นการทำสวน ทำนา และการประมงชายฝั่ง แต่การทำนาจะไม่ค่อย ได้ผลนักเพราะสภาพดินไม่เหมาะสมกับการทำนามากนัก ส่วนสภาพภูมิประเทศจะเป็นที่ราบสูงลาดจะทิศตะวันตกเฉียงใต้ ไปทางทิศตะวันออก และไม่มีที่ราบกว้างพอเหมาะต่อการทำนา นอกจากบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำปัตตานีในจังหวัดปัตตานี ที่ราบลุ่มแม่น้ำบางแห่งเป็นดินพรุ ซึ่งมีมากในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และไม่เหมาะสมต่อการเพาะปลูกพืชชนิดต่าง ๆ แต่พื้นที่ในบริเวณนี้ แต่เหมาะแก่การประกอบอาชีพการทำสวนยางพารา สวนผลไม้ สวนมะพร้าว และจะนำผลิตผลที่ได้ ไปนำมาแลกเป็นสิ่งของเพื่อการอุปโภคและบริโภค โดยยางพาราถือเป็นสิ่งสำคัญอันดับหนึ่งของจังหวัดชายแดนภาคใต้ และนอกจากนั้นยังมีการปลูกทุเรียน มังคุด เงาะ มะพร้าว และมีการทำนาเกลือ (หน้า 7-8) |
|
Social Organization |
สภาพสังคมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีสภาพค่อนข้างทุรกันดาร การจัดตั้งปอเนาะเป็นการกระจายชุมชนออกไปตามพื้นที่ ต่าง ๆ รอบ ๆ ปอเนาะก็จะมีการตั้งบ้านเรือนและชุมชน ซึ่งมีลักษณะการประกอบอาชีพทำสวน ทำนา ทำไร่ ปอเนาะนอก จากจะถือว่าเป็นที่ให้การศึกษาแล้ว ยังเป็นศูนย์กลางของชุมชนและหมู่บ้าน "โต๊ะครู" ผู้จัดตั้งปอเนาะจึงถือว่าเป็นผู้ที่มีความสำคัญและบทบาทต่อบุคคลชั้นนำในสังคมไทยเชื้อสายมลายู และยังเป็นบุคคลชั้นนำในหมู่บ้าน ตำบลอีกด้วย เป็นผู้รู้ทางศาสนา เป็นผู้เสียสละและเป็นผู้อุทิศชีวิตเพื่อการศึกษาของพระเจ้า โต๊ะครูจึงย่อมเป็นบุคคลที่มีความสำคัญต่อสังคมของคนไทยเชื้อสายมลายู (หน้า 13-14) |
|
Political Organization |
ภายหลังนโยบายการศึกษาของรัฐในเขตสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำให้คนมาเลย์มุสลิมที่ไม่พอใจรวมกลุ่มกันตั้งตัวเป็นผู้ก่อการร้าย มีความมุ่งหมายทำลายความเสียหายแก่บรรดาคนไทยนับถือศาสนาพุทธ เพราะคนไทยนับถือศาสนาพุทธและคนจีน ค้าขายในตลาดต่าง ๆ เป็นกลุ่มคนที่อพยพเข้ามาทำกินในภายหลังตามนโยบายของรัฐ ซึ่งคนไทยเชื้อสายมลายู่ย่อมสำนึกอยู่เสมอว่า คนไทยพุทธเหล่านี้คือ กลุ่มคนที่มาแย่งที่ทำกินของเขา เขาจึงต่อต้านและคัดค้านมาตลอด ในขณะที่ข้าราชการครู คือ สัญลักษณ์เป็นตัวแทนของอำนาจรัฐที่เข้ามากลมกลืนและทำลายล้างวัฒนธรรมของชาวมลายู เอาวัฒนธรรมพุทธเข้าแทน ที่โดยมาในรูปของการศึกษา ทำให้รูปแบบเอกลักษณ์ทางประเพณีของสังคมต้องสูญเสีย จึงทำให้ในช่วง พ.ศ.2510-2517 พื้นที่สี่จังหวัดภาคใต้เป็นพื้นที่อันตราย การปราบปรามรุนแรงมากเท่าใด การต่อต้านก็โต้ตอบมากเท่านั้น ประชาชนผู้บริสุทธิ์ ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งในพื้นที่สี่จังหวัดภาคใต้ หลัง พ.ศ.2516 นโยบายเกี่ยวกับสี่จังหวัดภาคใต้ก็เริ่มเปลี่ยนแปลง รัฐบาลเริ่มมองเห็นนโยบายการเข้าไปเปลี่ยนแปลงและผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมเพื่อสร้างความสำนึกในความเป็นไทย ตามที่ต้องการโดยเข้าไปดำเนินการเปลี่ยนแปลงสถาบันการศึกษาและศาสนาซึ่งเป็นสถาบันสำคัญของสังคมมุสลิมโดยตรงนั้น ที่ไม่อาจประสบผลสำเร็จได้เพราะได้รับการต่อต้านอย่างรุนแรง ดังนั้น รัฐบาลจึงได้เล็งเห็นรูปแบบใหม่เป็นกระบวนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม โดยสอดแทรกนโยบายประสมประสานเข้าไป คือ รัฐต้องพยายามทุกวิธีการที่จะแก้ปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งในเรื่องสังคม วัฒนธรรม การเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ จิตวิทยาสังคมและการป้องกันประเทศ ในคราวเดียวพร้อม ๆ กัน (หน้า 88-89) |
|
Belief System |
คนไทยเชื้อสายมลายูนับถือศาสนาอิสลามมีความเชื่อมั่นต่อพระเจ้า คือ องค์พระอัลเลาะห์ การปฏิบัติในชีวิตประจำวันก็ดำเนินตามหลักศาสนา ขนบธรรมเนียมประเพณี ภาษา จึงได้รับอิทธิพลจากศาสนาอิสลามทั้งสิ้นโดยเฉพาะการศึกษา ซึ่งสามารถถ่ายทอดและรักษาเอกลักษณ์ของประเพณี ขนบธรรมเนียมจารีตวัฒนธรรมให้กับสังคมได้อย่างมั่นคงถาวร ดังนั้น ภาษาจึงเป็นวัฒนธรรมที่เป็นสิ่งที่สำคัญต่อการถ่ายทอดคุณค่าทางวัฒนธรรมอิสลาม จากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง (หน้า 5) |
|
Education and Socialization |
ขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมของคนไทยเชื้อสายมลายูในภาคใต้ของประเทศไทยอยู่บนพื้นฐานแนวคิดของศาสนาอิสลามเป็นหลัก ตลอดจนการปฏิบัติในพิธีต่าง ๆ ในศาสนาอิสลาม ศาสนาอิสลามนอกจากจะเป็นแหล่งของความเชื่อทางศาสนาแล้ว ยังมีส่วนในด้านต่าง ๆ ในชีวติประจำวันของคนในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ว่าจะเป็นด้านการครองเรือน การศึกษา ปรัชญา และอื่น ๆ อีกมากมายด้วย ดังนั้น การได้ศึกษาใน "ปอเนาะ" จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับชีวิตของชาวมลายูผู้นับถือศาสนาอิสลาม ความรู้ในปอเนาะที่เกี่ยวกับศาสนาอิสลามจะสอนด้วยภาษาอาหรับและมลายู โดยทั้งทางด้านความศรัทธา การปฏิบัติ ด้านจริยธรรม เกี่ยวกับประวัติ ภาคครอบครัวมรดก และมีการสอนเนื้อหาในพระคัมภีร์อัลกุระอานด้วย โดยจะสอนทั้งการเขียน การแต่ง และการแปล ให้ครบตามรูปแบบการสอน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถและความรอบรู้ของโต๊ะครูเป็นสำคัญ เพราะหลักสูตรในปอเนาะแต่ละที่ไม่เหมือนกัน โดยจะขึ้นอยู่กับความรู้ดั้งเดิมของโต๊ะครูเป็นสำคัญ ต่อมารัฐบาลได้มีนโยบายการศึกษาในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ รัฐได้ดำเนินการให้การศึกษาแก่คนไทยเชื้อสายมลายูอย่างเป็นระบบ โดยในปี พ.ศ.2504 ได้เริ่มนำปอเนาะมาจดทะเบียน และปอเนาะที่จดทะเบียนแล้ว สามารถปรับปรุงเป็นโรงเรียนราษฎร์สอนศาสนาอิสลามในปี พ.ศ.2514 ซึ่งถือว่าเป็นการสิ้นสุดของการศึกษาปอเนาะแบบดั้งเดิม ประชาชนในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีคนไทยเชื้อสายมลายูอาศัยอยู่เป็นส่วนใหญ่ต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาแบบใหม่ ถึงแม้ว่าปอเนาะจะเปลี่ยนแปลงเนื้อหาและระบบการเรียนการสอนแล้วก็ตาม (หน้า 10-11, 69-75) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
|