|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
มุสลิม พัฒนาการของอิสลาม มาเลเซีย |
Author |
สมมาตร เพ็ญสูตร |
Title |
พัฒนาการของกลุ่มอิสลามนิยมในมาเลเซียตะวันออก ระหว่าง ค.ศ. 1900 -1957 |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
-
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเนเชี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
163 |
Year |
2530 |
Source |
หลักสูตรปริญญาอักษรศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร |
Abstract |
เมื่ออังกฤษเข้ามาปกครองมาเลเซียมีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ และสังคมในมาเลเซียอย่างมาก ได้ส่งผลกระทบมายังรัฐนอกสหพันธ์รวมทั้งกลันตันและตรังกานูด้วย การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือ การอพยพเข้ามาของแรงงานต่างชาติโดยเฉพาะชาวจีนและอินเดียที่เข้ามาเพื่อกอบโกยผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการทำกิจกรรมเหมืองแร่และการทำสวนยางพาราอันเป็นแหล่งผลิตที่สำคัญของคนมาเลย์ ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมนี้ทำให้คนจีนและอินเดียสามารถก้าวเข้าสู่วิถีชีวิตแบบชนชั้นกลางได้ในเวลาไม่นานนัก ขณะที่คนมาเลย์ยังคงพอใจที่จะดำรงชีพอยู่กับระบบเศรษฐกิจที่ล้าหลังและเป็นกลุ่มที่ยากจนที่สุด ในที่สุดคนมาเลย์ต้องกลายเป็นกลุ่มที่มีฐานะทางเศรษฐกิจในระดับล่าง ความแตกต่างในฐานะทางเศรษฐกิจระหว่างคนมาเลย์กับคนต่างชาติโดยเฉพาะคนจีน ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งทางด้านเชื้อชาติ และได้ขยายตัวมากขึ้นเมื่อชาวจีนและอินเดียได้อพยพเข้ามามากขึ้น และต้องการตั้งหลักแหล่างถาวรในมลายู รวมทั้งการเรียกร้องความเท่าเทียมกันกับคนมาเลย์ ในฐานะทางสังคมและทางการเมือง ทำให้คนมาเลย์ใช้พลังทางศาสนาและวัฒนธรรมเข้าต่อต้าน โดยเฉพาะชาวจีนที่เข้ามามีอิทธิพลในรัฐของตน ลักษณะการเคร่งทางศาสนาในรูปแบบ "อิสลามนิยม" ได้กลายเป็นตัวอย่างของมาเลย์มุสลิมในรัฐอื่น ๆ เช่นกัน (หน้า บทคัดย่อ) |
|
Focus |
ศึกษาถึงการปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนมาเลย์กับพวกที่ไม่ใช่มาเลย์ และปัจจัยที่ก่อให้เกิดการแพร่หลายของศาสนาอิสลาม และพัฒนาการเพื่อที่จะส่งเสริมให้เกิดการแพร่หลายของศาสนาอิสลามในมลายู ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1900 - 1957 (หน้า 3) |
|
Ethnic Group in the Focus |
มุสลิมในประเทศมาเลเซีย (หน้า 3) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ศาสนาอิสลามเข้ามาในดินแดนคาบสมุทรมลายูโดยการค้าทางทะเล อิทธิพลของศาสนาอิสลามจากพวกพ่อค้า และพวกมุสลิมที่แวะมาเทียบท่ายังคาบสมุทรมลายูสามารถเข้ามาแทนที่ศาสนาฮินดู-พุทธ ที่เดิมมีมาก่อนหน้านั้นให้เสื่อมไป และยังมีส่วนช่วยสถาปนารัฐต่าง ๆ บนคาบสมุทรแห่งนี้ให้เป็นรัฐอิสลาม โดยพ่อค้าชาวอาหรับซึ่งนอกจากจะเข้ามาทำการค้าแล้วยังได้เผยแพร่ศาสนาอิสลามสู่มะละกา และเข้ามาแต่งงานกับชนพื้นเมืองดั้งเดิมทำให้ศาสนาอิสลามเกิดการขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่วนในราชสำนักก็มีการประนีประนอมกับศาสนาอิสลาม เนื่องจากต้องอาศัยพ่อค้ามุสลิมเพื่อสนองนโยบายทำให้มะละกาเป็นศูนย์กลางการค้าทางทะเล ในปี ค.ศ. 1414 มีประชาคมการค้าที่มั่นคงของมุสลิมอยู่ในมะละกาแล้ว และผู้ปกครองมะละกาได้อภิเษกกับเจ้าหญิงมุสลิม ทำให้กลุ่มมุสลิมค่อย ๆ เข้ามามีอำนาจในราชสำนัก ต่อมาในปี ค.ศ.1445 พระราชโอรสองค์แรกของผู้ปกครองมะละกาที่สืบเชื้อสายจากมารดาที่เป็นสามัญชนมุสลิมได้ขึ้นเป็นสุลต่าน โดยการสนับสนุนของข้าราชสำนักมุสลิมที่มีอิทธิพล (หลังจากได้โค่นล้มผู้ปกครองที่เป็นโอรสองค์ที่สองซึ่งสืบเชื้อสายมาจากมารดาที่เป็นเจ้าฮินดูและเพิ่งได้ขึ้นครองราชย์เพียง 17 เดือน) จากนั้น ศาสนาอิสลามจึงกลายเป็นศาสนาประจำรัฐมะละกา และมะละกากลายเป็นศูนย์กลางของการเผยแพร่ศาสนาอิสลามในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (หน้า 11,16) ปัจจัยภายในของมะละกาเองก็เอื้ออำนวยต่อการเปลี่ยนแปลงให้เป็นอิสลาม การพยายามทำให้รัฐเป็นศูนย์กลางการค้าทางทะเล ก่อให้เกิดการขยายตัวทางการค้า และการเติบโตของชุมชนมุสลิม พ่อค้าจีนสนใจการค้ามากกว่าวัฒนธรรม ส่วนพ่อค้ามุสลิมนอกเหนือจากทำการค้าแล้วยังเผยแพร่ศาสนาอิสลามมาสู่มะละกาด้วย การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของมะละกาทำให้สังคมเปลี่ยนแปลงไปด้วย โดยยอมรับเอาศาสนาอิสลามมาเพื่อให้สอดคล้องกับระบบเศรษฐกิจใหม่ที่เป็นธุรกิจการค้าทางทะเล ศาสนาอิสลามเอื้ออำนวยต่อระบบเศรษฐกิจแบบพ่อค้าที่ต้องเดินทางร่อนเร่มากกว่าศาสนาฮินดูและพุทธ เนื่องจากง่ายต่อการประกอบศาสนกิจ ไม่จำเป็นต้องมีมัสญิดหรือพระ แม้แต่บนเรือสินค้าก็ประกอบพิธีได้ ซึ่งต่างจากศาสนาฮินดูหรือศาสนาพุทธ (หน้า 16 -19, 21) กลุ่มบุคคลที่อุทิศตนและมีบทบาทสำคัญในการประกาศเผยแพร่ศาสนาอิสลาม จนทำให้มะละกาเป็นอาณาจักรอิสลาม คือ อูลามะ อูลามะเป็นผู้นำทางศาสนาซึ่งเป็นคนธรรมดาที่มีความรู้ทางศาสนา นอกเหนือจากภารกิจทางศาสนาแล้ว อูลามะก็มีชีวิตทางโลกเหมือนคนอื่น ๆ อยู่ร่วมกับประชาชนทั่วไป อูลามะมีอิทธิพลทางการเมืองในระดับท้องถิ่นที่สามารถเป็นปากเป็นเสียงของประชาชน และยังสามารถตรวจสอบความถูกต้องของรัฐได้ อูลามะจึงเป็นผู้นำทางศาสนาที่มีอิทธิพลทางการเมืองหยั่งลึกลงไปถึงระดับท้องถิ่น (หน้า 19) การขยายตัวของศาสนาอิสลามในคาบสมุทรมลายู : เมื่อมะละกากลายเป็นศูนย์กลางการเผยแพร่ศาสนาอิสลามแล้ว มะละกากลายเป็นศูนย์กลางการเผยแพร่ศาสนาอิสลามให้ขยายตัวออกไปโดยรอบ เนื่องจากมะละกาต้องการพันธมิตรเพื่อต่อต้านการรุกรานของไทย และด้วยการใช้วิธีการทั้งทางทหารควบคู่กับการแผ่อิทธิพลทางศาสนา ทำให้ดินแดนรอบมะละกาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในหมู่มุสลิม และเป็นเอกภาพในการต่อต้านการคุกคามของไทย พร้อมกับการได้ประโยชน์ทางการค้า นอกจากนี้ ศาสนาอิสลามยังแพร่ไปสู่รัฐต่าง ๆ ในหมู่เกาะสุมาตรา บอร์เนียว ชวา และหมู่เกาะอื่น ๆ เป็นครั้งแรกที่แนวคิดความเป็นพี่น้องกันในหมู่มุสลิมกลายเป็นแนวคิดใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการใช้ต่อต้านอำนาจของรัฐที่ไม่ใช่อิสลาม และเป็นความผูกพันขั้นพื้นฐานของคนพื้นเมืองมาเลย์ กลางศตวรรษที่ 15 เมื่อมะละกาต่อต้านการรุกรานของไทยได้สำเร็จ ก็ได้ขยายอำนาจไปควบคุมรัฐที่เคยเป็นพันธมิตรกับสยาม เช่น รัฐปาหัง ตรังกานู ยะโฮร์ เป็นต้น มีอำนาจเหนือรัฐทั้งหมดในคาบสมุทรจากปัตตานีลงมา ต่อมาก็ได้เคดะห์และปัตตานี ทำให้รัฐต่าง ๆ ดังกล่าวทั้งหมดเปลี่ยนมายอมรับศาสนาอิสลามอย่างเป็นทางการ ในปี ค.ศ.1509 กองเรือโปตุเกสมาถึงมะละกา และสามารถยึดมะละกาได้ในปี ค.ศ.1511 การยึดครองมะละกาของโปรตุเกส ทำให้อาณาจักรมะละกาสิ้นสุดลง และศูนย์กลางศาสนาอิสลามได้ย้ายไปอยู่ที่บรูไน โปรตุเกสพยายามครอบครองด้านการค้าและเผยแพร่ศาสนาคริสต์ ซึ่งส่งผลกระทบไปทั่วบริเวณ อย่างไรก็ตาม ความพยายามของคนพื้นเมืองที่จะต่อต้านโปรตุเกสซึ่งเป็นพวกคริสต์ศาสนา ทำให้ศาสนาอิสลามขยายตัวไปสู่หมู่เกาะและคาบสมุทรเร็วกว่าปกติ เพื่อให้ศาสนาอิสลามแผ่ขยายไปให้กว้างขวางที่สุดก่อนที่ชาวยุโรปชาติต่าง ๆ จะเข้าไปถึง สำหรับคาบสมุทมลายา ยะโฮร์ได้กลายเป็นรัฐที่สืบต่อจากมะละกา เนื่องจากสุลต่านมะละกาลี้ภัยไปตั้งราชสำนักขึ้นใหม่ และยึดฮอลันดาที่เพิ่งเข้ามาเป็นพันธมิตร เพราะฮอลันดาเป็นคู่แข่งกับโปรตุเกส และสามารถทำลายโปรตุเกสได้ในปี ค.ศ.1641 ยะโฮร์ได้มีอำนาจเหนือ ปาหัง และดินแดนตอนในอีกครั้ง ส่วนฮอลันดาได้ครอบครองมะละกา ปลายศตวรรษที่ 17 ยะโฮร์ถูกพวกบูกีสรุกรานและตกอยู่ใต้อิทธิพลของพวกบูกีสตลอดศตวรรษที่ 18 ส่งผลให้ศาสนาอิสลามแผ่เข้าสู่ดินแดนในคาบสมุทร ซึ่งเดิมเคยเป็นฮินดู การที่บูกีสทำสงคราแทรกแซงรัฐต่าง ๆ เป็นการคุกคามการค้าของฮอลันดา จึงเกิดความขัดแย้งและทำสงครามกัน สุดท้ายจักรวรรดิ์บูกีสก็สลายไป ผู้ที่ได้ประโยชน์จากสงครามนี้คือ อังกฤษ (หน้า 22-28) ศาสนาอิสลามภายใต้ระบบอาณานิคมของอังกฤษ : อังกฤษมาอยู่ที่มลายูเมื่อปลายศตวรรษที่ 18 อังกฤษสนใจเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะต้องการที่พักระหว่างทางและขยายการค้าไปถึงจีน นโยบายของอังกฤษคือต้องการป้องกันจักรวรรดิ์และคุ้มครองเส้นทางการค้าของอังกฤษ อังกฤษเช่าเกาะปีนังจากสุลต่านเคดะห์ในปี ค.ศ.1781 ไว้เป็นสถานีการค้า ยึดช่องแคบมะละกาปี ค.ศ.1795 เนื่องช่องแคบมะละกาเป็นเส้นทางเดินเรือของการค้าฝิ่นในอินเดียและในจีน และทั้งสองแห่งมีความสำคัญทางยุทธ์ศาสตร์ ปี ค.ศ.1819 อังกฤษเช่าเกาะสิงคโปร์ไว้อีกแห่ง ดินแดนทั้ง 3 แห่ง เรียกันว่า "สเตรท เซทเทิลเมนต์" ระยะที่อังกฤษเข้ามาอยู่ในสเตรทเซทเทิลเมนท์ ยังมีประชากรไม่มาก แรงงานจึงไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ในกลางศตวรรษที่ 19 มีชาวจีนหลั่งไหลเข้ามาจำนวนมาก โดยเฉพาะเป็นแรงงานในเหมืองดีบุก ปลายศตวรรษที่ 19 อังกฤษจัดการรัฐมลายูในรูปอาณานิคมอย่างเต็มรูปแบบ ทำให้มีผู้อพยพเข้ามาเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะชาวจีนและอินเดีย โดยได้รับการสนับสนุนจากอังกฤษและผู้นำมาเลย์ จำนวนประชากรอพยพมีเพิ่มมากขึ้นจนทำให้คนมาเลย์พื้นเมืองกลายเป็นชนกลุ่มน้อยในดินแดนของตัวเอง (หน้า 29-31) ในระยะแรกก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 พหุสังคมบนคาบสมุทรมลายาไม่เกิดความขัดแย้งรุนแรงระหว่างเชื้อชาติต่าง ๆ เนื่องจากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจยังดี ยังไม่มีปัญหาความแออัดของประชากร และแต่ละเชื้อชาติมีวิถีชีวิตอยู่ในระบบเศรษฐกิจที่ต่างกัน คนพื้นเมืองมาเลย์ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร ส่วนชาวจีนและอินเดียทำการค้า อีกทั้งอังกฤษและสุลต่านมีความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด ประกอบกับคนมาเลย์จงรักภักดีกับสุลต่าน ทำให้ยังคงมีความสงบระหว่างเชื้อชาติอยู่ แต่การแบ่งแยกทางเชื้อชาติทำให้เกิดกลุ่มนิยม การผสมกลมกลืนระหว่างเชื้อชาติเกิดขึ้นน้อย เนื่องจากทั้งสามเชื้อชาติมีวัฒนธรรมที่แตกต่างกันมาก และต่างก็ต้องการรักษาวัฒนธรรมของตนไว้ (หน้า 31-32) ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ปี ค.ศ.1941 ญี่ปุ่นเข้ายึดครองมลายู และสนับสนุนขบวนการชาตินิยมมาเลย์ด้วยการใช้ศาสนาอิสลาม ทำให้คนมาเลย์เกิดสำนึกทางการเมือง ในขณะเดียวกันญี่ปุ่นก็กดขี่คนจีน เพราะคนจีนมีพลังทางเศรษฐกิจสามารถเป็นภัยคุกคามต่อญี่ปุ่นมากกว่าคนพื้นเมืองมาเลย์ หลังสงครามโลกครั้ง 2 เมื่ออังกฤษเข้ามาปกครองมลายูอีกครั้งมีนโยบายที่จะให้ชาวจีนและอินเดียถือสัญชาติร่วมกับคนมลายู ซึ่งจะเปลี่ยนสถานะจากการเป็นผู้อพยพที่อาศัยอยู่เพียงเพื่อทำงาน ไม่ได้เป็นเจ้าของประเทศ จะกลายเป็นพลเมือง นโยบายนี้จะทำให้คนพื้นเมืองมาเลย์กลายเป็นชนกลุ่มน้อยในดินแดนของตนเอง ชาวมาเลย์จึงหันไปยึดมั่นในศาสนาอิสลาม และผลักดันให้ใช้กฏหมายอิสลามปกครองประเทศ มาเลย์บางส่วนในรัฐกลันตันมีความคิดไปรวมกับอินโดนีเซีย เพื่อความเป็นใหญ่ของคนพื้นเมืองมุสลิม บางส่วนต้องการให้สร้างรัฐอิสลามขึ้นในมลายู นอกจากนี้ ยังมีการตั้งพรรคการเมือง เช่น พรรค Parti Islam Se Malaysia (PMIP) เป็นต้น (หน้า 33) ศาสนาอิสลามภายใต้ระบบอาณานิคมของอังกฤษในกรณีของรัฐกลันตัน ตรังกานู มลายาฝั่งตะวันออก : ปี ค.ศ.1874-1889 อังกฤษใช้ระบบผู้สำเร็จราชการประจำในรัฐมาเลย์ โดยให้ผู้ปกครองพื้นเมืองปกครองตนเอง และมีข้าหลวงประจำรัฐเป็นที่ปรึกษา แต่โดยพฤตินัยข้าหลวงเป็นผู้ปกครองที่แท้จริง โดยมีสภาของรัฐเป็นที่ปรึกษา (หน้า 62) ปี ค.ศ.1895 มีการทำสัญญาร่วมกันให้รวมรัฐทั้งหมดเข้าเป็น "สหพันธรัฐมลายู" (Federated Malay States - FSM) เพื่อให้เป็นเอกภาพในการบริหารและวางแผนการปกครอง ซึ่งจะสนองตอบต่อผลประโยชน์ของอังกฤษมากกว่าเดิม การปกครองในระบบสหพันธรัฐจะทำให้สุลต่านแทบไม่เหลืออำนาจเลย และคนพื้นเมืองมีส่วนร่วมในการปกครองน้อยมาก (หน้า 62-63) ปี ค.ศ.1902 อังกฤษทำสัญญากับไทย ทำให้อังกฤษมีอิทธิพลเหนือรัฐทางฝั่งตะวันออก คือ กลันตัน ตรังกานู เพื่อป้องกันไม่ให้มหาอำนาจยุโรปอื่นเข้ามามีอิทธิพลในรัฐกลันตัน ตรังกานู และเป็นจุดยุทธ์ศาสตร์สำหรับคุ้มครองอณานิคมฝั่งตะวันตก ซึ่งมีทรัพยากรจำนวนมาก อังกฤษไม่ได้ต้องการรัฐฝั่งตะวันออกในเชิงพาณิชย์ เนื่องจากไม่มีทรัพยากรที่น่าสนใจ (หน้า 64,67) ปี ค.ศ.1909 ไทยทำสนธิสัญญากับอังกฤษ มีผลให้ รัฐปะลิส เคดะห์ กลันตัน ตรังกานู ต้องตกอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ แต่รัฐทั้งสี่ดังกล่าวต้องการมีอิสระในการดำเนินนโยบายของตัวเอง ไม่ต้องการรวมกับรัฐบาลสหพันธรัฐ อังกฤษจึงจัดการปกครองในรูปของรัฐนอกสหพันธ์ (Unfederated Malay States - UMS) โดยรัฐทั้งสี่สามารถเก็บภาษีเองได้ แต่ต้องบริหารตามคำแนะนำทุกกรณี ยกเว้นเรื่องทางศาสนาและประเพณี อย่างไรก็ตาม อังกฤษเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในของรัฐทั้งสี่ดังกล่าวน้อยมาก (หน้า 65-66) การที่ไม่รวมกับสหพันธ์ ทำให้รัฐกลันตัน ตรังกานู สามารถรักษาระบบศักดินามาเลย์และโครงสร้างทางสังคมแบบมาเลย์ไว้ได้ และสามารถยับยั้งการอพยพเข้ามาของชาวเอเชียอพยพ คนมาเลย์ยังสามารถรักษาความเป็นชนกลุ่มใหญ่ไว้ได้ คือ มีประชากรมาเลย์มากกว่าร้อยละ 70 ในขณะที่ในสหพันธรัฐมีเพียงร้อยละ 11.9 (ค.ศ. 1931) วัฒนธรรมพื้นเมืองจึงไม่ได้ถูกทำลายไปอย่างรวดเร็วเหมือนรัฐมาเลย์อื่น ๆ การเติบโตของสังคมเกิดจากพัฒนาการภายใน และก้าวสู่ความทันสมัยอย่างช้า ๆ (หน้า 67-68,74-75) แนวคิดการยึดถือหลักการศาสนาอิสลามอย่างเคร่งครัดในรัฐกลันตัน ตรังกานู ในลักษณะอิสลามนิยม มีปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้ 1.บทเรียนจากสถานการณ์ทางฝั่งตะวันตก : การตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของอังกฤษของรัฐบนฝั่งตะวันตก ทำให้คนพื้นเมืองมาเลย์ กลายเป็นชนชั้นล่างของสังคม ในขณะที่คนจีนและอินเดียกลายเป็นชนชั้นกลาง เนื่องจากมีฐานะทางเศรษฐกิจสูงกว่า ส่วนชาวยุโรปเป็นชนชั้นที่สูงที่สุด คนพื้นเมืองมาเลย์ต้องกลายเป็นชนกลุ่มน้อยในดินแดนของตนเอง (หน้า 74-75) สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในสหพันธรัฐนี้ ทำให้รัฐกลันตัน และตรังกานู เกิดความไม่ไว้วางใจและต่อต้านอังกฤษ ตลอดจนผู้อพยพชาวเอเชีย โดยเฉพาะชาวจีน จึงยึดหลักศาสนาอิสลามอย่างเคร่งครัด และมีผู้นำศาสนาที่เรียกว่า "อูลามะ" เป็นผู้นำ เพื่อสร้างความเป็นปึกแผ่นของคนมาเลย์ในรัฐกลันตัน และตรังกานู กลุ่ม อูลามะ มีบทบาทเผยแพร่แนวคิดอิสลามไปทั่วดินแดน โดยเฉพาะในชนบทที่ห่างไกลจากศูนย์อำนาจรัฐ อิทธิพลของศาสนาอิสลามจึงสามารถฝังรากลึกเข้าไปถึงชนบทของกลันตันและตรังกานู ขบวนการทางศาสนาดังกล่าวทำให้พื้นฐานของสังคมกลันตัน ตรังกานูมีลักษณะของ "อิสลามนิยม" (หน้า 69, 83) 2. ผลกระทบจากนโยบายของอังกฤษต่อรัฐอาณานิคม : เมื่ออังกฤษเข้าปกครองกลันตัน ตรังกานู นโยบายของอังกฤษสร้างผลกระทบต่อสังคมมาเลย์จนเกิดการต่อต้าน โดยเฉพาะนโยบายการเก็บภาษีอากรระบบใหม่ เพื่อให้รัฐมีเงิน เพื่อใช้ในการบริหาร จ่ายเป็นเงินเดือนข้าราชการ และสร้างงานด้านสาธารณูปโภค เช่น ถนน ทางรถไฟ เป็นต้น ตัวอย่างเช่นที่กลันตันมีการเก็บภาษีจากค่าเช่าที่ดิน แต่เจ้าของที่ดินผลักภาระไปให้ผู้เช่า ทำให้ชาวนาเกิดความทุกข์ยาก เนื่องจาก คนพื้นเมืองของกลันตันและ ตรังกานูส่วนใหญ่มีอาชีพทำนา ภาษีค่าเช่านาก่อให้เกิดผลกระทบต่อชาวนาพื้นเมืองอย่างรุนแรง จึงเกิดการต่อต้านด้วยการคว่ำบาตรไม่จ่ายภาษี และนำไปสู่กบฏชาวนาในปี ค.ศ.1915 (หน้า 76) 3. ลัทธิชาตินิยมก่อตัวขึ้น : ความรู้สึกชาตินิยมเกิดจาก ดังนี้ 3.1) การต่อต้านผู้ไม่ใช่คนมาเลย์ โดยเฉพาะชาวจีน ปี ค.ศ.1912 ประเทศจีนเปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐ คนจีนในคาบสมุทรมลายูเริ่มเปลี่ยนแนวคิด ต้องการตั้งถิ่นฐานถาวร และไม่พอใจนโยบายแบ่งแยกและปกครองของอังกฤษ ปี ค.ศ.1923 ด้วยอิทธิพลของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ชาวจีนในมาเลย์เริ่มมีแนวคิดต่อต้านอังกฤษ ตั้งพรรคการเมืองลับ มีการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อล้มล้างการปกครองของอังกฤษ (หน้า 77) ความรู้สึกชาตินิยมเกิดจากนโยบายของอังกฤษ ที่ไม่สามารถมอบอำนาจการปกครองทั้งหมดให้กับคนมาเลย์ได้ เนื่องจากมีผู้อพยพชาวจีนและอินเดียที่มาอยู่ในรัฐต่าง ๆ จำนวนมาก จนประชากรของแต่ละเชื้อชาติมีพอ ๆ กัน ทำให้เกิดกลุ่มการเมืองมาเลย์ที่ต่อต้านการเรียกร้องของชาวจีนและอินเดีย รวมไปถึงต่อต้านอาณานิคมด้วย (หน้า 80-81) 3.2) ประมาณต้นศตวรรษที่ 20 ขบวนการฟื้นฟูศาสนาอิสลามจากตะวันออกกลางแพร่เข้ามาในมลายู เป็นปัจจัยเบื้องต้นของลัทธิชาตินิยมที่ก่อตัวในกลุ่มคนมาเลย์ มีการใช้แนวคิดทางศาสนาเพื่อการรวมตัวของคนมาเลย์มุสลิม ก่อให้เกิดความต้องการให้เกิดการรวมตัวกันของมาเลย์มุสลิม อีกทั้งรวมมลายูกับอินโดนีเซียเข้าด้วยกัน และกระจายแนวคิดด้วยการสอนศาสนาแก่เด็ก ด้วยภาษาอาราบิคในโรงเรียนสอนศาสนา (Pondok) จนโรงเรียนสอนศาสนาเติบโตเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมาก ความเข้มแข็งและเคร่งครัดในหลักศาสนาอิสลามจากกลันตันแผ่กระจายออกเป็นวงกว้าง ขวนการทางศาสนาดังกล่าวเป็นรากฐานของกลุ่มการเมืองที่มีอุดมการณ์ "อิสลามนิยม" ชื่อว่า "Pan Malayan Islamic Party" (PMIP) (หน้า 78-79) 3.3) การศึกษาในระบบของอังกฤษ ความรู้สึกชาตินิยมของคนมาเลย์ในกลันตันและตรังกานู นอกจากเกิดจากศาสนาอิสลามแล้ว ยังเกิดจากระบบการศึกษาของอังกฤษ และการได้เรียนรู้ระบบการปกครองแบบตะวันตก ปัญญาชนส่วนหนึ่งจะรู้สึกว่าวัฒนธรรมของมาเลย์ถูกทำลายโดยพลังของคนต่างด้าว และทำให้เกิดความรู้สึกชาตินิยมสมัยใหม่ (หน้า 79-80) |
|
Settlement Pattern |
คนมาเลย์ส่วนใหญ่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในเขตพื้นที่เกษตรกรรมตามที่ราบลุ่มชายฝั่งแม่น้ำและชายฝั่งทะเล (หน้า 85) |
|
Demography |
ประชากรของมาเลเซียมีประมาณ 15 ล้านคน โครงสร้างทางสังคมเป็นแบบพหุสังคม คือ สังคมที่มีคนหลายเชื้อชาติหลายภาษาอยู่รวมกัน ประกอบด้วยคนมาเลย์ 50% จีน 35% อินเดีย 10% อื่น ๆ อีก 5% (หน้า 8) |
|
Economy |
ก่อนที่อังกฤษจะขยายอำนาจเข้าสู่รัฐมลายู ระบบเศรษฐกิจเป็นแบบยังชีพ ประชาชนมาเลย์ส่วนใหญ่เป็นชาวนา ทำนาดำในที่ราบลุ่ม และทำนาดอนตามไหล่เขา หาปลาในแม่น้ำ และเลี้ยงสัตว์ มีพืชเสริม คือ มะพร้าว สาคู ผลไม้ และปลูกผักในเขตบ้าน ส่วนที่อาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งมีอาชีพประมง สำหรับผลผลิตส่วนเกินจะนำไปแลกกับสิ่งจำเป็นพื้นฐาน นอกจากนี้ ยังมีการรวบรวมสินแร่ดีบุก ผลิตภัณฑ์จากป่า ทำปลาแห้ง เนื้อมะพร้าวตากแห้ง ส่งเป็นสินค้าออก โดยผ่านตลาดการค้าหรือคนกลาง ซึ่งส่วนใหญ่คือผู้ปกครองหรือหัวหน้าตำบล (กำปง) รายได้จากผลผลิตส่วนเกินจะส่งให้กับผู้ปกครอง เพื่อจะได้รับการคุ้มครองเป็นการตอบแทน โดยส่วยที่ได้จากประชาชนจะสะสมอยู่ที่หัวหน้าตำบลเป็นส่วนใหญ่ ส่วนน้อยจะถูกส่งให้ราชสำนักในรูปของบรรณาการ เนื่องจาก หัวหน้าตำบลเป็นผู้ประสานระหว่างประชาชนกับสุลต่าน และเป็นผู้มีอำนาจอย่างแท้จริงในอาณาบริเวณที่ตัวเองปกครอง (หน้า 85-88) อุตสาหกรรมดีบุก : เหมืองดีบุกส่วนใหญ่ดำเนินการโดยชาวจีนอพยพ ความสำเร็จของการทำเหมืองดีบุก ทำให้เกิดการไหลบ่าของแรงงานจีน จากไม่ถึงสองหมื่นคนในปี ค.ศ.1842 เป็นสามล้านคนในปี ค.ศ.1957 (หน้า 89) ชาวจีนกลายเป็นผู้ผูกขาดการทำเหมืองดีบุก เพราะมีวิธีทำงานและเทคโนโลยีที่เป็นพาณิชย์กว่าคนพื้นเมืองมาเลย์ ผลผลิตดีบุกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วระหว่างปี ค.ศ. 1874-1883 จากอันดับ 4 มาเป็นอันดับ 1 ของตลาดโลก ปี ค.ศ.1890 ผลิตได้มากกว่าปริมาณดีบุกที่ผลิตได้ในโลกรวมกัน พ่อค้ายุโรปสนใจลงทุนทำเหมืองดีบุกเช่นกัน แต่ประสบปัญหาขาดแรงงาน เนื่องจาก คนมาเลย์ไม่รับจ้างทำงานในเหมือง เพราะเงื่อนไขทางประเพณีการประกอบกิจกรรมทางศาสนา ส่วนคนอินเดียมีข้อจำกัดไม่สามารถทำงานหนักในแบบแรงงานเหมือง สำหรับชาวจีน ไม่เต็มใจทำงานกับนายจ้างที่ไม่ใช่คนจีน ดังนั้นชาวจีนจึงประสบความสำเร็จในการทำเหมืองดีบุกมากกว่า ปี ค.ศ.1884 มีสิ่งประดิษฐ์ใหม่ในการทำเหมือง เช่น เครื่องฉีดน้ำ เครื่องแยกแร่ และเรือขุดแร่ ทำให้เกิดความก้าวหน้าในการผลิตดีบุกได้อย่างรวดเร็ว จึงมีการลงทุนครั้งใหญ่ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 และดีบุกกลายเป็นสินค้าสำคัญที่สุดของมลายา ผลจากอุตสาหกรรมดีบุก ทำให้เกิดสาธารณูปโภค เช่น ถนนยาว 1,700 ไมล์ ทางรถไฟยาว 360 ไมล์ ที่เชื่อมระหว่างเหมืองแร่ และส่วนที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น (หน้า 117,120) อุตสาหกรรมยางพารา : ในทศวรรษที่ 1870 มีการนำยางพาราจากบราซิลเข้ามาปลูกในมลายู จากนั้นอุตสาหกรรมยางพาราถูกสร้างขึ้นก่อนศตวรรษที่ 20 พอถึงปี ค.ศ.1910 ราคายางพาราได้สูงขึ้น ทำให้เกิดสวนยางพาราเพิ่มขึ้นมากมายในมลายู จากพื้นที่ 50,000 เอเคอร์ในปี ค.ศ.1905 เป็น 3,272,000 เอเคอร์ในปี ค.ศ.1938 ยางพาราถูกส่งออกเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จาก 6,000 ตันในปี ค.ศ.1910 เป็น 500,000 ตันในบางปีของทศวรรษที่ 1930 ทำให้มลายูกลายเป็นผู้ส่งออกยางจำนวนมากถึงร้อยละ 57 ของผลผลิตยางทั้งหมดของโลก (หน้า 91,120) การค้ายางกลายเป็นรายได้หลักของมลายู ในปี ค.ศ.1937 รายได้จากยางเท่ากับหนึ่งในสามของรายได้จากการส่งออกทั้งหมด ปี ค.ศ.1956 รายได้จากยางเกือบเท่ากับครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งหมดของมลายู (หน้า 120) นอกจากยางพาราแล้วยังมีพืชเศรษฐกิจอื่น ๆ อีก เช่น การปลูกพริกไทย และสีเสียด ซึ่งมีความสำคัญรองจากยาง ปลูกสับปะรดส่งออกเป็นอันดับสองของโลก ยังมียาสูบ กาแฟ เป็นต้น (หน้า 121-122) เมื่อการปลูกยางพาราและพืชเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ผู้ทำไร่ชาวอังกฤษประสบปัญหาขาดแคลนแรงงาน เนื่องจาก คนมาเลย์ไม่ยอมออกจากพันธะในกำปง ส่วนคนจีนต้องการค่าจ้างแรงงานสูง และปกครองยาก รัฐบาลอาณานิคมจึงสนับสนุนให้เอกชนสั่งแรงงานจากอินเดียใต้ ชาวอินเดียทมิฬเป็นแรงงานหลักในงานสาธารณะ ในสวนยางและสวนปาล์ม แต่ก็มีชาวอินเดียอีกกลุ่มที่มีอาชีพค้าขาย เป็นเจ้าของร้าน และนายธนาคาร ชาวอินเดียฐานะดีมีเพียงส่วนน้อยคือร้อยละ 10 แรงงานอินเดียที่เข้ามาในมลายูในปี ค.ศ.1911 มีจำนวน 270,000 คน เพิ่มเป็น 830,256 คนในปี ค.ศ.1957 (หน้า 92-93,98) ดีบุกและยางพาราทำให้มลายูเป็นดินแดนที่มั่งคั่งที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภาษีที่ได้จากดีบุกและยางถูกนำไปใช้ในการพัฒนาสาธารณูปโภค การคมนาคม โรงเรียน โรงพยาบาล และสร้างเมือง แต่ในขณะเดียวกันระบบเศรษฐกิจของคนพื้นเมืองไม่ได้รับการเอาใจใส่จากรัฐ ชาวนาซึ่งเป็นคนพื้นเมืองมาเลย์กลายเป็นกลุ่มคนที่มีฐานะยากจน (หน้า 125) อีกทั้ง เมื่อมีการพัฒนาด้วยระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่ พื้นที่ที่เคยใช้ทำนาหรือเกษตรกรรมแบบยังชีพของคนมาเลย์ ถูกนำไปทำสวนยางขนาดใหญ่ของชาวตะวันตก บางแห่งยังห้ามคนพื้นเมืองในกำปงไม่ให้เพาะปลูกมากเกินไป ทำให้คนพื้นเมืองมีพื้นที่สำหรับเพาะปลูกอาหารลดน้อยลง อีกทั้งชาวนาต้องกู้ยืมเงินเพื่อใช้ลงทุนในการเพาะปลูก เพื่อให้ดำรงชีวิตอยู่ได้ในสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป และชาวนาบางส่วนต้องขายที่ดินเพื่อลดภาระหนี้สิน (หน้า 94-95) พืชเศรษฐกิจและดีบุกทำให้มลายูตะวันตกมีพื้นฐานระบบเศรษฐกิจ - สังคมเป็นแบบทุนนิยม มีความเจริญมั่งคั่ง โดยเฉพาะความเจริญทางวัตถุ แต่เป็นความเจริญที่เกิดขึ้นเพื่อรับใช้คนต่างชาติมากกว่าคนพื้นเมืองมาเลย์ จึงเกิดความแตกต่างทางเศรษฐกิจระหว่างกลุ่มคนที่ไม่ใช่มาเลย์กับกลุ่มคนมาเลย์ อันนำไปสู่ความไม่ปองดองกันของคนสองกลุ่มดังกล่าว (หน้า 122) แต่ขณะเดียวกัน ลักษณะสังคมของมลายูตะวันออกกลับเป็นแบบดั้งเดิม คือทำการเกษตรแบบยังชีพ เกษตรกรรมที่สำคัญคือ การปลูกข้าว เมื่ออังกฤษเข้ามาในรัฐมลายูตะวันออก ได้ขยายพื้นที่ปลูกข้าว เพื่อลดการสั่งข้าวจากภายนอก เพราะความต้องการข้าวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ รัฐบาลอาณานิคมจึงต้องเพิ่มผลผลิตข้าวในรัฐกลันตันและตรังกานู เพื่อเพิ่มปริมาณอาหารและหารายได้ให้แก่รัฐบาลของรัฐ ข้าวกลายเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญของรัฐกลันตันและตรังกานู การขยายพื้นที่ปลูกข้าวจึงเป็นการทำให้มลายาตะวันออกโดยเฉพาะคนมาเลย์ในรัฐกลันตันและตรังกานู เข้าสู่วัฒนธรรมการทำนาปลูกข้าวซึ่งเป็นระบบเศรษฐกิจดั้งเดิมอย่างขนานใหญ่ (หน้า 123) |
|
Social Organization |
โครงสร้างของสังคมมาลายาเป็นแบบพหุสังคม ประกอบด้วยกลุ่มคนหลายเชื้อชาติ กลุ่มใหญ่ ๆ มีอยู่ 3 กลุ่ม คือ กลุ่มคนมาเลย์ กลุ่มคนจีน และกลุ่มคนอินเดีย ในปี ค.ศ.1931 จำนวนประชากรของแต่ละกลุ่มประกอบด้วย คนมาเลย์ร้อยละ 34.3 คนจีนร้อยละ 41.5 และคนอินเดียร้อยละ 22.2 โดยแต่ละกลุ่มจะมีวัฒนธรรม ภาษา ศาสนา อาชีพ และแหล่งที่มาแตกต่างกันเป็นส่วนใหญ่ ด้วยเหตุที่เป็นพหุสังคมประกอบด้วยคนหลายเชื้อชาติ สังคมมลายาจึงเป็นสังคมที่มีการแบ่งงานกันทำตามความถนัดของคนแต่ละเชื้อชาติ เช่น คนมาเลย์พื้นเมืองมีอาชีพเป็นชาวนา ทำประมง และกสิกรรม เป็นผู้ผลิตอาหารให้รัฐ แต่ค่อนข้างยากจน มีบางส่วนที่เป็นชนชั้นสูงเป็นข้าราชการ ส่วนคนจีน ส่วนหนึ่งเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจและกุมอำนาจทางเศรษฐกิจของประเทศไว้ อีกส่วนหนึ่งเป็นนักธุรกิจรายย่อย และระดับล่างสุดเป็นกรรมกรหรือกสิกร โดยรวมแล้วคนจีนเป็นชนชั้นกลางมีบทบาททางเศรษฐกิจและการค้าขาย สำหรับคนอินเดียเป็นเจ้าของห้างร้าน ตัวแทนบริษัทการค้า และทำงานราชการ แต่ส่วนใหญ่เป็นกรรมกร หรือแรงงานในอุตสาหกรรมและไร่ สวน ขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยางพรา (หน้า 94,101-102) ซึ่งแต่ละกลุ่มเชื้อชาติดังกล่าวมีลักษณะเฉพาะของกลุ่ม ดังนี้ กลุ่มคนมาเลย์ ประกอบด้วยคนพื้นเมืองดั้งเดิม และคนมาเลย์ที่อพยพมาจากที่อื่น ซึ่งแม้จะมีความแตกต่างกันในถิ่นที่มา แต่ก็มีการผสมกลมกลืนและผูกพันระหว่างกัน เนื่องจากมีวัฒนธรรม ภาษาพูด และความเชื่อทางศาสนาที่คล้ายคลึงกัน (หน้า 86) กลุ่มคนมาเลย์ส่วนใหญ่มีวิถีชีวิตผูกติดกับจารีตประเพณีตามหลักศาสนาอิสลาม และดำเนินชีวิตไปตามวิถีของโครงสร้างเศรษฐกิจ-สังคมแบบเกษตรกรรมและการประมงแบบดั้งเดิม คือเพื่อการยังชีพ ไม่มุ่งแสวงหากำไร และมีกิจกรรมทางศาสนาขัดแย้งกับงานบางประเภทเช่น การเป็นแรงงานในเหมืองดีบุกหรือในสวนยาง เป็นต้น (หน้า 89) วิถีชีวิตตามจารีตนี้ ไม่เอื้ออำนวยต่อระบบเศรษฐกิจใหม่ที่ชาวตะวันตกนำเข้ามา จึงทำให้คนมาเลย์กลายเป็นชนชั้นล่างในสังคม ยากจน และขาดแคลนไปเกือบทุกด้าน (หน้า 94-95) กลุ่มคนจีนในมลายู ส่วนใหญ่มาจากครอบครัวชาวนา เป็นพวกฮกเกี้ยน และกวางตุ้ง เมื่ออพยพเข้ามาได้นำขนบธรรมเนียมประเพณีของตนเข้ามาด้วย โดยที่ศาสนาและความเชื่อไม่เน้นตัวบุคคลหรือชื่อเสียงทางสังคม มีอิสระทางความคิด ทำให้มีวัฒนธรรมช่วยเหลือซึ่งกันและกันและไม่เลือกงาน จึงมีชาวจีนแทรกอยู่ในทุกอาชีพและทุกระดับของสังคม ตั้งแต่เป็นผู้ลงทุนในกิจการธนาคาร การทำเหมืองแร่ การเพาะปลูกขนาดใหญ่ ส่วนในระดับกลาง เป็นผู้จัดการ ฝ่ายบริหาร ผู้ชำนาญการ พ่อค้าเสรี หรือช่างเทคนิค สำหรับระดับล่างก็เป็นกุลีหรือแรงงานทำงานหนักได้ทุกชนิด (หน้า 96-97) กลุ่มคนจีนได้จัดตั้ง "สมาคม" (Triad Society) เพื่อช่วยเหลือกันในหมู่คนจีนที่มาจากสกุลเดียวกันหรือหมู่บ้านเดียวกัน มีการรวมตัวกันเป็นสมาคมต่าง ๆ ซึ่งแตกต่างกันไปหลายรูปแบบ บ้างก็อุทิศเพื่อการกุศล บ้างก็อยู่ในรูปของสมาคมลับ สมาคมต่าง ๆ เหล่านี้เป็นเสมือนหน้าตาของคนจีนในมลายู เนื่องจาก ทำให้สามารถอยู่ในสังคมได้อย่างปลอดภัยด้วยวัฒนธรรมของตัวเอง กลุ่มคนจีนเป็นกลุ่มที่สามารถกุมอำนาจทางเศรษฐกิจของประเทศไว้ จึงตกเป็นเป้าหมายอันดับแรกของการต่อต้านของชาวมลายูพื้นเมือง ในขณะที่ คนจีนไม่ได้คิดเป็นศัตรูกับคนมาเลย์แต่ก็หวาดระแวงคนมาเลย์ที่มีอำนาจและสิทธิทางการเมืองมากกว่า จึงเรียกร้องสิทธิความเท่าเทียมกันในทุกด้านให้เท่ากับคนมาเลย์ ความคิดดังกล่าวตรงกับความคิดของคนอินเดียด้วยเช่นกัน (หน้า 96-98) กลุ่มคนอินเดีย สังคมอินเดียในมลายามีความเป็นเอกภาพน้อยกว่าคนจีนและคนมาเลย์ เนื่องจากคนอินเดียแต่ละกลุ่มมีความแตกต่างกันมาก ทั้งเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม รวมทั้งแหล่งที่มา มีทั้งมาจากศรีลังกา อินเดียเหนือ อินเดียใต้ ตลอดจนมีหลายเผ่าพันธุ์ เช่น ทมิฬ Malayalee Thelngus และซิกซ์ เป็นต้น และต่างก็มีภาษาของตนเอง นับถือศาสนาก็ต่างกัน เช่น ฮินดู ซิกซ์ อิสลาม และคริสต์ อังกฤษนำแรงงานชาวอินเดียมาทำงานในมลายา ซึ่งสามารถแบ่งประเภทได้ ดังนี้ 1. ปลายศตวรรษที่ 19 อังกฤษนำแรงงานอินเดียมาเป็นแรงงานสร้างถนน ทางรถไฟ เป็นกรรมกรโรงงานอุตสาหกรรมในเมือง ต่อมาไปทำงานในไร่ที่ชาวยุโรปลงทุน 2. ต้นศตวรรษที่ 20 ชาวอินเดียซิกซ์ เข้ามาทำงานในระบบราชการของอังกฤษ เช่น เป็นทหาร ตำรวจ หรือยามรักษาความปลอดภัย เป็นต้น 3. ส่วนพวก Chettyar และสิงหลจากลังกา เป็นเจ้าของห้างร้าน 4. กลุ่มทมิฬ เป็นกลุ่มที่มีความรู้ มีการศึกษาสูง เข้ามาเป็นครูในโรงเรียนของอังกฤษ และเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เช่น เป็นผู้พิพากษา นักกฏหมาย แพทย์ เป็นต้น แต่ชาวอินเดียส่วนใหญ่ในมลายาเป็นแรงงานที่ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม และทำไร่ที่ชาวตะวันตกเป็นเจ้าของ ชาวอินเดียเหล่านี้ นับถือศาสนาฮินดูมากที่สุดคือร้อยละ 80 สังคมฮินดูมีการแบ่งชนชั้นออกเป็น 5 กลุ่ม คือ vellalar, ahampadaiar, yadhavar, kallar และ marthuvar แต่ละวรรณะต้องแต่งงานกับคนวรรณะเดียวกัน การมีความเชื่อเรื่องวรรณะตามหลักศาสนา ทำให้แต่ละคนมีโอกาสไม่เท่ากัน คนวรรณะสูงจะมีโอกาสดีกว่าและสูงกว่า แต่ส่วนใหญ่เป็นชนชั้นแรงงานวรรณะต่ำ ทำให้ยากที่จะเปลี่ยนแปลงฐานะไปเป็นชนชั้นกลาง ศาสนาเป็นสิ่งที่แสดงถึงความเป็นพวกเดียวกัน และเพื่อสร้างความสัมพันธ์และความผูกพันของกลุ่มของตนไว้ ในสังคมคนอินเดียจึงมีการสร้างศาสนสถานของแต่ละกลุ่มขึ้น เช่น วัดฮินดู ในมาเลเซียมีวัดฮินดู 4 แห่งใหญ่ที่บูชาเทพของแต่ละกลุ่ม ส่วนกลุ่มชาวซิกซ์ก็มีวัดของตนเช่นกัน ในสังคมซิกซ์มีพระออกสั่งสอนศาสนาและภาษาด้วย นอกจากนี้ ยังมีอินเดียมุสลิม และคริสเตียนด้วย ก็ได้สร้างศาสนสถานไว้เช่นกัน คือ มัสยิดและโบสถ์ สำหรับชนชั้นกลางอินเดียในมลายูไม่ได้สร้างตัวขึ้นมาเหมือนชนชั้นกลางจีน แต่สืบสายเลือดมาจากชนชั้นพ่อค้าของชนชั้นกลางในอินเดียและลังกา (หน้า 98-101) |
|
Political Organization |
การเมืองของมาเลย์ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ถูกปกครองโดยญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นเข้ามามีบทบาททางการเมืองสูง และคอยกระตุ้นให้คนมาเลย์เกิดความภาคภูมิใจและมีความหวังที่จะฟื้นฟูความรุ่งเรือง แต่ขณะที่ญี่ปุ่นปกครองมลายา สภาพเศรษฐกิจได้เสื่อมถอยลง ชาวพื้นเมืองต้องเดือดร้อนเพราะเศรษฐกิจตกต่ำ ญี่ปุ่นแก้ปัญหาโดยให้ผู้นำส่วนท้องถิ่นเป็นตัวแทนญี่ปุ่นในการรักษาความสงบภายใน และสร้างความผูกพันกับผู้นำทางศาสนาของชาวมาเลย์ ทั้งยังได้รับการยอมรับจากคนมาเลย์ด้วย ญี่ปุ่นสนับสนุนกลุ่มการเมืองต่าง ๆ ที่มีรากฐานความคิดเรื่องชาตินิยมแต่ต้องไม่เป็นปรปักษ์กับญี่ปุ่น โดยเฉพาะกลุ่ม KMM (Kesatuan Melayu Muda) ที่เรียกร้องเอกราชและต่อต้านอังกฤษ ต่อมาเป็นกระบวนการทางการเมืองที่มีเป้าหมายต้องการไปรวมกับอินโดนีเซีย แต่ล้มเหลวเพราะญี่ปุ่นแพ้สงคราม ในขณะเดียวกันญี่ปุ่นก็สนับสนุนอินเดียในมลายาด้วย แต่ญี่ปุ่นเป็นศัตรูกับจีน เนื่องจากถูกจีนในมลายูต่อต้าน ซึ่งเป็นผลมาจากสงครามระหว่างญี่ปุ่นกับจีนแผ่นดินใหญ่ กลุ่มชาวจีนในมลายาที่ต่อต้านญี่ปุ่นได้หนีเข้าป่าทำสงครามกองโจรกับญี่ปุ่นภายใต้การนำของจีนคอมมิวนิสต์ ผลของการปกครองของญี่ปุ่นทำให้เกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างคนมาเลย์กับคนจีน แต่การวางแผนเพื่อรวมมลายูไว้เป็นหน่วยทางการเมืองเดียวกัน ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ยังไม่ยุติ ดังนั้นเมื่ออังกฤษกลับเข้ามาปกครอง จึงได้เริ่มดำเนินการที่จะรวมมลายูโดยการจัดตั้งสหภาพมลายาขึ้น ลักษณะของสหภาพนี้จะเป็นการรวมอำนาจสู่ศูนย์กลางภายใต้การบริหารของรัฐบาลเดียว ซึ่งเป็นการตัดทอนอำนาจของบรรดาสุลต่านไปเกือบทั้งหมด นอกจากนั้น ยังมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการถือสัญชาติ โดยให้สิทธิการถือสัญชาติแก่ผู้อพยพเข้ามาอยู่เกินกว่าสิบปี หรือให้สิทธิการเป็นพลเมืองแก่ผู้ที่เกิดในมลายา รวมทั้งผู้อพยพเข้ามาใหม่อาจจะขอโอนสัญชาติได้เมื่ออยู่เกินห้าปีขึ้นไป ซึ่งทำให้เกิดการรวมตัวของผู้ที่ไม่เห็นด้วย และเกิดการต่อต้านสหภาพมลายาขึ้น โดยตั้งเป็นพรรคการเมืองชื่อ United Malays National Organization (UMNO) (หน้า 132-145) บทบาทของพรรคการเมืองกลุ่มอิสลามนิยม กลุ่มอิสลามนิยม ได้รับอิทธิพลจากการฟื้นฟูศาสนาอิสลามในตะวันออกกลาง และแพร่เข้าสู่มลายาราวต้นศตวรรษที่ 20 บางส่วนของบทบาททางการเมือง มีดังนี้ ขบวนการชาตินิยมในรูปของกลุ่มอิสลามนิยม ก่อตัวขึ้นในสมัยที่ญี่ปุ่นยึดครอง หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พรรค UMNO (United Malays National Organization) ก่อตั้งขึ้นเมื่อ มีนาคม ปี ค.ศ.1946 ด้วยการสนับสนุนของบรรดาสุลต่าน เพื่อต่อต้านการที่อังกฤษจะก่อตั้งสหภาพมลายา เนื่องจากการก่อตั้งสหภาพมลายาจะทำให้บรรดาสุลต่านถูกทอนอำนาจลง และมีนโยบายให้สิทธิการถือสัญชาติแก่ผู้อพยพ นโยบายดังกล่าวทำให้เกิดความรู้สึกชาตินิยมขึ้นในหมู่คนมาเลย์อย่างรวดเร็ว ผู้นำพรรค UMNO พยายามดึงบรรดากลุ่มการเมืองชาวมาเลย์ รวมทั้งกลุ่มอิสลามนิยมให้ร่วมกับพรรค UMNO คัดค้านการก่อตั้งสหภาพมลายา ในระยะแรกพรรค UMNO เป็นพรรคการเมืองของชาวมาเลย์ที่มีนโยบายฝักใฝ่มาเลย์ แต่ในปี ค.ศ.1951 พรรค UMNO เป็นพันธมิตรกับพรรค MCA (Malayan Chinese Association) เพื่อการเลือกตั้งโดยมีนโยบายให้สัญชาติแก่ชาวต่างด้าวที่เกิดในมลายา และต่อมาพรรคพันธมิตรได้รวมกับพรรค MIC (Malayan Indian Congress) ซึ่งเป็นพรรคการเมืองของชาวอินเดีย เพื่อการเลือกตั้งในปี ค.ศ.1955 (หน้า 144-146,152-153) พรรคชาตินิยมมาเลย์ (Malay Nationalist Party - MNP) เป็นพรรคการเมืองชาวมาเลย์หัวรุนแรง ก่อตั้งขึ้นในเดือน ตุลาคม ปี ค.ศ.1946 ต้องการเรียกร้องเอกราชเพื่อไปรวมกับอินโดนีเซีย พรรคนี้ก่อตั้งขึ้นเพื่อต่อต้านทั้งอาณานิคมและต่อต้าน UMNO เพราะมองว่า UMNO ไม่ได้เรียกร้องเอกราชอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม ต่อมา พรรคการเมืองทั้งสองแสวงหาแนวร่วมกับพรรคอื่นต่อสู้กับอังกฤษในการร่างรัฐธรรมนูญเอกราช เพื่อแสวงหาความสมดุลทางการเมือง แต่ทั้งสองพรรคถูกมองว่า ไปร่วมมือกับพรรคการเมืองของคนต่างด้าว โดยเฉพาะพรรคการเมืองของคนจีน ซึ่งสร้างความผิดหวังต่อกลุ่มอิสลามนิยมอย่างมาก จึงได้ตั้งพรรคการเมืองของกลุ่มอิสลามนิยมขึ้นในนามของ Pan - Malayan Islamic Party (PMIP) (หน้า 147-151) บทบาทของพรรค Pan - Malayan Islamic Party (PMIP) พรรค PMIP ก่อตั้งในปี ค.ศ.1948 เป็นพรรคชาตินิยมและพรรคศาสนาของมาเลย์หัวรุนแรง ได้รับการสนับสนุนจากนักเรียนและครูในโรงเรียนสอนศาสนาอิสลาม ได้รับความช่วยเหลือจากผู้นำศาสนา และได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากเงินบริจาคซากัต (zakat) กลุ่ม PMIP ใช้มัสญิดเป็นที่โฆษณาทางการเมือง มีหลักการว่า "มลายาเพื่อชาวมาเลย์" คำขวัญคือ "เผ่าพันธุ์ ศาสนา แผ่นดิน เพื่อชาวมาเลย์" และพยายามผลักดันความต้องการตามแนวคิดของกลุ่มลงในรัฐธรรมนูญ แต่ไม่ได้รับการสนองตอบจาก UMNO ในฐานะพรรคผู้นำของรัฐบาล นอกจากนั้น UMNO ยังยอมรับที่จะให้ชาวต่างด้าวได้สัญชาติและสิทธิทางการเมือง รวมทั้งไปเป็นพันธมิตรกับพรรคการเมืองชาวต่างด้าวด้วย ทำให้สมาชิก PMIP ถอนตัวจากการให้ความสนับสนุน UMNO และตั้งพรรคของตนเองในฐานะพรรคฝ่ายค้าน เพื่อต่อสู้ในการเลือกตั้งที่จะจัดขึ้นในปี ค.ศ.1955 (หน้า 153-154) พรรค PMIP ได้รับความนิยมสูงในเขตชนบทของรัฐเปรัค เคดะห์ กลันตัน ตรังกานู และสลังงอ โดยเฉพาะได้รับการสนับสนุนอย่างเข้มแข็งจากชาวมาเลย์ ในระยะแรกผู้นำพรรคเป็นผู้นำแบบจารีต จึงเป็นรองในการเลือกตั้ง และบทบาทของพรรคในสภาไม่ค่อยโดดเด่น แต่ปลายปี ค.ศ.1956 เมื่อ Dr.Burhanuddin Al-Helmi เข้ามาเป็นประธานพรรค ได้ปลุกให้ชาวมาเลย์เกิดความรักชาติอย่างรุนแรง เพื่อกดดันให้รัฐบาลยอมรับความคิดเห็นของชาวมาเลย์และสนับสนุนศาสนาอิสลาม รณรงค์ให้มลายาเป็นรัฐอิสลาม ใช้กฎหมายอิสลามในรัฐธรรมนูญ และต้องการรวมกับอินโดนีเซีย รวมถึงการเรียกร้องสี่จังหวัดภาคใต้ของไทยคืน Dr.Burhanuddin Al-Helmi ได้นำพรรคไปสู่การต่อสู้ทางการเมืองที่กว้างขวาง อิทธิพลของพรรค PMIP สามารถเข้าไปถึงผู้นำศาสนา ครู เด็กนักเรียน จนถึงระดับหมู่บ้าน โดยเฉพาะมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับสมาคมครูโรงเรียนมาเลย์ (Federation Malay School Teacher Association) และชุมชนทางศาสนา หลังจากมาเลเซียได้เอกราชในปี ค.ศ.1957 และมีการเลือกตั้งทั่วไปในปี ค.ศ.1959 พรรค PMIP ได้คะแนนเสียงเกือบทั้งหมดของรัฐกลันตัน ตรังกานู ซึ่งอาจเป็นเพราะทั้งสองรัฐมีคนมาเลย์ตั้งถิ่นฐานอยู่มากที่สุด และยังมีโครงสร้างทางเศรษฐกิจ-สังคมแบบจารีตอยู่ กลันตัน ตรังกานู จึงกลายเป็นเขตอิทธิพลของพรรค PMIP (หน้า 150-157) |
|
Education and Socialization |
สังคมมลายาแบ่งการศึกษาเป็นสองลักษณะ คือ การศึกษาแบบจารีตและการศึกษาแบบตะวันตก ซึ่งสนองความต้องการที่มีหลายเชื้อชาติในมาเลย์ที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้ การศึกษาแบบจารีตของชาวมาเลย์ มีพื้นฐานอยู่ที่ระบบ pondok ซึ่งมีหลักสูตรตายตัว ไม่ถืออายุเป็นเกณฑ์ สอนด้วยภาษาอาระบิค มีเนื้อหาเกี่ยวกับศาสนาและประเพณี ซึ่งส่วนใหญ่มาจากคำสอนในคัมภีร์อัลกุรอ่าน โรงเรียน pondok เป็นแหล่งผลิตปัญญาชนท้องถิ่น เมื่อเรียนจบก็สามารถไปศึกษาต่อที่ตะวันออกกลางได้ ช่วงศตวรรษที่ 19-20 มีความเคลื่อนไหวเพื่อปฏิรูปให้เคร่งครัดต่อหลักศาสนาอิสลาม และต่อต้านผู้ปกครองชาวต่างชาติ โรงเรียน pondok เป็นแหล่งฟื้นฟูสร้างอุดมการณ์เชื้อชาตินิยม กระจายจากเมืองสู่ชนบท สร้างความเป็นปึกแผ่นในการต่อต้านอิทธิพลของกลุ่มนอกศาสนา โดยเฉพาะกลุ่มคนจีน (หน้า 103-104) อย่างไรก็ตาม โรงเรียนแบบจารีตมาเลย์ไม่ได้เตรียมนักเรียนสู่การศึกษาแผนใหม่ที่สูงขึ้นไปเพื่อให้ประกอบอาชีพได้ เช่น ความรู้ด้านเทคโนโลยี พาณิชยกรรม หรือความชำนาญพิเศษ เป็นต้น ผลก็คือ ชาวมาเลย์ที่ได้รับการศึกษาแบบจารีต ขาดความรู้ความชำนาญที่จะก้าวสู่การแข่งขันด้านวิชาชีพและด้านเศรษฐกิจ แต่ยังคงรักษาประเพณีของชาวนาชนบทได้อย่างเข้มแข็ง และมีส่วนอย่างมากในการวางรากฐานของกลุ่มอิสลามนิยม ซึ่งนำไปสู่การรวมกลุ่มของพรรค PMIP และ UMNO (หน้า 104-105) โรงเรียนแบบจารีตของชาวจีน ในระยะแรกไม่ได้อยู่ในระบบโรงเรียนมีการสอนเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ในลักษณะครูสอนพิเศษ ต่อมาเมื่อชาวจีนตั้งเป็นสมาคมของตระกูลต่าง ๆ ในทศวรรษที่ 1890 โรงเรียนจีนได้ตั้งขึ้นเพื่อปกป้องรักษาวัฒนธรรมจีน โดยเบื้องแรกใช้ภาษาจีนของแต่ละกลุ่ม เมื่อนักเรียนต้องการเรียนต่อ ต้องไปเรียนที่ประเทศจีน ต่อมามีพัฒนาการมากขึ้น (ดูหน้า 106) มีการเพิ่มหลักสูตรทางการเมืองแบบตะวันตก เนื้อหาทางวิชาชีพ และการฝึกความชำนาญ และผลของการสอนในโรงเรียนจีนก้าวไปไกลเกินกว่าที่อังกฤษจะควบคุมได้ มีการดำเนินการของสมาคมลับในโรงเรียนจีน ก่อความไม่สงบและก่อกวนทางการเมืองเกิดขึ้นจนเป็นเรื่องธรรมดา โรงเรียนจีนกลายเป็นแนวหน้าทางการเมืองในการปกป้อง ส่งเสริมวัฒนธรรมและภาษาจีน อีกทั้งมีข้อสงสัยว่า การเกิดพรรคการเมืองจีน Malayan Communist Party (MCP) จะเกี่ยวพันอย่างใกล้ชิดกับโรงเรียนจีน (หน้า 105 -107,109) การศึกษาแบบจารีตของชาวอินเดีย รัฐบาลอาณานิคมส่งเสริมให้มีโรงเรียนที่ใช้ภาษาอินเดียในการเรียนการสอน โดยสอนภาษาใดภาษาหนึ่งของอินเดีย ได้แก่ Tamil, Malayalam, Thelugu, Hindi และ Punjabi แต่ส่วนใหญ่สอนภาษาทมิฬ (Tamil) โรงเรียนจะตั้งอยู่ตามแหล่งที่มีคนอินเดียทำงานอยู่ เช่น ในสวนยาง สวนปาล์ม หรือ แหล่งโรงงานอุตสาหกรรม ดำเนินการโดยมิชชันนารีเป็นส่วนใหญ่ โดยมีเป้าหมายเพื่อเผยแพร่ศาสนา ในทศวรรษที่ 1920 โรงเรียนทมิฬที่ดำเนินการโดยรัฐบาลขยายไปทั่วประเทศ แต่เนื่องจากรัฐบาลให้เงินช่วยเหลือน้อย คุณภาพจึงต่ำ ครูสอนก็ไม่ได้มาตรฐาน และเมื่อรัฐบาลให้จ้างงานเด็กอายุมากกว่า 10 ปีได้ เด็กจึงถูกพ่อแม่ส่งไปทำงาน มีจำนวนนักเรียนมากมายที่เรียนไม่จบการศึกษาขั้นต้น เพราะออกจากโรงเรียนไปก่อน ในปี ค.ศ.1954 มีเพียงร้อยละ 5.2 เท่านั้นที่เรียนจบหลักสูตร 6 ปี และจำนวนครึ่งหนึ่งเรียนเพียงชั้นที่ 1 และชั้นที่ 2 และเนื่องจากมาตรฐานการศึกษาต่ำ รวมทั้งสอนด้วยภาษาอินเดีย นักเรียนแทบจะไม่มีโอกาสที่จะศึกษาต่อในระดับสูงขึ้นไป ประกอบกับกลุ่มผู้ใช้แรงงาน เป็นอินเดียวรรณะต่ำ ดังนั้นลูกหลานของชาวอินเดียกลุ่มผู้ใช้แรงงาน จึงยากที่จะมีโอกาสเปลี่ยนสถานภาพให้สูงขึ้นได้ ด้วยเหตุดังกล่าว ในระยะต่อมาการศึกษาแบบทมิฬจึงเริ่มยุติลง ในปี ค.ศ.1949 ชาวอินเดียเกือบทั้งหมดส่งลูกหลานไปเรียนที่โรงเรียนอังกฤษ (หน้า 107-108) เมื่อเปรียบเทียบระหว่างโรงเรียนแบบจารีตของทั้งสามเชื้อชาติแล้ว นักเรียนในโรงเรียนจีนมีโอกาสที่จะก้าวสู่สถานะใหม่มากกว่า เนื่องจาก โรงเรียนจีนมีการพัฒนา โดยหลักสูตรมีทั้งเนื้อหาทางวัฒนธรรม ภาษาแบบเก่า และได้เพิ่มหลักสูตรทางการเมืองแบบตะวันตก เนื้อหาทางวิชาชีพ และฝึกความชำนาญ ทำให้กลุ่มจารีตของชาวจีนสามารถพัฒนาตนเองได้มากกว่า และมีแนวโน้มที่จะยอมรับการศึกษาความรู้แบบตะวันตก แต่มีสิ่งที่เหมือนกันของโรงเรียนแบบจารีตก็คือ ความพยายามที่จะเป็นตัวของตัวเองของแต่ละกลุ่มเชื้อชาติ โดยโรงเรียนแบบจารีตของชาวมาเลย์มีเป้าหมายด้านศาสนา ส่วนของจีนและอินเดียสนใจด้านภาษา วัฒนธรรมมากกว่าด้านศาสนา (หน้า 108-109) การศึกษาแบบตะวันตก ก่อให้เกิดชนชั้นใหม่ คือ ชนชั้นปัญญาชนแบบตะวันตก บุคลากรที่ได้รับการศึกษาแบบตะวันตก ได้เข้าไปรองรับการเปลี่ยนแปลงทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และอาชีพใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น เช่น แพทย์ วิศวกร นักบัญชี ผู้บริหารระบบราชการแบบใหม่ เป็นต้น และรวมถึงพัฒนาการของชาตินิยมใหม่ในหมู่ปัญญาชนแบบตะวันตก โรงเรียนอังกฤษตั้งขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 สำหรับเด็กยุโรปเรียน พอ ค.ศ.1823 ลูกหลานผู้นำมลายูจึงได้เข้าเรียน ต่อมาทศวรรษ 1890 โรงเรียนชั้นประถมเริ่มขยายเข้ารัฐมลายู และโรงเรียนสำหรับชาวมาเลย์ตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1905 แต่โรงเรียนที่สอนด้วยภาษาอังกฤษขยายออกไปมากเป็นผลงานของมิชชันนารีจากยุโรปและอเมริกาเหนือ รัฐบาลอาณานิคมก็ได้สนับสนุนขยายการศึกษาเพิ่มขึ้น ในปลายทศวรรษที่ 1910 มีการตั้งโรงเรียนมัธยมในมาเลเซียตะวันตก 13 แห่ง ตั้งมหาวิทยาลัยมลายา มหาวิทยาลัยสิงคโปร์ เพื่อผลิตแพทย์ ต่อมา สอนทั้งวิทยาศาสตร์ และศิลปะศาสตร์ ในปี ค.ศ.1938 มีโรงเรียนของรัฐบาล 105 แห่ง และยังมีโรงเรียนเอกชนอีกมาก และสถาบันตะวันตกที่สำคัญคือ Kuala Kangsar และ Sultan Idris Training College (SITC) ซึ่งเป็นสถาบันที่รวมของนักเรียนทุกส่วนของคาบสมุทร และเป็นรากฐานของขบวนการปัญญาชนชาตินิยมสมัยใหม่ อังกฤษให้การศึกษาชั้นประถมแก่เด็กมาเลย์และเด็กทมิฬแบบให้เปล่า แต่ชาวจีนไม่ได้รับสิทธินี้ เด็กจีนถ้าจะเข้าเรียนในโรงเรียนของอังกฤษต้องเสียค่าธรรมเนียม จึงมีเด็กจีนเพียงส่วนน้อยที่เข้าเรียนในโรงเรียนอังกฤษ ชาวจีนจึงจัดการศึกษาของตนเองด้วยการสนับสนุนของนักชาตินิยมจากจีนแผ่นดินใหญ่ และสมาคมของคนจีนโดยเฉพาะสมาคมลับเป็นผู้เผยแพร่การศึกษาแบบตะวันตกในหมู่คนจีนในมลายา ซึ่งก่อให้เกิดกลุ่มอิทธิพลที่ควบคุมทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของชาวจีนในมลายา ทำให้อังกฤษต้องควบคุมการศึกษาของชาวจีนด้วยวิธีการต่าง ๆ (หน้า 109-111) ชาวอินเดียสามารถเข้ากับระบบการศึกษาอังกฤษได้ดีกว่าชาวจีนและชาวมาเลย์ เนื่องจากคุ้นเคยกับการปกครองของอังกฤษมาก่อน อีกทั้งตระหนักว่าการเรียนในโรงเรียนทมิฬยากที่จะมีโอกาสก้าวหน้า ดังนั้น ชาวอินเดียจึงเป็นกลุ่มเชื้อชาติที่ได้รับการศึกษาแบบอังกฤษมากกว่ากลุ่มเชื้อชาติอื่น ๆ หลังจากกลางศตวรรษที่ 20 ชาวอินเดียมีสถานภาพที่ดีกว่าเดิม ประกอบอาชีพ เช่น แพทย์ นักกฎหมาย ครูอาจารย์ วิศวกร พ่อค้า และนักธุรกิจ ทำให้มีบทบาทที่เข้มแข็งในสังคม ซึ่งเป็นรากฐานขบวนการทางการเมือง Malaysian Indian Congress (MIC) เพื่อรวมชาวอินเดียในมลายูให้เป็นเอกภาพ ภายใต้การนำของปัญญาชนชนชั้นกลางที่มีการศึกษาแบบตะวันตก (หน้า 111) สำหรับชาวมาเลย์ส่วนใหญ่ไม่นิยมเรียนในโรงเรียนแบบตะวันตก เนื่องจากยังยึดมั่นในศาสนาและประเพณี รากฐานของสังคมมาเลย์อยู่ที่การศึกษาแบบจารีต รวมศูนย์อยู่ที่ศาสนาอิสลาม และดำรงชีวิตตามแบบประเพณีในกำปง โอกาสที่จะก้าวสู่สังคมวัตถุนิยมตะวันตกเป็นไปได้ยาก (หน้า 114-115) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ความเติบโตของเมืองในมาเลเซียเป็นพัฒนาการที่เด่นชัดอย่างหนึ่งในศตวรรษที่ 20 เมืองที่เติบโตอย่างรวดเร็วในแถบชายฝั่งตะวันตกและทางใต้ของแหลมมลายู ทำให้ชาวชนบทและชาวต่างชาติอพยพเข้ามาหางานทำมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเกิดปัญหาในการดำรงชีวิตและปัญหาอื่นๆ ที่ตามมาอีกมากมาย การพัฒนาสังคมเมืองที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้พวกเขามุ่งหวังในความก้าวหน้าของชีวิต และเกิดปฏิกิริยาต่อต้านการใช้ชีวิตทำงานหนักในไร่นาที่ถูกตีกรอบในวงล้อมของประเพณีดั้งเดิม ซึ่งโดยสภาพการณ์แล้วคนพื้นเมืองมาเลย์ส่วนใหญ่ถูกผลักดันให้อยู่ตามวัฒนธรรมเดิม ตรงกันข้ามกับคนจีน หรือ คนอินเดียที่สามารถสร้างอำนาจทางเศรษฐกิจมากขึ้นเรื่อย ๆ ความแตกต่างทางเศรษฐกิจทำให้พื้นฐานทางวัฒนธรรมของคนพื้นเมืองกับกลุ่มคนที่อพยพเข้ามาใหม่ไม่สามารถกลมกลืนเข้ากันได้ การตอบโต้ของคนพื้นเมืองจึงเป็นไปในรูปของความเคร่งครัดในศาสนาอิสลาม และไม่ยอมให้สิทธิ์ชาวต่างชาติเท่าเทียมกันกับคนมาเลย์พื้นเมืองในทางการเมือง สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างเชื้อชาติเสมอจนถึงขั้นปะทะกันด้วยกำลัง ดังนั้นสังคมจึงไม่มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (หน้า 9 -11) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ความเปลี่ยนแปลงของสังคมมลายาในศตวรรษที่ 20 นั้น สิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจน คือ การเกิดลัษณะของสังคมหลายเชื้อชาติ เนื่องจากการอพยพอย่างขนานใหญ่ของชาวเอเชีย โดยเฉพาะชาวจีนและชาวอินเดีย ก่อให้เกิดความขัดแย้งภายในสังคมของมลายา สังคมที่พอใจในการใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านตามประเพณีและวัฒนธรรมเดิมกลายเป็นเข้าไปสู่ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม แต่นั้นเป็นเหตุที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างเชื้อชาติอย่างรุนแรงขึ้นในสังคม (หน้า 158-160) |
|
Map/Illustration |
ตาราง 1.มูลค่าการค้าของสเตรทเซ็ทเทิลเมนท์เปรียบเทียบระหว่างสิงคโปร์ ปีนัง และมะละกา หน้า 57 2.การเติบโตของประชากรจีนในมลายู และมาเลเซีย หน้า 90 3.เปรียบเทียบประชากรอินเดียในมลายู ระหว่าง ค.ศ.1921-1957 จำแนกตามถิ่นกำเนิด หน้า 93 แผนที่ 1.แผนที่รัฐมลายูที่อยู่ใต้การปกครองของอังกฤษ หน้า 6 2.วันฮินดูสร้างในทศวรรษที่ 1050 ใน เคดะห์ หน้า 12 3.ศิลาจารึกตรังกานูเขียนเป็นภาษาเปอร์เซียอาระบิค หน้า 14 4.การขยายตัวของอิสลามในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หน้า 25 5.แสดงการค้าของมะละกาในคริสต์ศตวรรษที่ 15 หน้า 25 6.เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ค.ศ.1680 หน้า 36 7.พัฒนาการทางเศรษฐกิจของมลายู ในศตวรรษที่ 19 หน้า 118 8.พัฒนาการทางเศรษฐกิจของมลายู ค.ศ.1941 หน้า 119 9.การรบของญี่ปุ่นในมลายู ค.ศ.1941-42 หน้า 130 |
|
|