|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
กะเหรี่ยง,วัฒนธรรมชุมชน,การอนุรักษ์,ทรัพยากรป่าไม้,ลำปาง |
Author |
เอกชัย เครืออินต๊ะ |
Title |
วัฒนธรรมชุมชนในการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
-
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
84 |
Year |
2540 |
Source |
หลักสูตรปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาสิ่งแวดล้อม บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล |
Abstract |
เน้นศึกษาถึงปัจจัยทางสังคมทั้งภายในและภายนอก เช่น วิถีชีวิตความเป็นอยู่ ความเป็นมา ประเพณีและวัฒนธรรม การศึกษา และปัจจัยสิ่งแวดล้อม ถิ่นที่อยู่อาศัย ที่มีผลต่อการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ของชุมชนกะเหรี่ยง อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง |
|
Focus |
ศึกษาปัจจัยทางสังคมและปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ของชาวเขากะเหรี่ยง อ. แม่เมาะ จ.ลำปาง |
|
Theoretical Issues |
ผู้วิจัยได้วางกรอบแนวคิดกว้าง ๆ โดยเน้นการอนุรักษ์ธรรมชาติของชุมชนกะเหรี่ยงเป็นหลัก ด้วยวิถีชิวิตที่ผูกพันกับธรรมชาติมาก จนก่อให้เกิดวัฒนธรรมชุมชนขึ้นมา ซึ่งมีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง คือ 1.ปัจจัยทางสังคม ประกอบด้วย ความสัมพันธ์ ของเครือญาติ ซึ่งคนในหมู่บ้านส่วนมากจะเป็นเครือญาติกัน ลักษณะการประกอบอาชีพ เมื่อก่อนจะทำการเกษตรกรรมเพื่อ ยังชีพเพียงอย่างเดียว ปัจจุบันเริ่มมีอาชีพที่หลากหลายมากขึ้น และยังมีความเชื่อและประเพณีของชุมชนเกี่ยวกับเรื่องการนับถือวิญญาณและผี ซึ่งถือเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดแบบแผนของวัฒนธรรมชุมชน 2.ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม อันได้แก่ สภาพป่าไม้ สภาพอากาศและสภาพภูมิประเทศ เป็นตัวเอื้อและกระตุ้นทำให้เกิดวัฒนธรรมชุมชน ซึ่งทั้ง 2 ปัจจัยนี้ทำให้เกิดพฤติกรรมและนำไปสู่การวางแผนและกำหนดกิจกรรมในการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ขึ้นมา ( หน้า 18 - 19, 30-31 ) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กะเหรี่ยงจัดอยู่ในตระกูลธิเบต แบ่งออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ มีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไปตามถิ่นที่อยู่ เป็นชนเผ่าที่รักถิ่นฐานบ้านเกิด ชอบอาศัยอยู่ในแหล่งป่าที่อุดมสมบูรณ์ |
|
Language and Linguistic Affiliations |
รากศัพท์ของภาษากะเหรี่ยงยังไม่ทราบที่มาแน่ชัด สันนิษฐานว่ามาจากภาษาในตระกูลจีน - ธิเบต บ้างก็ว่าคล้ายกับภาษาในตระกูลธิเบต - พม่ามากกว่า ส่วนภาษากะเหรี่ยงสะกอและกะเหรี่ยงโปว์ จะคล้ายกับภาษาในตระกูลมอญ-เขมร (Mon-Khmer) (30) นอกจากภาษากะเหรี่ยงแล้ว กะเหรี่ยงส่วนมากยังสามารถพูดภาษาไทยเหนือ (คำเมือง) และภาษาไทยกลางได้เนื่อง จากเวลาอยู่ที่โรงเรียนเด็ก ๆ ต้องใช้ภาษาไทยกลางในการสื่อสารเท่านั้น กะเหรี่ยงบางเผ่าสามารถพูดภาษาพม่าได้ (34) |
|
Study Period (Data Collection) |
ผู้วิจัยได้ใช้วิธีการสังเกตอย่างมีส่วนร่วม (Participant Observation) คือเข้าไปคลุกคลีและใช้ชีวิตในชุมชน ตั้งแต่เดือนมกราคม ถึง เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2540 เดือนละ 25 วัน โดยระยะแรกเป็นการทำความรู้จักและสร้างความคุ้นเคย ในระยะต่อมาเมื่อเป็นที่รู้จักและยอมรับโดยชุมชนแล้ว ทำให้การเก็บข้อมูลเป็นไปได้ง่ายและตรงกับความเป็นจริง เน้นวิธีการสังเกต การจดบันทึก การสัมภาษณ์ และการสนทนากลุ่มธรรมชาติ โดยใช้อุปกรณ์ภาคสนาม เช่น กล้องถ่ายรูป และเครื่องบันทึกเสียง (หน้า 4, 20-28) |
|
History of the Group and Community |
จากข้อสันนิษฐานที่มีอยู่ กะเหรี่ยงเคยอาศัยในตะวันออกของธิเบต ประมาณ 3,238 ปีมาแล้วได้ย้ายเข้าไปอยู่ในประเทศจีน ชาวจีนจะเรียกว่า โจว ถูกจีนรุกรานจึงถอยมาอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียงเกิดมีการปะทะกับชนชาติไทยจึงถอยไปอยู่ตามลำ น้ำโขงและแม่น้ำสาละวิน มีข้อสันนิษฐานว่ากะเหรี่ยงบางพวกเข้ามาอยู่อาศัยทางตอนใต้ก่อนที่ชนชาติไทยจะเข้ามาอยู่ แต่ส่วนมากจะค่อนไปในเขตพม่ามากกว่า กะเหรี่ยงจัดเป็นชาวเขาที่มีจำนวนประชากรมากที่สุด กระจายอยู่ตาม 14 จังหวัดทางภาคเหนือ จะเรียกชื่อแตกต่างกันออกไป เช่น กะเหรี่ยง, ยาง, ชาวพม่าจะเรียกว่า กะยิ่น, ทางภาคกลางเรียกว่า กะหร่าง กะเหรี่ยง ในประเทศไทยมี 4 กลุ่มใหญ่ๆ คือ 1. กะเหรี่ยงสะกอ หรือ ปะกาญอ หรือ คานยอ หรือคนไทยเรียกว่า ยางขาว เป็นกลุ่มที่มีประชากรมากที่สุด 2. กะเหรี่ยงโปว์ หรือ โพล่ง คนไทยเรียกว่า ยางโปว์ 3. กะเหรี่ยงปะโอ หรือคนไทยและคน พม่าเรียกว่า ตองตู 4. กะเหรี่ยงบเว หรือ คะยา คนไทยเรียกว่า ยางแดง (หน้า 29) ส่วนชุมชนกะเหรี่ยงที่ผู้วิจัยได้ศึกษานั้น แต่เดิมเคยอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านสลก-สลอย อำเภอเถิน จ.ลำปาง ต่อมาได้พากันย้ายมาอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำมาย อำเภอแจ้ห่ม จ.ลำปาง เมื่อ ปี พ.ศ. 2537 มีจำนวนประชากรเพิ่มมากขึ้น กะเหรี่ยงบางส่วนจึงแยกออกมาอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำสานซึ่งเป็นแหล่งที่มีความอุดมสมบูรณ์มาก (หน้า 32 ) |
|
Settlement Pattern |
ลักษณะการสร้างบ้านเรือนของกะเหรี่ยงคือเป็นบ้านชั้นเดียวใต้ถุนบ้านสูงประมาณ 2- 2.5 เมตร หลังคาสูง มุงด้วยหญ้าคา ใช้ ไม้ไผ่สานต่อกันกั้นเป็นฝาบ้านและประตู มีห้องเดียว มีเตาไฟอยู่กลางบ้าน ทำครัวบนบ้าน ใต้ถุนบ้านค่อนข้างสกปรกเนื่องจากมูลสัตว์ที่เลี้ยงไว้ เช่น หมู เป็ดและไก่ มีครกกระเดื่องอยู่ใต้ถุนบ้าน บางบ้านที่ค่อนข้างมีฐานะดีหรือมีการปลูกสร้างใหม่ ฝาบ้านจะใช้ไม้ เช่น ไม้สัก ไม้แดงและไม้เต็ง หลังคามุงด้วยสังกะสีหรือกระเบื้อง (หน้า 30,33) |
|
Demography |
จากการสำรวจเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2540 พบว่ามีประชากรกะเหรี่ยง 83 หลังคาเรือน 109 ครอบครัว เป็นผู้ชาย 213 คนและผู้หญิง 183 คน รวมทั้งหมด 401 คน แบ่งออกเป็นคุ้มเหนือ 72 หลังคาเรือนและคุ้มใต้ 11 หลังคาเรือน มีเพศชายมากกว่าเพศหญิง ส่วนใหญ่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ ด้วยนิสัยพื้นฐานของกะเหรี่ยงเป็นคนรักถิ่นฐานบ้านเกิด ไม่ว่ายังไงจะต้องกลับมาอยู่และทำมาหากินที่บ้านเสมอ (หน้า 32-33, 41) |
|
Economy |
กะเหรี่ยงชอบอาศัยอยู่ตามแหล่งป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ อาชีพหลัก คือ เกษตรกรรม เมื่อก่อนเป็นการเพาะปลูกเพื่อยังชีพหรือขายในหมู่บ้าน ปัจจุบันได้รับการสนับสนุนจากเจ้าหน้าที่หน่วยพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาช่วยแก้ไขปัญหาและส่งเสริมอาชีพ ได้แก่ ทำนา กะเหรี่ยงมีความสามารถในการทำนาดำแบบขั้นบันไดมาก แต่ผลผลิตออกมาไม่ค่อยดีเพราะว่าสภาพภูมิอากาศ ไม่เหมาะสม มีโรงสีข้าว 1 โรง แต่ชาวบ้านนิยมใช้ครกกระเดื่องมากกว่า ทำไร่ พืชที่นิยมปลูกมากคือ ข้าวไร่ เพราะว่าสามารถให้ผลผลิตดีที่สุด นอกนั้นยังมีปลูก กาแฟ กระเทียม ชา ข้าวไร่ ข้าวโพด ทำสวน พืชที่นิยมปลูกและสร้างรายได้เป็นอย่างดี คือ มะแข่น ส่วนที่ปลูกไว้กินเอง ได้แก่ มะม่วงพันธุ์เขียวเสวย พันธุ์หนองแซง ลิ้นจี่ และผักสวนครัว นอกจากนั้นยังมีการเลี้ยงสัตว์ เช่น หมู วัว ควาย ช้าง ซึ่งจะเลี้ยงให้หาอาหารกินเองตามธรรมชาติ อาชีพหาของป่าและค้าขาย มีร้านค้าทั้งหมด 5 ร้าน มีถนนตัดเข้าไปถึงหมู่บ้านเมื่อ พ.ศ. 2522 การเดินทางจึงสะดวกขึ้น บางฤดูกาลอาจจะมีรับจ้างบ้าง เช่น รับจ้างเกี่ยวข้าว และเก็บมะแข่น อาชีพเสริม เช่น การจักสาน การเพาะเห็ด การเลี้ยงสัตว์ กะเหรี่ยงมีระบบการชลประทานที่ดี มีการต่อท่อใช้ระบบประปาภูเขาจากห้วยแม่สานและยังมีบ่อน้ำตื้นอีก 4 บ่อ และรู้จักการทำไร่แบบหมุนเวียน เพื่อช่วยอนุรักษ์ดิน มีการปลูกพืชแบบผสมและแบบร่วม เมื่อก่อนกะเหรี่ยงจะใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าดหรือเทียนไขให้แสงสว่าง ปัจจุบันใช้ แผงโซล่าเซลแต่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ (หน้า 3,30-31,37,43-48,60-63,65-67,76-78,81) |
|
Social Organization |
ระบบครอบครัวของกะเหรี่ยงมีลักษณะเป็นครอบครัวขยาย มีสมาชิกอยู่รวมกันหลายครอบครัว นิยมมีผัวเดียวเมียเดียว คนในหมู่บ้านส่วนใหญ่จะเป็นเครือญาติกัน จะเคารพนับถือและเชื่อฟังคำสั่งสอนของพ่อแม่และผู้อาวุโสทำให้มีการถ่ายทอดความรู้ ประเพณี ความเชื่อต่าง ๆ สู่ลูกหลาน ผู้อาวุโสชายมีบทบาทในการเป็นผู้นำทางศาสนามากกว่าผู้อาวุโสหญิง การแต่งงาน : มักนิยมแต่งงานในเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม ส่วนใหญ่จะแต่งกับคนในหมู่บ้านเดียวกัน เมื่อรักชอบกันจะให้ผู้อาวุโสทั้งสองฝ่ายตกลงกัน ฝ่ายชายต้องเตรียมของไปสู่ขอ คือ เหล้าขาวที่ต้มเองใส่กระบอกไม้ไผ่ หรือที่เรียกว่าไม้เฮียะ ยาว 2 เมตร รมควันเพื่อป้องกันเชื้อราแล้วนำไปฝังดินไว้ 1-2 ปี หัวหมูและข้าวสวย ใส่ถาดไม้ไผ่ ก่อนวันที่จะไปสู่ขอฝ่ายหญิง ตอนกลางคืนญาติผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายจะทำพิธีแสดงความยินดีหรือเรียกว่าพิธีจ๊อย จะพูดเป็นภาษากะเหรี่ยง อวยพรให้มีความสุข เพาะปลูกดี โดยเริ่มจากบ้านเจ้าบ่าวก่อนแล้วเคลื่อนขบวนไปขออนุญาตในการแต่งงานที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน สิ้นสุดที่บ้านเจ้าสาว จนถึงเช้าของอีกวัน วันแต่งงานพิธีเริ่มประมาณ 14.00 น. ขบวนจะเคลื่อนไปที่บ้านเจ้าสาว โดยเจ้าบ่าวจะเอาผ้าสีแดงคลุมหน้า ในขบวนมี ญาติฝ่ายเจ้าบ่าว พ่อเฒ่าหรือหมอผีผู้ทำพิธี และผู้ช่วยหมอผีหรือคนที่จะสืบทอดตำแหน่งหมอผีร่วมด้วย เมื่อแต่งงานกันแล้วจะมาอาศัยอยู่กับครอบครัวฝ่ายหญิง เพราะว่าจะให้ความสำคัญกับฝ่ายหญิงเป็นหลัก จะนับถือพ่อแม่ ญาติและผีบรรพบุรุษของฝ่ายหญิง แล้วหลังจากนั้นจะแยกออกไปสร้างบ้านหลังใหม่ ในปัจจุบันเริ่มที่จะเป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้นคือประกอบด้วย พ่อแม่ และลูกประมาณ 2-3 คน แต่ยังคงพึ่งพาอาศัยและช่วยครอบครัวใหญ่ทำเกษตรอยู่ และเมื่อแต่งงานกันแล้วไม่ต้องไปอยู่ที่บ้านฝ่ายหญิงก็ได้ (หน้า 30,42,55,63-64,78) |
|
Political Organization |
ปี พ.ศ. 2507 มีการแต่งตั้งผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านและกรรมการหมู่บ้านอย่างเป็นทางการ ก่อนหน้านี้มีผู้ใหญ่บ้านมาแล้ว 8 คน ไม่สามารถอ่านออกเขียนได้ซึ่งเป็นปัญหามาก ผู้ใหญ่บ้านคนต่อไปจึงจำเป็นต้องรู้หนังสือบ้าง ในหมู่บ้านจะมีผู้ใหญ่บ้านจำนวน 1 คนซึ่งมาจากการเลือกตั้ง ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านจำนวน 5 คนโดยจะคัดเลือกกันเองและเสนอรายชื่อไปที่ อ.แม่เมาะเพื่อแต่งตั้ง และกรรมการหมู่บ้านจำนวน 9 คน ชาวบ้านจะช่วยกันคัดเลือก ไม่ต้องเสนอชื่อไปที่อำเภอ คนที่เป็นกรรมการหมู่บ้าน จะได้รับความไว้วางใจมาก ทุกวันอาทิตย์ สัปดาห์แรกของเดือน เวลา 7.00 น. จะมีการประชุมประจำเดือน ทุกหลังคาเรือนต้องเข้าร่วมประชุม แบ่งการปกครองออกเป็น 5 ฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายการศึกษา ฝ่ายปราบปราม ฝ่ายป้องกัน ฝ่ายสาธารณสุข และฝ่ายการเกษตร นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งกลุ่มหลายกลุ่ม เช่น กลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุข กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มหนุ่มสาว กลุ่มฌาปนกิจสงเคราะห์ มีหน่วยพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาคอยให้ความช่วยเหลือให้คำแนะนำกะเหรี่ยงให้พัฒนาขึ้นในทุกด้าน (หน้า 48-53) |
|
Belief System |
ศาสนา : กะเหรี่ยงจะนับถือในเรื่องที่เกี่ยวกับผีและวิญญาณมาตั้งแต่บรรพบุรุษ มี 2 อย่างคือ ผีบ้านหรือผีเจ้าที่ คือ ผีที่คอยปกปักรักษาหมู่บ้าน และผีเรือน คือ ผีบรรพบุรุษ ที่คอยคุ้มครองให้ลูกหลานอยู่เย็นเป็นสุข ปัจจุบัน กะเหรี่ยงหันมานับถือศาสนาคริสต์และพุทธมากขึ้น มีสำนักสงฆ์สันติธรรมซึ่งตั้งอยู่ที่คุ้มเหนือ มีพระสงฆ์จากทางอีสานมาจำพรรษาบ้างในช่วงเข้าพรรษา และโบสถ์คริสต์นิกายโปแตสแตนท์อยู่ที่คุ้มใต้ มีบาทหลวงเข้ามาช่วยสอนหนังสือเด็กๆ ช่วยดูแลด้านความเป็นอยู่และสาธารณสุข ปัจจุบัน มีกะเหรี่ยงที่นับถือศาสนาคริสต์รวม 8 หลังคาเรือน โดยการนับถือผีจะมีเฉพาะกลุ่มที่นับถือศาสนาพุทธเท่านั้น และจะเกี่ยวข้องกับประเพณีและพิธีกรรมที่มีมาแต่เดิม เช่น การเลี้ยงผีบ้านและผีเรือน พิธีขึ้นบ้านใหม่ งานศพ พิธีกินข้าวใหม่ พิธีขึ้นปีใหม่ การแต่งงาน และความเชื่อที่เกี่ยวกับธรรมชาติ คือ เชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างทุกสิ่งและยังสิงสถิตอยู่ในที่ต่างๆ เช่น ต้นไม้ใหญ่ จอมปลวก ถ้าใครไปทำลาย อาจจะเจ็บป่วยถึงตายได้ การนับถือในเรื่องนี้ส่งผลดีมากเพราะทำให้ในหมู่บ้านไม่มีคนกล้าทำความผิด (หน้า 31,54-55,64-65,69,78) พิธีกรรม : - ประเพณีเลี้ยงผีบ้าน : เป็นพิธีที่เซ่นสรวงผีเจ้าที่ให้ปกป้องดูแลหมู่บ้านและการเกษตรให้มีผลผลิตดี แบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ 1) เดือนกุมภาพันธ์ วันที่เลี้ยงจะตรงกับวันขึ้น 5 ค่ำ เดือน 10 เป็นเดือนที่เริ่มลงมือทำไร่ทำนาและถือเป็นงานปีใหม่ของกะเหรี่ยงจึงจัดงานใหญ่กว่าช่วงเดือนกรกฎาคม หมอผีจะทำพิธีผูกข้อมือด้วยด้ายดิบ มีการจุดพลุ ยิงปืน บางบ้านจัดงานรื่นเริงสนุกสนาน รวม 3 วัน คือ เลี้ยงผี 1 วัน อีก 2 วันห้ามคนแปลกหน้าเข้ามาและห้ามคนในหมู่บ้านไปค้างที่อื่น เครื่องเซ่นประกอบด้วย ไก่ต้ม 5-10 ตัว หมูต้มชำแหละแล้ว 1 ตัว โดยจะช่วยกันออกหลังคาเรือนละ 20-25 บาท และทุกบ้านจะต้องนำข้าวสารมาบ้านละ 1 ถ้วย จะทำพิธีที่หอผี เป็นบ้านเล็ก ๆ โดยหมอผีประจำหมู่บ้าน 2 คน จะขึ้นไปทำพิธี เริ่มตั้งแต่ 5 โมงเย็นถึงเที่ยงคืน ส่วนคนอื่นๆ จะอยู่ข้างล่าง ทุกคนในหมู่บ้านต้องเข้าร่วมพิธีนี้และจะร่วมรับประทานอาหารกัน (หน้า 56) 2) เดือนกรกฎาคม เข้าสู่หน้าฝนเป็นช่วงที่เริ่มและสิ้นสุดการทำการเกษตร จะตรงกับขึ้น 1 ค่ำ ถึงขึ้น 15 ค่ำ ส่วนใหญ่จะเลี้ยง ตรงกับวันขึ้น 5 ค่ำ พิธีกรรมจะคล้ายกับเดือนกุมภาพันธ์ ต่างกันที่ไม่มีพิธีผูกข้อมือ และไม่มีการจัดงานเฉลิมฉลอง (หน้า 56) ประเพณีการเลี้ยงผีเรือน : เป็นพิธีเซ่นสรวงให้บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วแต่วิญญาณยังคงวนเวียนอยู่ช่วยปกป้อง คุ้มครองให้รอดพ้นจากภัยพิบัติและโรคภัยต่างๆ จะประกอบพิธีกรรมก็ต่อเมื่อมีบุตร 2 คนขึ้นไปจะมีปีละ 1 ครั้ง คือ หลังเดือนกรกฎาคม หรือถ้ามีคนเจ็บป่วยก็ทำช่วงนั้นได้เลย เครื่องเซ่นประกอบด้วย ไก่ตัวผู้และไก่ตัวเมียอย่างละ 1 ตัว หมูตัวผู้และหมูตัวเมียอย่างละ 1 ตัว จำนวนวันที่ประกอบพิธีขึ้นอยู่กับจำนวนสมาชิกในครอบครัว เช่น ถ้ามี 5 คน ก็เลี้ยง 5 วัน โดยหัวหน้าครอบครัวจะเลี้ยงก่อนและเรียงตามลำดับไป (หน้า 56-57) |
|
Education and Socialization |
ในหมู่บ้านมีโรงเรียนระดับประถมศึกษา 1 แห่ง สังกัดสำนักงานประถมศึกษาแห่งชาติ ตั้งอยู่ระหว่างคุ้มเหนือและคุ้มใต้ เปิดสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนถึงประถมศึกษาปีที่ 6 ปัจจุบันมีนักเรียน 70 คน และครู 6 คน ถึงแม้ทางโรงเรียนจะมีทุนให้แต่นักเรียนส่วนมากก็ไม่ศึกษาต่อ เมื่อมีกิจกรรมชาวบ้านและโรงเรียนสามารถร่วมมือกันได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีหอกระจายข่าว 3 แห่ง คือ โรงเรียน สำนักสงฆ์ และที่หน่วยพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา มีที่อ่านหนังสือพิมพ์ประจำหมู่บ้าน อยู่ใกล้กับศูนย์สาธารณสุขมูลฐานชุมชน ไม่ได้รับความสนใจมากนักเพราะว่าชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่รู้หนังสือ บางบ้านยังมีวิทยุและโทรทัศน์คอยรับฟังข่าวสารต่าง ๆ บางครั้งมีหน่วยงานต่าง ๆ มาจัดอบรมให้ชาวบ้านในเรื่องต่างๆ อีกด้วย (หน้า 39-40,67-69,78) |
|
Health and Medicine |
เมื่อมีการเจ็บป่วยเกิดขึ้นกับสมาชิกในครอบครัว จะมีการทำพิธีการเลี้ยงผีบ้านตามความเชื่อแต่เดิม ปัจจุบันในหมู่บ้านจะมีศูนย์สาธารณสุขมูลฐานชุมชนซึ่งตั้งอยู่ที่คุ้มเหนือ เปิดบริการ วันจันทร์ พุธและศุกร์ เวลา 17.00 - 19.00 น. มีเจ้าหน้าสาธารณสุขมาให้คำปรึกษา วันปกติจะมีอาสาสมัครสาธารณสุขที่ได้รับการฝึกอบรมมาจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขอำเภอแม่เมาะคอยให้บริการ ให้คำปรึกษาและช่วยเหลือในเบื้องต้น (หน้า 39 - 40,50) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
เอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม : ชุมชนกะเหรี่ยงที่ผู้วิจัยได้ศึกษานั้นยังคงมีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่ยังคงปฏิบัติและสืบทอดกันมานาน ได้แก่ 1. ภาษาพูด 2. ลักษณะการสร้างบ้านเรือน 3. การทำนาดำแบบขั้นบันได 4. ประเพณีแต่งงาน 5. ประเพณีเลี้ยงผีบ้านและผีเรือน 6. ความเชื่อเกี่ยวกับธรรมชาติ 7. การเคารพนับถือผู้เฒ่าผู้แก่ (หน้า 30-31,44,55-57,61-62,64-69,78) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ปัจจุบัน วิถีการดำรงชีวิตของกะเหรี่ยงเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ได้แก่ 1. การสร้างบ้านจะใช้วัสดุที่แข็งแรงทนทานมากขึ้น เช่น ไม้สัก ไม้แดงและไม้เต็ง หลังคามุงด้วยสังกะสีหรือกระเบื้อง (หน้า 33) 2. การเดินทางสะดวกสบายมากขึ้น มีถนนเข้าไปถึงหมู่บ้าน มีรถยนต์ 5 คัน รถจักรยานยนต์ 11 คัน (หน้า 38) 3. หน่วยพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาเข้ามาช่วยเหลือและพัฒนาอาชีพเสริมให้เช่น จักสาน การเพาะเห็ด เลี้ยงสัตว์ การเพาะปลูก (หน้า 62 ) 4. เริ่มเป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น (หน้า 42) 5. นับถือศาสนาพุทธและคริสต์มากขึ้นมีวัดและโบสถ์อย่างละแห่งในหมู่บ้าน (หน้า 31, 54) 6. ได้รับบริการขั้นพื้นฐาน เช่น การสาธารณสุข การศึกษา สามารถพูดภาษาไทย (คำเมือง) เรียนภาษาไทย มีที่อ่านหนังสือพิมพ์และหอกระจายข่าว มีการใช้แผงโซล่าเซล โดยเก็บพลังงานไว้ในแบตเตอร์รี่ ใช้ระบบประปาภูเขา มีถังกักเก็บน้ำฝน (หน้า 36-40) 7. หลังจากแต่งงานกันแล้วไม่จำเป็นจะต้องไปอยู่บ้านฝ่ายหญิงก็ได้ และผู้หญิงมีบทบาทในการช่วยงานนอกบ้านมากขึ้น (หน้า 42) 8. มีการรวมกลุ่มกันเพื่อช่วยพัฒนาหมู่บ้านในหลาย ๆ ด้าน เช่น กลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุข กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มหนุ่มสาว กลุ่มฌาปณกิจสงเคราะห์ (หน้า 50 - 52) |
|
Other Issues |
ชุมชนกะเหรี่ยงที่ผู้วิจัยศึกษานั้น อาศัยอยู่ในแหล่งป่าที่อุดมสมบูรณ์ ชีวิตความเป็นอยู่ตั้งแต่เกิดจนตายต้องพึ่งพาอาศัยธรรมชาติ จึงทำให้เกิดความรัก ความหวงแหนและเห็นถึงความสำคัญของทรัพยากรป่าไม้อย่างยิ่ง คนในหมู่บ้านทุกคนจะช่วยดูแลป่าไม้ ไม่ทำไร่เลื่อนลอย ถ้าตัดไม้ไปต้องปลูกทดแทน ใช้ทรัพยากรอย่างประหยัดและเกิดประโยชน์มากที่สุด มีการปลูกพืชหมุนเวียนเพื่อรักษาหน้าดิน กะเหรี่ยงเชื่อว่ามีวิญญาณสิงสถิตอยู่ตามป่าเขา จึงทำให้เกิดความเคารพ นับถือ และไม่ทำลายป่าไม้ พวกเขาตระหนักอยู่เสมอว่า ป่าไม้มีคุณค่ามาก ทำให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล มีสัตว์ป่าและแหล่งอาหารอันอุดมสมบูรณ์ ปัจจุบัน มีหน่วยพัฒนาชาวเขาได้เข้ามาช่วยเหลือยกระดับคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพต่าง ๆ เช่น การเพาะเห็ด การจักสาน เลี้ยงสัตว์ (หน้า 58 - 70) |
|
Map/Illustration |
แผนที่ - แสดงที่ตั้งและสถานที่ต่าง ๆ ของชุมชน ( หน้า 34) ตาราง - แสดงจำนวนประชากรในหมู่บ้าน แยกตามเพศและอายุ ปีพ.ศ.2540 (41) |
|
|