|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),ประวัติศาสตร์,พม่า |
Author |
ราญ ฤนาท |
Title |
การศึกษาประวัติศาสตร์กะเหรี่ยง |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
18 |
Year |
2523 |
Source |
มหาวิทยาลัยพายัพ |
Abstract |
เนื้อหาหลักเน้นที่ประวัติศาสตร์และการศึกษาประวัติศาสตร์ของชนชาติกะเหรี่ยง ซึ่งยังคงคลุมเครือในช่วงต้น ขาดความต่อเนื่องชัดเจน และหยุดชะงักไปในปัจจุบันเพราะปัญหาความขัดแย้งกับรัฐบาลพม่า |
|
Focus |
การศึกษาประวัติศาสตร์การอพยพของกะเหรี่ยงและการก่อตัวเป็นรัฐกะเหรี่ยงที่ขัดแย้งกับพม่าอยู่ในปัจจุบัน |
|
Ethnic Group in the Focus |
ชาติพันธุ์ที่ทำการศึกษานี้คือ กะเหรี่ยง ซึ่งแบ่งออกได้เป็น ๒ กลุ่มหลัก คือ สะกอ (Sgaw) และ โปว์ (Pwo) และแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยเล็ก ๆ อีก เช่น พวกคะยา อาศัยอยู่ในรัฐคะยาของพม่าและจังหวัดแม่ฮ่องสอนของไทย ปะโอหรือต้องสู้ (หน้า 3) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษากะเหรี่ยงไม่สามารถเชื่อมโยงกับตระกูลภาษาตระกูลใดตระกูลหนึ่งได้อย่างแน่นอน นักภาษาศาสตร์จึงได้จัดกลุ่มให้กับภาษากะเหรี่ยงต่างกันออกไป เช่น Tai-Chinese หรือคล้ายภาษาตระกูลไทอิสระ และ Tiberto-Burman (หน้า 7) อักษรภาษากะเหรี่ยงนั้น เริ่มปรากฏขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1832 เมื่อโจนาธาน เวด (Jonathan Wade) มิชชันนารีอเมริกันคิดประดิษฐ์แบบการเขียนภาษากะเหรี่ยงขึ้นโดยใช้ภาษาสะกอเป็นหลัก (หน้า 5) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
กะเหรี่ยงรู้จักความเป็นมาของตนเองจากตำนานมุขปาฐะของตนเองหลายเรื่อง เช่น เรื่องออเมบา ผู้นำกะเหรี่ยงที่นำพวกเขาอพยพลงมาทางใต้ และเรื่องยวาซึ่งเล่าว่าพวกเขาสูญเสียโอกาสที่จะเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่ (หน้า 1-2) แต่ประวัติศาสตร์ของกะเหรี่ยงก็เล่าขานถึงเรื่องในอดีตที่ยาวนานเกินไปและขาดหายเป็นห้วง ๆ และเป็นสาเหตุให้มีการค้นหาและเชื่อมโยงกะเหรี่ยงเข้ากับประวัติศาสตร์ของชนชาติอื่น ๆ เช่น เมสันซึ่งคาดว่ากะเหรี่ยงคือชนชาติอิสราเอลเผ่าหนึ่งซึ่งหายไปในสมัย 8 ศตวรรษก่อนคริสตกาล ศาสนาจารย์ อี. บี. ครอส เชื่อว่ากะเหรี่ยงเป็นพวกคอเคเซียนจากอินเดีย เดินทางข้ามอ่าวเบงกอลมายังดินแดนสามเหลี่ยมลุ่มน้ำอิรวดี ฯลฯ (หน้า 5) แต่จากงานของ ลูซ และ อาร์. บี. โจนส์ นักภาษาศาสตร์ สรุปได้ว่าพวกกะเหรี่ยงปรากฏตัวครั้งแรกในบริเวณของไทยใหญ่ตอนใต้และตะวันออก จากนั้นจึงอพยพไปทางตะวันตกเข้าสู่ลุ่มน้ำอิรวดีตอนบน และเทือกเขาทางตอนใต้ และได้พบจารึกของพะโค (Pagan) กล่าวถึงพวก Cakraw หรือ Plaw ซึ่งอาจจะเป็นกะเหรี่ยงในช่วง ค.ศ 700 (หน้า 8) หลงัจากนั้นได้พบหลักฐานเกี่ยวกับกะเหรี่ยงอยู่ในหลักฐานประวัติศาสตร์ของพม่าด้วย แต่ไม่ชัดเจนนัก เพราะพม่าไม่ค่อยจดบันทึกเกี่ยวกับวชนชาติกะเหรี่ยงเพราะถือเป็นพวกต่ำต้อย แต่มาพบหลักฐานเกี่ยวกับกะเหรี่ยงมากขึ้นในช่วงปลายคริสตศตวรรษที่ 18 - 19 ซึ่งเป็นช่วงที่ชาวยุโรปและมิชชันนารีอเมริกันเดินทางเข้ามาเผยแพร่ศาสนาคริสต์และจดบันทึกเกี่ยวกับกะเหรี่ยงเอาไว้อย่างละเอียด (หน้า 11) ภายหลังกะเหรี่ยงเริ่มเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ และได้รับการศึกษาแบบใหม่จึงสร้างวรรณกรรมที่เป็นภาษากะเหรี่ยงขึ้นเอง และต่อมาได้ก่อตั้งสมาคมชาติกะเหรี่ยง (Karen National Assoc หรือ KNA) ขึ้นในปี ค.ศ. 1881 ซึ่งกลุ่มนี้ถูกบีบบังคับให้ใช้กำลังต่อสู้กับพม่าภายหลังสงครามระหว่างพม่าและอังกฤษครั้งที่ 3 (ค.ศ. 1884- 1886) เมื่อพม่าแก้แค้นกะเหรี่ยงโดยกล่าวหาว่ากะเหรี่ยงเป็นพวกที่คอยเอาใจอังกฤษ (หน้า 13-14) และเกิดความขัดแย้งกับพม่ามากขึ้นเรื่อย ๆ จนเกิดเป็นเหตุการณ์กบฎ กะเหรี่ยงที่ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน |
|
Demography |
ในเอกสารกล่าวว่า ในขณะที่ทำการศึกษามีกะเหรี่ยงประมาณ 3 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในสหภาพพม่า ในบริเวณลุ่มแม่น้ำอิรวดีตอนใต้ และดินแดนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำสิตตาง กับเทือกเขาพรมแดนไทย-พม่า และในเปกูโยมา ทางตอนกลางของพม่า ส่วนทางภาคเหนือและตะวันตกของไทย มีกะเหรี่ยงอาศัยอยู่ประมาณ 10 % (หน้า 3) |
|
Economy |
กะเหรี่ยงมักเป็นผู้บุกเบิกทำไร่ เพาะปลูกผลผลิต และเก็บหาของป่า นำลงมาขายแก่ชาวพื้นราบ บางส่วนมีการเพาะปลูกข้าวในที่ราบและทำป่าไม้ (หน้า 11- 12) |
|
Political Organization |
การรวมกลุ่มทางการเมืองของกะเหรี่ยงเกิดขึ้นหลังจากที่กะเหรี่ยงส่วนหนึ่งหันมานับถือศาสนาคริสต์และได้รับการศึกษาสูงขึ้น จึงเกิดการรวมกลุ่มกันเป็นสมาคมชาติกะเหรี่ยง (Karen National Assoc. หรือ KNA) มีนโยบายระดับชาติ คือรวมกลุ่มกะเหรี่ยงทุกศาสนาเข้าด้วยกันเพื่อประโยชน์ของชนชาติกะเหรี่ยง ภายหลังสงครามระหว่างอังกฤษและพม่าครั้งที่ ๓ KNA ถูกกดดันจากรัฐบาลทหารพม่าจนต้องใช้กำลังอาวุธ จากนั้นขบวนการชาตินิยมของกะเหรี่ยงก็ยิ่งเข้มแข็งขึ้นและทวีความขัดแย้งกับรัฐบาลพม่ามากขึ้น จนกระทั่งเกิดการเรียกร้องขออำนาจในการปกครองตนเองจากอังกฤษซึ่งปกครองพม่าอยู่ในขณะนั้น ต่อมากะเหรี่ยงบางส่วนได้ผสมกลมกลืนกับวิถีชีวิตแของชาวพม่าและเริ่มรับศาสนาพุทธ กะเหรี่ยงจึงเกิดแตกแยกออกเป็น ๒ กลุ่ม คือกลุ่มชาตินิยมกะเหรี่ยงและกลุ่มชาตินิยมพม่า ซึ่งทั้ง ๒ กลุ่มนี้ยิ่งขัดแย้งกันมากขึ้นในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ และเป็นปัญหาสำคัญจนกระทั่งได้บรรจุเป็นหัวข้อหลักประการหนึ่งในการเจรจาซึ่งนำไปสู่การประกาศอิสรภาพของพม่า แต่การเจรจาดังกล่าวไม่ประสบผลสำเร็จ หลังจากพม่าประกาศอิสรภาพราว ๑ ปี ได้เกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้น เช่น ตำรวจพม่าสังหารหมู่กะเหรี่ยง กองทหารพม่าโจมตีที่อยู่อาศัยของกะเหรี่ยง เป็นต้น ทำให้องค์การป้องกันแห่งชาติกะเหรี่ยง (Karen National Defense Organization) ก่อการกบถขึ้นเพื่อเรียกร้องให้มีรัฐกะเหรี่ยงที่มีอธิปไตยเป็นของตนเองภายนอกสหภาพ พม่า แต่ไม่ประสบความสำเร็จ และกองกำลังกบถกลุ่มนี้ก็ยังคงดำเนินต่อมาจนถึงปัจจุบัน |
|
Belief System |
เดิมกะเหรี่ยงนับถือผี และเปลี่ยนมาเริ่มนับถือศาสนาคริสต์ ในคริสตศตวรรษที่ 19 เพราะเห็นว่าคริสตศาสนาเป็นพาหนะที่จะนำตนหนีไปจากความทุกข์ยาก (หน้า 12) แต่ก็ยังมีกะเหรี่ยงบางกลุ่มที่นับถือพุทธศาสนาหรือนับถือผีอยู่เช่นเดิม (หน้า 15) |
|
Education and Socialization |
กะเหรี่ยงแต่โบราณถูกกีดกันจากการศึกษาเพราะถูกพม่าห้ามบวชเป็นพระ (หน้า 8) แต่เมื่อหันมานับถือศาสนาคริสต์ตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 19 ก็ได้รับการศึกษาแผนใหม่จนสามารถอ่านเขียน และสร้างวรรณกรรมของตนเองขึ้นได้ |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Folklore |
มีตำนานเล่าถึงที่มาของกะเหรี่ยงว่า นานมาแล้วพวกเขาอาศัยอยู่ ณ สถานที่แห่งหนึ่งทางตอนเหนือ มีหัวหน้าคือ ออเมบา ต่อมาออเมบาและลูกชายได้ฆ่าหมูป่าตัวหนึ่ง ซึ่งเขี้ยวของหมูป่าทำให้ทั้งสองมีชีวิตอมตะ เมื่อกะเหรี่ยงมีจำนวนมากขึ้น ออเมบาจึงได้นำผู้อพยพกลุ่มหนึ่งเดินทางลงมาทางใต้จนถึงลุ่มแม่น้ำเซไมยวา พวกเขานำหอยมาต้มเป็นอาหาร ระหว่างรอให้เปลือกหอยนิ่มออเมบาก็เดินทางต่อไปคนเดียวโดยสัญญาว่า จะทำเครื่องหมายบอกทางเอาไว้ให้ ชาวจีนกลุ่มหนึ่งเดินทางผ่านมาจึงแนะนำให้กะเหรี่ยงกินเนื้อหอย เมื่อกินอาหารเรียบร้อยแล้วกะเหรี่ยงก็รีบเดินทางตามออเมบาไป แต่ป่าไม้งอกเงยปกคลุมร่องรอยของออเมบาจนหมด กะเหรี่ยงจึงพลัดหลงจากหัวหน้าของพวกเขาตั้งแต่นั้นมา พวกกะเหรี่ยงจึงได้เลือกหัวหน้าคนใหม่และออกเดินทางมาจนถึงบริเวณแม่น้ำปิงใกล้เมืองเชียงใหม่ปัจจุบัน แต่พวกไทก็ได้ครอบครองดินแดนนั้นเสียแล้ว กะเหรี่ยงจึงสาบแช่งพวกไทให้ต้องอยู่ใต้อิทธิพลของชาติอื่นแล้วอพยพล่าถอยไปอยู่ตามภูเขาใกล้เคียงและบางส่วนอพยพลงไปทางใต้ตามแนวคาบสมุทรมลายู ตำนานอีกเรื่องหนึ่งเล่าถึงการรู้หนังสือของกะเหรี่ยงว่า หลังจากที่กะเหรี่ยงลงมาอาศัยในดิน แดนเดียวกับชาวพม่าและไทแล้ว กะเหรี่ยงคนหนึ่งและน้องชาย ๒ คน คือ พม่าและฝรั่ง ได้เดินทางไปยังดินแดนแห่งยวา (คือพระเจ้า) ยวาได้มอบคัมภีร์แก่พวกเขา ๓ เล่ม โดยมอบคัมภีร์ทองให้แก่ฝรั่ง คัมภีร์เงินแก่พม่า และคัมภีร์กระดาษแก่กะเหรี่ยง ระหว่างเดินทางกลับบ้าน กะเหรี่ยงได้วางคัมภีร์กระดาษไว้บนตอไม้ในไร่ที่เพิ่งแผ้วถาง คัมภีร์จึงไหม้ไฟจนหมด และไก่ได้กินเถ้าถ่านจากคัมภีร์นั้น นับจากนั้นกะเหรี่ยงจึงต้องอาศัยความรอบรู้จากการทำนายกระดูกไก่ ในขณะที่ไทและฝรั่งอาศัยอาศัยความรู้จากคัมภีร์ทองและเงินจึงเจริญรุ่งเรืองกว่ากะเหรี่ยง |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
กะเหรี่ยงในพม่ามีความพยายามที่จะรักษาเอกลักษณ์ของชนชาติตนเองไว้เป็นอย่างมากจนเกิดเป็นขบวนการชาตินิยมที่ต่อสู้กับรัฐบาลพม่ามาจนปัจจุบัน จึงน่าจะยังรักษาเอกลักษณ์ของตนเองเอาไว้หลายประการ เช่น การตีกลองกบ (หน้า 12) แต่ในงานชิ้นนี้เน้นถึงแต่เพียงการใช้ภาษาไว้เท่านั้น |
|
Social Cultural and Identity Change |
เดิมทีนั้น ชาวตะวันตกบันทึกถึงกะเหรี่ยงเอาไว้ว่าเป็นพวกที่ "รู้จักประมาณตน ขยันขันแข็ง และรักสันติ" (หน้า 12) และเป็นผู้ล่าถอยจากการโจมตีจากภายนอกมาโดยตลอด (หน้า 10) แต่เมื่อถูกกดขี่จากทหารพม่ามากขึ้นและได้รับอาวุธจากอังกฤษในช่วงสงครามระหว่างพม่าและอังกฤษครั้งที่ 3 (ค.ศ. 1884 - 1886) ทำให้กะเหรี่ยงกล้าต่อสู้โดยใช้กำลังกับพม่าและเกิดเป็นกบฎกะเหรี่ยงต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน (หน้า 14) |
|
|