|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ม้ง,บทบาทชายหญิง,อนามัย,เชียงราย |
Author |
เสถียร ฉันทะ |
Title |
บทบาทชายหญิงด้านอนามัยเจริญพันธุ์: กรณีศึกษาชุมชนม้งแห่งหนึ่งในจังหวัดทางภาคเหนือของประเทศไทย |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ม้ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
94 |
Year |
2544 |
Source |
โครงการพัฒนาการวิจัยด้านเพศภาวะมิติทางเพศและอนามัยเจริญพันธุ์สถาบันวิจัยประชากรและสังคมมหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ |
Abstract |
การศึกษาของผู้เขียนที่มุ่งทำความเข้าใจถึงความสัมพันธ์เชิงอำนาจของบทบาทชายหญิง กับการแสวงหาพฤติกรรมอนามัยการเจริญพันธุ์ ในประเด็นเกี่ยวกับกระบวนการกล่อมเกลาทางสังคมวัฒนธรรม ที่มีผลต่อการสร้างความต้องการทางเพศในสังคมของช่วงวัยต่าง ๆ รวมไปถึงการคาดหวังเพศของบุตร การแสวงหาพฤติกรรมด้านอนามัยการเจริญพันธุ์เกี่ยวกับการวางแผนครอบครัว อนามัยของแม่และเด็ก ภาวะการมีบุตรยาก การตั้งครรภ์โดยไม่ได้ตั้งใจ การแท้ง เพศศึกษา พฤติกรรมทางเพศที่เสี่ยงต่อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ความรุนแรงทางเพศ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมของม้งจะเปลี่ยนไปอย่างไร ผู้ชายก็ยังเป็นผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจในทุกเรื่อง ถึงแม้ว่าปัจจุบันผู้หญิงจะมีบทบาทมากขึ้นมีอำนาจในการต่อรอง แต่เพศชายก็เป็นใหญ่กว่าเพศหญิงในสังคมของม้ง (หน้า 85-93 ) |
|
Focus |
เป็นการศึกษาถึงช่วงชีวิตสุขภาพอนามัยการเจริญพันธุ์ของม้งในชุมชน เพื่อเน้นให้เห็นถึงขบวนการกล่อมเกลาทางสังคมที่มีผลต่อความสัมพันธ์ในเชิงอำนาจและบทบาทของชายหญิงในด้านพฤติกรรมการเจริญพันธุ์ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยผู้สูงอายุ โดยศึกษาถึงอิทธิพลที่มีผลต่อความสัมพันธ์ บทบาทของชายหญิงด้านการเจริญพันธุ์ รวมไปถึงกระบวนการตัดสินใจที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการแสวงหาอนามัยเจริญพันธุ์เช่นอัตราการตายของมารดา/อัตราการตายของทารก การตั้งครรภ์โดยไม่ได้ตั้งใจ การทำแท้ง และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์คือโรคเอดส์ |
|
Theoretical Issues |
ผู้เขียนใช้ฐานทางความคิดด้านมานุษยวิทยาในการทำความเข้าใจอธิบายเกี่ยวกับอนามัยเจริญพันธุ์ของม้งในแต่ละช่วงอายุ โดยใช้มิติมุมมองเป็นกรอบทางความคิดของกระบวนการสร้างความเป็นเพศทางสังคมในการศึกษาถึงความสัมพันธ์เชิงอำนาจของชายหญิงในสังคมหนึ่ง ผู้เขียนจะพิจารณาประเด็นชาติพันธุ์ ชนชั้น ความเป็นเพศทางสังคมเพื่อใช้เป็นองค์ประกอบในการศึกษาและหาข้อมูลจากพื้นที่ ช่วยอธิบายในประเด็นที่ต้องการศึกษาจากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ กรอบความคิดในการศึกษาบทบาทของชายหญิงของม้งซึ่งมีแนวทางการเก็บข้อมูลดังนี้ 1.การศึกษางานของกลุ่มชาติพันธุ์ม้งในประเด็นต่าง ๆ ที่ผ่านมา 2.ศึกษาอุดมการณ์ จริยธรรม ประเพณี พิธีกรรมต่าง ๆ รวมไปถึงสถานภาพทางสังคมของม้ง 3.ความสัมพันธ์ทางอำนาจของชายหญิงในครอบครัว เครือญาติ และชุมชน 4. ศึกษาจากความสัมพันธ์ที่เป็นปัจจัยภายนอกที่มีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของชุมชน ความสัมพันธ์เชิงอำนาจของบทบาทชายหญิงกับการแสวงหาพฤติกรรมอนามัย อนามัยเจริญพันธุ์เป็นผลสืบเนื่องมาจากกระบวนการกล่อมเกลาทางสังคม วัฒนธรรมที่มีผลต่อการสร้างความเป็นเพศทางสังคมในช่วงวัยต่าง ๆ ของชีวิต ตั้งแต่ความคาดหวังต่อเพศบุตร การคลอดเป็นวัยทารก วัยเด็ก วัยผู้ใหญ่จนกระทั่งเข้าสู่วัยชรา การสร้างความเป็นเพศดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับความสัมพันธ์เชิงอนาจที่มีต่อบทบาทชายหญิงในเรื่องพฤติกรรมอนามัย เจริญพันธุ์ของชายหญิงโดยการแสวงหาพฤติกรรมอนามัยเจริญพันธุ์เกี่ยวกับการวางแผนครอบครัว อนามัยแม่และเด็ก ภาวะการมีบุตรยาก การตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ การแท้งและภาวะแทรกซ้อน โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และภาวะหลังวัยเจริญพันธุ์ รวมไปถึงผู้สูงอายุ ถึงแม้ว่าสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมในปัจจุบันจะเปลี่ยนแปลงไป (หน้า 26-27, 85-93 ) |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ม้งเป็นกลุ่มชนที่อาศัยอยู่ในประเทศจีนเมื่อประมาณ 2,700 ปี ก่อนคริสตกาลอาศัยอยู่ในบริเวณลุ่มแม่น้ำเหลืองและลุ่มน้ำแยงซีเกียง ในสมัยราชวงค์แมนจูซึ่งเป็นราชวงค์สุดท้ายของจีนใช้อำนาจกดขี่ข่มเหงม้ง พวกม้งได้ต่อสู้ขัดขืนและเป็นกบฎ จึงพากันอพยพมาอยู่ในบริเวณเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อาศัยอยู่ตามแนวภูเขาทางภาคเหนือของลาว เวียดนาม ไทย พม่า ม้งอีกส่วนหนึ่งก็พากันอพยพไปอยู่ทางประเทศแถบตะวันตกในประเทศสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย แคนาดา นิวซีแลนด์ ฝรั่งเศสจำนวนหนึ่ง การอพยพของม้งได้เข้ามาในประเทศไทยครั้งแรกเมื่อ ค.ศ 1889 โดยอพยพผ่านมาทางประเทศลาวเข้ามาทางอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงรายและอำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน ก่อนที่ชุมชนม้งจะอพยพเข้ามาอยู่ในพื้นที่ปัจจุบันนี้ได้เคยตั้งบ้านเรือนอยู่บนดอยตามแนวเขาบริเวณชายแดนไทย-ลาว แต่ถูกรบกวนจากกลุ่มผู้ก่อการร้ายของพรรคคอมมิวนิสต์ไทยกับรัฐไทยในชายแดน ทำให้ราษฎรอาศัยอยู่ไม่ได้ก็พากันอพยพมาตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณที่ราบ ที่ราบเชิงเขาในปัจจุบันเมื่อปีพ.ศ2518 โดยกระจายกันอยู่แบ่งเป็น 2 หมู่บ้านอาศัยอยู่ด้วยกันในลักษณะเครือญาติคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน (หน้า 29,33,34 ) |
|
Settlement Pattern |
การตั้งถิ่นฐานของม้งจะตั้งบ้านเรือนอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเครือญาติเพื่อจะได้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ปัจจุบันชุมชนได้ตั้งอยู่ในบริเวณที่ราบและที่ราบเชิงเขากระจายแบ่งออกเป็น 2 หมู่บ้าน |
|
Demography |
ชุมชนม้งในพื้นที่ศึกษาปัจจุบันมีประชากร 1,294 คน จำนวน 130 หลังคาเรือน จำแนกเป็นชาย 649 คน หญิง 645 คน แบ่งเป็นชายหญิงที่อยู่ในช่วงอายุระหว่าง 15-44 ปี มีจำนวน 491 คน หญิงวัยเจริญพันธุ์อายุระหว่าง 15-44 ปี ที่อยู่กินกับสามีมีจำนวน 174 คน หญิงในวัยเจริญพันธุ์มีทั้งหมด 239 คน และวัยเด็กที่อยู่ในช่วงอายุระหว่าง 0-14 ปีมีจำนวน 645 คน (หน้า 30,54 ) |
|
Economy |
ระบบเศรษฐกิจของชุมชนม้ง ในพื้นที่ที่ศึกษาในปัจจุบันเป็นระบบเศรษฐกิจแบบยังชีพมีการทำไร่ข้าวเป็นอาชีพหลัก มีการปลูกข้าวโพดไว้เป็นอาหารสัตว์ ในปัจจุบันนี้การทำไร่ของบางครอบครัวไม่สามารถที่จะผลิตข้าวได้เพียงพอกับความต้องการใช้บริโภคภายในครอบคัวได้ตลอดปี เพราะที่ดินที่ใช้ในการเพาะปลูกมีจำนวนจำกัดไม่สามารถปลูกพืชหมุนเวียนและปล่อยพื้นที่นั้นได้พักตัว ม้งในหมู่บ้านจึงหันมาหารายได้นอกเหนือจากการเกษตรก็คือ จับกลุ่มกันทำงานเย็บปักถักร้อย เมื่อว่างจากการทำงานในไร่และจะมีผู้มารับซื้องานฝีมือจากชาวบ้าน งานนี้จึงถือเป็นอาชีพเสริมที่ทำรายได้ให้กับครอบครัว ในขณะที่ผู้ชายก็พากันประกอบอาชีพเสริมหลังฤดูการเก็บเกี่ยวเหมือนกัน โดยการออกไปทำงานขายแรงงานตามเมืองใหญ่ ๆ อย่างกรุงเทพ เชียงใหม่ เชียงรายโดยเฉพาะคนในวัยหนุ่มสาวก็พากันไปทำงานตามโรงแรม ร้านอาหารและก็มีกลุ่มพ่อบ้านบางส่วนที่หันไปทำงานต่างประเทศเช่นในประเทศไต้หวัน เพราะเห็นว่าบางคนที่ไปทำงานที่นั่นเมื่อกลับมาฐานะทางบ้านดีขึ้นสามารถซื้อรถปิ๊กอัพกันหลายคน บางรายก็มีทุนกลับมาทำไร่ทำสวนผลไม้เช่น ลิ้นจี่ ส้ม กันมากขึ้นทำให้เศรษฐกิจของครอบครัวดีขึ้น (หน้า 30) |
|
Social Organization |
ผู้เขียนได้อ้างถึงคนของรัจนา มณีประเสริฐว่า สังคมของม้งเป็นสังคมที่ยึดถือจารีตประเพณีความสัมพันธ์ทางสังคมเป็นแบบเครือญาติ ยึดถือแซ่สกุลเป็นหลัก ถึงแม้ว่าม้งที่มีแซ่เดียวกันที่เป็นกลุ่มย่อยก็ถือว่าเป็นพี่น้องกัน จารีตประเพณีเป็นสิ่งที่ควบคุมความประพฤติของม้งไม่ให้เบี่ยงเบนไปในทางที่ไม่ดี ม้งจะให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์กันทางสายเลือดอย่างแน่นแฟ้นโดยมีระบบสืบทอดตระกูลทางฝ่ายบิดา และม้งมักแยกแยะความสัมพันธ์เป็น 3 ระดับคือ 1.ตั้วลู้เซ่ง คือกลุ่มคนที่แซ่เดียวกันถือว่าเป็นกล่มเดียวกันเป็นพี่น้องกันในประเทศไทยมีแซ่สกุลของม้งทั้งหมด 16 แซ่ ที่พบมากคือ แซ่ลี แซ่ย่าง แซ่จาง แซ่ว่าง แซ่หาง แซ่กือ แซ่โซ้ง เป็นต้น มีข้อห้ามว่าชายหญิงที่อยู่ในแซ่เดียวกันห้ามแต่งงานกัน ระดับที่ 2. กื๋อตี๋ เป็นกลุ่มที่มีแซ่สกุลเดียวกันและเป็นญาติพี่น้องมีความใกล้ชิดกันมากกว่าระดับแรก กื๋อตี๋บางกลุ่มที่มีแซ่เดียวกันอาจทำพิธีบางอย่างร่วมกันไม่ได้เพราะนับถือผีบรรพบุรุษไม่เหมือนกัน ระดับที่ 3. ตั้วตู่กลั้ง คือกลุ่มที่มีความสัมพันธ์กันทางสายเลือดที่ใกล้ชิดกันมากที่สุด นับถือผีบรรพบุรุษเดียวกันช่วยเหลือเกื้อกูลกันไม่ว่าจะเป็นทางด้านเศรษฐกิจ แรงงาน การหยิบยืมทรัพย์สินประกอบพิธีกรรมร่วมกันได้ความสัมพันธ์กันทางเครือญาติถือเป็นโครงสร้างทางสังคมของม้งเพราะเป็นการเชื่อมโยงความเชื่อ การประกอบพิธีกรรมที่มีอำนาจต่อการดำเนินชีวิตและครอบครัวของม้งให้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข
ในอีกด้านหนึ่ง ในสังคมของม้งถือว่าผู้ชายเป็นผู้สืบทอดวงค์ตระกูล ผู้หญิงเป็นสมบัติของผู้ชาย ม้งจะให้ความสัมพันธ์กับการมีบุตรไว้สืบสกุล ถือเป็นค่านิยมของสังคมม้ง เพศชายเป็นทรัพย์สินที่มีค่าสูงสุดของครอบครัว ม้งได้วางกฎเกณท์ให้ลูกผู้ชายเป็นฝ่ายที่ดูแลพ่อ แม่ ในยามที่แก่เฒ่าเพราะผู้หญิงเมื่อแต่งงานไปแล้วก็ต้องไปอยู่ที่บ้านสามีไม่ได้เลี้ยงดูพ่อแม่ของตน ทางสังคมจึงมองสถานภาพผู้หญิงเปรียบเสมือนสินค้าที่มีชีวิตที่หาซื้อได้ด้วยเงิน ซึ่งก็คือสินสอดนั่นเอง ดังนั้น บทบาททางเพศจึงมีผลต่อระบบโครงสร้างทางสังคมของม้ง ผู้อาวุโสก็เป็นบทบาทหนึ่งที่สังคมและครอบครัวยอมรับฟังและให้ความเชื่อถือ ซึ่งคอยกล่อมเกลาสภาพทางสังคมวัฒนธรรมของม้งให้ประพฤติปฎิบัติอยู่ในกรอบระเบียบที่ดีงามของสังคม หากภายในชุมชนมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งหรือมีข้อพิพาทกัน ผู้นำแซ่ หรือหัวหน้าสกุล จะเป็นผู้ตัดสินใจไกล่เกลี่ยข้อพิพาทต่างๆ ภายในแซ่สกุลและระหว่างแซ่สกุลอื่น นอกจากนี้ ยังมีเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งได้แก่ผู้ใหญ่บ้าน คณะกรรมการต่าง ๆ คอยทำหน้าที่ปฎิบัติงานในชุมชนดูแลความเรียบร้อยและรักษาความสงบสุขของชุมชน (หน้า 31,34,35,37,39,80) |
|
Political Organization |
ในการปกครองชุมชนม้ง จะมีผู้นำแซ่ที่มีบทบาทหน้าที่คอยเป็นผู้ตัดสินคดีความต่าง ๆ ในหมู่บ้าน ทำหน้าที่คอยไกล่เกลี่ยข้อพิพาทต่าง ๆ ให้ยุติลง และรัฐยังได้แต่งตั้งกลุ่มองค์กรที่ทำหน้าที่ในการปกครองโดยตรง ซึ่งก็ได้แก่ผู้ใหญ่บ้าน คณะกรรมการหมู่บ้านฝ่ายต่าง ๆ มีบทบาทหน้าที่ในการประสานงานระหว่างหน่วยงานทางภาครัฐกับชุมชน นำนโยบายต่าง ๆ ที่ทางการมอบหมายให้มาปฎิบัติในชุมชน (หน้า 31 ) |
|
Belief System |
ม้งในพื้นที่ที่ศึกษามีความเชื่อดั้งเดิมคือ นับถือผีบรรพบุรุษ แต่ในปัจจุบันมีศาสนาคริสต์คาทอลิกเข้ามาเผยแพร่ ม้งบางส่วนจึงหันมานับถือศาสนาคริสต์ ปัจจุบันมีผู้นับถือศาสนาคริสต์อยู่ 24 หลังคาเรือน ความเชื่อเกี่ยวกับการนับถือผีบรรพบุรุษในกลุ่มที่นับถือคริสต์ก็ได้เปลี่ยนแปลงไป การบวงสรวงหรือเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษจึงล้มเลิกไปโดยปริยาย แต่หันมาเข้าโบสต์ในวันเสาร์ -อาทิตย์แทน ฉลองวันคริสต์มาสแทนวันปีใหม่ม้ง
ในด้านพิธีกรรมในงานที่ศึกษาส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับพิธีกรรมการเกิด ม้งเชื่อว่าลูกที่เกิดมาเกิดจากผีพ่อ แม่ให้เกิดเมื่อคลอดบุตรแล้วจะทำพิธีเรียกขวัญโดยให้พ่อ แม่ของเด็กนำไก่จำนวน 6 ตัว เลือกไก่สีแดง 1 ตัวนำมาเซ่นบอกกล่าวแก่ผีบรรพบุรุษในบ้านเพื่อปกปักรักษาให้อยู่ดีมีสุขและเป็นการบอกว่าตอนนี้ในบ้านได้มีสมาชิกใหม่เพิ่มมาอีกคน ส่วนไก่ตัวผู้ตัวเมียอีก 2 ตัว ใช้เลี้ยงเทวดาที่ส่งลูกมาเกิดจากนั้น จะมีคนแก่มาช่วยกันผูกข้อไม้ข้อมือเด็กและตั้งชื่อให้กับลูก เมื่อบุตรอายุครบ 1 เดือน ก็จะทำพิธีเรียกขวัญอีกครั้งเพื่อเป็นการเน้นให้บุตรมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง ม้งเชื่อว่าคนเราเกิดมามีขวัญอยู่ 3 ขวัญและขวัญก็ต้องอยู่กับร่างกาย ถ้าหากขวัญหลุดออกไปจากร่างกายเมื่อใด ก็จะเกิดความเจ็บป่วยหรือไม่สบาย ขวัญเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงกับความเชื่อที่วิญญาณของคนเราเมื่อตายไปขวัญก็จะออกจากร่างกายและกลับมาเกิดใหม่ในที่สุด (หน้า 31,39-41 ) |
|
Education and Socialization |
|
Health and Medicine |
ในการศึกษาไม่ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ม้งมีวิธีรักษาโรคด้วยวิธีใดกล่าวแต่เพียงว่าผู้หญิงม้งไปรับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคและคลอดบุตรที่โรงพยาบาล สถานีอนามัยใกล้บ้าน ส่วนการรักษาความเจ็บป่วยหากไม่สบายจะมีการประกอบพิธีกรรมการเรียกขวัญโดยทำพิธีผูกข้อมือเพื่อเป็นการรักษาชีวิตและเพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ผู้ป่วย (หน้า 41,81 ) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การละเล่นต่าง ๆ ของม้งที่ยึดถือและปฏิบัติสืบมา คือการโยนลูกข่าง ม้งขาวเรียกว่า เป๋าป๋อ ม้งดำเรียกว่า ดู๋ป๋อ มีการละเล่นเด๋าตั๋วลู่หรือตีลูกข่าง เป่าแคนการละเล่นดังกล่าวเป็นการละเล่นที่หนุ่มสาวใช้เล่นเพื่อเป็นการเกี้ยวพาราสีพูดคุยกันเพื่อสร้างความสนิทสนมกันในวันงานเทศกาลปีใหม่ม้ง การแต่งกายระบุแต่เพียงว่า ใครมีเสื้อผ้าสวยที่เย็บปักกันเตรียมไว้สำหรับเทศกาลปีใหม่ ก็จะนำมาใส่กันเสื้อผ้าจะตกแต่งประดับประดาด้วยเงินเหรียญ ด้านหัตถกรรมก็มีการเย็บปักผ้าไว้เองและไว้ขายด้วย ด้านสถาปัตยกรรมไม่ได้ระบุไว้ (หน้า 30,44 ) |
|
Folklore |
ตำนานของม้งที่มีในงานนี้ เป็นตำนานที่เกี่ยวกับโครงสร้างทางสังคมของม้ง เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ทางอำนาจทางเพศระหว่างเพศชายกับเพศหญิง เริ่มต้นด้วยเรื่องราวการสร้างมนุษย์ของเทวดา ที่คิดจะสร้างเพศชายและเพศหญิงให้เกิดมาเป็นของคู่กัน โดยให้แนวคิดก่อนที่จะสร้างมนุษย์ขึ้นมาว่าเมื่อขว้างครกโม่ข้าวกับข้าวโพดไปคนละทางแต่ทำไมครกโม่กับหินครกจึงกลิ้งมาบรรจบกันเป็นครกโม่ดังเดิมก็เปรียบเสมือนผู้ชายกับผู้หญิงเป็นของคู่กัน เพศหญิงเป็นสมบัติของผู้ชายเพราะผู้ชายได้มอบอวัยวะเพศและนมให้แก่ผู้หญิงในครั้งนั้น จากนิทานปรัมปราพื้นบ้านของม้งนี้ เป็นสิ่งที่นำไปสู่กระบวนการกล่อมเกลาทางสังคมที่สร้างผู้ชายให้เป็นผู้นำ สร้างผู้หญิงให้เป็นผู้ตาม ด้วยเหตุนี้จึงเป็นอุดมการณ์ที่ฝังรากลึกลงไปในหัวใจของม้งว่าเมื่อมารดาตั้งครรภ์ทางครอบครัวจะคาดหวังว่าลูกที่คลอดออกมาต้องเป็นผู้ชาย (หน้า 36-37 ) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
สาเหตุของการอพยพของม้งสาเหตุหนึ่งก็มาจากปัญหาการแย่งชิงทรัพยากรบนภูเขาระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์อื่นที่อาศัยอยู่ด้วยกันอย่างเช่น คนเมือง เมี่ยน ขมุ มีปัญหากระทบกระทั่งกันแย่งชิงที่ดินทำกิน แย่ง น้ำ ป่าไม้ มีการข้ามเขตแดนไปใช้ทรัพยากรป่าไม้ในชุมชนที่ใกล้เคียงกันทำให้เกิดปัญหาที่หาข้อยุติไม่ได้ด้วยสาเหตุนี้จึงทำให้ม้งอพยพไปหาที่อยู่อาศัยที่ใหม่ อีกสาเหตุก็มาจากจำนวนประชากรที่เพิ่มมากขึ้นพื้นที่ทำกินมีจำนวนจำกัดจึงอพยพผู้คนไปอยู่ที่ใหม่อีกครั้ง (หน้า 30,32) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ในสังคมม้งปัจจุบันนี้ไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยวแล้ว เพราะมีการติดต่อกับชุมชนภายนอกที่อยู่ล้อมรอบบริเวณชุมชน การแสวงหาพฤติกรรมทางด้านอนามัยเจริญพันธุ์ก็ไม่ได้หยุดนิ่ง แต่กลับมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาจากที่เคยอาศัยอยู่บนดอยสูง ก็เคลื่อนย้ายมาอยู่ตามนโยบายของรัฐ มีการทำบัตรประจำตัวประชาชนเพื่อแสดงความเป็นไทยโดยสมบูรณ์ ได้เข้ารับการศึกษาในโรงเรียน เข้ารับบริการทางด้านสาธารณสุขในยามที่เจ็บไข้ได้ป่วย ส่วนการเพาะปลูกแต่ก่อนเป็นการเพาะปลูกแบบยังชีพมีไว้พอบริโภคในครอบครัวก็เปลี่ยนมาเพาะปลูกแบบเน้นการค้าการผลิตเน้นการค้าขายมากขึ้นความ นิยมในการมีบุตรมากได้ลดลงเพราะสมัยปัจจุบันต้องหาเงินส่งเสียลูกให้ได้เรียนหนังสือ ค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้นยิ่งมีลูกมากก็ยิ่งยากจนด้วยสาเหตุนี้จึงทำให้หญิงม้งหันมาใช้ยาคุมกำเนิดมีการวางแผนการมีบุตร ค่านิยมในการมีบุตรมากเป็นอันต้องหมดไป ปัจจุบันม้งได้รับการศึกษามากขึ้นสามารถรับรู้ข่าวสารจากสื่อต่าง ๆ ได้มากขึ้น บางบ้านที่ฐานะทางเศรษฐกิจดีจะมีโทรทัศน์ไว้ดู ด้านการแต่งงานของม้ง ถ้าฝ่ายชายมีเงินสินสอดไม่พอก็สามารถหยิบยืมคนอื่นได้ สำหรับการแต่งงานในปัจจุบันมีการกำหนดขึ้นมาว่าชายที่จะแต่งงานได้ต้องมีอายุ 20 ปี ขึ้นไปส่วนผู้หญิง ต้องมีอายุ 18 ปี ขึ้นไป พฤติกรรมทางเพศที่เสี่ยงต่อโรคเอดส์ก็มีการใช้ถุงยางอนามัยไว้ป้องกันโรคเอดส์ การเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมอีกอย่างหนึ่งก็คือ ม้งบางส่วนที่หันไปนับถือศาสนาคริสต์แทนการนับถือผีบรรพบุรุษมีการเปลี่ยนแปลงความเชื่อจากที่เคยบูชาบรรพบุรุษ ก็หันมาบูชาพระเยซูเจ้า ฉลองวันคริสต์มาสแทนวันปีใหม่ม้ง ความเชื่อในการทำพิธีเมื่อหญิงคลอดบุตรที่มีการฝังรกเริ่มจางหายไป บทบาทของผู้หญิงเริ่มมีอำนาจต่อรองมากขึ้น ในครอบครัวผู้ชายจะมอบหมายให้ภรรยาสามารถดูแลค่าใช้จ่ายในครอบครัวได้ ผู้หญิงหันมาให้คุณค่าทางด้านพรหมจรรย์ของตนมากขึ้นถึงขั้นที่ว่าถ้าผู้ชายไม่รับผิดชอบในการกระทำ ไม่ยอมชดใช้ค่าเสียหายที่ทำให้ผู้หญิงท้อง ฝ่ายหญิงก็จะไปฟ้องศาลให้ศาลตัดสิน นี่คือวัฒนธรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้า ๆ (หน้า 81-85 ) |
|
Other Issues |
กล่าวถึงการตั้งครรภ์และการคลอด ม้งเชื่อว่าการตั้งครรภ์เกิดจากผีพ่อผีแม่ให้มาเกิด การตั้งครรภ์เป็นเรื่องปกติของวิถีชีวิตครอบครัว ผู้หญิงหากแต่งงานไปก็ต้องมีลูก หากมีบุตรชายไว้สืบสกุลให้ครอบครัวของสามีได้ นั่นก็หมายถึงการได้รับความรักความเอาใจใส่จากครอบครัวของสามี ปัญหาการมีเมียน้อยก็หมดไป ขณะที่หญิงม้งตั้งครรภ์ทราบโดยการที่ประจำเดือนขาดหายไปท้องเริ่มใหญ่ขึ้น หากทราบว่าตนตั้งครรภ์แล้วก็จะดูเรื่องอาหารการกินของตน สามีจะช่วยเสาะแสวงหาอาหารที่มีประโยชน์มาให้ภรรยาตนรับประทาน ข้อปฏิบัติของหญิงตั้งครรภ์ก็คือ ห้ามหญิงตั้งครรภ์หรือชายที่มีภรรยาตั้งครรภ์ไม่ให้เข้าไปในบ้านที่มีแม่ลูกอ่อน เพราะจะทำให้หญิงที่กำลังมีลูกอ่อนไม่มีน้ำนมให้ลูกกิน นอกจากนี้ ยังห้ามไม่ให้ปีนป่าย หยิบจับของที่อยู่สูงเพื่อเป็นการป้องกันการพลัดตกหกล้มอาจจะนำไปสู่การแท้งลูกได้ ส่วนการคลอดบุตรเมื่อถึงเวลาคลอดจะทำคลอดโดยหมอตำแย ส่วนมากจะเป็นแม่สามีเป็นผู้ทำคลอดให้ การคลอดจะเป็นไปตามธรรมชาติจะทำคลอดที่บ้านและอยู่ไฟเป็นเวลาประมาณ 1 เดือนห้ามไปเที่ยวบ้านคนอื่นที่ไม่ใช่แซ่เดียวกันจะถือว่าผิดผี จะต้องเสียค่าปรับไหมเป็นค่าทำผีโดยต้องเซ่นไหว้ผีด้วยไก่ 1 ตัว เมื่อเด็กเข้าสู่วัยทารกม้งจะทำการรับขวัญด้วยการทำพิธีเรียกขวัญพ่อแม่ของเด็ก นำไก่จำนวน 6 ตัว เลือกไก่ตัวผู้ที่มีสีแดง 1 ตัวมาไหว้บอกกล่าวแก่ผีบรรพบุรุษเพื่อรับรู้ถึงสมาชิกใหม่ในครอบครัว เมื่อเข้าสู่วัยเด็กแม่จะฝึกหัดให้เด็กรับประทานอาหารเองได้ จนกระทั่งเด็กโตเป็นวัยรุ่นอายุประมาณ 13-14 ปีพวกเขาก็จะมีบทบาทตามหน้าที่ของตนแตกต่างกันไป เจริญเติบโตไปตามวัยแห่งการเจริญพันธุ์และก้าวไปเป็นผู้ใหญ่สืบต่อไปในอนาคต (หน้า 39-47) |
|
Map/Illustration |
รูปภาพการเล่นลูกข่างของเด็กหญิงม้ง (หน้า 8 )
แผนภูมิแสดงกรอบแนวคิดการศึกษาความสัมพันธ์เชิงอำนาจกับบทบาทชายหญิงและการแสวงหาพฤติกรรมอนามัยเจริญพันธุ์ของม้ง (หน้า 27 )
แผนที่แสดงการอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานของม้งในภาคเหนือของประเทศไทย (หน้า 28 ) |
|
|