|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
จีนยูนนาน, ลื้อ, ไต, ชาวเขา,ปัญหาการรวมพวก,เชียงราย |
Author |
ธีระพงค์ อินทนาม |
Title |
ปัญหาการดำเนินนโยบายรวมพวกชนกลุ่มน้อยในจังหวัดเชียงราย |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ไทลื้อ ลื้อ ไตลื้อ, ไทใหญ่ ไต คนไต, จีนยูนนาน จีนฮ่อ มุสลิมยูนนาน,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไม่ระบุ |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
108 |
Year |
2543 |
Source |
หลักสูตรปริญญามหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
งานชิ้นนี้ศึกษาถึงสภาพปัญหาในการดำเนินนโยบายรวมพวกชนกลุ่มน้อยเพื่อที่ศึกษาถึงแนวทางการปฏิบัติที่เหมาะสมที่จะนำมาปรับใช้ในการแก้ไขปัญหาการรวมพวกชนกลุ่มน้อยในจังหวัดเชียงราย จากการศึกษาพบว่าชนกลุ่มน้อยส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะรับเอาวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีของคนพื้นราบไปปฏิบัติ เห็นได้จากการปกครองชุมชนและหมู่บ้านที่ผู้ใหญ่บ้านมา จากการรับเลือกตั้ง ด้านสังคมวัฒนธรรมมีการแต่งกายเหมือนกับคนพื้นราบเป็นต้น ทั้งนี้ทำให้มองเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรมและเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน โดยชนกลุ่มน้อยส่วนใหญ่ได้คลายความเหนียวแน่นทางวัฒนธรรมดั้งเดิมลงไปบ้างแล้วแต่จะมีเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุเท่านั้นที่ยังยึดมั่นในวัฒนธรรมดั้งเดิมอยู่ การดำเนินนโยบายรวมพวกชนกลุ่มน้อยเป็นวิธีแก้ปัญหาที่เหมาะสมที่สุด เพราะแนวทางแก้ไขปัญหาเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ทำให้สร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างชนกลุ่มน้อยกับชนพื้นราบได้เป็นอย่างดี จะอย่างไรก็ตามการดำเนินนโยบายรวมพวกชนกลุ่มน้อยในจังหวัดเชียงรายถือว่าประสบความสำเร็จมากพอสมควร ถึงแม้จะมีบางปัญหาที่คอยเป็นอุปสรรคต่อการรวมพวก ปัญหานั้นก็คือ ปัญหายาเสพติด ปัญหาการอพยพถิ่นฐาน ปัญหาพิสูจน์สถานะบุคคลบนพื้นที่สูงเป็นต้น หากปัญหาดังกล่าวไม่ได้รับการแก้ไข อาจส่งผลกระทบต่อสังคมส่วนรวมได้ (หน้า 75-78, 99-101) |
|
Focus |
ต้องการศึกษาสภาพปัญหา การดำเนินนโยบายรวมพวกชนกลุ่มน้อยในพื้นที่จังหวัดเชียงราย เพื่อเน้นให้เห็นถึงการศึกษาแนวทางการปฏิบัติ เพื่อนำมาใช้ในการแก้ปัญหาการรวมพวกชนกลุ่มน้อย (หน้า 8, 9, 59-87) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มชาติพันธุ์จีนฮ่อ ที่มีเชื้อสายเป็นยูนนาน และไทยภูเขา ไทลื้อ -ไทใหญ่ ซึ่งมีเชื้อสายพม่า (หน้า 30-35) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาท้องถิ่นภาคเหนือ ภาษาไทยกลางและภาษาประจำเผ่าซึ่งใช้ติดต่อสื่อสารระหว่างชนเผ่าเดียวกัน ส่วนภาษาไทยและภาษาถิ่นทางภาคเหนือใช้สำหรับการติดต่อสื่อสารกับคนพื้นราบ (หน้า 76) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่ในจังหวัดเชียงราย มีทั้งชนกลุ่มน้อยที่อพยพมาตั้งรกรากและอยู่อาศัยเป็นเวลานานมาแล้วกับอีกลุ่มหนึ่งที่เพิ่งอพยพมาอยู่ได้ไม่นานมานี้เอง สาเหตุที่พวกเขาอพยพมาอาศัยอยู่ในจังหวัดเชียงรายก็เพราะสภาพทางภูมิศาสตร์เป็นพื้นที่สูงอยู่ติดกับแนวชายแดนซึ่งเป็นถิ่นฐานเดิมของชนกลุ่มน้อยเหล่านี้และชนกลุ่มน้อยเหล่านี้จะตั้งถิ่นฐานอยู่บนดอยสูงซึ่งจำแนกตามกลุ่มชาติพันธุ์ ศาสนา ประเพณีวัฒนธรรมตามลักษณะดังนี้ - ชาวไทยภูเขาได้แก่เผ่าอาข่า มูเซอ เย้า กระเหรี่ยง ลีซอ ม้ง เป็นชนเผ่าที่มีวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีที่แตกต่างกัน มีประเพณีและภาษาพูดเป็นของตนเองบางเผ่าจะมีภาษาพูดที่คล้ายกัน - กลุ่มที่ 2 คือ กลุ่มจีนฮ่อเป็นกลุ่มชนที่เป็นอดีตทหารจีนคณะชาติกองพลที่ 93 ของไต้หวันแต่อพยพหลีกหนีการปราบปรามของจีนคอมมิวนิสต์ แล้วเดินทางเข้ามาทางพม่าแล้วเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยในปี พ.ศ 2493-2499 เพราะเหตุผลการหนีภัยทางการเมือง ทั้งนี้ได้รวมถึงจีนฮ่ออพยพและจีนฮ่ออิสระที่อ้างว่าเป็นครอบครัวของทหารจีนอพยพ แต่ชนกลุ่มน้อยกลุ่มหลังนี้ทางรัฐบาลไทยไม่ได้ให้สิทธิพิเศษใด ๆ ทางกฎหมายแก่ชนกลุ่มหลังนี้ทั้งสิ้นแต่จะอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของทหารไทย - ชนกลุ่มน้อยสัญชาติพม่าซึ่งเป็นไทยลื้อ ไทยใหญ่ และแรงงานต่างชาติพม่า ไทยลื้อมีถิ่นฐานเดิมอยู่ที่บริเวณลุ่มแม่น้ำโขงประเทศจีนในเขตสิบสองปันนาและประเทศพม่า ลาว ชนกลุ่มนี้อพยพมาอยู่ที่จังหวัดเชียงรายระหว่างปี พ.ศ 2480-2498 ส่วนชนกลุ่มน้อยชาวไทยใหญ่มีถิ่นฐานเดิมอยู่ที่รัฐฉานพม่า อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยเพราะหนีภัยการสู้รบกับรัฐบาลพม่าและหนีความอดอยากเข้ามาหางานทำในประเทศไทยและอาศัยอยู่มาจนถึงปัจจุบันนี้ (หน้า 30-35, 45-47) |
|
Settlement Pattern |
ชนกลุ่มน้อยในจังหวัดเชียงรายจะตั้งถิ่นฐานอยู่บนภูเขาสูงติดกับแนวชายแดน เป็นเขตที่ติดกับบ้านเกิดเมืองนอนของตนที่เคยอยู่แล้วอพยพมาอยู่ในประเทศไทย จึงทำให้ดูเหมือนว่าชนกลุ่มน้อยเป็นคนนอกขอบเขตอำนาจของรัฐและของสังคม เพราะรัฐบาลไม่อาจดูแลให้ทั่วถึงได้ วิธีการดำรงชีวิต ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมก็แตกต่างจากชนกลุ่มใหญ่ จึงทำให้เป็นปัญหาบุคคลต่างวัฒนธรรม (หน้า 30, 49) |
|
Demography |
ผู้เขียนกล่าวถึงแต่จำนวนประชากรรวมของชนกลุ่มน้อยในจังหวัดเชียงรายทั้งหมด แต่จำนวนชนกลุ่มน้อยที่อยู่ในพื้นที่ศึกษาไม่ได้ระบุไว้ (หน้า 46-47) |
|
Economy |
ระบบเศรษฐกิจของชนกลุ่มน้อยเป็นระบบเศรษฐกิจเพื่อการยังชีพ อาชีพที่ทำกันส่วนใหญ่คือการทำการเกษตรกรรมปลูกพืชหมุนเวียนไม่รู้จักวิธีการใช้ปุ๋ย การทำกินของพวกเขาก็คือการทำไร่ เพราะจากสภาพพื้นที่อยู่อาศัยอยู่บนภูเขา ประกอบกับความเคยชินในการประกอบอาชีพทำไร่ตามไหล่เขา แต่ปัจจุบัน ระบบเศรษฐกิจแบบการค้าเข้ามามีอิทธิพลต่อชนกลุ่มน้อย ส่วนหนึ่ง พวกเขามุ่งค้าขายเพื่อหวังผลกำไรมากขึ้น แต่ก่อนเป็นระบบเศรษฐกิจเพื่อการเลี้ยงชีพ บุกรุกพื้นที่เพื่อทำการเพาะปลูก แต่ปัจจุบันพื้นที่ทำกินไม่เพียงพอเพราะจำนวนประชากรเพิ่มมากขึ้น ประชากรบางส่วนจึงออกไปหางานทำในตัวเมืองและต่างจังหวัด ส่วนกลุ่มผู้สูงอายุก็ยังคงยึดอาชีพการเพาะปลูกเป็นหลักอยู่เหมือนเดิม ดังนั้น จะเห็นได้ว่าระบบเศรษฐกิจใน ปัจจุบันเน้นการขายมากกว่าในยุคก่อน ๆ (หน้า 48, 74, 75) |
|
Social Organization |
ชาวเขาเป็นกลุ่มชนที่มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ประเพณีประจำเผ่าที่สะท้อนให้เห็นถึงความเจริญทางด้านความคิดของพวกเขา ในสังคมของชาวเขา ผู้ชายและผู้หญิง โดยส่วนใหญ่จะมีความเสมอภาคกันเหมือนกับคนพื้นราบทั่วไป เคารพเชื่อฟังบิดา มารดา ญาติผู้ใหญ่ รู้จักขอบเขตอำนาจของตน ไม่ก้าวก่ายสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่น ชายหญิงสามารถแต่งงานกันได้ตามความพอใจของตน แต่ก็สามารถอย่าขาดจากกันได้เช่นกันเพราะทางสังคมไม่ถือว่าเป็นเรื่องเสียหาย (หน้า 49) ชนกลุ่มน้อยเป็นกลุ่มชนที่ ยึดและปฏิบัติตามจารีตประเพณี วัฒนธรรมค่อนข้างเหนียวแน่นที่สุด โดยเฉพาะเผ่าอาข่า หรืออีก้อ แม้ว่าปัจจุบันการปฏิบัติตามประเพณีดั้งเดิมจะลดลงไปค่อนข้างมาก แต่พวกเขาก็ยังคงยึดมั่นในขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิมมากกว่าเผ่าอื่นๆ ( หน้า 76 ) |
|
Political Organization |
โครงสร้างทางการปกครองของชนกลุ่มน้อยแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะคือ หมู่บ้านที่เป็นทางการและหมู่บ้านที่ไม่เป็นทางการ - หมู่บ้านเป็นทางการเป็นหมู่บ้านที่ได้รับการขึ้นทะเบียนตามระเบียบของกระทรวงมหาดไทย ทุกครัวเรือนจะมีเลขที่บ้านกำกับ ส่วนมากเป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ใกล้เส้นทางคมนาคม อยู่ใกล้กับชุมชนของชาวพื้นราบหรือหมู่บ้านหลัก - ส่วนหมู่บ้านที่ไม่เป็นทางการเป็นหมู่บ้านที่ไม่ได้รับการขึ้นทะเบียนอย่างเป็นทางการ เนื่องจากบางหมู่บ้านอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ อยู่ในเขตป่าต้นน้ำลำธาร หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่สามารถเข้าไปดำเนินการใด ๆ ได้ เพราะขัดต่อระเบียบปฏิบัติ หรือบางหมู่บ้านเพิ่งก่อตั้งขึ้นมาใหม่ไม่สามารถจัดตั้งขึ้นเป็นหมู่บ้านอย่างเป็นทางการได้ จะอย่างไรก็ตาม หมู่บ้านที่ไม่เป็นทางการทั้งหมด ก็ได้รับการจัดให้เป็นหมู่บ้านบริวารของหมู่บ้านหลักที่มีการจัดการปกครองในรูปแบบตามระเบียบการบริหารราชการส่วนภูมิภาค การปกครองหมู่บ้านแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะคือ - ลักษณะแรก อยู่ภายใต้การปกครองส่วนภูมิภาคอย่างเต็มรูปแบบมีผู้นำหมู่บ้านที่มาจากการเลือกตั้งและมีคณะกรรมการหมู่บ้านคอยช่วยเหลืองานของผู้นำ ในด้านการปกครองดูแลหมู่บ้านมีรูปแบบที่เปลี่ยนไปจากการปกครองแบบที่เชื่อฟังผู้นำตามจารีตประเพณีอย่างสิ้นเชิง - ลักษณะที่ 2 อยู่ระหว่างการเปลี่ยนถ่ายอำนาจ จากรูปแบบการปกครองตามจารีตประเพณีเข้าสู่การปกครองส่วนภูมิภาค ซึ่งหมู่บ้านของชนกลุ่มน้อยอยู่ในสภาพเป็นหมู่บ้านบริวารของหมู่บ้านหลัก มีการศึกษาและเรียนรู้ร่วมกับชาวพื้นราบ แต่อีกส่วนหนึ่งยังยึดถือและเชื่อฟังผู้นำตามจารีตประเพณีดั้งเดิมของชนเผ่าอยู่โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ - ลักษณะที่ 3 ปกครองตามจารีตประเพณีดั้งเดิมของชนเผ่าซึ่งส่วนใหญ่เป็นหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลจากชุมชนใหญ่ และเป็นหมู่บ้านที่ไม่ได้รับการจัดตั้งหมู่บ้านอย่างเป็นทางการ เนื่องจากว่าเป็นหมู่บ้านบริวารของหมู่บ้านหลักซึ่งแบ่งเขตการปกครองส่วนภูมิภาค ดังนั้น การปกครองของชนกลุ่มนี้จึงยึดถือละปฏิบัติตามผู้นำแบบจารีตประเพณีที่มีบทบาทต่อผู้ที่อยู่ใต้ปกครองค่อนข้างสูง (หน้า 73,74 ) จะเห็นได้ว่าการปกครองของชนกลุ่มน้อยมีทั้งอำนาจนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ เหมือนกับคนพื้นราบ แต่ต่างกันเพียงรูปแบบเท่านั้น อำนาจนิติบัญญัติเกิดจากขนบธรรมเนียมประเพณี แต่ไม่ได้กำหนดไว้เป็นลายลักษณ์อักษร แต่ก็ยังยึดถือและปฏิบัติกันสืบมา อำนาจบริหารเกิดจากการยอมรับนับถือบุคคลสำคัญของกลุ่มที่คอยดูแลให้ประชากรอยู่ดีกินดี ส่วนอำนาจตุลาการ หากมีคดีความใดๆ เกิดขึ้นจะมีการไต่สวนให้ความเป็นธรรมก่อนจะมีการลงโทษ การปกครองมีการจัดการปกครองอย่างเป็นระเบียบตั้งแต่หน่วยครัวเรือนไปจนถึงระดับหมู่บ้าน ปัญหาความขัดแย้งภายในชนเผ่าจึงเกิดขึ้นไม่มากนัก (หน้า 48,73,74) |
|
Belief System |
แต่เดิมชาวเขามีความเชื่อดั้งเดิมในการนับถือผีบรรพบุรุษอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ แต่ในปัจจุบัน ศาสนาเข้ามา มีอิทธิพลต่อชนกลุ่มน้อยมากขึ้น คนส่วนใหญ่หันไปนับถือศาสนาแทนการนับถือผี ศาสนาที่เข้าไปมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลง วิถีชีวิตของชนกลุ่มน้อยก็คือ ศาสนาคริสต์และศาสนาพุทธ ชนกลุ่มน้อยจะนับถือศาสนาคริสต์มากกว่าศาสนาพุทธ เพราะศาสนาคริสต์จะเข้าไปชักจูงให้ผู้นำตามจารีตให้ไปนับถือศาสนาคริสต์ เมื่อผู้นำตามจารีตนับศาสนาคริสต์หมู่บ้านก็จะขาดผู้ที่ทำหน้าที่ประกอบพิธีกรรม ฉะนั้นจึงทำให้ชาวบ้านหันไปนับถือศาสนาคริสต์ตามผู้นำ ส่วนพุทธศาสนาไม่ค่อยมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของชนกลุ่มน้อยมากนักเพราะคนที่นับถือศาสนาพุทธสามารถประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อดั้งเดิมของตนได้ โดยที่ไม่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตดั้งเดิมแต่อย่างใด ส่วนพิธีกรรมประเพณี ได้แก่การจัดงานประเพณี "เทศกาลกินวอ" หรือ งานปีใหม่ ซึ่งถือเป็นประเพณีที่ยังยึดถือและปฏิบัติกัน อยู่ แต่ถือเอาวันสำคัญของศาสนาคริสต์เป็นวันจัดงานแทน ( หน้า 77-78,91 ) |
|
Education and Socialization |
ปัจจุบัน การศึกษามีบทบาทต่อชนกลุ่มน้อยมากขึ้น พวกเด็กๆ ได้เข้ารับการศึกษาภาคบังคับมากถึงร้อยละ 90 และเข้าศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษามีจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว โดยเฉพาะในครอบครัวที่มีฐานะค่อนข้างดี ประกอบกับเส้นทางคมนาคมสะดวกสบาย ทำให้พวกเขาเดินทางมาเข้าเรียนในโรงเรียนพื้นราบและโรงเรียนในเมืองมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการเรียนรู้ในสังคมมากขึ้น จะเห็นได้ว่าชนกลุ่มน้อยให้ความสำคัญด้านกานศึกษามากขึ้น แต่ในหมู่บ้านที่มีสถานภาพไม่เป็นทาง การยังมีเด็กที่เข้ารับการศึกษาในวัยเรียนค่อนข้างต่ำ ด้วยสาเหตุหลายประการคือ ระยะทางจากบ้านไปถึงโรงเรียนค่อนข้าง ห่างไกล อีกสาเหตุหนึ่งก็คือความแตกต่างทางด้านภาษา ไม่ค่อยเข้าใจภาษาไทยเพราะ ชนกลุ่มน้อยบางส่วนยังไม่ได้รับสัญชาติไทย จึงไม่สามารถส่งบุตรหลานเข้ารับการศึกษาได้ จึงทำให้อัตราการเรียนรู้หนังสืออยู่ในระดับค่อนข้างต่ำมาก (หน้า 76,77) |
|
Health and Medicine |
ปัจจุบัน หน่วยงานสาธารณสุขของรัฐได้ไปตั้งสถานพยาบาลในเขตชุมชนของชนกลุ่มน้อยในถิ่นทุรกันดารมากขึ้น มีการสร้างสถานีอนามัยชุมชนประจำตำบล แต่ก็ยังไม่ครบทุกพื้น ชนกลุ่มน้อยส่วนใหญ่ได้หันมารักษาพยาบาลในยามเจ็บไข้ได้ป่วยที่สถานพยาบาลของรัฐมากขึ้น ส่วนการรักษาแบบวิธีดั้งเดิม เช่น การให้หมอผีรักษาโรคได้ลดลงไปมาก แต่ก็ยังมีบางพื้นที่ที่ยังมีสภาพไม่ค่อยดีนัก ยังขาดความรู้ทางด้านโภชนาการและสุขภาพอนามัย มีการตรวจพบผู้ที่ติดเชื้อเอดส์ในกลุ่มประชากรชาวเขามากถึงร้อยละ 3-4 สาเหตุก็มาจากวัยรุ่นหนุ่มสาวไปทำงานขายแรงงานและบริการในเขตเมืองและต่างจังหวัด แต่ขาดความรู้ความเข้าใจในการป้องกันโรคจึงทำให้ติดเชื้อได้ง่าย เลยกลายเป็นพาหะนำเชื้อมาระบาดในชุมชนของตนเอง (หน้า 77) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ด้านสถาปัตยกรรม หัตถกรรม ศิลปะการแสดงไม่ได้ระบุในงานศึกษา ส่วนเสื้อผ้าและการแต่งกาย ในปัจจุบันการแต่งกายของชนกลุ่มน้อยจะแต่งแบบคนพื้นราบ ชุดประจำเผ่าจะใส่เฉพาะในงานเทศกาลสำคัญประจำเผ่าเท่านั้น และก็จะมีแต่ผู้เฒ่าผู้แก่บางส่วนที่ยังคงยึดถือและปฏิบัติตามจารีตประเพณีของชนเผ่าของตนอย่างเหนียวแน่น ชุดประเผ่าแต่ละเผ่ามีดังนี้ - เผ่าอาข่าหรืออีก้อ ผู้หญิงจะนิยมไว้ผมยาวแต่รวบไว้แล้วใส่หมวกทับ หมวกจะประดับประดาอย่างสวยงาม คอสวมด้วยเครื่องประดับ เสื้อผ้าเป็นสีดำ เสื้อชั้นในใช้ผ้ารัดอกแล้วสวมเสื้อแขนยาวผ่าหน้าทับอีกชั้นหนึ่ง ด้านหลังของเสื้อจะปักเป็นลายสวยงามมาก กระโปรงจะนิยมนุ่งสั้นต่ำกว่าสะดือ ขาพันด้วยสนับแข้ง ส่วนผู้ชายจะนิยมโกนหัวไว้ผมเปีย สวมเสื้อคอกลมแขนยาวนุ่งกางเกงสีดำ - มูเซอหรือละหู่ ผู้หญิงจะไว้ผมยาวเกล้าผมแล้วโพกด้วยผ้าสีดำ สวมเสื้อตัวสั้นแขนยาวสีดำประดับด้วยผ้าสีแดงนุ่งผ้าซิ่นสีดำสลับแดง ในวันรื่นเริงของหมู่บ้านผู้หญิงมูเซอดำจะใส่เสื้อแขนยาวลำตัวยาวครึ่งน่องสวมกางเกงและสนับแข้งสีดำ ผู้หญิงมูเซอเชเล จะแต่งกายคล้ายกันจะต่างกันก็ตรงที่จะเย็บปักลวดลายผ้าเป็นลายสีเหลืองขาวสลับแดง การแต่งกายของผู้ชายมูเซอทั่วไปจะสวมเสื้อผ่าอก นุ่งกางเกงจีนสีดำ - เผ่าเย้า ผู้หญิงเย้าจะทาผมด้วยขี้ผึ้งแล้วโพกผ้าที่มีลายปักสวยงามมาก สวมเสื้อที่มีคอเสื้อประดับด้วยไหมพรมสีแดง สวมกางเกงขายาวที่ข้างหน้าปักด้วยลวดลายที่สวยงามด้วยเช่นกัน ส่วนผู้ชายสวมเสื้อสีดำ อกไขว้แบบเสื้อคนจีนยาวคลุมลงไป จนถึงเอว นุ่งกางเกงขายาวสีดำปลายขาขลิบด้วยสีแดง - กะเหรี่ยง จะมีหลายเผ่า กะเหรี่ยงสะกอ ผู้ชายจะแต่งกายโดยใส่เสื้อสีแดง โพกศีรษะด้วยผ้าสีต่างๆ ส่วนผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงานจะสวมเสื้อแขนยาวสีขาว แต่ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วจะสวมเสื้อสีน้ำเงิน นุ่งกระโปรงสีแดงลายตัดแล้วโพกผ้าแดง - กระเหรี่ยงโปว์ ผู้ชายจะแต่งกายเหมือนชาวนาไทย ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วจะแต่งกายแบบเดียวกับกะเหรี่ยง สะกอแต่ลำตัวจะยาวกว่าและใส่กระโปรงสีดำและสีน้ำเงินเข้ม ผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงานจะใส่เสื้อคลุมยาวเย็บปักด้วยลวดลายกับลูกปัดที่มีสีสันสวยงามมาก - กระเหรี่ยงบะเว ผู้ชายนิยมนุ่งกางเกงขาสั้นสีแดง โพกศีรษะ และจะนิยมในการสักรูปต่างๆที่แผ่นหลัง ส่วนผู้หญิงจะนุ่งกระโปรงสั้นมาก สวมกำไลที่ข้อเท้า - ลีซอหรือลีซู การแต่งกายผู้ชายลีซอจะใส่เสื้ออกไขว้สีขาวหรือสีดำ นุ่งกางเกงสีขาว สีดำหรือสีน้ำเงิน ยาวกว่าเข่าเล็กน้อย พันสนับแข้ง บางคนก็จะสวมหมวกหรือโพกผ้าก็ได้ ส่วนผู้หญิงจะเกล้าผมไว้ที่ท้ายทอยสวมเสื้อแขนยาวอกไขว้ยาวลงมาถึงหัวเข่า ตัวของเสื้อจะขลิบสีเป็นชั้นๆทับกางเกงขายาวสีดำแล้วคาดเอวด้วยผ้าสีดำ เวลามีงานเทศกาลที่สำคัญจะสวมห่วงที่คอด้วย เงินกับเครื่องประดับอื่นๆ - พวกผู้ชายแม้ว หรือที่เรียกตนเองว่าม้ง จะใส่เสื้อแขนยาวรัดรูป อกไขว้เปิดให้เห็นหน้าท้องสีดำ สวมกางเกงจีนขายาวเป้าสีดำ คาดเอวด้วยผ้าผืนใหญ่สีแดงทิ้งชายข้างหน้า มีเข็มขัดเงินคาดทับ สวมหมวกครึ่งกลมยอดเป็นพู่สีแดง และผู้หญิงใส่เสื้อแขนยาวผ่าหน้าสีดำ ด้านหลังปักผ้าลายเหลี่ยม เวลาทำงานอยู่กับบ้านจะใส่กางเกงขายาวสีดำ ส่วนกระโปรงจีบรอบเอวส้นแค่หัวเข่าแต่จะใส่เฉพาะเวลามีงานเทศกาลสำคัญเท่านั้น |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ด้านความสัมพันธ์ทางชาติพันธุ์ระหว่างชนกลุ่มน้อยกับคนพื้นราบหรือชนกลุ่มใหญ่ช่วงแรกจะค่อนข้างมีความแตกต่างกันแทบจะทุกด้าน อย่างเช่นมีลักษณะทางสังคมวัฒนธรรม ภาษา ศาสนาและความเชื่อที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างความสัมพันธ์ของชนกลุ่มน้อยกับชนกลุ่มใหญ่จนไม่สามารถที่จะรวมกันให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ จึงใช้วิธีการปล่อยให้ชนกลุ่มน้อยแต่ละกลุ่มอยู่ร่วมกันในสังคม และมีการปรับความสัมพันธ์แบบค่อยเป็นค่อยไปโดยผ่านกระบวนการกล่อมเกลาทางสังคม ใช้การศึกษา ศาสนาเข้ามาเป็นตัวช่วยที่จะสร้างความสัมพันธ์ระหว่างชนกลุ่มน้อยและชนกลุ่มใหญ่ (หน้า 88-89) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ด้านสังคมและวัฒนธรรมเกิดการเปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างชัดเจน เห็นได้จากการแต่งกายและภาษาพูด ซึ่งชนกลุ่มน้อยที่เป็นวัยรุ่นหรือวัยหนุ่มสาวแทบจะไม่ปรากฏว่ามีการยึดถือตามขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมดั้งเดิมของชนเผ่ามากนัก เพราะได้รับอิทธิพลจากการศึกษา และสื่อสารมวลชนที่เป็นสิ่งคอยหล่อหลอมความรู้สึกนึกคิดของชนกลุ่มน้อยให้ไปนิยมในวัฒนธรรมเดียวกับคนพื้นราบ ทั้งนี้ ยังเกิดจากการคมนาคมที่สะดวกสบายกว่าในอดีตทำให้ชนกลุ่มน้อยสัมผัสกับสังคมวัฒนธรรมของชนพื้นราบได้ง่ายขึ้น จากช่องว่างที่เคยมีต่อกัน ก็ค่อยจางหายไปจนทำให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ (หน้า 88- 91) |
|
Other Issues |
นโยบายการพัฒนาชาวเขา ในปี พ.ศ 2510 เกิดการแผ่ขยายอิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์ โดยกลุ่มผู้ก่อการร้ายได้เข้าไปแทรกซึมในหมู่บ้านของชาวเขา และยุยงให้ชาวเขากระด้างกระเดื่องต่อรัฐบาล ทางสภาความมั่นคงแห่งชาติจึงเสนอให้มีการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการสงเคราะห์ชาวเขา และให้เปลี่ยนชื่อเป็น คณะกรรมการชาวเขา ให้มีหน้าที่รับผิดชอบในภารกิจของชาวเขาทุกกรณี โดยคณะกรรมการดังกล่าวมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นประธาน เป้าหมายหลักคือการกำหนดนโยบายและวิธีการดำเนินการกับชาวเขา แนวทางการดำเนินนโยบายมีดังนี้ - นโยบายระยะสั้น ได้แก่การจัดให้มีเจ้าหน้าที่เข้าถึงชาวเขา ที่เป็นจุดล่อแหลมให้เร็วที่สุด เป็นวิธีที่ผูกจิตสำนึกให้พวกเขามีความจงรักภักดีต่อประเทศไทย - นโยบายระยะยาว ได้แก่การพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา ให้อยู่อาศัยและทำมาหากินบนภูเขาเป็นหลักแหล่งที่แน่นอน เลิกการปลูกฝิ่นโดยให้ปลูกพืชชนิดอื่นแทน เลิกการตัดไม้ทำลายป่า และให้เป็นพลเมืองดีทำประโยชน์ต่อประเทศชาติเหมือนกับคนไทยโดยทั่วไป จุดประสงค์ก็คือ 1. เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของชาวเขาให้อยู่ดีกินดี มีคุณภาพชีวิตที่ดี 2. เพื่อป้องกันการทำลายป่าต้นน้ำลำธาร 3. ป้องกันการปลูกฝิ่นโดยส่งเสริมให้ปลูกพืชชนิดอื่นแทนการปลูกฝิ่น 4. เพื่อรักษาความสงบและความปลอดภัยทางชายแดนภาคเหนือ ส่งเสริมให้ชาวเขามีความรักชาติไทย หวงแหนผืนแผ่นดินไทย เพื่อจะได้เป็นกำลังสำคัญในการต่อต้านการแทรกซึมจากบ่อนทำลายชาติฝ่ายตรงข้าม |
|
Map/Illustration |
-แผนที่จังหวัดเชียงราย และพื้นที่เป้าหมายในการทำวิจัย (หน้า 10) - แผนที่แสดงการอพยพเข้ามาของชาวเขาเข้าสู่ประเทศไทย (หน้า45) - ภาพลักษณะการแต่งกายของชาวเขาเผ่าต่างๆ (หน้า 36-43) |
|
|