|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
กะเหรี่ยง,การต่อต้านรัฐบาลพม่า,ความมั่นคง,แม่ฮ่องสอน |
Author |
หาญ เพไทย |
Title |
กะเหรี่ยง : การศึกษาเฉพาะกลุ่มสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KAREN NATIONAL UNION : KNU) ชนกลุ่มน้อยต่อต้านรัฐบาลพม่าตามแนวชายแดนไทย - พม่า กับความมั่นคงของประเทศไทย |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
-
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
137 |
Year |
2536 |
Source |
เอกสารวิจัยส่วนบุคคล วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร |
Abstract |
ประเทศพม่าประกอบด้วยชนกลุ่มน้อยจำนวนมาก เช่น มอญ อาระกัน คะฉิ่น ว้า มูเซอร์ คะยา กะเหรี่ยง ฯลฯ ภายหลังจากที่อังกฤษมอบเอกราชให้กับพม่าทำให้ชนกลุ่มน้อยเหล่านี้ที่เคยอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษต้องการเป็นรัฐอิสระ แต่รัฐบาลพม่าไม่ยอมจึงทำการกวาดล้างอย่างหนัก ชนกลุ่มน้อยเหล่านี้ก็ทำการต่อสู้ตลอดมา โดยเฉพาะกลุ่มกะเหรี่ยงมีการจัดตั้งรัฐบาลของตนเอง คือ สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU : KAREN NATIONAL UNION) ยึดครองพื้นที่สามเหลี่ยมลุ่มแม่น้ำอิระวดีและภาคตะนาวศรีทั้งหมด แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มกอทูเลตะวันตก และกลุ่มกอทูเลตะวันออก นอกจากนี้ยังรวมตัวกับชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ เป็น กะเหรี่ยง - มอญอิสระ, กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยแห่งชาติ, กลุ่มพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตยแห่งชาติ กะเหรี่ยงมีภาษา วัฒนธรรม ประเพณี เป็นของตัวเอง มีการจัดระบบการศึกษา การจัดระบบการเมืองการปกครองและยังสัมพันธ์กับประเทศอื่นๆ โดยการพยามยามทำให้ประชาคมโลกยอมรับ ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับรัฐบาลพม่าเป็นอย่างมากจึงได้ทำการกวาดล้างอย่างรุนแรงโดยเฉพาะตามแนวชายแดนไทย - พม่า ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศไทย เช่น ปัญหาทางการเมืองและการทหารระหว่างไทยกับพม่า |
|
Focus |
วิเคราะห์ความมั่นคงต่อประเทศไทยซึ่งเป็นผลกระทบจากการสู้รบระหว่างรัฐบาลพม่ากับกลุ่มสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง ตามแนวชายแดนไทย - พม่า โดยศึกษาความเป็นมาของกลุ่มสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) สาเหตุของการต่อต้าน ความเป็นมาของชนกลุ่มน้อยตามแนวชายแดนไทยทุกกลุ่ม นโยบายของรัฐบาลพม่ากับรัฐบาลไทยต่อชนกลุ่มน้อย การสู้รับระหว่างรัฐบาลพม่ากับกลุ่มสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง ระหว่างปี 2530-2534 เพื่อนำไปสู่การพิจารณาแนวทางในการป้องกันและแก้ปัญหาเพื่อความมั่นคงของประเทศไทย (หน้า 3) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) (หน้า 3) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
งานวิจัยไม่ได้ระบุเรื่องภาษาของกะเหรี่ยงไว้ว่าเป็นภาษาในตระกูลใดแต่ในหน้า 34 ผู้เขียนระบุไว้ว่า ภาษากะเหรี่ยงได้รับอนุญาตให้สอนได้ถึงชั้นปีที่ 10 และเริ่มมีอักษรกะเหรี่ยงเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2369 (หน้า 34) |
|
Study Period (Data Collection) |
ไม่มีข้อมูล แต่ระบุไว้ว่างานวิจัยนี้ประจำปีการศึกษา พ.ศ. 2535-2536 |
|
History of the Group and Community |
กลุ่มชนชาติกะเหรี่ยงเป็นชนเชื้อสายมองโกล มีถิ่นฐานเดิมอยู่ในแถบทะเลทรายโกบี ต้นแม่น้ำแยงซีเกียง ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศจีน เรียกว่า หที หเซ็ท เม็ท ยว่า (HTEE HSET MET YWA) เมื่อประมาณปีก่อนคริสตศักราช 1384 ได้อพยพลงมาอยู่ในมณฑลยูนานของประเทศจีน และได้อพยพมาอยู่ในบริเวณที่ตั้งประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมแห่งสหภาพพม่าปัจจุบัน การอพยพมีมาหลายทาง คือ ทางลุ่มแม่น้ำอิระวดี และ SITWE-LI กะเหรี่ยงเผ่าโปว์ได้สร้างเมืองแปร (PROME) และบางกลุ่มได้ลงมาทางใต้ เข้าสู่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำอิระวดี เช่น บริเวณมะอูบิน บาสซินี่ มยาง- มยา ทางลุ่มแม่น้ำสาละวิน กะเหรี่ยงกลุ่มที่สอง ได้อพยพเข้ามาทางตอนใต้ของรัฐฉาน ปัจจุบันเป็นกะเหรี่ยงเผ่าปะโอ PA-O บางส่วนยังคงอาศัยอยู่ในรัฐคะยาหรือกะเหรี่ยงแดง บางส่วนอพยพไปทางตะวันตก ในเมืองตองอู ฉวี- ยิน ท่าตอน มะละแหม่ง ทวาย มะริด ทางลุ่มแม่น้ำโขง กะเหรี่ยงได้เคยสร้างเมืองที่เชียงใหม่ แต่ถูกชนชาวไทยโจมตีจึงถอยร่นเข้าไปแถบอำเภอสะเรียงและข้ามไปอยู่แถบน้ำสาละวิน การอพยพเข้าสู่ประเทศพม่า เริ่มตั้งแต่ก่อนคริสต์ศักราช 1125 และ ก่อนคริสต์ศักราช 739 กะเหรี่ยงเข้ามาอยู่แถบรัฐไทยใหญ่แต่ถูกยึดพื้นที่จึงอพยพลงมาทางใต้สู่พื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำสาละวิน ได้ตั้งหลักแหล่งแถบนี้ เรียกว่า ก่อล้าห์ (KAW LAH) ต่อมาเปลี่ยนเป็น กอทูเล (KAW THOOLEI) ต่อมามอญได้ทำการขับไล่กะเหรี่ยงออกจากพื้นที่ ไ ปอยู่ในแถบภูเขาในช่วงคริสต์ศักราช 800 ชาวพม่าบังคับกะเหรี่ยงกลุ่มสะกอและโปว์ให้เป็นทาส ต่อมากะเหรี่ยงแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม คือ สะกอและโปว์ และอาศัยอยู่ในประเทศพม่า กระจัดกระจายกันไปตามรัฐต่าง ๆ (หน้า 28 -34) |
|
Demography |
กะเหรี่ยงที่อยู่ในประเทศพม่า มีจำนวนประมาณ 7,000,000 คน กระจายกันไปเกือบทุกรัฐและทุกภาคของประเทศ ส่วนที่อยู่ในรัฐกะเหรี่ยงและภาคตะนาวศรี มีจำนวนประมาณ 3,000,000 คน (หน้า 60) |
|
Economy |
การประกอบอาชีพของราษฎรส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกรรม ทำนา ปลูกใบยาสูบ เลี้ยงสัตว์ การประมง ทำงานตามเหมืองแร่และป่าไม้ รับจ้างทำงานทั่วไปตามชายแดนของไทย รายได้ของ KNU ได้มาหลายทาง เช่น การขายทรัพยากรธรรมชาติ ได้แก่ ไม้สัก ไม้เบญจพรรณ แร่ธาตุ มีดีบุก พลอย วุลแฟรม ของป่า มีพ่อค้าไทยเป็นผู้ลักลอบซื้อขายกับกะเหรี่ยงตลอดมา นอกจากนั้น มีรายได้จากภาษีสินค้าผ่านแดนและภาษีจากประชาชนของกระเหรี่ยง ในปัจจุบันเมื่อรัฐบาลพม่าปราบปรามมากขึ้นทำให้สูญเสียรายได้จากทรัพยากรไม้สัก และภาษีนอกระบบ กะเหรี่ยงจึงหันมาหารายได้จากการเก็บค่าคุ้มครองการทำประมงในทะเล รายจ่ายของกะเหรี่ยง มีด้าน การจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ การเลี้ยงดูกองทัพและครอบครัว ทั้งนี้สภาพทางเศรษฐกิจของกระเหรี่ยงในปัจจุบันไม่ค่อยดีนัก (หน้า 59) |
|
Social Organization |
กะเหรี่ยงเป็นเผ่าที่รักความสงบ อยู่อย่างเรียบง่าย ชอบอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ไม่ชอบรุกรานใคร มีภาษา วัฒนธรรมขนบธรรมเนียมเป็นของตนเอง มีความเสมอภาคทางสังคม ไม่แบ่งชั้นวรรณะ (หน้า 60) |
|
Political Organization |
ในปี พ.ศ. 2491 อังกฤษให้เอกราชแก่พม่า ชนกลุ่มน้อยกะเหรี่ยงได้เรียกร้องขอตั้งรัฐกะเหรี่ยงเป็นอิสระ แต่พม่าปฏิเสธและได้ทำการปราบปรามอย่างรุนแรงต่อกลุ่มกะเหรี่ยงตั้งแต่ปลายปี 2491 เป็นต้นมา ทำให้กลุ่มกะเหรี่ยงถอยเข้ามาเคลื่อนไหวอยู่ตามแนวชายแดนไทย เมื่อพม่าจัดตั้งรัฐบาลขึ้นแล้ว กลุ่มกะเหรี่ยงและมอญได้ร่วมกันจัดตั้งรัฐกะเหรี่ยง - มอญอิสระขึ้น โดยรวมจังหวัดตะนาวศรีและอิสระวดีทั้งหมดไว้ด้วยกัน และมีจังหวัดต่างๆ ในพม่าตอนกลางอีก 13 จังหวัด เว้นร่างกุ้ง และได้ส่งข้อเรียกร้องเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐกะเหรี่ยง- มอญอิสระให้รัฐบาลพม่าพิจารณา แต่รัฐบาลพม่าปฏิเสธ ซอบาอูจี หัวหน้ากลุ่มกะเหรี่ยงซึ่งเป็นรัฐมนตรีร่วมในคณะรัฐบาลพม่าลาออก และได้จัดตั้งรัฐบาลของตนเอง คือ สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU : KAREN NATIONAL UNION) ยึดครองพื้นที่สามเหลี่ยมลุ่มแม่น้ำอิระวดีและภาคตะนาวศรีทั้งหมด ในปี 2504 สหภาพกะเหรี่ยงได้แบ่งแยกออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มกอทูเลตะวันตก และกลุ่มกอทูเลตะวันออก นอกจากนี้ยังรวมตัวกับชนกลุ่มน้อยอื่นๆ เป็น - กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยแห่งชาติ (NDF : NATIONAL DEMOCRATIC FRONT) โดยมีกลุ่ม มอญ อาระกัน กองทัพรัฐฉาน คะฉิ่นอิสระ อะโอ ปะหล่อง ว้า มูเซอร์ คะยา ชินร่วมด้วย - กลุ่มพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตยแห่งชาติ (DEMOCRATIC ALLIES OF BURMA, DAB) ประกอบด้วยองค์การกู้ชาติ และกลุ่มต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย รวม 31 กลุ่ม มีสมาชิกที่สำคัญ คือ กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยแห่งชาติ กลุ่มแนวร่วมนักศึกษาเพื่อประชาธิปไตยแห่งพม่า กลุ่มชาวพม่าโพ้นทะเล มีนายพลโบเมี๊ยะ ผู้นำกลุ่มกะเหรี่ยงเป็นประธานกลุ่ม มีที่ตั้งอยู่ที่ค่ายมาเนอปลอ กองบัญชาการของสหภาพ แห่งชาติกะเหรี่ยง การปกครองของกะเหรี่ยงยึดถือแบบประชาธิปไตย มีประธานาธิบดีเป็นประมุข หัวหน้าผู้บริหารสูงสุดและผู้บัญชาการทหารสูงสุด มีการเลือกตั้งคณะผู้บริหารทุก ๆ 4 ปี โดยผู้บัญชาการหน่วยทหารระดับกองพลต่าง ๆ ในพื้นที่เป็นผู้ออกเสียงเลือกตั้ง กะเหรี่ยงแบ่งการปกครองออกเป็น 7 จังหวัด คือ จังหวัดท่าตอน จังหวัดตองอู จังหวัดหย่องเลนิน จังหวัดผาอัน จังหวัดผาปูน จังหวัดมะละแหม่ง จังหวัดทะวาย จังหวัดต่าง ๆ มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้ปกครอง และขึ้นตรงต่อสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง รูปแบบของฝ่ายบริหารเมื่อ ธันวาคม 2534 มี คณะกรรมการบริหารสูงสุด แบ่งเป็นกระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตร/ประมง กระทรวงป่าไม้ กระทรวงเหมืองแร่ กรมอัยการ ในด้านความสัมพันธ์กับต่างประเทศ สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยงดำเนินนโยบายไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ทำให้ได้รับความช่วยเหลือจากองค์การต่างประเทศ กลุ่มกะเหรี่ยงยอมรับการวางตัวเป็นกลางของฝ่ายไทย นอกจากนี้ยังให้ความเชื่อถือและพยายามรักษาความสัมพันธ์ที่ดีต่อประเทศไทยเสมอมา (หน้า 38 - 47) |
|
Belief System |
แต่เดิมกะเหรี่ยงถือภูตผีและหัวหน้าหมู่บ้าน เริ่มนับถือศาสนาคริสต์อย่างแพร่หลายหลังจากที่อังกฤษปกครองพม่า ทางด้านประเพณีนั้น มีประเพณีการแต่งงาน ประเพณีฝังศพ ประเพณีวันปีใหม่ ฯลฯ ผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์มีประเพณีต่างๆ คล้ายคลึงกับชาวตะวันตก อุดมการณ์ของกะเหรี่ยงนั้นถือว่า เอกราชที่พม่าได้รับจากอังกฤษเมื่อ พ.ศ. 2491 เป็นเพียงการครอบคลุมชนชาติอื่น ๆ ในพม่า มีเพียงชาวพม่าเท่านั้นที่ได้รับผลจากเอกราชนี้ กะเหรี่ยงจึงมีความมุ่งมั่นที่จะจัดตั้งรัฐอิสระของตน และรวมกับชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ จัดตั้งเป็นสหพันธรัฐบนพื้นฐานของความเท่าเทียมกันอย่างแท้จริง อุดมการณ์ของกะเหรี่ยงจึงยึดมั่นอยู่กับหลักการที่ ซอบาอูยี ผู้นำหรือประธานาธิบดีคนแรกของกระเหรี่ยงกำหนดไว้ คือ กะเหรี่ยงจะไม่มีวันยอมแพ้ จะต้องให้มีการยอมรับว่ากะเหรี่ยงเป็นรัฐอิสระให้ได้ กะเหรี่ยงจะคงกองกำลังติดอาวุธไว้ตลอดไป กะเหรี่ยงจะตัดสินใจทางการเมืองด้วยตัวเอง และกะเหรี่ยงถือคติที่ว่า "ตายในการต่อสู้ดีกว่า จะอยู่อย่างเป็นทาสของพม่า" กะเหรี่ยงมีวันสำคัญ คือ วันปฏิวัติ วันสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง วันชาติกะเหรี่ยง วันรัฐกะเหรี่ยง วันองค์การป้องกันแห่งชาติกะเหรี่ยง วันเสียสละ วันคริสต์มาส (หน้า 51-68) |
|
Education and Socialization |
ส่วนใหญ่จะจัดตั้งโรงเรียนขึ้นตามศูนย์อพยพ และตามหมู่บ้านที่มีคนหนาแน่น ตามแนวชายแดน โดยแบ่งการศึกษาออกเป็น 10 ชั้น 3 ระดับ คือ ระดับต้น (ชั้น 1-4) ระดับกลาง (ชั้น 5-8) และระดับสูง (ชั้น 9-10) ครูผู้สอนจะจัดจากนักเรียนที่จบการศึกษาระดับสูง มีผลการเรียนดีมาอบรมวิชาครูและแยกย้ายกันไปสอนตามภูมิลำเนาของตน (หน้า 60) งานวิจัยไม่ได้ระบุว่ามีการเรียนการสอนเกี่ยวกับอะไรบ้าง |
|
Health and Medicine |
ผู้เขียนไม่ได้ระบุถึงความเชื่อและการรักษาอาการเจ็บป่วยของกะเหรี่ยง แต่ในการจัดการปกครองของกะเหรี่ยงมีกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งก็ไม่อาจจะบอกได้ว่าความเชื่อจริง ๆ ของกะเหรี่ยงเป็นอย่างไร บอกได้เพียงแต่ว่ามีการรักษาด้วยการแพทย์แผนปัจจุบัน (หน้า 57) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
เอกลักษณ์ของกะเหรี่ยง งานวิจัยไม่ได้ระบุเป็นหัวข้อเฉพาะ แต่ได้กล่าวว่าลักษณะประจำชาติที่สำคัญอีกประการหนึ่งของกะเหรี่ยง ได้แก่ แนวคิดอนุรักษ์นิยมและแนวคิดด้านการเมือง - การทหาร ที่คงที่และขาดความรอมชอม (หน้า 70) สิ่งที่สะท้อนลักษณะของความเป็นกะเหรี่ยงอีกอย่างหนึ่งก็คือธงชาติของกะเหรี่ยง เป็นแถบสี 3 สี คือ แดง ขาว น้ำเงิน และมีกลอง 1 ลูก อยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์ สีแดงหมายถึง ความกล้าหาญ สีขาว หมายถึงความบริสุทธิ์ สีน้ำเงินหมายถึง การต่อสู้เพื่อเอกราช กลอง หมายถึง สัญลักษณ์ที่กะเหรี่ยงนับถือ แสงอาทิตย์ มี 7 สาย หมายถึง ประชาชนกะเหรี่ยงที่มาจากเมืองต่างๆ 7 เมือง คือ อิระวดี ฮัดาวดี กันทราวดี คอยวดี ชียะวดี ตันยะวดี มอระวดี (หน้า 47) |
|
Social Cultural and Identity Change |
สังคมและอัตลักษณ์ของกะเหรี่ยง เปลี่ยนแปลงไปตามกระแสความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมืองของสหภาพพม่า ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 กะเหรี่ยงถูกพม่าและมอญมองว่าเป็นพวกป่าเถื่อนที่ไม่เป็นมงคล ไม่สมควรกล่าวถึงในพงศาวดารของทั้งพม่าและมอญ กะเหรี่ยงถูกจับเหมือนสัตว์ป่า นำไปเป็นทาส เมื่อตะวันตกเข้ามาในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18-19 ชาวตะวันตกเหล่านี้ได้จดบันทึกเรื่องราวของกะเหรี่ยงไว้และเมื่ออังกฤษปกครองพื้นที่แถบนี้ กะเหรี่ยงภายใต้การปกครองของอังกฤษมีความเจริญอย่างรวดเร็ว มีการจัดตั้งมหาวิทยาลัย การพยามจะรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีของตน มีความสำนึกในความเป็นชนชาติของตนเองมากยิ่งขึ้น มีความต้องการเป็นอิสระโดยไม่ต้องรวมกับพม่า ก่อให้เกิดการรวมตัวกันขึ้น และจากการปราบปรามอย่างรุนแรงของรัฐบาลพม่า ทำให้กะเหรี่ยงมีความโกรธแค้นอย่างรุนแรง จึงได้จับอาวุธขึ้นสู้ในวันที่ 31 มกราคม 2492 โดยการรวบรวมชายหนุ่มผู้รักชาติ จัดตั้งเป็นกองทัพ ในปี 2497 สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) ได้รวมกลุ่มรักชาติขึ้นประกาศตนเป็นอิสระตั้งรัฐกะเหรี่ยง มีรัฐบาลปกครองตนเอง เรียกว่า รัฐกอทูเล (KAWTHOOLEI) และได้ประกาศให้โลกรู้ ให้ทางสหประชาชาติรับทราบและพิจารณาด้วย ได้ทำการแจ้งมายังประเทศไทยว่าขอบเขตของรัฐตนนั้นครอบคลุมถึงพื้นที่ใดบ้างโดยไม่รวมกับพื้นที่ของประเทศพม่า และในปีเดียวกันนี้รัฐบาลพม่าได้ประกาศสถาปนารัฐกะเหรี่ยงหรือรัฐกอทูเล เป็นอีกรัฐหนึ่งซึ่งขึ้นอยู่กับสหภาพพม่าและอำนาจการบริหารขึ้นกับนโยบายของรัฐบาลพม่า กะเหรี่ยงไม่ยอมรับ เมื่อนายพลเนวิน ตำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสหภาพพม่า ได้ประกาศไม่ยอมรับชนกลุ่มน้อยกลุ่มต่างๆ แยกตัวเป็นอิสระและได้เพิ่มกำลังทหารเข้าปราบปราม ถึงแม้ว่ารัฐกะเหรี่ยงจะถูกรัฐบาลพม่าปราบปรามอย่างหนัก แต่ประชาชนกะเหรี่ยงต่างมีความมุ่งมั่นพยามยามต่อสู้เพื่อก่อตั้งรัฐบาลของชนชาติกะเหรี่ยงที่มีความเป็นอิสระตลอดมา ความปรารถนาสูงสุดคือให้รัฐกอทูเล (รัฐกะเหรี่ยง) เป็นเขตพื้นที่ที่กะเหรี่ยงส่วนใหญ่อยู่อาศัยอย่างมีความสุข และปกครองโดยกะเหรี่ยงด้วยระบบที่กะเหรี่ยงต้องการ มีสิทธิในการตัดสินใจด้วยตนเอง มีสิทธิทางการเมืองเท่ากับรัฐอื่น ๆ มีสิทธิในทรัพย์สินของตนเอง รัฐกอทูเลต้องเป็นที่ยอมรับของประชาคมโลกและมีสัมพันธ์ฉันท์มิตรกับรัฐและประเทศอื่น ๆ ประวัติศาสตร์การต่อสู้ของกะเหรี่ยงในรอบครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา ผู้เขียนสรุปว่า ในช่วงยุคแรกจนถึงก่อนปี 2530 มีวัตถุประสงค์เพื่อการสถาปนาความเป็นอิสระจากพม่า แต่หลังจากปี 2530 ไม่กี่ปี นโยบายของกะเหรี่ยงได้ปรับเปลี่ยนการต่อสู้เพื่อสิทธิของชนชาติกลุ่มน้อย ในการต่อสู้กับรัฐบาลพม่า กลุ่มสหภาพกะเหรี่ยง เป็นองค์การนำในบรรดากลุ่มต่อต้านรัฐบาลพม่า และให้ความช่วยเหลือกลุ่มการเมืองอื่น ๆ ให้อาศัยอยู่ในดินแดนของตน (หน้า 67-70) |
|
Map/Illustration |
แผนภาพพื้นที่อยู่อาศัยของชนชาติเผ่าพันธุ์ต่างๆ ในพม่า แผนที่แสดงถิ่นฐานเดิมของชนชาติกะเหรี่ยง แผนที่แสดงเส้นทางอพยพเคลื่อนย้ายของชนชาติกะเหรี่ยง ธงชาติสหภาพชาติกะเหรี่ยง พื้นที่อิทธิพลของสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง ผังการจัดกระทรวงกลาโหม ที่ตั้งหน่วยทหารกะเหรี่ยง |
|
|