|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ม้ง,นิทานพื้นบ้าน,วัฒนธรรม,ความเชื่อ,ศิลปะงานเย็บปักผ้า,สหรัฐอเมริกา |
Author |
Dia Cha, Norma J. Livo |
Title |
Folk Stories of the Hmong : Peoples of Laos, Thailand and Vietnam |
Document Type |
หนังสือ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
ม้ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
135 |
Year |
2534 |
Source |
จัดพิมพ์โดย Libraries Unlimited, lnc. พิมพ์ใน Engle wood, Colorado, The United States of America |
Abstract |
มีเนื้อหาครอบคลุมความเป็นมา วัฒนธรรม ความเชื่อและประเพณี ศิลปะพื้นบ้าน โดยเฉพาะศิลปะงานเย็บปักผ้าและนิทานพื้นบ้านของม้ง ตลอดจนพรรณนาถึงวิถีชีวิตของม้งในสังคมอเมริกัน |
|
Focus |
ความเชื่อ ประเพณี และวัฒนธรรมในนิทานพื้นบ้านและศิลปะงานเย็บปักผ้า "pa ndau" ของม้งในสหรัฐอเมริกา |
|
Theoretical Issues |
ผู้เขียนไม่ได้ระบุชัดเจนว่า ใช้แนวทฤษฎีอะไรเป็นกรอบหรือหลักในการจัดระเบียบข้อมูล ซึ่งเป็นนิทานพื้นบ้านที่รวบรวมมาจากคำบอกเล่าของม้ง และเรื่องราวที่ปรากฏในศิลปะงานเย็บปักผ้า "pa ndau" (ป้าเด๊า - analyst) ในชุมชนแห่งหนึ่งของลาว และจากม้งที่อพยพไปอยู่ในสหรัฐอเมริกา ผู้เขียนนำเสนอเรื่องราวเหล่านี้ เพื่อรักษาวัฒนธรรมพื้นบ้านที่กำลังจะสูญหาย และเพื่อให้ม้งที่อพยพไปตั้งถิ่นฐานและเกิดในสหรัฐอเมริกาเข้าใจถึงความคิด ความเชื่อ ประเพณี และวัฒนธรรมม้งของตนผ่านนิทานพื้นบ้านและงานศิลปะ (หน้า ix, x) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ผู้เขียนเรียกกลุ่มชาติพันธุ์ที่เขียนถึงว่า "ม้ง" และกล่าวว่าม้งจะเรียกตัวเองว่า "ม้ง" ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม กลุ่มชาติพันธุ์อื่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เรียกม้งว่า "Mang" หรือ "Mong" คนไทยและลาวเรียกม้งว่า "Meo" คนจีนเรียกม้งว่า "Miao" ซึ่งม้งมองว่าเป็นคำเรียกที่ดูถูกดูแคลน ที่ชาวจีนใช้เรียกคนต่างเผ่าพันธุ์ที่ไม่ใช่คนจีน และผู้เขียนได้พรรณนาถึงความเป็นมาของคำว่า Miao นี้ ตามที่มีนักวิชาการศึกษาไว้ (หน้า 1-2) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าภาษา "ม้ง" เป็นภาษาในตระกูลใด ม้งในสหรัฐอเมริกาที่ผู้เขียนระบุว่า พูดภาษาม้ง แต่ส่วนใหญ่จำเป็นต้องเรียนและพูดภาษาอังกฤษ เพื่อให้อยู่รอดได้ในสังคมใหม่ โดยเฉพาะม้งที่เกิดและเติบโตในสหรัฐอเมริกาจะพูดภาษาอังกฤษ (หน้า ix, x) |
|
Study Period (Data Collection) |
ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าศึกษาช่วงเวลาใด ระบุเพียงว่า ผู้เขียนร่วม Dia Cha หลังจากอพยพมาอยู่สหรัฐฯ ได้เริ่มบันทึกนิทานพื้นบ้านโดยการบอกเล่าของญาติ เพื่อน และม้งในชุมชนม้งในสหรัฐฯ ตลอดจนตีความจากเรื่องราวที่ปรากฏในงานศิลปะผ้าปักที่เรียกว่า "pa ndau" (ภาพประกอบหน้า 27-32) เมื่อรวบรวมได้แล้วมีการถกเถียงและทำให้กระจ่างเป็นเนื้อหาดังที่ปรากฏในหนังสือ (หน้า ix, x) |
|
History of the Group and Community |
เดิมม้งอยู่ในไซบีเรียและเอเชียกลาง ซึ่งอยู่ในการปกครองของจีน ม้งได้รับการกล่าวถึงเป็นครั้งแรกในข้อเขียนของจีนเมื่อ 4,257 ปีมาแล้ว ม้งมักอยู่ในฐานะทาส และบ่อยครั้งเป็นเป้าหมายของการถูกกวาดล้าง ในปี ค.ศ.1775 จีนภายใต้การปกครองของเมนจู บีบคั้นม้งอย่างมาก ม้งจึงอพยพไปตั้งถิ่นฐานบนเขตภูเขาในพม่า ลาว ไทย และเวียดนาม ปี ค.ศ.1959 ฝรั่งเศสแพ้สงครามในเดียนเบียนฟู เป็นครั้งแรกที่การเมืองระหว่างประเทศส่งผลกระทบต่อม้งในแถบอินโดจีนอย่างมาก ทศวรรษที่ 1960 ถึงทศวรรษที่ 1970 ในสงครามเวียดนาม ม้งเข้ากับสหรัฐฯ รบกับเวียดกงและร่วมปฏิบัติการในลาว บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก เมื่อสงครามยุติ สหรัฐฯ ถอนตัวออกจากลาวและเวียดนาม ม้งตกเป็นเป้าหมายของการกวาดล้าง จึงอพยพหนีข้ามแม่น้ำโขงเข้าไปอยู่ในประเทศไทย คาดว่าครึ่งหนึ่งของประชากรม้งตายระหว่างสงครามเวียดนามและถูกยิงตายระหว่างหนีข้ามโขงไปไทย และตั้งแต่ปี ค.ศ.1976 ม้งประมาณหนึ่งแสนคนจากค่ายอพยพในประเทศไทย อพยพไปตั้งถิ่นฐานใหม่ในสหรัฐอเมริกา (หน้า 1-2) |
|
Settlement Pattern |
ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าม้งในสหรัฐอเมริกามีรูปแบบการตั้งบ้านเรือนอย่างไร แต่กล่าวถึงการสร้างบ้านในถิ่นฐานเดิมไว้เล็กน้อยว่า บ้านม้งทุกหลังถูกสร้างขึ้นเพื่อที่จะให้สามารถมองเห็นภูเขาที่อยู่ห่างไกลจากประตูหน้าหรือประตูหลัง ก่อนสร้างบ้านจะขุดหลุมที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2-3 นิ้ว แล้วหยอดเมล็ดข้าวลงไปตามจำนวนคนในครอบครัว หากข้ามคืนเมล็ดข้าวถูกวิญญาณเคลื่อนย้ายไป ม้งเชื่อว่าจำเป็นต้องหาทำเลใหม่สร้างบ้าน ในหนังสือระบุว่ายกเว้นในพื้นที่ต่ำ ทุกบ้านจะถูกสร้างบนพื้นดิน บ่อยครั้งจะใช้ไม้รวกรองบนพื้นดินเพื่อระบายน้ำ แต่ละบ้านจะมีเตาก่อไฟ ห้องนอนจะอยู่ตามแนวผนังด้านหนึ่ง และไม่มีหน้าต่าง (หน้า 5) (แต่บ้านในนิทานหลายเรื่องที่ปรากฏในหนังสือ เป็นบ้านม้งซึ่งมีหน้าต่าง - analyst) |
|
Demography |
ไม่ได้ระบุชัดเจน ระบุเพียงว่า ตั้งแต่ปี ค.ศ.1976 มีม้งประมาณหนึ่งแสนคนจากค่ายอพยพบริเวณชายแดนไทย - ลาว อพยพไปสหรัฐอเมริกา (หน้า 1) |
|
Economy |
ไม่ได้ระบุชัดเจน ระบุเพียงว่า ข้าวเป็นธัญญาพืชหลักของม้งมาหลายชั่วอายุคน และทำการเกษตรแบบเลื่อนลอยด้วยวิธีโค่นถางและเผาต้นไม้มาเป็นอาหารพืชที่ปลูก (slash - and - burn) (หน้า 4-5) เมื่ออพยพไปอยู่สหรัฐอเมริกา ม้งไม่สามารถดำรงชีวิตด้วยโครงสร้างทางเศรษฐกิจแบบดั้งเดิมในสังคมอเมริกัน จำเป็นต้องปรับตัวอย่างมาก ทั้งหญิงและชายต้องออกหางานที่ไม่คุ้นเคยทำ เช่น ผู้หญิงหางานรับใช้ในโรงแรม (maid) ทำ เป็นต้น งานเย็บปักผ้า "pa ndau" ถือเป็นแหล่งรายได้อีกแหล่งหนึ่ง ทั้งโดยรับจ้างเย็บปักผ้าหรือทำขายเอง งานเย็บปักผ้าดังกล่าวปัจจุบัน ม้งในสหรัฐทำสินค้าจำนวนมากที่ไม่ได้ใช้ในวัฒนธรรมของตน แต่ทำเพื่อขาย เช่น ที่ใส่หมอน ผ้าปูโต๊ะ เย็บประดับกระเป๋า ผ้าประดับผนังบ้าน เป็นต้น แม้ผู้ชายม้งซึ่งในโครงสร้างสังคมเดิมจะไม่ทำงานที่ถูกแบ่งแยกอย่างชัดเจนว่าเป็นงานของผู้หญิง ยังจำเป็นต้องหันมาทำงานเย็บปักผ้า เพราะเป็นโอกาสที่จะทำให้เกิดรายได้ ซึ่งไม่มีโอกาสให้เลือกมากนัก (หน้า 11,13) |
|
Social Organization |
พรรณนาถึงเฉพาะม้งที่อยู่ในแถบภูเขาซึ่งเป็นถิ่นฐานเดิม ม้งมีครอบครัวขนาดใหญ่ หญิงม้งเมื่อเข้าสู่วัยสาวสามารถแยกนอนต่างหากจากครอบครัว เพื่อที่ชายหนุ่มจะไปเยี่ยมในเวลากลางคืนได้ แต่พ่อแม่ฝ่ายหญิงไม่สนับสนุนการมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน (premarital sex) และจะอับอายมากหากมีการตั้งครรภ์ก่อนแต่งงาน ตามประเพณีม้ง ผู้ชายเป็นฝ่ายขอผู้หญิง และให้สินสอดแก่ฝ่ายหญิง เมื่อแต่งงานแล้ว ภรรยาจะเข้าไปอยู่ในตระกูลของสามี การหย่าร้างกระทำได้ แต่จะถูกคัดค้านอย่างมาก หญิงม้งที่ออกจากบ้านสามีจะไม่มีสิทธิในตัวลูก ๆ ในอดีต กรณีที่หย่ากัน ครอบครัวของภรรยาจะต้องคืนสินสอดให้แก่สามี และระยะเมื่อไม่นานมานี้ ภรรยายังต้องจ่ายสามีในสิ่งที่เขาเคยให้เธอ ในกรณีของหญิงหม้าย บางครั้งที่ปฏิบัติกันคือ หญิงหม้ายจะกลายเป็นภรรยาของน้องชายสามีโดยอัตโนมัติ เนื่องจาก หากหญิงหม้ายนั้นแต่งงานใหม่กับชายอื่น สามีใหม่จะต้องจ่ายสินสอดส่วนหนึ่งให้กับครอบครัวของสามีคนแรก (หน้า 8-9 ) ม้งมีข้อห้ามไม่ให้พี่น้องในตระกูลแต่งงานกัน (หน้า 5) |
|
Belief System |
ศาสนา : ม้งเชื่อเรื่องผีและวิญญาณ (animistic) แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ - ผีธรรมชาติ ม้งเชื่อว่ามีวิญญาณประจำส่วนต่าง ๆ ของธรรมชาติ - ผีบรรพบุรุษ ม้งนับถือผีบรรพบุรุษในฐานะเทพเจ้า - ผีบ้านผีเรือน ม้งเชื่อว่าส่วนต่าง ๆ ของบ้านหรือในบ้านมีวิญญาณประจำเช่นกัน โดยทั่วไป ผีบ้านผีเรือนจะอำนวยสิ่งดี ๆ ให้แก่ครอบครัว แต่หากมีการล่วงเกิน อาจส่งผลในทางร้าย เช่น ทำให้ป่วยทางกายหรือทางจิต (mental) ต้องทำพิธีเซ่นด้วยการฆ่าสัตว์หรือพิธีอื่น ๆ จึงจะหาย เป็นต้น ม้งเชื่อว่าวิญญาณร้ายจะอยู่ตามทางเดินหรือในบริเวณที่ไม่ใช่ที่อยู่ของคน ด้วยเหตุนี้ ม้งจึงไม่ชอบเดินทางคนเดียวในที่ที่ไม่ใช่เขตที่อยู่อาศัย (หน้า 3) พิธีกรรม : ส่วนใหญ่เกี่ยวกับวงจรชีวิตและการผลิต เช่น การเกิด การตาย แต่งงาน การรักษาพยาบาล การเพาะปลูก-เก็บเกี่ยว เป็นต้น บุคคลที่ประกอบพิธีกรรมที่ค่อนข้างครอบคลุมวิถีชีวิตของม้งคือ หมอผี (Shaman) ในหนังสือระบุว่า หมอผีเป็นทั้งหมอยา นักจิตวิทยา ผู้วิเศษ ผู้รักษาวิญญาณ และที่ปรึกษา พิธีส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับการรักษาอาการป่วยหรืออาการไม่ปกติที่เกิดกับร่างกายหรือทางจิต หมอผีเป็นชายหรือหญิงก็ได้ หมอผีติดต่อกับวิญญาณได้ และรู้ว่าจะจัดการกับวิญญาณอย่างไร เครื่องมือประจำกายหมอผีมีผ้าคลุมหน้าและธูปเป็นหลัก หมอผีที่มีความรู้อาจใช้สมุนไพรรักษาด้วย (หน้า 7) (มีนิทานที่กล่าวถึงจุดกำเนิดของหมอผี หน้า 38-39) การเกิด : ทารกที่เกิดมาจะเป็นสมาชิกของตระกูลฝ่ายชายโดยอัตโนมัติ หลังเกิดสามวันจะมีพิธีฉลองและตั้งชื่อ ม้งเชื่อว่าการแตะต้องศีรษะทารกหรือทำให้ตกใจ จะเป็นการไล่วิญญาณออกจากเด็กหรือทำให้วิญญาณถูกขโมยไป เด็กจะป่วย (หน้า 5) การตาย : ม้งเชื่อว่าการจัดพิธีศพและการจัดการที่ถูกต้องกับร่างของผู้ตาย จะส่งผลต่อการเกิดใหม่ของผู้ตายและความเจริญรุ่งเรืองของครอบครัว หรืออีกนัยหนึ่งคือโชคชะตาของผู้ยังมีชีวิตอยู่ขึ้นกับความสุขที่วิญญาณบรรพบุรุษจะได้รับ ฉะนั้น ม้งจะทำทุกอย่างเพื่อให้แน่ใจว่าพ่อแม่ถูกฝังในที่ที่ดีที่สุด ศพจะได้รับการสวมใส่ชุดที่ทำอย่างประณีต สวมรองเท้าที่ตกแต่งเป็นพิเศษ เพื่อเดินฝ่าดินแดนของบุ้งยักษ์ไปสู่ปรโลก และนิ้วมือถูกพันด้วยด้ายแดง เพื่อเป็นข้ออ้างว่านิ้วเจ็บ หากระหว่างเดินทางไปสู่ปรโลกวิญญาณถูกรั้งไว้ให้ช่วยปอกหัวหอม (ม้งเชื่อว่าคนแต่ละคนมีวิญญาณ 3 ดวงที่เกี่ยวกับพิธีกรรมหลังตาย ดวงที่ 1 เป็นดวงวิญญาณที่อยู่ในตัวคนตามปกติ เมื่อตายแล้วจะอยู่ที่หลุมฝังศพ ดวงที่ 2 เป็นดวงวิญญาณที่เดินทางท่องเที่ยว ซึ่งเป็นสาเหตุให้คนฝันเวลาหลับ เมื่อตายแล้วจะตามไปอยู่กับลูกหลาน ดวงที่ 3 เป็นวิญญาณที่ปกป้องคนนั้นจากภัยอันตราย เมื่อตายแล้ว จะเดินทางกลับสู่ปรโลกและอาจไปเกิดใหม่เป็นคน เป็นสัตว์ หรือสิ่งของ ขึ้นกับกรรมในอดีตและโชค ดังนั้น วิญญาณที่จะเกิดใหม่และวิญญาณบรรพบุรุษจะยังวนเวียนอยู่กับครอบครัวของแต่ละคน) (หน้า 5-6) การเพาะปลูก : พิธีกรรมที่เกี่ยวกับการเพาะปลูก ในแต่ละปี ม้งยึดถือพิธีสำคัญอยู่ 4 พิธี คือ พิธีที่ 1ทำก่อนที่ที่ดินจะถูกถากถาง พิธีที่ 2 ทำก่อนการหว่านเมล็ดลงปลูก พิธีที่ 3 ทำเมื่อถึงช่วงกลางของการเจริญเติบโตของพืชพรรณธัญญาหาร พิธีที่ 4 ทำหลังการเก็บเกี่ยว พิธีเหล่านี้ทำขึ้นเพื่อบอกกล่าวบรรพบุรุษ ขอให้บรรพบุรุษปกป้องพืชที่ปลูก และสุดท้ายเพื่อขอบคุณที่ช่วย ในพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเพาะปลูกจะมีความเชื่อในเรื่องของวิญญาณและสิ่งเหนือธรรมชาติอยู่ทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเลือกที่เพาะปลูกจนจบการเก็บเกี่ยว (หน้า 4 -5) สัตว์ในเชิงสัญลักษณ์และความเชื่อ : ในวิถีชีวิตของม้งมีสัตว์จำนวนมากที่อยู่ในฐานะเชิงสัญญลักษณ์ทางอำนาจหรือเป็นลางบอกเหตุ เช่น หากมีนกบินเข้าบ้านและเกาะอยู่ ถือว่าเป็นการเตือนบอกถึงลางร้าย หากงูเข้าบ้านเป็นลางบอกเหตุว่าในบ้านจะมีคนตายในไม่ช้า ช้างได้รับความนับถือว่าทรงพลังและในเชิงสัญญลักษณ์เป็นสัตว์ที่นำวิญญาณไปสู่ปรโลก ผีเสื้อ - ม้งเชื่อว่าวิญญาณของผู้ตายจะปรากฏเป็นผีเสื้อ เต่าสามารถนำคำปรึกษาของบรรพบุรุษในปรโลกมาสู่โลกมนุษย์ได้ เสือ - ถือว่ามีอำนาจคุกคามทั้งพละกำลังและในกรณีของเสือสมิง (a magic soul - tiger) เป็นต้น (หน้า 4 ) และในนิทานหลาย ๆ เรื่องจะกล่าวถึงบทบาทของสัตว์อยู่มาก เช่น ของลิง สุนัข งู เสือ เป็นต้น |
|
Education and Socialization |
|
Health and Medicine |
ไม่ได้ระบุชัดเจนถึงม้งในสหรัฐอเมริกาว่าเป็นอย่างไร ระบุเพียงว่า ม้งในสหรัฐฯ ยังมีปัญหาความขัดแย้งทางวัฒนธรรมระหว่างความเชื่อดั้งเดิมกับการรักษาพยาบาลแผนใหม่ และม้งได้รับแรงกดดัน (stress) ที่เกิดจากการต้องเรียนรู้และปรับตัวกับวิถีชีวิตใหม่ในสหรัฐฯ ทำให้คนหนุ่มเกิดอาการไหลตาย (หน้า 13) ในกรณีของม้งที่มีถิ่นฐานอยู่ในไทยและลาว มีความเชื่อว่าอาการเจ็บป่วยของคนเกิดจากการกระทำของผีร้าย และอาศัยหมอผี (Shaman) ให้ช่วยรักษา ม้งพึ่งหมอผีเป็นหลักในการรักษาทั้งอาการทางกาย ทางจิต และเป็นที่ปรึกษาปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ภาระกิจของหมอผี คือ การทำให้สภาพจิตหรือวิญญาณของผู้ป่วยกลับมาสู่สภาพสมดุล และสุขภาพกลับมาเหมือนเดิม โดยการตามหาวิญญาณที่หลงทางของผู้ป่วย แล้วนำกลับมาเข้าร่าง (ม้งเชื่อว่าในตัวคนหนึ่งมีวิญญาณหลายวิญญาณประกอบขึ้นเป็นตัวตนของบุคคลนั้น) ในระหว่างพิธีรักษา หมอผีจะอยู่ในภาวะจิตอยู่ในภวังค์ มีอาการคล้ายคนทรง และมักต้องฆ่าสัตว์เพื่อเซ่นวิญญาณ (หน้า 7) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
สิ่งที่ผู้เขียนเน้นคือศิลปะพื้นบ้านงานเย็บปักผ้า โดยเฉพาะศิลปะการเย็บปักผ้า "pa ndau" : สมัยโบราณ "pa ndau" เป็นผ้าทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่เย็บปักอย่างประณีตเพื่อให้เป็นของขวัญแสดงความยินดีในการเกิด งานแต่งงาน หรือเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ ในหมู่บ้านม้ง และเมื่อสะสมไว้มากพอ จะนำมาเย็บติดกันเป็นผืนใหญ่ ศิลปะ "pa ndau" เป็นที่รวมของงานเย็บประดับหลายประเภท เช่น reverse applique', chain stitches, cross stitches, batik, และงานปัก "pa ndau" ที่ออกแบบตามประเพณี มีรูปแบบเชิงสัญลักษณ์อย่างสูง เช่น หอยทากเป็นสัญลักษณ์ของการเจริญเติบโตของครอบครัว กลางลายขดก้นหอยที่เปลือกหอยทากหมายถึงบรรพบุรุษ ลายก้นหอยรอบนอกหมายถึงความสำเร็จของแต่ละรุ่น สัตว์อื่น ๆ ในงานศิลปะส่วนใหญ่จะมีความหมายดี ๆ เช่น ช้าง เท้าช้างหมายถึงความมั่งคั่งและอำนาจของครอบครัว เป็นต้น ลายรูปทรงเลขาคณิต เช่น สามเหลี่ยมฟันปลาที่มักเย็บติดไว้ขอบนอกทั้งสี่ด้านเป็นสัญลักษณ์ของรั้ว หรือเครื่องป้องกันเก็บวิญญาณดี ๆ ไว้ และไล่วิญญาณร้ายออกไป เป็นต้น เรื่องราวบนงานเย็บปักของม้ง เป็นการบันทึกการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของบุคคล สัตว์ และชีวิตของหมู่บ้าน เป็นงานอ้างอิงของตำนาน เรื่องเล่า แต่เมื่ออพยพเข้าอยู่ในค่ายอพยพในไทยและไปสหรัฐ การใช้งานเย็บปักผ้าและลวดลายได้เปลี่ยนแปลงไปตามบริบทของสังคมใหม่ การประดับตกแต่งเสื้อผ้าและของใช้ที่เป็นผ้าอื่น ๆ : เครื่องแต่งกาย เสื้อผ้าชุดที่ม้งให้ความสำคัญมาก คือ ชุดที่ใส่เมื่อตายจะสวยประณีตเป็นพิเศษ และชุดที่ใส่ไปงานปีใหม่ซึ่งต้องเป็นชุดที่เย็บปักใหม่ ใส่แล้วจึงจะโชคดี งานผ้าที่สำคัญอีกประเภทคือ งานผ้าที่เกี่ยวข้องกับเด็ก ที่สำคัญมากมี 2 อย่างคือ ผ้าคาดที่ใช้ห่อเด็กไว้กับหลังแม่เพื่อนำพาไปไหนมาไหน และหมวกที่เด็กใส่ (ม้งเชื่อว่าศีรษะเด็กต้องมีหมวกปกป้อง มิฉะนั้น วิญญาณของเด็กจะหลบออกไปทางศีรษะ) จะเย็บปักอย่างประณีตมีสีสันสวยงาม ประดับด้วยลูกปัด เหรียญ และปักสัญลักษณ์ที่เป็นความเชื่อในทางที่ดี ๆ ในกรณีของเครื่องประดับที่เป็นโลหะ เครื่องเงินเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะเป็นเครื่องแสดงฐานะและใช้แทนเงินได้ ลวดลายในเครื่องเงินมีความหมายเชิงสัญลักษณ์เช่นกัน (หน้า 9-13, ดูรูปหน้า 17-32) |
|
Folklore |
ไม่ได้ระบุชัดเจนถึงวัฒนธรรมการเล่านิทานของม้ง ระบุไว้เล็กน้อยว่าผู้เขียนร่วมซึ่งเป็นผู้รวบรวมนิทานเหล่านี้ ได้เรียนรู้และฟังนิทานจำนวนมากจากญาติ ๆ ผู้ใหญ่ในขณะที่นั่งล้อมรอบกองไฟที่หมู่บ้านม้งในลาว และจากม้งในชุมชนม้งที่อพยพไปอยู่ในสหรัฐอเมริกา นิทานและเรื่องเล่าบางส่วนปรากฎอยู่ในงานศิลปะผ้าปักที่เรียกว่า "pa ndau" ของม้ง นิทานพื้นบ้านที่ปรากฏในหนังสือนี้ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องสั้น ๆ เนื้อหาไม่ซับซ้อนและไม่หลากมาก อธิบายความเป็นมาของสิ่งต่าง ๆ ทางธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อและวิถีชีวิต ความเป็นมาของวิถีปฏิบัติในชีวิตประจำวัน และนิทานบันเทิงต่าง ๆ โดยนิทานเกือบทุกเรื่องจะมีสัตว์เข้ามามีบทบาทในเนื้อหา ซึ่งอาจแยกนิทานเป็นประเภทได้ ดังนี้ - อธิบายกำเนิดของโลกและสรรพสิ่งต่าง ๆ เช่น ตำนานข้าว และหมอผี ตำนานการเกิดตระกูลม้งและการตั้งชื่อสรรพสิ่ง เป็นต้น - อธิบายพฤติกรรมของคนและสัตว์ เช่น ทำไมชาวนาจึงต้องทำงานหนัก ทำไมลิงและคนไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ ทำไมสัตว์จึงไม่สามารถพูดได้ ทำไมนกไม่มีวันหิว เป็นต้น - อธิบายความสัมพันธ์ของสรรพสิ่งต่าง ๆ เช่น ความรัก ความซื่อสัตย์ เป็นต้น (หน้า 33-129) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับชนเผ่าอื่น ๆ แต่ได้กล่าวถึงเรื่องเล่า ตำนาน และนิทานที่เกี่ยวข้องกับชาวจีนที่เคยอยู่ร่วมกันมา ซึ่งส่วนใหญ่มีเนื้อหาไปในทางม้งเป็นผู้ถูกกระทำ (หน้า 1-2, 6,14) และในส่วนที่เป็นประวัติของม้งมีกล่าวไว้เล็กน้อยว่า ก่อนราชวงศ์ Sung ของจีน (ประมาณ 960 - 1280 AD) ม้งที่อาศัยอยู่ทางภาคตะวันออกใน Honan ถูกอ้างถึงในชื่อว่า "Man" ซึ่งรวมคน "เย้า" (Yao) ไว้ด้วย ส่วนม้งตะวันตกถูกเรียกว่า "Fan" แต่นักวิชาการส่วนใหญ่เห็นว่า ในสมัยโบราณม้งและเย้า มีวิวัฒนาการมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน (หน้า 1) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ม้งที่ยังอาศัยอยู่บนที่สูงแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาจจะยังมีการปฏิบัติตามขนบและความเชื่อตามประเพณีของตน แต่ม้งที่อยู่ในค่ายอพยพในประเทศไทย ประเพณีบางอย่างไม่สามารถปฏิบัติได้แล้ว และการอพยพของม้งสู่สหรัฐอเมริกา ส่งผลกระทบต่อวิถีตามประเพณีของม้ง นิทานเรื่องเล่าต่าง ๆ ถูกลืม รูปแบบทางศิลปะตามประเพณีไม่มีการสืบต่อ (หน้า ix) ขนบประเพณีจำนวนมากไม่มีการปฏิบัติแล้ว ส่วนที่ยังเหลืออยู่ก็เปลี่ยนรูปแบบไป (หน้า 3) และวิถีชีวิตจำเป็นต้องเปลี่ยนไปด้วย ม้งจำนวนมากรู้สึกสูญเสียโครงสร้างครอบครัวตามประเพณีม้งไป เช่น การสูญเสียการควบคุมลูก ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่พ่อแม่ม้งเห็นว่าเป็นวินัยหรือหลักการ แต่เมื่ออยู่ในสหรัฐฯ กลับเป็นการละเมิดต่อเด็ก ในทุกแง่มุมของชีวิต วิถีแบบเก่าพ่ายแพ้แก่ความเชื่อและประเพณีใหม่ (หน้า 13) |
|
Map/Illustration |
รูปภาพ : เครื่องแต่งกายที่ใช้สวมศีรษะ (headdress), เสื้อผ้าแต่งกาย, เครื่องประดับเงิน, การออกแบบ (design pattern), pa ndau (หน้า 17-32) |
|
|