|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
บรู,การเรียนรู้,การขัดเกลา,สังคม,วัฒนธรรม,อุบลราชธานี |
Author |
ชนาธิป บุณยเกตุ |
Title |
การเรียนรู้และการขัดเกลาทางสังคมของกลุ่มชาติพันธุ์บรู : มุมมองทางสังคม-วัฒนธรรมและบทบาทหญิงชาย |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
บรู,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic) |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
84 |
Year |
2541 |
Source |
สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (สวช.) |
Abstract |
งานวิจัยกล่าวถึง ที่มาของกลุ่มชาติพันธุ์ วิถีการดำเนินชีวิตซึ่งส่งผลต่อด้านสังคมวัฒนธรรม ความสัมพันธ์ระหว่างวิถีชีวิตของบรูกับความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณีและพิธีกรรม ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีผลต่อการเรียนรู้และการขัดเกลาทางสังคมของหญิงชายชาติพันธุ์บรู รวมทั้งการเปิดโอกาสทางการศึกษาทำให้เปิดโลกทัศน์ของบรูมากขึ้น |
|
Focus |
อิทธิพลของวิถีการดำเนินชีวิตที่มีผลต่อการเรียนรู้และการขัดเกลาบทบาททางสังคมวัฒนธรรมของชาติพันธุ์บรู |
|
Ethnic Group in the Focus |
ผู้เขียนศึกษาว่า ชาติพันธุ์บรูหรือบรูข่า เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษที่เป็นข่า จัดอยู่ในตระกูล มอญ-เขมร เรียกตนเองว่า บลูหรือบรู ซึ่งภาษากวยแปลว่า ภูเขา เพราะอาศัยอยู่ใกล้กับภูเขา มีถิ่นเดิมอยู่ในแขวงจำปาสักของประเทศลาว ต่อมาได้อพยพเข้ามาอยู่ที่บ้านเวินบึก ตำบลโขงเจียม อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี (หน้า1-4) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาบรูจัดอยู่ในกลุ่มภาษามอญ-เขมร (หน้า1) บรูมีภาษาใช้เป็นของตนเองคือ ภาษาบรูใช้สื่อสารกันเองในกลุ่ม ภาษาบรูไม่มีภาษาเขียนมีแต่ภาษาพูด นอกจากจะพูดภาษาบรูกันในกลุ่มแล้วยังใช้ภาษาไทยลาวและภาษาไทยกลางสนทนากับบุคคลภายนอก หรือติดต่อราชการ (หน้า 53) |
|
Study Period (Data Collection) |
ไม่ได้ระบุรายละเอียด แต่ระบุว่าเป็นการศึกษาเฉพาะเจาะจงพื้นที่เพราะเป็นพื้นที่เดียวที่ยังมีกลุ่มชาติพันธ์บรูอาศัยอยู่ คือ บ้านเวินบึก ตำบลโขงเจียม อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี การเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในชุมชนเป็นระยะ ๆ การสังเกตจากการจัดสนทนา (หน้า 3) การทำChronology เป็นต้น (หน้า4) |
|
History of the Group and Community |
ก่อนที่จะอพยพเข้ามาในดินแดนประเทศไทย บรูเป็นกลุ่มชนที่เร่ร่อน ทำไร่เลื่อนลอย ปลูกข้าวปลูกพืชผักสวนครัวไว้บริโภค ในครัวเรือนและยังคงพึ่งพาธรรมชาติ เช่น ล่าสัตว์ หาของป่า (หน้า54) บรูมีชื่อเรียกตามสภาพภูมิประเทศที่พวกเขาตั้งถิ่นฐานอยู่ คือ อาศัยอยู่ใกล้ภูเขาจึงเรียกตนเองว่า บลู หรือ บรู ซึ่งภาษากวย แปลว่า ภูเขา (หน้า 1) ชนชาติบรูอพยพมาจากแขวง จำปาสักของประเทศลาว และเคลื่อนย้ายลงมาทางใต้ข้ามทะเลป่อง ทะเลนวล และแม่น้ำเซเมืองเหียง จนมาถึงแม่น้ำละวัฮสะวิง บรูนับถือผีเจียวเป็นผีประจำเผ่า แต่เนื่องจากเป็นเขตของคนลาว ทำให้บรูต้องเลิกนับถือ ในช่วงแรก บรูอาศัยอยู่ตามเขาลำเพาะและเขากะไดแก้ว ต่อมาอพยพไปบ้านหนองเม็กซึ่งอยู่บนภูกลางเฮือน บรูเรียกว่า เขาใหญ่ และได้เคลื่อนย้ายมาที่บ้านเวินขัน บ้านเวินไชย และบ้านลาดเสือ ต่อมาเป็นลำดับ แต่ในช่วงนั้นฝรั่งเศสได้อำนาจเข้ามาปกครองประเทศลาวระหว่างปี พ.ศ.2436 ถึงปี พ.ศ.2457 อีกทั้งยังบังคับผู้คนที่อยู่ในลาวขณะนั้นต้องเสียภาษีให้กับฝรั่งเศสทำให้บรูไม่มีอิสระเสรีเหมือนตอนที่อยู่บนเขา จึงพากันทะยอยอพยพเข้ามาในประเทศไทยทีละน้อยเพราะต้องระวังพวกทหารฝรั่งเศสที่อยู่ตามชายฝั่งแม่น้ำโขง ในปี พ.ศ.2457 มีบรูอพยพเข้ามาในบ้านเวินบึก อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี เพียง 7 ครัวเรือน และต่อมาก็ได้พากันอพยพเข้ามามากขึ้น |
|
Settlement Pattern |
ไม่ได้ระบุแน่ชัด แต่ระบุในส่วนของการตั้งถิ่นฐาน บรูจะอาศัยอยู่ใกล้ภูเขาในสมัยก่อนที่จะอพยพเข้ามาอาศัยในประเทศไทย (หน้า1-2) ต่อมาอพยพลงมาที่ราบเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ชายฝั่งแม่น้ำโขงตรงบริเวณที่เรียกว่า "เวินบึก" หมายถึง คุ้งน้ำที่มีปลาบึกชุกชุม (หน้า26) (ดูรูปภาพที่ 5 ภาคผนวก) ปัจจุบันการสร้างบ้านเรือนมีลักษณะคล้ายคลึงกับบ้านเรือนของคนอีสาน (ดูรูปภาพที่ 3 ภาคผนวก) |
|
Demography |
จากข้อมูลหมู่บ้าน ปี พ.ศ. 2541 พบว่า มีจำนวนประชากรชาติพันธุ์บรูอาศัยอยู่ในชุมชนบ้านเวินบึก ตำบลโขงเจียม อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานีมีจำนวนครัวเรือนรวมทั้งสิ้น 88 หลังคาเรือน มีประชากรทั้งสิ้น 435 คน ซึ่งแบ่งเป็นชาย 26 คน หญิง 209 คน (หน้า 29) (ดูตารางหน้า30) |
|
Economy |
จากการศึกษาของผู้วิจัยพบว่า อาชีพจักสานเป็นอาชีพหลักของบรู เนื่องจากสามารถหาวัสดุได้ง่ายเพราะมีอยู่ในท้องถิ่น คือ ไม้ไผ่ หรือที่บรูเรียกว่า "ไม้เฮียะ" ซึ่งถือเป็นไม้ไผ่ชนิดหนึ่งมีคุณสมบัติที่เหมาะแก่การจักสาน เครื่องจักสานของบรูมีหลายอย่างได้แก่ หวด กระติ๊บข้าว หมวก ฯลฯ ซึ่งสร้างรายได้ให้กับบรูเฉลี่ยครัวเรือนละ 4,500 บาทต่อปี จนทำให้ชาวบ้านอื่น ๆ หันมาผลิตเครื่องจักสานกันมากขึ้น และผลกระทบที่ตามมาคือ ขาดวัตถุดิบ ไม้เฮียะในพื้นที่แถบนี้หมดไม่มีให้ตัด ปัจจุบันบรูได้ผลิตเครื่องจักสานไว้ใช้ในครัวเรือนเท่านั้น รวมทั้งอาชีพประมงที่ถือว่าเป็นอาชีพหลักอีกอย่างหนึ่งของชาวบ้านเวินบึกก็ลดลงด้วย ในอดีตนั้นปลาในแม่น้ำโขงบริเวณเวินบึกชุกชุมมาก บรูจึงมีอาชีพจับปลาขายเป็นส่วนใหญ่โดยมีแม่น้ำโขงเป็นแหล่งอาหารแหล่งใหญ่แต่เนื่องจากมีบรู ชาวบ้านอื่นและนักจับปลาจากที่อื่นมาจับปลาในบริเวณนี้เป็นประจำจนทำให้จำนวนประชากรปลาลดลงทั้งยังมีการสร้างเขื่อนปากมูลขึ้นทำให้น้ำไหลบ่าและเชี่ยวในเวลาที่เขื่อนเปิดจึงเกิดการเสียหายของเครื่องมือจับปลาและยากต่อการคาดคะเนจำนวนของปลาว่ามากหรือน้อย (ดูรูปภาพที่ 5,17,18 ภาคผนวก) บรูบ้านเวินบึกมีอาชีพดั้งเดิมคือ เกษตรกรรม มีการเพาะปลูกได้แก่ ข้าวโพด มันสำปะหลัง แต่เนื่องจากทางราชการได้ประกาศให้พื้นที่ทำการเพาะปลูกเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติเมื่อปี พ.ศ.2524 ทำให้การดำรงชีวิตของบรูเปลี่ยนแปลงไป ปัจจุบันไม่มีการ ทำไร่ประเภทอื่นนอกจากการปลูกพืชผักสวนครัวเพื่อใช้บริโภคในครัวเรือน เพราะพื้นที่ในหมู่บ้านมีจำกัด ได้แก่ หอม กระเทียมพริก มะเขือ ผักชี ฯลฯ และนำไปขายที่ตลาดนัดของหมู่บ้านหรือหาบเร่ขายไปตามบ้านเรือนต่างๆ ในกรณีที่ได้ผลผลิตมากพอที่จะบริโภค ส่วนการเลี้ยงสัตว์บรูเลี้ยงไว้เพื่อบริโภคและขาย ได้แก่ วัว ควาย หมู เป็ด และไก่ ซึ่งได้รับแจกจ่ายจากทางราชการ และในปี พ.ศ.2530 บรูได้รับลูกแกะจากทางราชการเพื่อเลี้ยงเป็นอาชีพเสริม แต่เนื่องจากบรูไม่คุ้นเคยกับการเลี้ยงประกอบกับบรูไม่กินแกะทำให้ไม่ได้ผลเท่าที่ควร นายสีทัน พรานแม่น ผู้ใหญ่บ้านเวินบึก กล่าวว่า การที่โครงการดังกล่าวของรัฐไม่ประสบผลสำเร็จนั้นมีสาเหตุมาจากการที่รัฐไม่ได้ศึกษาวัฒนธรรมของบรูอย่างแท้จริง นอกจากนี้ บรูยังมีอาชีพอื่นๆ เช่น การค้าขาย ซึ่งจะมีร้านขายของชำจำนวน 5 ร้าน การหาของป่า หมอพื้นบ้าน อาชีพรับจ้างทั่วๆ ไปซึ่งจะเป็นการออกไปขายแรงงานนอกหมู่บ้าน เช่น กรุงเทพฯ (ดูตารางหน้า 33) (ดูรูปภาพที่ 8,20,22 ภาคผนวก) |
|
Social Organization |
ในสังคมบรูระบบครอบครัวและเครือญาติจะให้ความสำคัญกับญาติฝ่ายหญิงมากกว่าฝ่ายชาย ในการแบ่งมรดกให้แก่ลูกๆ ลูกชายจะได้เป็นที่นาหรือเงิน ส่วนบ้านและที่นาของพ่อแม่ที่ทำกินอยู่จะยกให้แก่ลูกสาวเพราะลูกสาวต้องเลี้ยงพ่อแม่ในตอนแก่ บรูจะนิยมการมีลูกเยอะ ๆ เพราะจะได้มีคนเลี้ยงเมื่อยามแก่ซึ่งถือเป็นเรื่องเชิดหน้าชูตาของพ่อแม่ บรูจะอบรมสั่งสอนลูกเรื่องความกตัญญูกตเวทีเป็นหลัก และผีมีบทบาทสำคัญในการสร้างความผูกพันในครอบครัว คือเมื่อลูกออกจากบ้านพ่อแม่เกิน 3 เดือนต้องมีการเสียผี (หน้า 74-75) บรูห้ามแต่งงานใน " ฮีต" เดียวกัน คู่สมรสบรูเรียกว่า "เขยสู่หรือสะใส้สู่" เมื่อแต่งแล้วฝ่ายชายจะไปอยู่บ้านฝ่ายหญิงโดยลักษณะที่ฝ่ายหญิงเป็นใหญ่ แต่ห้ามฝ่ายหญิงมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่ง มิฉะนั้นจะไม่สามารถขึ้นบ้านฝ่ายชายได้ (หน้า 56) แต่ต้องมีการเสียผีก่อนตามฐานะ เขยสู่และสะใภ้สู่ต้องระวังกิริยาและห้ามพูดจาล่วงเกินบรรพบุรษหรือฮีตของอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งถือเป็นความผิดร้ายแรงหากเกิดการละเมิดขึ้นต้องเสียผีด้วยค่าปรับที่สูง เริ่มตั้งแต่หมูจนถึงควาย (หน้า 75) การแบ่งบทบาทความรับผิดชอบของชาย-หญิงบรูนั้น ส่วนใหญ่ผู้หญิงจะมีบทบาทความรับผิดชอบในงานทุกประเภท เช่น งานการผลิต งานผลิตในครัวเรือน งานเพื่อชุมชน แต่ผู้ชายบรูกลับมีบทบาทเฉพาะในด้านการผลิตเท่านั้น นั่นหมายถึง ผู้หญิงต้องทำงานหนักแต่โอกาสที่จะเข้าถึงและควบคุมทรัพยากรต่างๆ กลับมีบทบาทน้อยกว่าผู้ชายโดยเฉพาะการควบคุมและการตัดสินใจ ส่วนในเรื่องการใช้เวลา ผู้ชายจะใช้เวลาในการผลิตนานกว่าผู้หญิงคือ 5.1-9 ชั่วโมง ขณะที่ผู้หญิงจะใช้เวลา 1-5 ชั่วโมง แต่ในงานครัวเรือนผู้หญิงกลับใช้เวลาในงานมากกว่าผู้ชายทุกช่วงเวลา ดังนั้น ผู้ชายจึงมีเวลาว่างมากกว่าผู้หญิง (หน้า 57-68) (ดูตารางหน้า 57,59,61,63-64,67) |
|
Political Organization |
ระบบการปกครองบรูยังใช้ระบบนับถือผู้อาวุโส ต่อมาจึงมีการเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งปัจจุบันบ้านเวินบึกปกครองตามเกณฑ์ของกระทรวงมหาดไทย โดยให้มีคณะกรรมการของหมู่บ้าน โดยกรรมการแต่ละฝ่ายจะได้รับเสนอชื่อจากชาวบ้าน และให้ผู้ใหญ่บ้านตัดสินตามความเหมาะสม (หน้า 41-42) (ดูรูปภาพที่ 7 ภาคผนวก) |
|
Belief System |
จากการสังเกตของผู้วิจัยเห็นว่า บรูมีความเชื่อและยึดถือขนบธรรมเนียมประเพณี "ฮีตข่าคองขอม" ซึ่งเป็นประเพณีที่ยึดถืออย่างเคร่งครัดมาตั้งแต่อยู่ที่ประเทศลาวหรืออาจนานกว่านั้น ซึ่งฮีตข่าคองขอมจะยึดถือปฏิบัติควบคู่ไปกับความเชื่อเรื่องผี อาทิ ผีจำนัก, ผีประจำฮีต, ผีไถ้ และผีบุญคุณพ่อแม่ ซึ่งแบ่งพิธีกรรมนั้นเป็น 2 ลักษณะ คือ 1).พิธีกรรมเป็นมงคล 2).พิธีกรรมที่เกิดจากการทำผิดฮีต ซึ่งทั้ง 2 ลักษณะนี้ก็ล้วนเกี่ยวข้องกับผีทั้งสิ้น พิธีกรรมดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าไม่มีตัวบทกฎหมายลงโทษแต่จะเป็นการเซ่นไหว้ขอขมาและพิธีกรรมนี้ถือเป็นจารีตประเพณีของคนในชุมชนที่พึงปฏิบัติ ส่วนประเพณีของบรูนั้นก็มีส่วนคล้ายกับของชาวอีสานบ้างคือ พิธีกรรมจะมีขึ้นตามเดือนต่างๆ ของชาวอีสานเรียกว่า "ฮีตสิบสองคองสิบสี่" แต่พิธีกรรมของบรูจะเน้นเรื่องการเลี้ยงผีเป็นส่วนใหญ่ ได้แก่ เลี้ยงผีบ้าน เลี้ยงผีฮีต เลี้ยงผีไถ้ ระเบิ๊บ เป็นต้น (ดูตารางหน้า 49-50) ซึ่งจะมีผู้นำทางพิธีกรรมบรูเรียกว่า "จาระโบ" มีลักษระคล้ายขะจ้ำของอีสาน ซึ่งมีความแตกต่างในเรื่องวิธีการเลือกผู้นำทางพิธีกรรมคือ การเลือกจาระโบคนต่อไปต้องเลือกคนที่มีสายตระกูลเดียวกันแต่การเลือกขะจ้ำจะใช้วิธีการเสี่ยงทาย ปัจจุบันบรูนับถือพุทธศาสนาซึ่งเปลี่ยนตามความต้องการของทางราชการเพื่อเหตุผลทางการเมืองการปกครอง และมีวัดประจำหมู่บ้านอยู่ 1 แห่ง คือวัดบ้านเวินบึก หรือสำนักสงฆ์ศิลาตะ ซึ่งตั้งอยู่ทางใต้ของหมู่บ้าน (หน้า 44-45,50-53) |
|
Education and Socialization |
ปัจจุบัน มีโรงเรียนบ้านเวินบึกอยู่ 1 แห่ง เป็นโรงเรียนประถมศึกษาประเภทสหศึกษา (หน้า 72) และศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในสังกัดกรมพัฒนาชุมชนตั้งอยู่ภายในบริเวณโรงเรียน เปิดสอนตั้งแต่ชั้นเด็กเล็กจนถึงประถมศึกษาปีที่ 6 มีครู 6 คน มีนักเรียนทั้งสิ้น 79 คน (ดูตารางหน้า 34) (ดูตารางหน้า 70) และนักการภารโรง 1 คน (หน้า 33-34) เนื่องจากเป็นโรงเรียนสหศึกษา พบว่า เกิดการไม่เท่าเทียมกันเชิงพฤติกรรมของเด็ก เช่น ขาดการมีส่วนร่วมของเด็กในการเรียนการสอน เด็กผู้หญิงมักจะขาดความมั่นใจไม่กล้าซักถาม ไม่กล้าแสดงออก หรือน้อยกว่าเด็กผู้ชาย ทำให้ขาดโอกาสการเรียนรู้ในการระบบโรงเรียน (หน้า 72-73) (ดูรูปภาพที่ 9,10,11,12 ภาคผนวก) ส่วนเด็กเล็กได้รับการเตรียมความพร้อมที่จะเข้าเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โดยได้รับการพัฒนาทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม สติปัญญา คุณธรรม และจริยธรรม (หน้า70) ในด้านคุณภาพของนักเรียนโรงเรียนบ้านเวินบึกค่อนข้างดี (ดูตารางหน้า 71) ในด้านการศึกษาต่อนักเรียนเข้าไปเรียนต่อในระดับสูงขึ้นที่โรงเรียนมัธยมประจำอำเภอ (ดูตารางหน้า 72) และให้ความสำคัญเรื่องการเรียนกับลูกชายมากกว่าลูกผู้หญิง (หน้า71) การศึกษานอกโรงเรียนเป็นระบบการศึกษาที่เสริมต่อหรือขยายโอกาสในการเรียนรู้การศึกษาขั้นพื้นฐานจากระบบของโรงเรียนของผู้ที่ขาดโอกาสเนื่องด้วยสาเหตุต่างๆ และยังมีการสอนวิชาชีพ แต่มีคนให้ความสนใจที่จะศึกษาต่อไม่มากนักเนื่องจากเปลี่ยนครูสอนบ่อยทำให้การเรียนไม่ต่อเนื่อง และวัยแรงงานส่วนใหญ่ก็ออกหางานทำที่อื่น (ดูรูปภาพที่16 ภาคผนวก) นอกจากนี้ยังมีศูนย์ศิลปาชีพมีการฝึกทอผ้าให้ชาวบ้านเวินบึก ห้วยหมวกใต้ และบ้านท่าแพ มีสมาชิก 50 คน เข้ามาฝึกกรรมวิธีการทอผ้า แต่บรูเรียนได้ช้าและฝีมือยังไม่ดีเท่าที่ควรเพราะบรูไม่มีวัฒนธรรมการทอผ้า (หน้า 56,73,80) (ดูรูปภาพที่ 13,14,15 ภาคผนวก) |
|
Health and Medicine |
ด้านสาธารณสุข บรูมีสาธารณูปโภคใช้บ้างแล้ว อาทิ ส้วม, ถังเก็บน้ำฝน, บ่อน้ำบาดาลสาธารณะ เป็นต้น ปัจจุบันมีสถานีอนามัยบ้านเวินบึกอยู่ 1 แห่ง ถ้าเจ็บป่วยเล็กน้อยก็สามารถหาซื้อยารับประทานได้บ้าง (ดูรูปภาพที่ 6 ภาคผนวก) ด้านการรักษาพยาบาล บรูมีวิธีการรักษา 2 แบบ คือ การรักษาพยาบาลแบบพื้นบ้านดั้งเดิมกับการรักษาพยาบาลแบบสมัยใหม่ เรียกว่า รักษาแบบพาหุลักษณ์ สามารถเลือกบำบัดโดยวิธีใดวิธีหนึ่งก็ได้ ดังนี้ 1).การรักษาพยาบาลแบบพื้นบ้านดั้งเดิม ซึ่งจะมีหมอยาเป็นผู้รักษา ส่วนใหญ่เป็นผู้เฒ่าผู้แก่ที่บรูให้ความนับถือ หมอยาเหล่านี้ได้รับการถ่ายทอดวิชามาจากพ่อแม่และบรรพบุรุษ ซึ่งในบ้านเวินบึกมีหมอยาหลายคน อาทิ หมอยาสมุนไพร หมอเป่า หมอกวาด, หมอน้ำมนต์ หมอน้ำมัน หมอเอ็น หมอพระ หมอขวัญ หมอผี และหมอตำแย 2).การรักษาพยาบาลแบบสมัยใหม่คือ การไปรับการรักษาพยาบาลจากหน่วยงานของทางราชการของหมู่บ้านเวินบึก หรือเข้าไปรักษาในอำเภอ |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ไม่ได้ระบุแน่ชัด แต่ระบุในเรื่องของอาชีพคือ จักสาน ซึ่งจัดเป็นงานหัตถกรรมอย่างหนึ่ง สมัยก่อนจักสานถือเป็นอาชีพหลักของ บรู โดยใช้ "ไม้เฮี้ยะ" ซึ่งเป็นวัสดุที่หาได้ในท้องถิ่นมาใช้ทำการสานกระติ๊บข้าว หมวก ไซ ฯลฯ ซึ่งทำกันมากจนปัจจุบันไม้เฮี้ยะแทบจะไม่มีหลงเหลืออยู่ในท้องถิ่นอีกแล้ว อาชีพจักสานจึงค่อยๆ หมดไป (หน้า 30,55-56) |
|
Folklore |
ไม่ได้ระบุแน่ชัด แต่ปรากฏในส่วนของภาษาซึ่งมีตำนานทางประวัติศาสตร์ ภาษาบรูมีคำที่ออกเสียงและความหมายคล้ายกับภาษาเขมร (หน้า 79) บรูเชื่อว่าข่าเป็นบรรพบุรุษของตนและมีตัวหนังสือใช้ตั้งแต่โบราณ ตัวหนังสือข่านั้นศักดิสิทธิ์มากซึ่งไม่สามารถเขียนลงในวัตถุชนิดใดติดเลย จึงได้ลองเขียนลงบนรองเท้าหนังควายและสามารถเขียนติด แต่มีสุนัขคาบไปกิน คนเขมรมาพบเข้าและแย่งคืนมาได้ ตั้งแต่นั้นมาตัวหนังสือข่าจึงกลายเป็นของคนเขมรและใช้จนถึงปัจจุบันนี้ นอกจากนั้น ยังมีความเชื่อว่าตัวหนังสือลาวต้องเขียนลงบนใบลาน, ตัวหนังสือขอมต้องเขียนลงในศิลาจารึก และตัวหนังสือข่าต้องเขียนลงบนหนังควาย (หน้า 53) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ผู้วิจัยศึกษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชาติพันธุ์บรูบ้านเวินบึก พบว่า วัฒนธรรมของบรูที่ยังคงยึดถือปฏิบัติอยู่ ได้แก่ 1).ภาษาบรู 2).ความเชื่อ,ขนบธรรมเนียมและพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับผีเสมอ 3).ห้ามแต่งงานกับคนที่อยู่ในฮีตเดียวกัน 4).การเคารพต่อบรรพบุรุษและพ่อแม่ของตนที่เรียกว่า "ฮีตข่า" ในส่วนของความสัมพันธ์กับชาติอื่นไม่ได้ระบุรายละเอียด แต่มีการสันนิษฐานจากผู้วิจัยในเรื่องความสัมพันธ์ของบรูและขอมตามตำนานที่มาทางประวัติศาสตร์ของตัวหนังสือข่าซึ่งต่อมาตกเป็นตัวหนังสือของเขมร (ขอม) ถือว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ของตัวอักษรและหนังควายที่นำมาเขียนตัวอักษร ทำให้เกิดความสอดคล้องของตำนาน (หน้า 53) |
|
Social Cultural and Identity Change |
บรูเป็นกลุ่มชนที่เร่ร่อนทำไร่เลื่อนลอย โดยปลูกข้าวไร่,พืชผัก,หาของป่าและล่าสัตว์ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองการปกครองในประเทศลาว บรูจึงได้อพยพจากประเทศลาวเข้ามาอาศัยในประเทศไทย ย่อมมีการปรับตัวทางวัฒนธรรมให้เข้ากับกลุ่มชนชาติลาวในไทย บรูสามารถทำมาหากินได้อย่างอิสระเสรีแต่ต้องอยู่ใน "ฮีต" ที่ต้องถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ต่อมาที่ดินทำกินของชาวบ้านถูกทางราชการเวนคืน ชาวบ้านจึงหันไปทำประมงแทนและประกอบอาชีพเสริมคือ จักสานเพราะมีวัตถุดิบในท้องถิ่นคือ ไม้ไผ่ บรู เรียกว่า "ไม้เฮี้ย" อาชีพได้ทำกันอย่างแพร่หลายและสามารถสร้างรายได้ดีให้กับชาวบ้าน จึงทำให้วัตถุดิบหมดหายไปอาชีพจึงหมดสิ้นไปด้วย ในปี พ.ศ.2530 มีการขายแรงงานตามท้องถิ่นอื่นๆ โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครซึ่งถือเป็นแหล่งขายแรงงานที่สำคัญปี พ.ศ.2539 ได้มีโครงการศิลปาชีพพิเศษในพระอุปถัมภ์ของสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เข้ามาฝึกกรรมวิธีการทอผ้าให้แก่ชาวบ้าน (หน้า 54-56) |
|
Other Issues |
นอกจากประเด็นของการศึกษาบทบาทหญิง-ชายบรูในด้านต่างๆ แล้ว ประเด็นที่น่าสนใจที่สอดแทรกมาในเรื่องนี้คือ การเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจที่มีผลต่อความเชื่อของบรู ซึ่งในปัจจุบันรัฐได้เข้ามาให้ความสำคัญในชนบทมากขึ้น มีโครงการต่างๆ เข้ามาให้ชาวบ้านมีอาชีพเสริม และความเจริญของเทคโนโลยีต่างๆ ที่ทำให้ชาวบ้านผันตัวเองหารายได้อย่างอื่นนอกจากเป็นเกษตรกร มีการขายแรงงานตามถิ่นอื่นเมื่อสิ่งเหล่านี้เปลี่ยนไปเศรษฐกิจย่อมเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ผู้หญิงจากที่เคยอยู่ที่บ้านต้องคอยเฝ้าบ้านทำงานบ้านจำเป็นที่จะออกไปขายแรงงาน เช่น หญิงที่มีสามีแล้วก็ไปกับสามี หรือหญิงที่เด็กอยู่ก็ไปกับครอบครัว เราจะเห็นได้จากพวกกรรมกรรับเหมาก่อสร้างที่ไม่มีที่อยู่อาศัยแน่นอนมักมากันเป็นครอบครัวอาจเป็นเป็นปัญหาแก่เด็ก ๆ คือไม่ได้รับการศึกษา หรือต้องเปลี่ยนที่เรียนบ่อย ๆ กรรมกรเหล่านี้ถือว่ามีบทบาทต่อสังคมไทยอย่างมาก |
|
Map/Illustration |
แผนที่ - บ้านเวินบึก หมู่ที่ 8 ตำบลโขงเจียม อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี (หน้า 27) ตาราง - บทบาทหญิงชาย (หน้า 21), การวิเคราะห์กิจกรรม: กระบวนการทำนา (หน้า 23), วิเคราะห์การเข้าถึง (การใช้) และควบคุม(หน้า 24), จำนวนประชากรจำแนกตามอายุ(หน้า 30), การขายแรงงานนอกหมู่บ้านของบรู (หน้า 33), จำนวนนักเรียนแยกตามชั้นเรียน(หน้า 34), การรักษาพยาบาลของบรู(หน้า 40), รายชื่อของคณะกรรมการหมู่บ้านแต่ละฝ่าย(หน้า 42), ชื่อคุ้มและชื่อหัวหน้าคุ้ม(หน้า 43), รายชื่อคณะกรรมการบริหารศาลาประชาธิปไตย(หน้า 44), ประเพณีพิธีกรรมที่สำคัญของบรู(หน้า 49-50), การเปลี่ยนแปลงของชุมชนบ้านเวินบึก(หน้า54-56), แสดงร้อยละหญิงชายบรูที่มีบทบาทในงานการผลิต(หน้า 57), การแบ่งงานกันทำของหญิงชายบรูในการทำนา(หน้า 59) / ในการทอผ้าไหม(หน้า 61) / ในครัวเรือน(หน้า 62) / งานเพื่อชุมชน(หน้า 63), หญิงชายที่บทบาทในการเข้าถึงและควบคุมเรื่องต่างๆ(หน้า 64), การใช้เวลาและเวลาว่างของหญิงชายในการทำงานต่างๆ(หน้า 67), จำนวนนักเรียนโรงเรียนบ้านเวินบึก ปีการศึกษา 2542(หน้า 70), เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้น ป.1-6 ปีการศึกษา2541(หน้า 71), โอกาสของนักเรียนในการเรียนและทำงาน(หน้า 72), รูปภาพ - ภาพที่ 1-22 สถาพทั่วไปของหมู่บ้าน, สถานที่สำคัญต่างๆ, การดำเนินชีวิตของบรู(ภาคผนวก) |
|
|