สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),ประวัติศาสตร์,พม่า
Author ราญ ฤนาท
Title การศึกษาประวัติศาสตร์กะเหรี่ยง
Document Type บทความ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ปกาเกอะญอ, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 18 Year 2523
Source มหาวิทยาลัยพายัพ
Abstract

เนื้อหาหลักเน้นที่ประวัติศาสตร์และการศึกษาประวัติศาสตร์ของชนชาติกะเหรี่ยง ซึ่งยังคงคลุมเครือในช่วงต้น ขาดความต่อเนื่องชัดเจน และหยุดชะงักไปในปัจจุบันเพราะปัญหาความขัดแย้งกับรัฐบาลพม่า

Focus

การศึกษาประวัติศาสตร์การอพยพของกะเหรี่ยงและการก่อตัวเป็นรัฐกะเหรี่ยงที่ขัดแย้งกับพม่าอยู่ในปัจจุบัน

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

ชาติพันธุ์ที่ทำการศึกษานี้คือ กะเหรี่ยง ซึ่งแบ่งออกได้เป็น ๒ กลุ่มหลัก คือ สะกอ (Sgaw) และ โปว์ (Pwo) และแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยเล็ก ๆ อีก เช่น พวกคะยา อาศัยอยู่ในรัฐคะยาของพม่าและจังหวัดแม่ฮ่องสอนของไทย ปะโอหรือต้องสู้ (หน้า 3)

Language and Linguistic Affiliations

ภาษากะเหรี่ยงไม่สามารถเชื่อมโยงกับตระกูลภาษาตระกูลใดตระกูลหนึ่งได้อย่างแน่นอน นักภาษาศาสตร์จึงได้จัดกลุ่มให้กับภาษากะเหรี่ยงต่างกันออกไป เช่น Tai-Chinese หรือคล้ายภาษาตระกูลไทอิสระ และ Tiberto-Burman (หน้า 7) อักษรภาษากะเหรี่ยงนั้น เริ่มปรากฏขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1832 เมื่อโจนาธาน เวด (Jonathan Wade) มิชชันนารีอเมริกันคิดประดิษฐ์แบบการเขียนภาษากะเหรี่ยงขึ้นโดยใช้ภาษาสะกอเป็นหลัก (หน้า 5)

Study Period (Data Collection)

ไม่ระบุ

History of the Group and Community

กะเหรี่ยงรู้จักความเป็นมาของตนเองจากตำนานมุขปาฐะของตนเองหลายเรื่อง เช่น เรื่องออเมบา ผู้นำกะเหรี่ยงที่นำพวกเขาอพยพลงมาทางใต้ และเรื่องยวาซึ่งเล่าว่าพวกเขาสูญเสียโอกาสที่จะเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่ (หน้า 1-2) แต่ประวัติศาสตร์ของกะเหรี่ยงก็เล่าขานถึงเรื่องในอดีตที่ยาวนานเกินไปและขาดหายเป็นห้วง ๆ และเป็นสาเหตุให้มีการค้นหาและเชื่อมโยงกะเหรี่ยงเข้ากับประวัติศาสตร์ของชนชาติอื่น ๆ เช่น เมสันซึ่งคาดว่ากะเหรี่ยงคือชนชาติอิสราเอลเผ่าหนึ่งซึ่งหายไปในสมัย 8 ศตวรรษก่อนคริสตกาล ศาสนาจารย์ อี. บี. ครอส เชื่อว่ากะเหรี่ยงเป็นพวกคอเคเซียนจากอินเดีย เดินทางข้ามอ่าวเบงกอลมายังดินแดนสามเหลี่ยมลุ่มน้ำอิรวดี ฯลฯ (หน้า 5) แต่จากงานของ ลูซ และ อาร์. บี. โจนส์ นักภาษาศาสตร์ สรุปได้ว่าพวกกะเหรี่ยงปรากฏตัวครั้งแรกในบริเวณของไทยใหญ่ตอนใต้และตะวันออก จากนั้นจึงอพยพไปทางตะวันตกเข้าสู่ลุ่มน้ำอิรวดีตอนบน และเทือกเขาทางตอนใต้ และได้พบจารึกของพะโค (Pagan) กล่าวถึงพวก Cakraw หรือ Plaw ซึ่งอาจจะเป็นกะเหรี่ยงในช่วง ค.ศ 700 (หน้า 8) หลงัจากนั้นได้พบหลักฐานเกี่ยวกับกะเหรี่ยงอยู่ในหลักฐานประวัติศาสตร์ของพม่าด้วย แต่ไม่ชัดเจนนัก เพราะพม่าไม่ค่อยจดบันทึกเกี่ยวกับวชนชาติกะเหรี่ยงเพราะถือเป็นพวกต่ำต้อย แต่มาพบหลักฐานเกี่ยวกับกะเหรี่ยงมากขึ้นในช่วงปลายคริสตศตวรรษที่ 18 - 19 ซึ่งเป็นช่วงที่ชาวยุโรปและมิชชันนารีอเมริกันเดินทางเข้ามาเผยแพร่ศาสนาคริสต์และจดบันทึกเกี่ยวกับกะเหรี่ยงเอาไว้อย่างละเอียด (หน้า 11) ภายหลังกะเหรี่ยงเริ่มเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ และได้รับการศึกษาแบบใหม่จึงสร้างวรรณกรรมที่เป็นภาษากะเหรี่ยงขึ้นเอง และต่อมาได้ก่อตั้งสมาคมชาติกะเหรี่ยง (Karen National Assoc หรือ KNA) ขึ้นในปี ค.ศ. 1881 ซึ่งกลุ่มนี้ถูกบีบบังคับให้ใช้กำลังต่อสู้กับพม่าภายหลังสงครามระหว่างพม่าและอังกฤษครั้งที่ 3 (ค.ศ. 1884- 1886) เมื่อพม่าแก้แค้นกะเหรี่ยงโดยกล่าวหาว่ากะเหรี่ยงเป็นพวกที่คอยเอาใจอังกฤษ (หน้า 13-14) และเกิดความขัดแย้งกับพม่ามากขึ้นเรื่อย ๆ จนเกิดเป็นเหตุการณ์กบฎ กะเหรี่ยงที่ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

Settlement Pattern

ไม่ระบุ

Demography

ในเอกสารกล่าวว่า ในขณะที่ทำการศึกษามีกะเหรี่ยงประมาณ 3 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในสหภาพพม่า ในบริเวณลุ่มแม่น้ำอิรวดีตอนใต้ และดินแดนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำสิตตาง กับเทือกเขาพรมแดนไทย-พม่า และในเปกูโยมา ทางตอนกลางของพม่า ส่วนทางภาคเหนือและตะวันตกของไทย มีกะเหรี่ยงอาศัยอยู่ประมาณ 10 % (หน้า 3)

Economy

กะเหรี่ยงมักเป็นผู้บุกเบิกทำไร่ เพาะปลูกผลผลิต และเก็บหาของป่า นำลงมาขายแก่ชาวพื้นราบ บางส่วนมีการเพาะปลูกข้าวในที่ราบและทำป่าไม้ (หน้า 11- 12)

Social Organization

ไม่มีข้อมูล

Political Organization

การรวมกลุ่มทางการเมืองของกะเหรี่ยงเกิดขึ้นหลังจากที่กะเหรี่ยงส่วนหนึ่งหันมานับถือศาสนาคริสต์และได้รับการศึกษาสูงขึ้น จึงเกิดการรวมกลุ่มกันเป็นสมาคมชาติกะเหรี่ยง (Karen National Assoc. หรือ KNA) มีนโยบายระดับชาติ คือรวมกลุ่มกะเหรี่ยงทุกศาสนาเข้าด้วยกันเพื่อประโยชน์ของชนชาติกะเหรี่ยง ภายหลังสงครามระหว่างอังกฤษและพม่าครั้งที่ ๓ KNA ถูกกดดันจากรัฐบาลทหารพม่าจนต้องใช้กำลังอาวุธ จากนั้นขบวนการชาตินิยมของกะเหรี่ยงก็ยิ่งเข้มแข็งขึ้นและทวีความขัดแย้งกับรัฐบาลพม่ามากขึ้น จนกระทั่งเกิดการเรียกร้องขออำนาจในการปกครองตนเองจากอังกฤษซึ่งปกครองพม่าอยู่ในขณะนั้น ต่อมากะเหรี่ยงบางส่วนได้ผสมกลมกลืนกับวิถีชีวิตแของชาวพม่าและเริ่มรับศาสนาพุทธ กะเหรี่ยงจึงเกิดแตกแยกออกเป็น ๒ กลุ่ม คือกลุ่มชาตินิยมกะเหรี่ยงและกลุ่มชาตินิยมพม่า ซึ่งทั้ง ๒ กลุ่มนี้ยิ่งขัดแย้งกันมากขึ้นในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ และเป็นปัญหาสำคัญจนกระทั่งได้บรรจุเป็นหัวข้อหลักประการหนึ่งในการเจรจาซึ่งนำไปสู่การประกาศอิสรภาพของพม่า แต่การเจรจาดังกล่าวไม่ประสบผลสำเร็จ หลังจากพม่าประกาศอิสรภาพราว ๑ ปี ได้เกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้น เช่น ตำรวจพม่าสังหารหมู่กะเหรี่ยง กองทหารพม่าโจมตีที่อยู่อาศัยของกะเหรี่ยง เป็นต้น ทำให้องค์การป้องกันแห่งชาติกะเหรี่ยง (Karen National Defense Organization) ก่อการกบถขึ้นเพื่อเรียกร้องให้มีรัฐกะเหรี่ยงที่มีอธิปไตยเป็นของตนเองภายนอกสหภาพ พม่า แต่ไม่ประสบความสำเร็จ และกองกำลังกบถกลุ่มนี้ก็ยังคงดำเนินต่อมาจนถึงปัจจุบัน

Belief System

เดิมกะเหรี่ยงนับถือผี และเปลี่ยนมาเริ่มนับถือศาสนาคริสต์ ในคริสตศตวรรษที่ 19 เพราะเห็นว่าคริสตศาสนาเป็นพาหนะที่จะนำตนหนีไปจากความทุกข์ยาก (หน้า 12) แต่ก็ยังมีกะเหรี่ยงบางกลุ่มที่นับถือพุทธศาสนาหรือนับถือผีอยู่เช่นเดิม (หน้า 15)

Education and Socialization

กะเหรี่ยงแต่โบราณถูกกีดกันจากการศึกษาเพราะถูกพม่าห้ามบวชเป็นพระ (หน้า 8) แต่เมื่อหันมานับถือศาสนาคริสต์ตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 19 ก็ได้รับการศึกษาแผนใหม่จนสามารถอ่านเขียน และสร้างวรรณกรรมของตนเองขึ้นได้

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีข้อมูล

Folklore

มีตำนานเล่าถึงที่มาของกะเหรี่ยงว่า นานมาแล้วพวกเขาอาศัยอยู่ ณ สถานที่แห่งหนึ่งทางตอนเหนือ มีหัวหน้าคือ ออเมบา ต่อมาออเมบาและลูกชายได้ฆ่าหมูป่าตัวหนึ่ง ซึ่งเขี้ยวของหมูป่าทำให้ทั้งสองมีชีวิตอมตะ เมื่อกะเหรี่ยงมีจำนวนมากขึ้น ออเมบาจึงได้นำผู้อพยพกลุ่มหนึ่งเดินทางลงมาทางใต้จนถึงลุ่มแม่น้ำเซไมยวา พวกเขานำหอยมาต้มเป็นอาหาร ระหว่างรอให้เปลือกหอยนิ่มออเมบาก็เดินทางต่อไปคนเดียวโดยสัญญาว่า จะทำเครื่องหมายบอกทางเอาไว้ให้ ชาวจีนกลุ่มหนึ่งเดินทางผ่านมาจึงแนะนำให้กะเหรี่ยงกินเนื้อหอย เมื่อกินอาหารเรียบร้อยแล้วกะเหรี่ยงก็รีบเดินทางตามออเมบาไป แต่ป่าไม้งอกเงยปกคลุมร่องรอยของออเมบาจนหมด กะเหรี่ยงจึงพลัดหลงจากหัวหน้าของพวกเขาตั้งแต่นั้นมา พวกกะเหรี่ยงจึงได้เลือกหัวหน้าคนใหม่และออกเดินทางมาจนถึงบริเวณแม่น้ำปิงใกล้เมืองเชียงใหม่ปัจจุบัน แต่พวกไทก็ได้ครอบครองดินแดนนั้นเสียแล้ว กะเหรี่ยงจึงสาบแช่งพวกไทให้ต้องอยู่ใต้อิทธิพลของชาติอื่นแล้วอพยพล่าถอยไปอยู่ตามภูเขาใกล้เคียงและบางส่วนอพยพลงไปทางใต้ตามแนวคาบสมุทรมลายู ตำนานอีกเรื่องหนึ่งเล่าถึงการรู้หนังสือของกะเหรี่ยงว่า หลังจากที่กะเหรี่ยงลงมาอาศัยในดิน แดนเดียวกับชาวพม่าและไทแล้ว กะเหรี่ยงคนหนึ่งและน้องชาย ๒ คน คือ พม่าและฝรั่ง ได้เดินทางไปยังดินแดนแห่งยวา (คือพระเจ้า) ยวาได้มอบคัมภีร์แก่พวกเขา ๓ เล่ม โดยมอบคัมภีร์ทองให้แก่ฝรั่ง คัมภีร์เงินแก่พม่า และคัมภีร์กระดาษแก่กะเหรี่ยง ระหว่างเดินทางกลับบ้าน กะเหรี่ยงได้วางคัมภีร์กระดาษไว้บนตอไม้ในไร่ที่เพิ่งแผ้วถาง คัมภีร์จึงไหม้ไฟจนหมด และไก่ได้กินเถ้าถ่านจากคัมภีร์นั้น นับจากนั้นกะเหรี่ยงจึงต้องอาศัยความรอบรู้จากการทำนายกระดูกไก่ ในขณะที่ไทและฝรั่งอาศัยอาศัยความรู้จากคัมภีร์ทองและเงินจึงเจริญรุ่งเรืองกว่ากะเหรี่ยง

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

กะเหรี่ยงในพม่ามีความพยายามที่จะรักษาเอกลักษณ์ของชนชาติตนเองไว้เป็นอย่างมากจนเกิดเป็นขบวนการชาตินิยมที่ต่อสู้กับรัฐบาลพม่ามาจนปัจจุบัน จึงน่าจะยังรักษาเอกลักษณ์ของตนเองเอาไว้หลายประการ เช่น การตีกลองกบ (หน้า 12) แต่ในงานชิ้นนี้เน้นถึงแต่เพียงการใช้ภาษาไว้เท่านั้น

Social Cultural and Identity Change

เดิมทีนั้น ชาวตะวันตกบันทึกถึงกะเหรี่ยงเอาไว้ว่าเป็นพวกที่ "รู้จักประมาณตน ขยันขันแข็ง และรักสันติ" (หน้า 12) และเป็นผู้ล่าถอยจากการโจมตีจากภายนอกมาโดยตลอด (หน้า 10) แต่เมื่อถูกกดขี่จากทหารพม่ามากขึ้นและได้รับอาวุธจากอังกฤษในช่วงสงครามระหว่างพม่าและอังกฤษครั้งที่ 3 (ค.ศ. 1884 - 1886) ทำให้กะเหรี่ยงกล้าต่อสู้โดยใช้กำลังกับพม่าและเกิดเป็นกบฎกะเหรี่ยงต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน (หน้า 14)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

ไม่มี

Text Analyst นุชจรี ใจเก่ง Date of Report 11 เม.ย 2556
TAG ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง), ประวัติศาสตร์, พม่า, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง