|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
มุสลิม,องค์กรในประเทศไทย,ความสัมพันธ์ต่างประเทศ,ประเทศไทย |
Author |
จรัญ มะลูลีม, กิติมา อมรทัต, พรพิมล ตรีโชติ |
Title |
ไทยกับโลกมุสลิม : ศึกษาเฉพาะกรณีชาวไทยมุสลิม |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไม่ระบุ |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
271 |
Year |
2538 |
Source |
สถาบันเอเชียศึกษา มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
Abstract |
งานชิ้นนี้ศึกษาความสัมพันธ์ของมุสลิมในประเทศไทยกับประเทศมุสลิมต่าง ๆ ในโลก ว่ามีประเทศใดและมีความสัมพันธ์ในรูปแบบใดบ้าง (หน้า บทคัดย่อ) และเสนอว่าองค์กรมุสลิมในประเทศไทยเกือบทุกองค์กรล้วนมีจุดมุ่งหมายไปในทางเดียวกัน คือ การยกระดับความเป็นอยู่ของมุสลิมในประเทศด้วยการให้การศึกษา อบรม และต่อสู้เพื่อสิทธิอันถูกต้องชอบธรรมที่มุสลิมควรจะได้รับ ในเวลาเดียวกันก็คำนึงถึงความเดือดร้อนของมุสลิมในต่างประเทศด้วย เพราะมุสลิมมีความเชื่อมั่นอย่างยิ่งในคำสอนของศาสนาอิสลามที่ว่ามุสลิมทุกคนเป็นพี่น้องกัน แต่ทั้งนี้ศาสนาอิสลามก็สอนเช่นเดียวกันว่าให้อยู่กับศาสนาอื่นอย่างปรองดองกันตราบใดที่ไม่มีการทำลายหรือรุกรานทางศาสนา |
|
Focus |
ศึกษาที่มาของมุสลิมในประเทศไทย ตลอดจนชีวิต ความเป็นอยู่ของมุสลิมเหล่านี้ในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา วัฒนธรรม ศาสนา การปกครองและการรวมตัวของพวกเขา ทั้งยังศึกษาความสัมพันธ์ของมุสลิมในประเทศไทย กับประเทศมุสลิมต่าง ๆ ในโลกว่ามีประเทศใดและมีความสัมพันธ์ในรูปแบบใดบ้าง (หน้า บทคัดย่อ) |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดย้อนหลังจากปัจจุบันไปไม่เกิน 20 ปี และข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับทัศนคติในปัจจุบัน (หน้า 3) |
|
History of the Group and Community |
การเผยแพร่ศาสนาอิสลามในประเทศไทยเริ่มต้นมาจากพ่อค้ามุสลิมได้มาตั้งรกรากในเมืองท่าของประเทศไทยเพื่อการพาณิชย์ ต่อมาพ่อค้าเหล่านี้ได้แต่งงานกับหญิงพื้นเมือง คนรุ่นที่สองที่สามก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนมุสลิมไป การเปลี่ยนแปลงศาสนาจึงเป็นไปอย่างกว้างขวาง ต่อมากลายเป็นกลุ่มคนส่วนใหญ่ ศาสนาอิสลามได้ถือกำเนิดขึ้นมาในดินแดนตะวันออกกลาง และแพร่หลายขยายเข้าสู่ประเทศในเขตทวีปเอเชียในปลาย คริสตศตวรรษที่ 7 และเป็นที่ยอมรับในหมู่ผู้ปกครองในคริสตศตวรรษที่ 16 การเผยแพร่อิสลามในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือ มุสลิมเดินทางเข้ามาทำการค้าจึงเกิดการติดต่อระหว่างคนต่อคน และเกิดการแต่งงานขึ้น ศาสนาอิสลามจึงเผยแพร่ผ่านทุกกลุ่มในประเทศไทย กลุ่มคนเหล่านั้นซึ่งมาตั้งรกรากหลักแหล่งในเมืองไทยก็เผยแพร่ด้วยวิธีการคล้ายคลึงกัน โดย ในประเทศไทยนั้นผู้เผยแพร่ศาสนาในประเทศไทยจะมาจากมาเลย์ อาหรับ-เปอร์เซีย และอินเดีย (หน้า 3-13) |
|
Settlement Pattern |
มุสลิมที่อยู่ภาคกลางของประเทศไทยมีสามกลุ่ม กลุ่มแรกอยู่ในเมืองมาตั้งแต่สมัยอยุธยาและธนบุรี รองลงมาได้แก่มุสลิมมลายูที่อพยพมาจากหัวเมืองประเทศราชทางภาคใต้ ซึ่งมาอาศัยอยู่ตามบริเวณชานเมืองกรุงเทพฯ ด้วยเหตุผลทางการเมือง และกลุ่มสุดท้ายเป็นมุสลิมในบังคับต่างชาติ เช่น อังกฤษ ฮอลันดา ฝรั่งเศส เป็นต้น มุสลิมทั้งสามกลุ่มดังกล่าวได้ตั้งถิ่นฐานโดยทั่วไปในกรุงเทพฯ และปริมณฑล คือ จังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร และนครปฐม ซึ่งอยู่ในเขตภาคกลางของประเทศไทย มีประชากรมุสลิมอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ ชนมุสลิมในถิ่นนี้เป็นชุมชนเก่าแก่ดั้งเดิม การตั้งถิ่นฐานในอดีตค่อนข้างมีเอกลักษณ์เฉพาะเช่นเดียวกับในประเทศอื่น ๆ คือ มีมัสยิดเป็นศูนย์กลางและสร้างบ้านเรือนอยู่ใกล้ชิดกัน (หน้า 32-36) |
|
Demography |
มุสลิมในปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 6 ล้านคน (หน้า 2) |
|
Economy |
ไทยมุสลิมในภาคต่าง ๆ มีอาชีพเช่นเดียวกับประชาชนพลเมืองที่นับถือศาสนาอื่นในภาคนั้น ๆ เพราะเป็นกลุ่มชนส่วนน้อยจึงไม่มีเอกลักษณ์อันใดของตนเองนอกจากบางอย่างที่ต้องดำเนินไปตามหลักศาสนาอิสลาม อาชีพส่วนใหญ่ของไทยมุสลิมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คือ ค้าปศุสัตว์และขายเนื้อ ชายอาหารทำการค้าเบ็ดเตล็ด ช่างฝีมือและรับราชการ ในเชิงเศรษฐกิจไม่ใคร่มีการรวมตัวกันในระหว่างมุสลิมด้วยกันที่จะประกอบธุรกิจ บางครั้งถึงกับมีการแข่งขันกันซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งบาดหมางกันก็มี นอกจากนั้นยังไม่มีการประกอบธุรกิจต่อเนื่อง ส่วนมุสลิมส่วนใหญ่ในภาคเหนือเป็นชาวปาทาน ส่วนน้อยเป็นจีนฮ่อและชาวเบงกอล ฐานะทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่มีฐานะปานกลาง คนร่ำรวยในฐานะเศรษฐีมีน้อย เพราะมุสลิมมิได้คุมเศรษฐกิจ ไม่มีอิทธิพลในด้านธุรกิจ ชาวปาทานส่วนใหญ่มีอาชีพเป็นเจ้าของเขียงเนื้อและขายเนื้อ จีนฮ่อทำการค้าขายเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือทำงานตามบริษัท มุสลิมในภาคกลางก็ประกอบอาชีพรับราชการ ค้าขาย ทำอุตสาหกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ และเกษตรกรรม ความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นอย่างมากมายโดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครและเมืองปริมณฑล ทำให้เกิดผลกระทบด้านเศรษฐกิจหลายอย่าง สำหรับสภาพเศรษฐกิจของไทยมุสลิมในจังหวัดภาคใต้ โดยเฉพาะสี่จังหวัดภาคใต้มีมุสลิมอยู่มากเป็นพิเศษนั้นขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศเป็นอย่างมาก เนื่องด้วยเขตสี่จังหวัดมีอากาศร้อน มีฝนตกชุกเกือบตลอดทั้งปี ประชากรส่วนใหญ่จึงมีอาชีพทางเกษตรกรรม คือทำสวนยางพาราเป็นหลัก รองลงไปก็คือ ทำนา ทำสวนผลไม้ และสวนมะพร้าว นอกจากนี้ยังทำเหมืองแร่ และการประมง มีความแตกต่างกันในการถือครองที่ดินในภาคใต้นี้ระหว่างไทยพุทธกับไทยมุสลิม ไทยมุสลิมเป็นเจ้าของที่ดินแปลงเล็ก ๆ เท่านั้น การถือครองที่ดินขนาดเล็ก ๆ เช่นนี้ทำให้ไทยมุสลิมมีรายได้พอใช้ไปวัน ๆ หนึ่งเท่านั้น จึงไม่สามารถออมทรัพย์นำไปลงทุนใหญ่ ๆ ได้ เมื่อเทียบกับคนไทยพุทธที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกันฐานะของคนไทยมุสลิมจะยากจนกว่า และส่งผลต่อไปถึงความเป็นอยู่ด้านอื่นด้วย (หน้า 89-90) |
|
Social Organization |
องค์กรมุสลิมในประเทศไทยส่วนใหญ่ถือกำเนิดขึ้นมาด้วยเงื่อนไขความจำเป็นที่จะยกระดับความเป็นอยู่ของมุสลิมในประเทศไทยให้มีความทัดเทียมกับชุมชนอื่น ๆ ตามคำสอนที่ว่ามุสลิมทั้งหมดเป็นพี่น้องกัน แต่ทั้งนี้ย่อมทำงานร่วมกับสังคมอื่น ๆ ที่ไม่ใช่มุสลิมได้ด้วย องค์กรมุสลิมในประเทศไทยมีระดับการทำงานของตนเองแตกต่างกันไป เช่น สมาคมนิสิตนักศึกษาไทยมุสลิมจะทำงานในระดับนักศึกษา ได้แก่ ช่วยเหลือนักศึกษามุสลิมในด้านการให้ข่าวสารทางการศึกษา ประสานงานกับนักศึกษาด้วยกันในการเคลื่อนไหวเพื่อช่วยเหลือมุสลิมที่ประสบปัญหา ติดต่อกับองค์กรนักศึกษามุสลิมต่างประเทศเพื่อแลกเปลี่ยนข่าวสาร จัดประชุมร่วมกันโดยมีองค์กรมุสลิมระหว่างประเทศเป็นผู้สนับสนุน ส่วนองค์กรอื่น ๆ ในทางศาสนา เช่น ศูนย์กลางอิสลามแห่งประเทศไทยก็ดำเนินการเพื่อเผยแพร่ศาสนา และให้โอกาสองค์กรมุสลิมอื่น ๆ ได้มาจัดทำกิจกรรมของตนในศูนย์กลางแห่งนี้ จัดงานและเทศกาลที่สำคัญ ๆ ทางศาสนา ฯลฯ (หน้า 116) |
|
Political Organization |
ไทยมุสลิมในสี่จังหวัดภาคใต้มีความรู้สึกชาตินิยมสูง ถือว่าตนเองมีเชื้อชาติมลายู มีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกับคนไทยกลุ่มอื่น ๆ โดยเฉพาะในด้านวัฒนธรรมประเพณี ศาสนา ความเชื่อ ภาษาและมีแนวทางการปกครองเป็นของตนเอง เพราะฉะนั้นการที่ไทยเข้ามาจัดระเบียบการปกครอง ทำให้เกิดความตึงเครียดทางการเมืองในภาคใต้มากพอสมควร ซึ่งมุสลิมไม่พอใจในกฎข้อบังคับต่าง ๆ และการถูกปกครองโดยรัฐ ความไม่พอใจฟักตัวขึ้นมาจากความแตกต่างทางวัฒนธรรมจนถึงขั้นรุนแรง สาเหตุความไม่พอใจและขัดแย้งดังกล่าวได้ก่อตัวขึ้นทีละน้อย และได้ระเบิดออกมาเป็นความไม่สงบ ความรุนแรงและการก่อการร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า ได้มีการเรียกร้องปลุกระดมประชาชนให้ลุกขึ้นต่อสู้ สนับสนุนการแบ่งแยกดินแดนเป็นอิสระ การเรียกค่าไถ่ ค่าคุ้มครอง การลักลอบจุดไฟในสถานที่ราชการ การกล่าวอ้างหลักศาสนาและประวัติศาสตร์มาเป็นเงื่อนไขทั้งในรูปขบวนการที่ต่อสู้ในเมืองอย่างเปิดเผย การต่อสู้ในชนบทของมิจฉาชีพทั่วไปที่สวมรอยแอบอ้างเพื่อผลประโยชน์ เกิดเป็นปัญหาด้านการปกครองและความมั่นคงของจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หน้า 43-54) หลักการปกครอง คือ สามารถสนองความเป็นปึกแผ่น และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคนไทยทั้งชาติ และสนองความประสงค์ของประชาชนในภาคใต้ด้วย ดังนั้น รูปแบบการบริหารราชการในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงและวิวัฒนาการมาตามลำดับ ศอ.บต. มีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพทั้งในด้านการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ สังคม และสร้างความสงบเรียบร้อยให้เกิดขึ้นในพื้นที่รับผิดชอบ ก่อให้เกิดสันติสุขและความสมานฉันท์ (หน้า 79) |
|
Belief System |
ศาสนาอิสลามนอกจากสอนให้ศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้าแล้ว ยังมีคำสอนทั้งในระดับหลักการทั่วไป และในระดับการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน มีคำสอนเกี่ยวกับด้านวัตถุและด้านจิตใจ แทบจะเรียกได้ว่าไม่มีพฤติกรรมหรือแนวความคิดใดของมนุษย์จะพ้นจากข่ายของศาสนาอิสลามไปได้ การเข้าใจในศาสนาอิสลามมี 3 ข้อ คือ 1. อิสลามในฐานะที่เป็นศาสนา 2. อิสลามในฐานะที่เป็นระบอบการปกครอง 3. อิสลามในฐานะที่เป็นวัฒนธรรม ส่วนโครงสร้างของศาสนาอิสลาม มี 3 ประการ 1. หลักศรัทธา 6 ประการ 1.1 ศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า 1.2 ศรัทธาในบรรดามลาอิกะฮ์ 1.3 ศรัทธาในบรรดาคัมภีร์ 1.4 ศรัทธาในบรรดาศาสนทูต 1.5 ศรัทธาในวันพิพากษา 1.6 ศรัทธาในกฎกำหนดสภาวการณ์ 2. หลักปฏิบัติ 5 ประการ 2.1 การปฏิญาณตน มีข้อความอยู่ 2 ประโยค คือ ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ และศาสดามุฮัมมัด คือ ศาสนทูตของพระองค์ 2.2 การทำนมัสการต่อพระผู้เป็นเจ้า (นมาซ) 2.3 การบริจาคทาน (ซะกาต) 2.4 การถือศีลอดในเดือนเราะมะฎอม 2.5 การประกอบพิธีหัจญ์ 3. หลักคุณธรรม 3.1 หน้าที่ต่อพระผู้เป็นเจ้า 3.2 หน้าที่ของผู้รู้หรือครู 3.3 หน้าที่ของผู้เรียน 3.4 หน้าที่ของลูกต่อพ่อแม่ 3.5 หน้าที่ต่อเพื่อนในสังคม (หน้า 21-25) |
|
Education and Socialization |
การเรียนศาสนาเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อไทยมุสลิม หลักการอิสลามต้องการให้มุสลิมทุกคนรู้หลักการเบื้องต้นหรือที่มาของศาสนาอิสลาม ฉะนั้น ในขณะที่ยังเด็ก มุสลิมต้องเรียนตามหลักสูตรภาคบังคับถึงชั้นประถมที่ 4 แล้ว ยังเรียนศาสนาอิสลาม และการอ่านคัมภีร์กุรอ่านควบคู่ไปด้วย ปอเนาะหรือโรงเรียนสอนศาสนาเป็นสถาบันที่มีความสำคัญที่สุดสถาบันหนึ่งของสังคมมุสลิม ปอเนาะเป็นสถานที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการศึกษาศาสนาเป็นหลัก ทำหน้าที่อบรมสั่งสอนและแสวงหาความรู้ความสามารถของมุสลิมทั่วไป ในปอเนาะไม่มีหลักสูตร ไม่มีตารางเรียนและกำหนดเวลาสอนที่แน่นอน ไม่มีการวัดผลการศึกษา ไม่มีชั้นเรียน เนื้อหาที่สอนก็เป็นวิชาทางศาสนาอย่างเดียว อุปกรณ์การสอนมีเพียงหนังสือเรียนซึ่งเป็นภาษาอาหรับ หรือยาวี การถ่ายทอดความรู้ส่วนใหญ่เป็นหน้าที่ของ โต๊ะครูเพียงคนเดียว ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มุสลิมในชุมชนท้องถิ่นนั้น ๆ เป็นสังคมที่มีเอกลักษณ์ของตนเองอย่างเด่นชัด (หน้า 95-100) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ดินแดนสี่จังหวัดภาคใต้มีบทบาทเกี่ยวข้องกับชีวิตมุสลิมในเมืองไทยมากกว่าแถบอื่น ๆ สิ่งที่นับเป็นเหตุการณ์สำคัญและเด่นชัดมาก คือ ปัญหาความขัดแย้งระหว่างมุสลิมที่นั่นกับชาวพุทธและเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ซึ่งสืบเนื่องมาตั้งแต่อดีต และนับวันจะทวีความรุนแรงสลับซับซ้อนมากขึ้นทุกที เป็นเรื่องที่มีสาเหตุมากมาย เช่น ปัญหาความแตกต่างในเรื่องศาสนาและวัฒนธรรม ปัญหาทัศนคติ ปัญหาภาษา ปัญหาการเมือง และการปกครอง ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาการศึกษา ปัญหาความสำนึกทางประวัติศาสตร์ ปัญหาโจรผู้ร้าย ฯลฯ ยิ่งมาตรการปราบปรามของฝ่ายรัฐรุนแรงขึ้นเพียงใด ความขัดแย้งระหว่างชนสองฝ่ายก็ยิ่งเห็นชัดขึ้น เพราะมาตรการการปราบปรามผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้คิดแบ่งแยกดินแดนนั้นเป็นที่พอใจของไทยพุทธ ในขณะเดียวกันก็สร้างความไม่พอใจให้แก่มุสลิม ดั้งนั้นความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่ายจึงแทบจะขาดจากกันอยู่แล้วหากไม่มีพระมหากษัตริย์เชื่อมความสัมพันธ์ของประชาชนไว้ (หน้า 71-76) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Other Issues |
องค์กรมุสลิมในประเทศไทยที่มีบทบาทในฐานะเป็นองค์กรนำ และรับใช้สังคมมุสลิมมีอยู่ 14 องค์กร ได้แก่ 1.สมาคมยุวมุสลิมแห่งประเทศไทย 2.มูลนิธิเพื่อศูนย์กลางอิสลามแห่งประเทศไทย 3.สมาคมแพทย์มุสลิม 4.มูลนิธิช่วยเหลือเด็กกำพร้าของสตรีไทยมุสลิมแห่งประเทศไทย 5.สมาคมกอรีแห่งประเทศไทย 6.สมาคมนิสิตนักศึกษาไทยมุสลิม 7.คณะกรรมการประสานองค์การมุสลิม 8.มูลนิธิสันติชน 9.สถาบันส่งเสริมการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับอิสลาม 10.ชมรมมุสลิมสยาม 11.สมาคมสื่อสารมุสลิมแห่งประเทศไทย 12.สถาบัน ดาร อหลิลบัยต 13.ชมรมนักศึกษามุสลิม มหาวิทยาลัยรามคำแหง 14.สำนักพิมพ์ทางนำ |
|
|