สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มุสลิม,ความขัดแย้ง,รัฐบาลไทย,ชายแดนภาคใต้
Author อิมรอน มะลูลีม
Title วิเคราะห์ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลไทยกับมุสลิมในประเทศไทย : กรณีศึกษากลุ่มมุสลิมในเขตจังหวัดชายแดนภาคใต้
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม, Language and Linguistic Affiliations ออสโตรเนเชี่ยน
Location of
Documents
ห้องสมุดมหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ Total Pages 233 Year 2538
Source สำนักพิมพ์อิสลามิอะเคเดมี
Abstract

มุสลิมในสี่จังหวัดภาคใต้ มีความแตกต่างจากมุสลิมในภาคอื่นของไทย ในด้านชาติกำเนิด การตั้งหลักแหล่ง ความเอาจริงเอาจังในการปฏิบัติศาสนา ข้อเท็จจริงที่ว่า มุสลิมส่วนใหญ่ที่นี่ไม่ได้เป็นเหมือนคนไทยโดยทั่วไป แต่เป็นคนมลายูที่นับถือศาสนาอิสลามและมีประเพณีมลายูที่มักถูกมองข้ามไป การมองข้ามความแตกต่างนี้ โดยเจตนาหวังว่าจะช่วยให้ประเทศชาติเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จึงนำไปสู่ความเข้าใจผิด ทำให้เกิดผลอันไม่พึงประสงค์ทางโครงสร้างของสังคมในสี่จังหวัดภาคใต้แตกต่างจากภาคอื่น ๆ ก็คือ ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม พวกเขาไม่ชอบใช้ภาษาไทย แต่ใช้ภาษามาเลย์ในชีวิตประจำวัน อุปสรรคเรื่องภาษาก่อให้เกิดความแตกแยกระหว่างไทยมุสลิมกับผู้ไม่ใช้มุสลิม อุปสรรคทางด้านภาษา วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี อุดมการณ์ และภาษาเหล่านั้นได้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างคนสองกลุ่ม ตลอดจนระหว่างชาวบ้านที่เป็นมุสลิมกับ ข้าราชการที่เป็นไทยพุทธจึงมีปัญหากันอยู่บ่อย ๆ การเกิดปัญหาสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงมีอยู่ตลอดมา การปฏิบัติการของกลุ่มก่อการร้ายจะรุนแรงมากหรือน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับมาตรการตอบโต้ของฝ่ายเจ้าหน้าที่บ้านเมือง เมื่อใดที่เจ้าหน้าที่เพิ่มมาตรการป้องกันปราบปรามอย่างเข้มแข็ง หรือมาตรการเชิงรุก ปฏิบัติการของฝ่ายก่อการร้ายก็จะเบาบางลง หัวหน้าระดับนำก็จะหลบหนีการจับกุมเข้าไปพักพิงอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน แต่เมื่อใดเจ้าหน้าที่บ้านเมืองหย่อนยาน ปฏิบัติการของฝ่ายก่อการร้ายก็จะรุนแรงขึ้นมาอีก (หน้า 197)

Focus

นำเสนอปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้กับรัฐบาลไทย อันเป็นปัญหาที่ยืดเยื้อมาจนถึงปัจจุบัน ผู้วิจัยได้ทำการศึกษา ภาพรวมของสังคมมุสลิม ตั้งแต่การเข้ามาของศาสนาอิสลามสู่ประเทศไทย และประวัติศาสตร์ของ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตลอดจนประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์และความขัดแย้งระหว่างประชาชน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้กับรัฐบาลไทย (หน้า คำนำสำนักพิมพ์)

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

มุสลิมในประเทศไทย โดยเน้นศึกษากลุ่มมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หน้า4)

Language and Linguistic Affiliations

ภาษาที่ใช้อยู่ในหมู่มุสลิมในจังหวัดชายแดนนั้น คือ ภาษามลายูถิ่น ซึ่งเป็นภาษาของคนในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ใช้มาแต่โบราณ (หน้า 87)

Study Period (Data Collection)

ไม่ระบุ

History of the Group and Community

มุสลิม ได้เข้ามาอยู่ในเมืองไทยตั้งแต่ก่อนเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ไทย (พ.ศ. 1900) ทั้งนี้ เพราะศาสนาอิสลามได้เข้ามาสู่อินโดนีเซียและคาบสมุทรมาเลเซียตั้งแต่ก่อนชนอีกเผ่าหนึ่งจะย้ายมาจากตอนใต้ของยูนาน จึงสามารถยืนยันได้ว่ามีมุสลิมอยู่ในดินแดนซึ่งปัจจุบันนี้คือภาคใต้ของประเทศไทยมาตั้งแต่ก่อนไทยเสียอีก มุสลิมในภาคใต้ของไทยนั้นเป็นคนพื้นเมือง ไม่ใช่เชื้อสายของมุสลิมจากต่างประเทศ มีหลักฐานที่แสดงว่าชาวพื้นเมืองเหล่านี้เข้ามาตั้งหลักแหล่งอยู่ในคาบสมุทรมาเลเซียแล้วตั้งแต่เมื่อ 43 ปีก่อนคริสตกาลในอาณาจักรลังกาสุกะ และประมาณ ค.ศ. 220 พลเมืองเผ่านี้ก็สร้างอาณาจักร ทัมพรลึงค์ (นครศรีธรรมราช) ขึ้นมา ต่อมาในปี ค.ศ. 685 ได้สร้างอาณาจักรใหม่ชื่อว่า ศรีวิชัย ซึ่งได้แผ่อิทธิพลไปทั่วคาบสมุทรนั้น เมื่ออาณาจักรศรีวิชัยเสื่อมลง อิทธิพลของศาสนาอิสลามก็มีอำนาจเหนือวัฒนธรรมฮินดูซึ่งเคยมีอยู่ในบริเวณนั้น และอิสลามก็เข้ามาอยู่ในอาณาจักรปัตตานีซึ่งพญาตวนกูอันตาราเป็นผู้สร้างขึ้น และต่อมาพระองค์ก็เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม นับแต่นั้นมาอิสลามก็มีความเข้มแข็งมากในปัตตานี และเป็นศูนย์กลางศาสนาอิสลามอยู่ในภาคใต้ ประวัติศาสตร์ของสี่จังหวัดภาคใต้สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 สมัย คือ สมัยต้น สมัยกลาง และสมัยปัจจุบัน พอจะสรุปได้ว่า ก่อนคริสตศตวรรษที่ 7 เมื่อราชอาณาจักรฟูนานเสื่อมลง ทำให้เกิดราชอาณาจักรชิตู อาณาจักรปะอันปะอัน และอาณาจักร โตโลโปตี (ศรีวิชัย) ขึ้น ซึ่งในระหว่างคริสตศตวรรษที่ 7-13 อิทธิพลของพุทธศาสนาได้เข้ามามีบทบาท หลังจากอาณาจักรศรีวิชัยเสื่อมลงอาณาจักรอื่น ๆ ก็เกิดขึ้น เมืองที่พัฒนาขึ้นมาจากหมู่บ้านชาวประมงก็กลายเป็นท่าเรือของอาณาจักรเหล่านี้ หลังจากนั้นชื่อปัตตานีก็เกิดขึ้นในแผ่นดินที่เรียกว่า ลังกาสุกะ และในราวคริสตศตวรรษที่ 15 นามลังกาสุกะได้หายไป ชื่อปัตตานี เริ่มปรากฏในการกล่าวถึงทางประวัติศาสตร์ของสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างชัดเจน ในปัจจุบันนักประวัติศาสตร์ส่วนมากเห็นว่าลักษณะทางสังคม และวัฒนธรรมของท้องถิ่นในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในสมัยก่อนเป็นแค่เพียงการขยายระบบสังคมและวัฒนธรรมของอินเดีย โดยไม่ได้ให้ความสำคัญใดๆ แก่วัฒนธรรมท้องถิ่นที่มีอยู่เป็นเครื่องสร้างสถานการณ์ด้านสังคม วัฒนธรรมหรือแม้แต่การเมืองในปัจจุบัน แท้จริงแล้วมุสลิมในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้นมีความสำนึกในประวัติศาสตร์ของตนเองเป็นอย่างสูงโดยเฉพาะประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับอารยธรรมของปัตตานี ยังมีสถานที่ทางประวัติศาสตร์ โบราณวัตถุ และบุคคลต่าง ๆ ที่ยังฝังอยู่ในความนึกคิดจิตใจของผู้คน ประวัติของสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่เป็นที่แน่ชัด การที่จะย้อนรอยจะต้องอาศัยบันทึกลำดับเหตุการณ์ต่าง ๆ โดยพ่อค้าชาวอาหรับ ยุโรป อินเดีย จีน ฯลฯ ซึ่งเดินเรือมายังบริเวณนั้น แต่ยังไม่ได้ประวัติที่สมบูรณ์ หลักฐานบางอย่างจะพบได้แต่ในปลายสมัยอยุธยาเท่านั้น ซึ่งประวัติศาสตร์ของอาณาบริเวณนี้อาจแบ่งได้เป็น 3 สมัย คือ สมัยต้น สมัยกลาง และสมัยปัจจุบัน (หน้า 4-5, 47-59)

Settlement Pattern

ด้านการตั้งถิ่นฐาน มุสลิมภาคใต้โดยทั่วไปมักจะมีการอยู่รวมกันเป็นกลุ่มบริเวณเดียวกัน ต่างกับมุสลิมในภาคอื่น ๆ ที่มีโอกาสใกล้ชิดกับเพื่อนต่างศาสนามากกว่ามุสลิมภาคใต้ ทำให้มีความรู้สึกเป็นคนไทยมากกว่ามุสลิมภาคใต้ เพราะรับวัฒนธรรมด้านต่าง ๆ เช่น ภาษา การแต่งกาย การศึกษา เช่นเดียวกับชนกลุ่มใหญ่ที่ต่างศาสนา (หน้า 14)

Demography

จำนวนร้อยละของชาวมุสลิมในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีดังต่อไปนี้ คือ ในนราธิวาสมี 78.48% ในปัตตานีมี 77.53% ในสตูลมี 62.79% ในสงขลามี 19.98% ในปี พ.ศ.2532 ได้มีการสำรวจสำมะโนประชากร ดังนี้ เนื้อที่และจำนวนประชากรของชาวมุสลิมในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จังหวัด เนื้อที่ ประชากรมุสลิม จำนวนเฉลี่ย ปัตตานี 812 467,621 77 นราธิวาส 1,799 469,735 78 ยะลา 1,218 291,166 63 สตูล 1,076 179,565 66 ทั้งหมด 5,508 1,408,565 71 จำนวนประชากรมุสลิมในจังหวัดภาคใต้อื่น ๆ นอกจากห้าจังหวัด จังหวัด ประชากรมุสลิม นับเป็นร้อยละเมื่อเทียบกับประชากรทั้งหมดในจังหวัด กระบี่ 99,341 34.22 นครศรีธรรมราช 69,469 4.92 ตรัง 62,001 12.10 พังงา 40,336 19.20 พัทลุง 38,744 8.51 ภูเก็ต 30,180 18.55 สุราษฎร์ธานี 14,513 2.0 ระนอง 12,858 11.24 ชุมพร 1,458 0.38 รวมทั้งหมด 1,790,649 25.59 (หน้า 31-32)

Economy

มุสลิมในประเทศไทยส่วนต่าง ๆ ของประเทศก็มีอาชีพเช่นเดียวกับศาสนิกอื่น ๆ ในส่วนนั้น ๆ เนื่องจากมุสลิมเป็นชนกลุ่มน้อย อย่างไรก็ดี มีอาชีพบางอย่างที่มุสลิมไม่ทำ อย่างเช่น การผลิตและขายเนื้อสุกรและน้ำมันหมู หรืออาหารที่ประกอบด้วยสิ่งเหล่านี้ อาชีพโสเภณีและการออกเงินให้กู้เพื่อเรียกดอกเบี้ย ทั้งนี้เพราะขัดกับหลักการของศาสนา สภาพทางเศรษฐกิจของมุสลิมทางภาคใต้ของประเทศไทย โดยเฉพาะในสี่จังหวัดภาคใต้นั้นขึ้นอยู่กับสภาพดินฟ้าอากาศเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากอากาศในแถบนั้นอบอุ่นและมีฝนตกเกือบตลอดทั้งปี ผู้คนส่วนใหญ่จึงทำงานเกษตรกรรม ส่วนใหญ่ปลูก ต้นยางซึ่งชอบอากาศเช่นนั้น รองลงมาคือปลูกข้าว ต้นผลไม้และต้นมะพร้าว นอกจากนั้นบางคนก็ทำงานในเหมืองแร่ บาง คนก็เป็นชาวประมง ในเรื่องความเป็นเจ้าของที่ดินนั้นมีความแตกต่างกันอยู่ระหว่างชาวพุทธและมุสลิม ในขณะที่ชาวพุทธมี ที่ดินผืนใหญ่ ๆ ที่ดินของชาวอิสลามมักจะมีขนาดเล็ก ๆ เมื่อมีที่ดินขนาดเล็ก มุสลิมจึงหากินจากที่ดินได้เพียงเล็กน้อยแต่ พอใช้จ่ายไปวันหนึ่ง ๆ เท่านั้น ดังนั้นจึงไม่สามารถเก็บเงินไว้ลงทุนในธุรกิจใหญ่ ๆ ได้ และนี่ก็มีผลกระทบถึงชีวิตด้านอื่น ๆ ของพวกเขาด้วย เมื่อเทียบกับชาวพุทธที่อยู่ในถิ่นเดียวกันแล้ว มุสลิมยากจนกว่า ส่วนใหญ่มุสลิมทำมาหากินด้วยการปลูก ข้าวและมะพร้าว หรือเป็นคนงานในสวนยาง หรือทำการประมง (หน้า 41)

Social Organization

โครงสร้างสังคมของสี่จังหวัดภาคใต้แตกต่างจากภาคอื่น ๆ นั่นคือ ประชาชนส่วนใหญ่ คือ 71.2% โดยเฉลี่ยนับถือศาสนา อิสลาม พวกเขาไม่ชอบใช้ภาษาไทย แต่มักจะใช้ภาษามาเลย์ (มลายูถิ่น) ในชีวิตประจำวัน ส่วนหนึ่งพูดภาษาไทยไม่ได้ เลย มีแต่มุสลิมในสตูลเท่านั้นที่พูดภาษาไทยอย่างคล่องแคล่ว ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมของผู้คนในสี่จังหวัด ภาคใต้ก็แตกต่างจากภาคอื่น ๆ และแม้กระทั่งผู้ที่อยู่ภาคเดียวกันแต่ในจังหวัดอื่นเช่นกัน สถาบันสังคมที่มีอิทธิพลต่อชีวิตของมุสลิมในท้องถิ่นก็ คือ สถาบันอิสลาม คือ การปฏิบัติกิจทางศาสนา มัสยิด โรงเรียน ปอเนอะ สถาบันครอบครัว และชุมชน (หน้า 33)

Political Organization

รัฐบาลได้พยายามกำจัดความขัดแย้ง หรือความรู้สึกไม่สบายใจที่อาจจะเกิดขึ้นในหมู่คนไทยมุสลิม ที่เกี่ยวกับศาสนาและ ขนบธรรมเนียมประเพณีของพวกเขา รัฐบาลจึงได้ใช้นโยบายสนับสนุนไทยมุสลิมให้ได้มีส่วนร่วมในการบริหารประเทศ นอกจากนั้นยังมีการออกกฎหมายพิเศษอีกหลายฉบับให้ใช้ในสี่จังหวัดภาคใต้ด้วย คือ พรบ. ใช้กฎหมายอิสลามในจังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา และสตูล ปี พ.ศ.2490 และ พรบ.การอุปถัมภ์ศาสนาอิสลาม ปีพ.ศ.2498 ทั้งหมดนี้มุ่งหมายให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยในบริเวณเหล่านั้น และเพื่อความเจริญเติบโตของศาสนาอิสลาม รัฐบาลได้จัดตั้งศูนย์การปกครองขึ้นสำหรับสี่จังหวัดภาคใต้ โดยการแนะนำของสภาความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อดูแลการบริหารตามนโยบายความมั่นคงของประเทศ ในส่วนที่เกี่ยวกับสี่จังหวัดภาคใต้ ศูนย์การปกครองนี้ได้วางแผนที่จะส่งเสริมโครงสร้างหลายโครงการ อย่างเช่น โครงการสอนภาษาไทยแก่เด็ก ๆ มุสลิมที่กำลังจะเข้าโรงเรียนชั้นประถมปีที่ 1 โครงการส่งเสริมนักเรียนให้เรียนต่อ โครงการการศึกษาผู้ใหญ่ของผู้ใหญ่บ้านในท้องที่มีมุสลิมอยู่มาก โครงการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างชาวพุทธกับมุสลิม โครงการเร่งการสอนศาสนาอิสลามในสถาบันการศึกษาการปกครองทุกระดับ และโครงการปรับปรุงอาชีวศึกษาในโรงเรียนอิสลาม เป็นต้น (หน้า 71)

Belief System

อิสลามเป็นระบบความเชื่อความศรัทธา ซึ่งระบบความเชื่อความศรัทธาของศาสนาอิสลามประกอบด้วยองค์ประกอบ 5 ประการ ได้แก่ ศาสดา คัมภีร์ สาวกหรือผู้สืบทอดศาสนา ศาสนสถาน และพิธีกรรม และยังเป็นศาสนาที่มีลักษณะแตกต่างจากศาสนาอื่น มุสลิมจะมีความศรัทธายึดมั่นและหลักปฏิบัติที่เคร่งครัดตลอดเวลา มีการควบคุมเตือนใจอยู่เป็นประจำ โดย ยึดถือ อัล-กุรอานเป็นธรรมนูญแห่งชีวิต ผู้ที่ศรัทธาและศึกษาปฏิบัติเท่านั้นจึงจะเข้าใจหลักการและคุณค่าอันแท้จริงของ อิสลาม อิสลามจึงอบรมสั่งสอนสนับสนุนให้มีการเรียนรู้ตลอดเวลา การปฏิบัติกิจทางศาสนา อิสลามเป็นศาสนาที่ต้องมีการปฏิบัติหรือเราอาจกล่าวได้ว่า อิสลามคือธรรมนูญหรือวิถีแห่งชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย อิสลามเป็นศาสนาที่สอนให้มนุษย์สักการบูชาพระผู้เป็นเจ้าแต่พระองค์เดียว และให้เชื่อฟังต่อคำสอนของพระองค์ ให้ประพฤติตนดีมีศีลธรรมและมีประโยชน์ต่อสังคม ทางด้านการปฏิบัตินั้น มุสลิมในสี่จังหวัดภาคใต้เคร่งครัดมากกว่ามุสลิมในภาคอื่น ๆ สถานที่มุสลิมมาประกอบศาสนกิจ ได้แก่ มัสยิด ซึ่งมัสยิดเป็นสถานที่ที่มุสลิมมากระทำการสักการะบูชาพระผู้เป็นเจ้า และกิจกรรมอื่น ๆ นับว่าเป็นสถานที่ที่มีเกรียติ มุสลิมถือว่ามัสยิดเป็นศูนย์กลางที่ใช้เป็นที่ประชุมร่วมกันของมุสลิม ในสี่จังหวัดภาคใต้มีมัสยิดอยู่ถึง 1,064 แห่ง (หน้า 7-33)

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีข้อมูล

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไทยมุสลิมกับไทยพุทธมีลักษณะที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวกับวัฒนธรรม ความศรัทธา ความเชื่อ ขนบประเพณี และแม้กระทั่งความสำนึกในเรื่องประวัติศาสตร์ เมื่อคนสองกลุ่มซึ่งมีเอกลักษณ์แตกต่างกันมาอยู่ด้วยกัน ก็เป็นธรรมดาอยู่เอง ที่จะต้องเกิดการปะทะกันบ้าง การรักษาเอกลักษณ์ของตนนั้นหมายถึง กระบวนการที่สังคมได้สร้างขึ้นเพื่อจะรักษาเอกภาพของชุมชนไว้ มุสลิมมีเอกลักษณ์ของตนเองซึ่งพวกเขารักษาไว้อย่างเหนียวแน่นจนคนในชุมชนอื่นอาจไม่เข้าใจก็ได้ พวกเขารักษาเอกลักษณ์ไว้ด้วยวาจา อย่างเช่น จะไม่พูดอะไรที่ขัดแย้งกับหลักศาสนาของพวกเขา พวกเขารักษาเอกลักษณ์ไว้ด้วยจิตใจ เช่นจะไม่ปล่อยจิตใจไขว้เขว ไปจากศาสนาของตน พวกเขารักษาเอกลักษณ์ไว้ด้วยการกระทำ อย่างเช่น จะไม่เคารพบูชารูปเคารพถึงแม้ว่าคนในศาสนา อื่น ๆ จะทำก็ตาม อิสลามเน้นเป็นอย่างมากในเรื่องการรักษาเอกลักษณ์ไว้ มุสลิมทุกคนต้องทำทุกสิ่งที่จะรักษาเอกลักษณ์ของอิสลามไว้ให้ได้ (หน้า 85)

Social Cultural and Identity Change

ไม่มีข้อมูล

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Text Analyst วศิน เชี่ยวจินดากานต์ Date of Report 07 พ.ย. 2555
TAG ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู, มุสลิม, ความขัดแย้ง, รัฐบาลไทย, ชายแดนภาคใต้, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง