สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject กะเหรี่ยง,การต่อต้านรัฐบาลพม่า,ความมั่นคง,แม่ฮ่องสอน
Author หาญ เพไทย
Title กะเหรี่ยง : การศึกษาเฉพาะกลุ่มสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KAREN NATIONAL UNION : KNU) ชนกลุ่มน้อยต่อต้านรัฐบาลพม่าตามแนวชายแดนไทย - พม่า กับความมั่นคงของประเทศไทย
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity - Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 137 Year 2536
Source เอกสารวิจัยส่วนบุคคล วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร
Abstract

ประเทศพม่าประกอบด้วยชนกลุ่มน้อยจำนวนมาก เช่น มอญ อาระกัน คะฉิ่น ว้า มูเซอร์ คะยา กะเหรี่ยง ฯลฯ ภายหลังจากที่อังกฤษมอบเอกราชให้กับพม่าทำให้ชนกลุ่มน้อยเหล่านี้ที่เคยอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษต้องการเป็นรัฐอิสระ แต่รัฐบาลพม่าไม่ยอมจึงทำการกวาดล้างอย่างหนัก ชนกลุ่มน้อยเหล่านี้ก็ทำการต่อสู้ตลอดมา โดยเฉพาะกลุ่มกะเหรี่ยงมีการจัดตั้งรัฐบาลของตนเอง คือ สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU : KAREN NATIONAL UNION) ยึดครองพื้นที่สามเหลี่ยมลุ่มแม่น้ำอิระวดีและภาคตะนาวศรีทั้งหมด แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มกอทูเลตะวันตก และกลุ่มกอทูเลตะวันออก นอกจากนี้ยังรวมตัวกับชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ เป็น กะเหรี่ยง - มอญอิสระ, กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยแห่งชาติ, กลุ่มพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตยแห่งชาติ กะเหรี่ยงมีภาษา วัฒนธรรม ประเพณี เป็นของตัวเอง มีการจัดระบบการศึกษา การจัดระบบการเมืองการปกครองและยังสัมพันธ์กับประเทศอื่นๆ โดยการพยามยามทำให้ประชาคมโลกยอมรับ ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับรัฐบาลพม่าเป็นอย่างมากจึงได้ทำการกวาดล้างอย่างรุนแรงโดยเฉพาะตามแนวชายแดนไทย - พม่า ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศไทย เช่น ปัญหาทางการเมืองและการทหารระหว่างไทยกับพม่า

Focus

วิเคราะห์ความมั่นคงต่อประเทศไทยซึ่งเป็นผลกระทบจากการสู้รบระหว่างรัฐบาลพม่ากับกลุ่มสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง ตามแนวชายแดนไทย - พม่า โดยศึกษาความเป็นมาของกลุ่มสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) สาเหตุของการต่อต้าน ความเป็นมาของชนกลุ่มน้อยตามแนวชายแดนไทยทุกกลุ่ม นโยบายของรัฐบาลพม่ากับรัฐบาลไทยต่อชนกลุ่มน้อย การสู้รับระหว่างรัฐบาลพม่ากับกลุ่มสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง ระหว่างปี 2530-2534 เพื่อนำไปสู่การพิจารณาแนวทางในการป้องกันและแก้ปัญหาเพื่อความมั่นคงของประเทศไทย (หน้า 3)

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

กลุ่มสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) (หน้า 3)

Language and Linguistic Affiliations

งานวิจัยไม่ได้ระบุเรื่องภาษาของกะเหรี่ยงไว้ว่าเป็นภาษาในตระกูลใดแต่ในหน้า 34 ผู้เขียนระบุไว้ว่า ภาษากะเหรี่ยงได้รับอนุญาตให้สอนได้ถึงชั้นปีที่ 10 และเริ่มมีอักษรกะเหรี่ยงเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2369 (หน้า 34)

Study Period (Data Collection)

ไม่มีข้อมูล แต่ระบุไว้ว่างานวิจัยนี้ประจำปีการศึกษา พ.ศ. 2535-2536

History of the Group and Community

กลุ่มชนชาติกะเหรี่ยงเป็นชนเชื้อสายมองโกล มีถิ่นฐานเดิมอยู่ในแถบทะเลทรายโกบี ต้นแม่น้ำแยงซีเกียง ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศจีน เรียกว่า หที หเซ็ท เม็ท ยว่า (HTEE HSET MET YWA) เมื่อประมาณปีก่อนคริสตศักราช 1384 ได้อพยพลงมาอยู่ในมณฑลยูนานของประเทศจีน และได้อพยพมาอยู่ในบริเวณที่ตั้งประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมแห่งสหภาพพม่าปัจจุบัน การอพยพมีมาหลายทาง คือ ทางลุ่มแม่น้ำอิระวดี และ SITWE-LI กะเหรี่ยงเผ่าโปว์ได้สร้างเมืองแปร (PROME) และบางกลุ่มได้ลงมาทางใต้ เข้าสู่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำอิระวดี เช่น บริเวณมะอูบิน บาสซินี่ มยาง- มยา ทางลุ่มแม่น้ำสาละวิน กะเหรี่ยงกลุ่มที่สอง ได้อพยพเข้ามาทางตอนใต้ของรัฐฉาน ปัจจุบันเป็นกะเหรี่ยงเผ่าปะโอ PA-O บางส่วนยังคงอาศัยอยู่ในรัฐคะยาหรือกะเหรี่ยงแดง บางส่วนอพยพไปทางตะวันตก ในเมืองตองอู ฉวี- ยิน ท่าตอน มะละแหม่ง ทวาย มะริด ทางลุ่มแม่น้ำโขง กะเหรี่ยงได้เคยสร้างเมืองที่เชียงใหม่ แต่ถูกชนชาวไทยโจมตีจึงถอยร่นเข้าไปแถบอำเภอสะเรียงและข้ามไปอยู่แถบน้ำสาละวิน การอพยพเข้าสู่ประเทศพม่า เริ่มตั้งแต่ก่อนคริสต์ศักราช 1125 และ ก่อนคริสต์ศักราช 739 กะเหรี่ยงเข้ามาอยู่แถบรัฐไทยใหญ่แต่ถูกยึดพื้นที่จึงอพยพลงมาทางใต้สู่พื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำสาละวิน ได้ตั้งหลักแหล่งแถบนี้ เรียกว่า ก่อล้าห์ (KAW LAH) ต่อมาเปลี่ยนเป็น กอทูเล (KAW THOOLEI) ต่อมามอญได้ทำการขับไล่กะเหรี่ยงออกจากพื้นที่ ไ ปอยู่ในแถบภูเขาในช่วงคริสต์ศักราช 800 ชาวพม่าบังคับกะเหรี่ยงกลุ่มสะกอและโปว์ให้เป็นทาส ต่อมากะเหรี่ยงแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม คือ สะกอและโปว์ และอาศัยอยู่ในประเทศพม่า กระจัดกระจายกันไปตามรัฐต่าง ๆ (หน้า 28 -34)

Settlement Pattern

ไม่มีข้อมูล

Demography

กะเหรี่ยงที่อยู่ในประเทศพม่า มีจำนวนประมาณ 7,000,000 คน กระจายกันไปเกือบทุกรัฐและทุกภาคของประเทศ ส่วนที่อยู่ในรัฐกะเหรี่ยงและภาคตะนาวศรี มีจำนวนประมาณ 3,000,000 คน (หน้า 60)

Economy

การประกอบอาชีพของราษฎรส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกรรม ทำนา ปลูกใบยาสูบ เลี้ยงสัตว์ การประมง ทำงานตามเหมืองแร่และป่าไม้ รับจ้างทำงานทั่วไปตามชายแดนของไทย รายได้ของ KNU ได้มาหลายทาง เช่น การขายทรัพยากรธรรมชาติ ได้แก่ ไม้สัก ไม้เบญจพรรณ แร่ธาตุ มีดีบุก พลอย วุลแฟรม ของป่า มีพ่อค้าไทยเป็นผู้ลักลอบซื้อขายกับกะเหรี่ยงตลอดมา นอกจากนั้น มีรายได้จากภาษีสินค้าผ่านแดนและภาษีจากประชาชนของกระเหรี่ยง ในปัจจุบันเมื่อรัฐบาลพม่าปราบปรามมากขึ้นทำให้สูญเสียรายได้จากทรัพยากรไม้สัก และภาษีนอกระบบ กะเหรี่ยงจึงหันมาหารายได้จากการเก็บค่าคุ้มครองการทำประมงในทะเล รายจ่ายของกะเหรี่ยง มีด้าน การจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ การเลี้ยงดูกองทัพและครอบครัว ทั้งนี้สภาพทางเศรษฐกิจของกระเหรี่ยงในปัจจุบันไม่ค่อยดีนัก (หน้า 59)

Social Organization

กะเหรี่ยงเป็นเผ่าที่รักความสงบ อยู่อย่างเรียบง่าย ชอบอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ไม่ชอบรุกรานใคร มีภาษา วัฒนธรรมขนบธรรมเนียมเป็นของตนเอง มีความเสมอภาคทางสังคม ไม่แบ่งชั้นวรรณะ (หน้า 60)

Political Organization

ในปี พ.ศ. 2491 อังกฤษให้เอกราชแก่พม่า ชนกลุ่มน้อยกะเหรี่ยงได้เรียกร้องขอตั้งรัฐกะเหรี่ยงเป็นอิสระ แต่พม่าปฏิเสธและได้ทำการปราบปรามอย่างรุนแรงต่อกลุ่มกะเหรี่ยงตั้งแต่ปลายปี 2491 เป็นต้นมา ทำให้กลุ่มกะเหรี่ยงถอยเข้ามาเคลื่อนไหวอยู่ตามแนวชายแดนไทย เมื่อพม่าจัดตั้งรัฐบาลขึ้นแล้ว กลุ่มกะเหรี่ยงและมอญได้ร่วมกันจัดตั้งรัฐกะเหรี่ยง - มอญอิสระขึ้น โดยรวมจังหวัดตะนาวศรีและอิสระวดีทั้งหมดไว้ด้วยกัน และมีจังหวัดต่างๆ ในพม่าตอนกลางอีก 13 จังหวัด เว้นร่างกุ้ง และได้ส่งข้อเรียกร้องเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐกะเหรี่ยง- มอญอิสระให้รัฐบาลพม่าพิจารณา แต่รัฐบาลพม่าปฏิเสธ ซอบาอูจี หัวหน้ากลุ่มกะเหรี่ยงซึ่งเป็นรัฐมนตรีร่วมในคณะรัฐบาลพม่าลาออก และได้จัดตั้งรัฐบาลของตนเอง คือ สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU : KAREN NATIONAL UNION) ยึดครองพื้นที่สามเหลี่ยมลุ่มแม่น้ำอิระวดีและภาคตะนาวศรีทั้งหมด ในปี 2504 สหภาพกะเหรี่ยงได้แบ่งแยกออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มกอทูเลตะวันตก และกลุ่มกอทูเลตะวันออก นอกจากนี้ยังรวมตัวกับชนกลุ่มน้อยอื่นๆ เป็น - กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยแห่งชาติ (NDF : NATIONAL DEMOCRATIC FRONT) โดยมีกลุ่ม มอญ อาระกัน กองทัพรัฐฉาน คะฉิ่นอิสระ อะโอ ปะหล่อง ว้า มูเซอร์ คะยา ชินร่วมด้วย - กลุ่มพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตยแห่งชาติ (DEMOCRATIC ALLIES OF BURMA, DAB) ประกอบด้วยองค์การกู้ชาติ และกลุ่มต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย รวม 31 กลุ่ม มีสมาชิกที่สำคัญ คือ กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยแห่งชาติ กลุ่มแนวร่วมนักศึกษาเพื่อประชาธิปไตยแห่งพม่า กลุ่มชาวพม่าโพ้นทะเล มีนายพลโบเมี๊ยะ ผู้นำกลุ่มกะเหรี่ยงเป็นประธานกลุ่ม มีที่ตั้งอยู่ที่ค่ายมาเนอปลอ กองบัญชาการของสหภาพ แห่งชาติกะเหรี่ยง การปกครองของกะเหรี่ยงยึดถือแบบประชาธิปไตย มีประธานาธิบดีเป็นประมุข หัวหน้าผู้บริหารสูงสุดและผู้บัญชาการทหารสูงสุด มีการเลือกตั้งคณะผู้บริหารทุก ๆ 4 ปี โดยผู้บัญชาการหน่วยทหารระดับกองพลต่าง ๆ ในพื้นที่เป็นผู้ออกเสียงเลือกตั้ง กะเหรี่ยงแบ่งการปกครองออกเป็น 7 จังหวัด คือ จังหวัดท่าตอน จังหวัดตองอู จังหวัดหย่องเลนิน จังหวัดผาอัน จังหวัดผาปูน จังหวัดมะละแหม่ง จังหวัดทะวาย จังหวัดต่าง ๆ มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้ปกครอง และขึ้นตรงต่อสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง รูปแบบของฝ่ายบริหารเมื่อ ธันวาคม 2534 มี คณะกรรมการบริหารสูงสุด แบ่งเป็นกระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตร/ประมง กระทรวงป่าไม้ กระทรวงเหมืองแร่ กรมอัยการ ในด้านความสัมพันธ์กับต่างประเทศ สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยงดำเนินนโยบายไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ทำให้ได้รับความช่วยเหลือจากองค์การต่างประเทศ กลุ่มกะเหรี่ยงยอมรับการวางตัวเป็นกลางของฝ่ายไทย นอกจากนี้ยังให้ความเชื่อถือและพยายามรักษาความสัมพันธ์ที่ดีต่อประเทศไทยเสมอมา (หน้า 38 - 47)

Belief System

แต่เดิมกะเหรี่ยงถือภูตผีและหัวหน้าหมู่บ้าน เริ่มนับถือศาสนาคริสต์อย่างแพร่หลายหลังจากที่อังกฤษปกครองพม่า ทางด้านประเพณีนั้น มีประเพณีการแต่งงาน ประเพณีฝังศพ ประเพณีวันปีใหม่ ฯลฯ ผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์มีประเพณีต่างๆ คล้ายคลึงกับชาวตะวันตก อุดมการณ์ของกะเหรี่ยงนั้นถือว่า เอกราชที่พม่าได้รับจากอังกฤษเมื่อ พ.ศ. 2491 เป็นเพียงการครอบคลุมชนชาติอื่น ๆ ในพม่า มีเพียงชาวพม่าเท่านั้นที่ได้รับผลจากเอกราชนี้ กะเหรี่ยงจึงมีความมุ่งมั่นที่จะจัดตั้งรัฐอิสระของตน และรวมกับชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ จัดตั้งเป็นสหพันธรัฐบนพื้นฐานของความเท่าเทียมกันอย่างแท้จริง อุดมการณ์ของกะเหรี่ยงจึงยึดมั่นอยู่กับหลักการที่ ซอบาอูยี ผู้นำหรือประธานาธิบดีคนแรกของกระเหรี่ยงกำหนดไว้ คือ กะเหรี่ยงจะไม่มีวันยอมแพ้ จะต้องให้มีการยอมรับว่ากะเหรี่ยงเป็นรัฐอิสระให้ได้ กะเหรี่ยงจะคงกองกำลังติดอาวุธไว้ตลอดไป กะเหรี่ยงจะตัดสินใจทางการเมืองด้วยตัวเอง และกะเหรี่ยงถือคติที่ว่า "ตายในการต่อสู้ดีกว่า จะอยู่อย่างเป็นทาสของพม่า" กะเหรี่ยงมีวันสำคัญ คือ วันปฏิวัติ วันสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง วันชาติกะเหรี่ยง วันรัฐกะเหรี่ยง วันองค์การป้องกันแห่งชาติกะเหรี่ยง วันเสียสละ วันคริสต์มาส (หน้า 51-68)

Education and Socialization

ส่วนใหญ่จะจัดตั้งโรงเรียนขึ้นตามศูนย์อพยพ และตามหมู่บ้านที่มีคนหนาแน่น ตามแนวชายแดน โดยแบ่งการศึกษาออกเป็น 10 ชั้น 3 ระดับ คือ ระดับต้น (ชั้น 1-4) ระดับกลาง (ชั้น 5-8) และระดับสูง (ชั้น 9-10) ครูผู้สอนจะจัดจากนักเรียนที่จบการศึกษาระดับสูง มีผลการเรียนดีมาอบรมวิชาครูและแยกย้ายกันไปสอนตามภูมิลำเนาของตน (หน้า 60) งานวิจัยไม่ได้ระบุว่ามีการเรียนการสอนเกี่ยวกับอะไรบ้าง

Health and Medicine

ผู้เขียนไม่ได้ระบุถึงความเชื่อและการรักษาอาการเจ็บป่วยของกะเหรี่ยง แต่ในการจัดการปกครองของกะเหรี่ยงมีกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งก็ไม่อาจจะบอกได้ว่าความเชื่อจริง ๆ ของกะเหรี่ยงเป็นอย่างไร บอกได้เพียงแต่ว่ามีการรักษาด้วยการแพทย์แผนปัจจุบัน (หน้า 57)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีข้อมูล

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

เอกลักษณ์ของกะเหรี่ยง งานวิจัยไม่ได้ระบุเป็นหัวข้อเฉพาะ แต่ได้กล่าวว่าลักษณะประจำชาติที่สำคัญอีกประการหนึ่งของกะเหรี่ยง ได้แก่ แนวคิดอนุรักษ์นิยมและแนวคิดด้านการเมือง - การทหาร ที่คงที่และขาดความรอมชอม (หน้า 70) สิ่งที่สะท้อนลักษณะของความเป็นกะเหรี่ยงอีกอย่างหนึ่งก็คือธงชาติของกะเหรี่ยง เป็นแถบสี 3 สี คือ แดง ขาว น้ำเงิน และมีกลอง 1 ลูก อยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์ สีแดงหมายถึง ความกล้าหาญ สีขาว หมายถึงความบริสุทธิ์ สีน้ำเงินหมายถึง การต่อสู้เพื่อเอกราช กลอง หมายถึง สัญลักษณ์ที่กะเหรี่ยงนับถือ แสงอาทิตย์ มี 7 สาย หมายถึง ประชาชนกะเหรี่ยงที่มาจากเมืองต่างๆ 7 เมือง คือ อิระวดี ฮัดาวดี กันทราวดี คอยวดี ชียะวดี ตันยะวดี มอระวดี (หน้า 47)

Social Cultural and Identity Change

สังคมและอัตลักษณ์ของกะเหรี่ยง เปลี่ยนแปลงไปตามกระแสความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมืองของสหภาพพม่า ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 กะเหรี่ยงถูกพม่าและมอญมองว่าเป็นพวกป่าเถื่อนที่ไม่เป็นมงคล ไม่สมควรกล่าวถึงในพงศาวดารของทั้งพม่าและมอญ กะเหรี่ยงถูกจับเหมือนสัตว์ป่า นำไปเป็นทาส เมื่อตะวันตกเข้ามาในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18-19 ชาวตะวันตกเหล่านี้ได้จดบันทึกเรื่องราวของกะเหรี่ยงไว้และเมื่ออังกฤษปกครองพื้นที่แถบนี้ กะเหรี่ยงภายใต้การปกครองของอังกฤษมีความเจริญอย่างรวดเร็ว มีการจัดตั้งมหาวิทยาลัย การพยามจะรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีของตน มีความสำนึกในความเป็นชนชาติของตนเองมากยิ่งขึ้น มีความต้องการเป็นอิสระโดยไม่ต้องรวมกับพม่า ก่อให้เกิดการรวมตัวกันขึ้น และจากการปราบปรามอย่างรุนแรงของรัฐบาลพม่า ทำให้กะเหรี่ยงมีความโกรธแค้นอย่างรุนแรง จึงได้จับอาวุธขึ้นสู้ในวันที่ 31 มกราคม 2492 โดยการรวบรวมชายหนุ่มผู้รักชาติ จัดตั้งเป็นกองทัพ ในปี 2497 สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) ได้รวมกลุ่มรักชาติขึ้นประกาศตนเป็นอิสระตั้งรัฐกะเหรี่ยง มีรัฐบาลปกครองตนเอง เรียกว่า รัฐกอทูเล (KAWTHOOLEI) และได้ประกาศให้โลกรู้ ให้ทางสหประชาชาติรับทราบและพิจารณาด้วย ได้ทำการแจ้งมายังประเทศไทยว่าขอบเขตของรัฐตนนั้นครอบคลุมถึงพื้นที่ใดบ้างโดยไม่รวมกับพื้นที่ของประเทศพม่า และในปีเดียวกันนี้รัฐบาลพม่าได้ประกาศสถาปนารัฐกะเหรี่ยงหรือรัฐกอทูเล เป็นอีกรัฐหนึ่งซึ่งขึ้นอยู่กับสหภาพพม่าและอำนาจการบริหารขึ้นกับนโยบายของรัฐบาลพม่า กะเหรี่ยงไม่ยอมรับ เมื่อนายพลเนวิน ตำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสหภาพพม่า ได้ประกาศไม่ยอมรับชนกลุ่มน้อยกลุ่มต่างๆ แยกตัวเป็นอิสระและได้เพิ่มกำลังทหารเข้าปราบปราม ถึงแม้ว่ารัฐกะเหรี่ยงจะถูกรัฐบาลพม่าปราบปรามอย่างหนัก แต่ประชาชนกะเหรี่ยงต่างมีความมุ่งมั่นพยามยามต่อสู้เพื่อก่อตั้งรัฐบาลของชนชาติกะเหรี่ยงที่มีความเป็นอิสระตลอดมา ความปรารถนาสูงสุดคือให้รัฐกอทูเล (รัฐกะเหรี่ยง) เป็นเขตพื้นที่ที่กะเหรี่ยงส่วนใหญ่อยู่อาศัยอย่างมีความสุข และปกครองโดยกะเหรี่ยงด้วยระบบที่กะเหรี่ยงต้องการ มีสิทธิในการตัดสินใจด้วยตนเอง มีสิทธิทางการเมืองเท่ากับรัฐอื่น ๆ มีสิทธิในทรัพย์สินของตนเอง รัฐกอทูเลต้องเป็นที่ยอมรับของประชาคมโลกและมีสัมพันธ์ฉันท์มิตรกับรัฐและประเทศอื่น ๆ ประวัติศาสตร์การต่อสู้ของกะเหรี่ยงในรอบครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา ผู้เขียนสรุปว่า ในช่วงยุคแรกจนถึงก่อนปี 2530 มีวัตถุประสงค์เพื่อการสถาปนาความเป็นอิสระจากพม่า แต่หลังจากปี 2530 ไม่กี่ปี นโยบายของกะเหรี่ยงได้ปรับเปลี่ยนการต่อสู้เพื่อสิทธิของชนชาติกลุ่มน้อย ในการต่อสู้กับรัฐบาลพม่า กลุ่มสหภาพกะเหรี่ยง เป็นองค์การนำในบรรดากลุ่มต่อต้านรัฐบาลพม่า และให้ความช่วยเหลือกลุ่มการเมืองอื่น ๆ ให้อาศัยอยู่ในดินแดนของตน (หน้า 67-70)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

แผนภาพพื้นที่อยู่อาศัยของชนชาติเผ่าพันธุ์ต่างๆ ในพม่า แผนที่แสดงถิ่นฐานเดิมของชนชาติกะเหรี่ยง แผนที่แสดงเส้นทางอพยพเคลื่อนย้ายของชนชาติกะเหรี่ยง ธงชาติสหภาพชาติกะเหรี่ยง พื้นที่อิทธิพลของสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง ผังการจัดกระทรวงกลาโหม ที่ตั้งหน่วยทหารกะเหรี่ยง

Text Analyst พัชรลดา จุลเพชร Date of Report 25 ก.ย. 2567
TAG กะเหรี่ยง, การต่อต้านรัฐบาลพม่า, ความมั่นคง, แม่ฮ่องสอน, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง