|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
กูย,บ้านเวิน,วิถีชีวิต,ศรีสะเกษ |
Author |
มณีวรรณ บัวจูม |
Title |
วิถีชีวิตของชาวบ้านเวิน ตำบลโนนศรีงาม อำเภอศรีรัตนะ จังหวัดศรีสะเกษ |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
กูย กุย กวย โกย โก็ย,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic) |
Location of
Documents |
สำนักวิทยบริการ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
114 |
Year |
2539 |
Source |
หลักสูตรปริญญามหาบัณฑิต สาขาวิชาไทยคดีศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาสารคาม |
Abstract |
งานชิ้นนี้ศึกษาวิถีการดำเนินชีวิตของชาวบ้านเวิน ตำบลโนนศรีงาม อำเภอศรีรัตนะ จังหวัดศรีสะเกษ ในด้านปัจจัยหลักของการดำเนินชีวิตได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค ตลอดจนโครงสร้างทางสังคม บรรทัดฐาน ค่านิยม เศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง ความเชื่อ ศาสนา และประเพณี พิธีกรรมต่างๆ ซึ่งจะทำให้ทราบถึงวัฒนธรรมของแต่ละกลุ่มชนที่ได้รับตกทอดมาจากบรรพบุรุษที่สืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน |
|
Focus |
วิถีในการดำเนินชีวิตของชาวบ้านเวิน ตำบลโนนศรีงาม อำเภอศรีรัตนะ จังหวัดศรีสะเกษ ในด้านปัจจัยหลักของการดำเนินชีวิตได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค ตลอดจนโครงสร้างทางสังคม บรรทัดฐาน ค่านิยม เศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง ความเชื่อ ศาสนา และประเพณี พิธีกรรม (หน้า 110) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มชาติพันธุ์ที่ผู้วิจัยทำการศึกษานี้ได้แก่ ชาวบ้านในหมู่บ้านเวินซึ่งประกอบไปด้วย กลุ่มชาติพันธุ์ไทยลาว 25% ,เขมร 30% ,ส่วย 45% (หน้า110) โดยกลุ่มชาติพันธุ์ทั้ง 3 กลุ่มนี้ได้อพยพจากพื้นที่ต่าง ๆ มารวมกันจัดตั้งเป็นหมู่บ้านขึ้นประมาณ 100 ปีที่ผ่านมา (หน้า 3) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
ผู้วิจัยทำการศึกษาค้นคว้าและเก็บข้อมูลตั้งแต่เดือนเมษายน 2536 - เดือนมกราคม 2539 โดยเก็บรวบรวมทั้งด้านเอกสาร ออกภาคสนาม สัมภาษณ์ และนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ตามจุดมุ่งหมายของการศึกษา และนำเสนอผลการศึกษาค้นคว้าในแบบ พรรณาวิเคราะห์ (หน้า 5-8) |
|
History of the Group and Community |
จากการสัมภาษณ์ในการเก็บข้อมูลภาคสนามทำให้ทราบ ถึงประวัติความเป็นมาของหมู่บ้านเวินโดยแบ่งเป็น 3 กระแส ดังนี้ 1.ชื่อบ้านเวิน เป็น "ชื่อของช้าง" ของส่วยซึ่งได้ตกบ่อน้ำตายจึงตั้งชื่อว่า "บ้านเวิน" 2.ชื่อบ้านเวิน เป็น "ชื่อของยาย" ชึ่งอพยพมาตั้งบ้านเรือนอยู่เป็นคนแรก โดยเป็นพื้นที่ที่ติดกับลำห้วยและมีความอุดมสมบูรณ์ดี 3.ชื่อบ้านเวิน มาจากสภาพภูมิประเทศที่ล้อมรอบไปด้วยน้ำ บ้านเวินนี้ก่อตั้งขึ้นมาเกือบร้อยปีแล้วโดยที่มาของชื่อ "บ้านเวิน" น่าจะมาจากกระแสที่ 2 และ 3 เพราะคำว่า เวิน ในภาษาอีสาน (เวิง,วังเวิน,วังวน) แปลว่า "น้ำวน" (หน้า 19) |
|
Settlement Pattern |
ชาวบ้านเวินที่อพยพมาอยู่รุ่นแรก ๆ จะตั้งบ้านเรือนเรียงรายไปตามริมหนองน้ำ (ห้วยทา) และกระจัดกระจายออกมาบริเวณกลางหมู่บ้าน ภายในหมู่บ้านมีถนนเส้นเดียวสั้นๆ และมีทางเดินซึ่งคดเคี้ยวไปตามที่ตั้งของตัวบ้านและไม่มีรั้วปัก/กั้นเขตบ้านกันขึ้น (หน้า 20) การสร้างบ้านนั้นสร้างเพื่ออยู่อาศัยและสนองประโยชน์ใช้สอย มีความแข็งแรง มั่นคง พอที่จะรอดพ้นจากภัยธรรมชาติได้ (ดูรูปหน้า 37,38,39) สร้างแบบง่าย ๆ ไม่มีฮางริน (รางรองน้ำฝน) ไม่ประณีต ไม่เน้นความสวยงาม ไม่ใหญ่แต่เป็นเนื้อที่ใช้สอยเกือบทุกตารางนิ้ว แบ่งเป็น 1.พื้นที่บริเวณรอบบ้านเรือน ก่อนที่จะสร้างบ้านนั้นจะมีพิธีกรรมและการหาฤกษ์ยามที่ดีในการยกเสา (ลงเสา) ปลูกบ้าน เลือกไม้ทำเสาบ้าน และการดูดินก่อนการปลูกบ้าน (หน้า 34-36) นิยมให้บ้านหันหน้าไปทางทิศตะวันออก (อากาศแสงแดดอบอุ่นยามเช้า) และทิศเหนือ (อยู่เหนือผู้อื่น) (หน้า 36) 2.สิ่งปลูกสร้างภายในบริเวณ มีลักษณะเป็นบ้านไม้ ยกเสาสูงประมาณ 2-2.50 ม.ภายในตัวเรือนจะกั้นระหว่างห้องนอนใหญ่และเรือนครัว โดยจะไม่กั้นภายในห้อนนอนอีก สมาชิกในครอบครัวจะนอนรวมกัน ภายนอกบ้านจะมีประตูเดียว ไม่มีหน้าต่าง (หน้า 36) ใต้ถุนบ้านจะเป็นที่นั่งเล่นและเลี้ยงสัตว์ (หน้า37) 3.อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ (เล้าข้าว,ยุ้งข้าว) สร้างแยกออกจากเรือนนอน ยกพื้นสูงเพื่อกันน้ำท่วมและความชื้น (หน้า 40) |
|
Demography |
จากการเก็บข้อมูลภาคสนามของผู้วิจัยในช่วงเดือนเมษายน พ.ศ.2536 พบว่าหมู่บ้านเวินมีบ้านเรือนจำนวน 47 หลังคาเรือน มีประชากรทั้งสิ้น 200 คน เป็นชาย 97 คน หญิง 103 คน ประกอบไปด้วย 3 กลุ่มชาติพันธุ์ คือ ไทยส่วย 45% ไทยเขมร 30% และไทยลาว 25% (หน้า 23) |
|
Economy |
อาชีพหลักของชาวบ้านเวิน คือ เกษตรกรรม ได้แก่ ทำนา ข้าว พืชผัก โดยได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษรุ่นแรกที่อพยพมาจากหมู่บ้านอื่น การทำนานี้เป็นหน้าที่ของสมาชิกทุกคนในครอบครัวซึ่งแต่เช้ามืดพ่อจะเป็นคนไปไถนา แม่บ้านก็จะเตรียมหาอาหารและออกไปพร้อมกับสมาชิกในครอบครัวด้วย (หน้า 66-67) การทำนาโดยการลงแขกเป็นการเชิญชวนญาติพี่น้องหรือคนในหมู่บ้านให้มาช่วยทำนา (การบอกแขก) เจ้าบ้านจะเตรียมอาหารพิเศษ 3 มื้อไว้เลี้ยงแขก เมื่อเสร็จงานเจ้าของบ้านก็จะกลับไปช่วยลงแขกให้คนที่มาช่วยงานแล้วแต่ว่าจะให้ไปช่วยอะไร (หน้า 71, ดูรูปหน้า 67-70) การเลี้ยงสัตว์ไว้ใช้งาน เลี้ยงเป็นอาหาร เลี้ยงเพื่อใช้ในการประกอบพิธีกรรม และเลี้ยงเพื่อเป็นรายได้เสริม ได้แก่ - การเลี้ยงควายเพื่อใช้ทำนาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย (ครอบครัวละประมาณ 3-4 ตัว) - การเลี้ยงหมู แต่ละครอบครัวจะเลี้ยงประมาณ 1-2 ตัว แบ่งเป็นการเลี้ยงเพื่อบริโภคและประกอบพิธีกรรม เช่น พิธีกรรมผีฟ้า ผีแถน ปรับไหม ตลอดจนงานแต่งงาน งานบวช งานศพ โดยเลี้ยงแบบไม่กั้นคอก แต่ใช้เชือกผูกคอหมูไปผูกไว้บริเวณร่มไม้รอบตัวบ้านหรือผูกไว้ใต้ถุนบ้าน พันธุ์ที่นิยมเลี้ยงคือ พันธุ์พื้นเมือง (ตัวเล็ก สีดำหรือสีน้ำตาล) (ดูรูปหน้า 74) - การเลี้ยงเป็ดเพื่อการบริโภค โดยจะเลี้ยงไว้ตามบริเวณริมห้วยทาซึ่งใช้ตาข่ายกั้นคอกเป็ด ซึ่งจะแบ่งบางส่วนอยู่ในน้ำและบางส่วนอยู่บนบก (ดูรูปหน้า 75) - การเลี้ยงไก่ ชาวบ้านเวินเลี้ยงไก่มาตั้งแต่สมัยอดีต โดยนิยมเลี้ยงไก่พันธุ์พื้นเมืองซึ่งเลี้ยงไว้เพื่อบริโภคในครัวเรือน และใช้ในพิธีกรรมการเซ่นไหว้ต่าง ๆ - การเลี้ยงกบ เลี้ยงโดยวิธีธรรมชาติโดยเลี้ยงล้อมไว้ในตาข่ายใกล้บ้านที่ดินมีน้ำขังพอประมาณ แล้วขุดพรวนดิน (ดูรูปหน้า 77) - การเลี้ยงปลา ปลาที่เลี้ยงเป็นปลาที่ได้จากธรรมชาติตามท้องนาและห้วยทา การจับปลาจะใช้มอง เบ็ด แห ลอม ไซ ข้อง สวิง และขุดหลุมล่อปลา ต่อมาจึงใช้แบตเตอรี่ (1 อัน ต่อ 4-5 หลังคาเรือน) การจับปลานี้จับเพื่อการบริโภค ไม่ได้จับไว้เพื่อขายเพราะชาวบ้านเวินนั้นอยู่รวมกันแบบระบบเครือญาติที่แบ่งปันกัน (ดูรูปหน้า 79-82) ปัจจุบันสภาพเศรษฐกิจของชาวบ้านเวิน ส่วนใหญ่ได้แก่ การทำนา เลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่ และจับปลา โดยมีพ่อค้าจากบ้านตาเหมาไปซื้อเป็นครั้งคราว และการรับจ้างทำนาในหมู่บ้านใกล้เคียง (หน้า 73-82) |
|
Social Organization |
บ้านเวินเกิดจากการอพยพมาอยู่รวมกันของประชากร 3 กลุ่มชาติพันธุ์ที่มีความแตกต่างกันคือ ไทยลาว ส่วย เขมร โดยเริ่ม จากครอบครัวเล็กๆ ประกอบด้วย พ่อ-แม่-ลูก เมื่ออยู่ร่วมกันเป็นเวลานานก็เกิดการผสมผสานกันขึ้นในระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ ทำให้มีลักษณะทางสังคมและวัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกันมากขึ้น สมาชิกในครอบครัวของส่วยและเขมรนั้นเมื่ออยู่ในวัยที่จะมีครอบครัวได้ ก็จะแต่งงานและแยกครอบครัวมาสร้างครอบครัวใหม่ (แต่ก็ยังแบ่งปันอาหารและดูแลครอบครัวยามเจ็บป่วย หากมีกิจกรรมใดๆ ก็จะมาเข้าร่วมด้วย) ภายหลังเมื่อมีความพร้อมจึงแยกออกมาสร้างครอบครัวใหม่ (การออกเรือน) ฝ่ายชายจะเรียกพ่อแม่ฝ่ายหญิงว่าพ่อแม่ และฝ่ายหญิงจะเรียกพ่อแม่ฝ่ายชายว่าพ่อปู่แม่ย่าหรือปู่ย่า โดยฝ่ายหญิงจะให้ความนับถือญาติฝ่ายชายมาก โดยเฉพาะกลุ่มไทยลาวนั้นลูกสะใภ้จะใช้คำเรียกแทนตัวเองว่า "กะบาท" แสดงให้เห็นถึงการอ่อนน้อมถ่อมตนต่อพ่อแม่ฝ่ายชายเป็นที่สุด สถาบันครอบครัวของ 3 กลุ่มชาติพันธุ์นี้มีความคล้ายคลึงกัน คือ เมื่อแต่งงานแล้วก็จะแยกบ้านทันทีและการให้ความสำคัญกับผู้นำในครอบครัวคือพ่อซึ่งเปรียบเสมือนเทวดาและผู้หาเลี้ยงครอบครัว รองลงมา คือแม่ที่อบรมเลี้ยงดูมา และยังเป็นผู้นำในการประกอบพิธีกรรม เช่น ผีแถน ผีมด (หน้า 60-61) |
|
Political Organization |
ก่อน พ.ศ.2536 ลักษณะการปกครองในหมู่บ้านเวินเป็นแบบการปกครองกันเอง ไม่มีผู้ปกครองหรือผู้นำที่ได้รับการแต่งตั้งจากองค์กรของรัฐ ซึ่งผู้ปกครองหรือผู้นำนั้นจะเป็นคนที่ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือ หรือเป็นผู้อาวุโสโดยอาศัยจารีตประเพณีเป็นข้อบังคับ ผู้ปกครองหรือผู้นำในหมู่บ้านมีบทบาทหน้าที่ในการปกครองชาวบ้านให้มีชีวิตอยู่อย่างปกติสุข ลดความขัดแย้ง และเป็นผู้เจรจาไกล่เกลี่ยเมื่อเกิดปัญหา ต่อมาในพ.ศ.2536 เมื่อทางอำเภอศรีรัตนะได้รับรู้เรื่องนี้จากทางหนังสือพิมพ์จึงเข้าไปแต่งตั้งให้นายอำนวย ทวี ซึ่งเป็นที่รู้จักของทางอำเภอเป็นผู้ใหญ่บ้านชั่วคราว (หน้า 83) ผู้นำของหมู่บ้านมี 2 ลักษณะ คือ (1) ผู้นำที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ (2) ผู้นำไม่เป็นทางการซึ่งเกิดจากการสั่งสมความเคารพนับถือ ศรัทธา เลื่อมใสที่เกิดจากชาติตระกูลและความเชื่อมาเป็นเวลานาน เช่น ผู้นำด้านขนบธรรมเนียมประเพณี ผู้นำด้านพิธีกรรม ผู้นำด้านสาธารณสุข ผู้นำด้านเศรษฐกิจ ผู้นำด้านทางสังคม ปัจจุบันชาวบ้านเวินยังนับถือผู้นำที่ไม่เป็นทางการอยู่ แม้ว่าจะมีหน่วยงานจากองค์กรของรัฐเข้ามามีบทบาทในการแต่งตั้งผู้นำอย่างเป็นทางการก็ตาม (หน้า 84) |
|
Belief System |
ชาวบ้านเวินมีความเชื่อในสิ่งที่เหนือธรรมชาติโดยเชื่อว่าการเจ็บป่วยนั้นเกิดจากการกระทำที่ไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นที่พอใจของภูติผีหรือวิญญาณ จึงบันดาลให้เกิดการเจ็บป่วยขึ้น นอกจากนี้ ชาวบ้านเวินยังมีการนับถือศาสนาพุทธด้วย โดยความเชื่อในเรื่องที่เกี่ยวกับศาสนาที่ได้ปลูกฝังนี้จะถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษที่อพยพมาอยู่ที่บ้านเวิน ซึ่งเป็นความเชื่อที่ถือปฏิบัติแล้วจะเกิดความมั่นคงและความสงบสุขขึ้น โดยศูนย์กลางในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนานั้นคือ ศาลาเอนกประสงค์ที่ชาวบ้านเวินร่วมกันสร้างขึ้นแทนวัด แม้ว่าที่บ้านเวินจะไม่มีพระแต่ก็สามารถไปนิมนต์พระในหมู่บ้านใกล้เคียงมาทำพิธีทางศาสนาให้ได้ (หน้า 103-104, 113, ดูรูปหน้า 103) ความเชื่อ : ความเชื่อของชาวบ้านเวินแบ่งเป็น ความเชื่อเกี่ยวกับอาหาร ยารักษาโรค ที่อยู่อาศัย และเครื่องมือเครื่องใช้ และความเชื่อเกี่ยวกับบุคคล ธรรมชาติ สิ่งเหนือธรรมชาติ ความเชื่อเกี่ยวกับอาหาร - ได้แก่ "อาหารขะลำ" (อาการที่ร่างกายอยู่ในภาวะไม่ปกติ อาหารที่ทานเข้าไปอาจเกิดพิษต่อร่างกาย) การเกิดขะลำเกิดขึ้นได้ใน 4 สภาวะ ของร่างกายมนุษย์ คือ วัยเด็ก หญิงตั้งครรภ์ หยิงแม่ลูกอ่อน และผู้ป่วย - อาหารขะลำของเด็ก : ต้องดูแลเป็นพิเศษเพราะร่างกายกำลังเจริญเติบโต เช่น ห้ามทานไตเป็ด ไก่ จะทำให้โง่ สมองทึบ ห้ามทานหอยโข่ง (ตา) จะทำให้ปวดหัว ฯลฯ - อาหารขะลำของหญิงตั้งครรภ์ : อาหารที่หญิงตั้งครรภ์ทานจะส่งผลต่อเด็กทารกที่อยู่ในท้องด้วย และส่งผลถึงตัวเองหลังจากคลอดลูกภายหลัง เช่น ห้ามทานเนื้อมะพร้าวอ่อน จะทำให้เด็กมีไขมันติดตามตัวมาก ฯลฯ - อาหารขะลำของหญิงแม่ลูกอ่อน : ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษเพราะร่างกายต้องผลิตน้ำนมในการเลี้ยงลูกและอาจเกิดอาการ "ผิดกะบูน" ทำให้มดลูกไม่เข้าอู่ เช่น ห้ามทานผักชะอม หมากกระถิน ปลาดุก หนูนา เผือก หน่อไม้ อาหารทะเล เป็นต้น - อาหารขะลำสำหรับผู้ป่วย : อาหารมีผลทำให้อาการเจ็บป่วยนั้นทุเลาหรือทรุดหนักลงได้ เช่น เป็นไข้ตัวร้อนห้ามทานมะยม ฝรั่ง เป็นแผลสดห้ามทานไข่ ไก่ จะทำให้แผลหายช้า ความเชื่อเกี่ยวกับยารักษาโรค - ชาวบ้านเวินมีการรักษาโรคทางไสยศาสตร์ ดังนี้ 1.ผีฟ้า เป็นการรักษาคนป่วยโดยเตรียมเครื่องไว้บูชา ขันธ์ 5 หรือ ขันธ์ 8 แล้วจึงมีการลำเพื่อบอกกล่าวเชื้อเชิญวิญญาณบรรพบุรุษมาปัดเป่าให้หายจากโรค หรือเชิญมาเข้าร่างทางเพื่อถามว่าป่วยเพราะอะไร ทำอย่างไรจึงหาย 2.ผีแถน (หมอแถน) หากคนเจ็บป่วยกินยาอะไรก็ยังไม่หาย เจ้าภาพจะเชิญหมอแถนมารักษาโดยจัดปะรำพิธีตกแต่งด้วยดอกไม้ มีพานบายศรี โดยหมอแถนจะลุกขึ้นฟ้อนรำไปรอบ ๆ พานบายศรี และเสกเป่า หว่านเมล็ดข้าวสารใส่ตัวผู้ป่วย (ดูรูปหน้า 90) 3.พิธีรำขมวด (รำแม่มด) เป็นพิธีกรรมของไทยเขมรที่สืบต่อมาแต่โบราณ มีคนทรง (มม๊วด) ทำหน้าที่ติดต่อหรือเป็นสื่อกลางระหว่างมนุษย์กับวิญญาณของผีบรรพบุรุษ ซึ่งญาติพี่น้องรับรู้ได้ว่าวิญญาณนั้นมีความผูกพันกับครอบครัวซึ่งจะบันดาลให้เกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ทั้งดีและไม่ดี และยังหมายถึงผีเจ้าพ่อซึ่งเป็นวิญญาณที่ศักดิ์สิทธิ์ทำหน้าที่คุ้มครองคนและผีหลักเมืองคุ้มครองสถานที่บ้านเมืองนั้นๆ ด้วย โดยมีการฟ้อนรำประกอบการบรรเลงดนตรีด้วยวงปี่พาทย์พื้นบ้านของไทยเขมรด้วย พิธีกรรมมม๊วดนิยมทำช่วงเดือน กพ.- เมย. (เดือน 3-5) หรือวันใดก็ได้ ยกเว้นวันพระ 4.หมอธรรม เป็นหมอที่รักษาคนเจ็บไข้ ทุกข์ร้อนใจ ของหาย หาฤกษ์ยามดี และทำนายโชคชะตา พ่อธรรมจะตรวจดู วัน/เดือน/ปี หากมีเคราะห์ก็จะทำพิธีสะเดาะห์เคราะห์ให้ เป่ารดด้วยน้ำมนต์ ผูกสาญสิญจน์ที่แขนหรือห้อยคอ ทั้งนี้การเจ็บป่วยของแม่สามีหรือภรรยาอาจมาจากการปฏิบัติตัวของลูกเขยหรือลูกสะใภ้ซึ่งต้องทำการปรับไหมอาการเจ็บป่วยจึงจะหาย (หน้า 85-93, ดูรูปหน้า 94,96) ความเชื่อเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย - แบ่งเป็น ความเชื่อเกี่ยวกับฤกษ์เดือนซึ่งเป็นคติความเชื่อในการปลูกเรือนหรือสถานที่ ความเชื่อเกี่ยวกับฤกษ์วันซึ่งเป็นคติความเชื่อในการปลูกเรือนถือตามวัน ความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งของเครื่องใช้ในการปลูกเรือนซึ่งถือฤกษ์ตามปี ความเชื่อเกี่ยวกับบุคคล ธรรมชาติ และสิ่งเหนือธรรมชาติ - การนับถือผู้อาวุโสนั้นเป็นความเชื่อที่ปฏิบัติสืบทอดต่อกันมาโดยการอบรมสั่งสอน โดยเรียงลำดับในครอบครัวลงมา ความเชื่อเกี่ยวกับธรรมชาติ - เรื่องน้ำเป็นปัจจัยที่สำคัญมากต่อมนุษย์ สัตว์ พืชและเป็นบ่อเกิดแห่งความอุดมสมบูรณ์ เรื่องดิน ดินนั้นให้ที่อยู่ เป็นแหล่งเพาะปลูก โดยมีพระแม่ธรณีรักษาอยู่ตลอดเวลา ความเชื่อต่อสิ่งเหนือธรรมชาติ - ชาวบ้านเชื่อเรื่องการนับถือผีมากทั้ง ผีฟ้า ผีแถน ผีแม่มด ผีปู่ตา ผีปู่แฮก ผีตาแฮก ฯลฯ และยังมีการสู่ขวัญซึ่งแบ่งเป็น ดังนี้ 1.การสู่ขวัญที่ไม่เป็นระบบ กระทำเมื่อลูกหลานหรือคนในครอบครัวเกิดอุบัติเหตุไม่รุนแรง เจ็บป่วยไม่มาก หรือเด็กบางคนเลี้ยงยาก แม่ก็จะเป็นผู้ "ช้อนขวัญ" หรือ "เรียกขวัญ" 2.การสู่ขวัญที่เป็นระบบจะมีในงานที่มีพิธีกรรมต่างๆ โดยเมื่อหายจากการเจ็บป่วยหรือจะจากบ้านไปทำงานที่อื่นและเมื่อกลับจากไปทำงานถิ่นอื่นก็จะสู่ชวัญอีกซึ่งเมื่อเรียกขวัญเสร็จต้องนำฝ้ายมาผูกข้อมือเพื่อให้ขวัญกลับมาอยู่กับบุคคลนั้น (หน้า 96-103) ประเพณีเกี่ยวกับการเกิด - ถ้าอยากให้ลูกเกิดมาเป็นคนดี มีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ก็ให้หญิงมีครรภ์หมั่นทำความดี ทำบุญ เมื่อมีคนคลอดลูกในหมู่บ้าน หมอตำแยต้องเตรียมเครื่องบูชาครู คือ ขัน ดอกไม้ ธูป เทียน ผ้าขาว และเงินค่าคาย ถวายต่อเทพยดาให้คุ้มครองแม่และเด็กที่เกิดขึ้นมา และหมอตำแยจะเป็นคนตัดสายสะดือเด็ก ก่อนตัดจะมัดเป็นสองเปราะ แล้วตัดด้วยไม้คม ๆ (ติ้วไผ่) โดยผู้อาวุโสที่มีความชำนาญจะเป็นคนเหลาติ้วไผ่แล้วตัดสายสะดือแล้วไว้ที่ใต้บันไดบ้าน หญิงที่คลอดบุตรจะอยู่ไฟ 5-7 วัน และ 15 วัน เด็กที่คลอดออกมาหมอตำแยจะอาบน้ำ ห่อผ้า แล้ววางลงในกระด้งที่มีกระดาษ ดินสอ เข็ม มีด เพื่อให้เด็กฉลาด หลักแหลม มีความรู้ และขยันทำมาหากิน ประเพณีเกี่ยวกับการตาย ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพุทธโดยเมื่อมีคนตายในหมู่บ้านจะมีการบอกกล่าวกันปากต่อปากจนรู้ทั้งหมู่บ้าน และจะไม่มีการตำข้าวเพราะขะลำญาติพี่น้องจะอาบน้ำศพ นุ่งห่มเสื้อผ้าโดยใส่เสื้อกลับด้าน ถ้าเป็นหญิงเอาตีนซิ่นขึ้น เอาหัวซิ่นลง มัดศพเป็น 3 เปลาะ และตั้งศพไว้ที่บ้านประมาณ 3 วัน (งานเฮือนดี) แล้วจึงย้ายศพไปเผาที่ป่าหรือที่นาของผู้ตาย วันรุ่งขึ้นจะนิมนต์พระไปบังสุกุล กระดูกส่วนหนึ่งจะขุดหลุมฝัง ส่วนหนึ่งจะเก็บห่อไว้เพื่อบรรจุในธาตุ เมื่อเผาครบ 7 วันจึงทำบุญตักบาตร และทำอีกเมื่อครบรอบปี ประเพณีพิธีกรรมประจำปี ชาวบ้านเวินนั้นยึดหลักฮีตสิบสองซึ่งเป็นประเพณีที่ต้องปฏิบัติทั้งสิบสองเดือนของแต่ละปี โดยชาวบ้านจะไปทำบุญที่หมู่บ้านตาเหมาเพราะที่บ้านเวินไม่มีวัด การทำบุญนี้จะทำให้เกิดความสามัคคีในหมู่คณะและหมู่บ้านใกล้เคียง รวมทั้งญาติพี่น้องก็จะมีโอกาสพบปะสังสรรค์กันด้วย(หน้า 107-109) |
|
Education and Socialization |
หมู่บ้านเวินนี้ไม่มีสถานศึกษาภายในหมู่บ้าน แต่พ่อแม่ก็พยายามส่งบุตรหลานเข้าไปเรียนในหมู่บ้านใกล้เคียง ได้แก่ โรงเรียนบ้านตาเหมา โดยเรียนจนจบหลักสูตรภาคบังคับ แต่ไม่ได้เรียนต่อ (ดูรูปหน้า 61) บางคนก็ศึกษาหาความรู้จากผู้รู้ในหมู่บ้าน ศึกษาด้วยตนเองจากวิทยุ หนังสือพิมพ์ และเอกสารต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังมีการศึกษานอกระบบโรงเรียนโดยผู้นำหมู่บ้านในแต่ละด้านจะถ่ายทอดความรู้หรือแนวทางปฏิบัติให้แก่ลูกหลานและผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น ความรู้ด้านสาธารณสุข ตำรายาสมุนไพร การรักษาอาการเจ็บป่วยโดยพิธีกรรมต่าง ๆ บางคนไม่ได้เข้าเรียน เนื่องจากการคมนาคมที่ไม่สะดวกและอยู่ไกล การตกสำรวจเพราะย้ายมาจากถิ่นอื่น (หน้า 62) |
|
Health and Medicine |
การสาธารณสุขของชาวบ้านเวินนั้นแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 1.การรักษาด้วยตัวยา ได้แก่ ยาพื้นบ้าน (ยาสมุนไพร) และยาแผนปัจจุบัน -ยาพื้นบ้าน (สมุนไพร) เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่สืบทอดกันมา แบ่งเป็น ยาที่ได้จากพืช ยาที่ได้จากสัตว์ ยาที่ได้จากแร่ธาตุ นอกจากนี้ยังมียาพื้นบ้านที่ใช้ประกอบกันหลายชนิด เรียกว่า ยาชุมใหญ่/ยาชุมน้อย (หน้า 48-49, ดูรูปหน้า 51,52) การรักษาโดยใช้สมุนไพรนั้นขึ้นอยู่กับชนิดของโรค สมุนไพรก็จะใช้แตกต่างกัน (ดูรูปหน้า 58) โดยหมอปรุงยาจะใช้คาถาประกอบการปรุงสมุนไพรให้มีความศักดิ์สิทธิ์ขึ้น (พระคาถาสักกัตวา,ดูคาถาหน้า 59) 2.การรักษาทางพิธีกรรมซึ่งได้รับการถ่ายทอดความเชื่อจากบรรพบุรุษว่าหากใครกระทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องหรือเกิดอาการเจ็บป่วยขึ้น (ผิดผี) สิ่งนั้นเกิดจากการที่ผีบรรพบุรุษไม่พอใจจึงบันดาลให้เกิดการเจ็บป่วย (หน้า 64) ทั้งนี้พบว่าส่วนใหญ่ แล้วการรักษาด้วยยาแผนปัจจุบันนั้นไม่สามารถรับรองเรื่องความปลอดภัยและการมีชีวิตรอดพ้นจากโรคภัยไข้เจ็บ ชาวบ้านจึงยังให้ความศรัทธาเชื่อมั่นในการรักษาด้วยยาสมุนไพรและการรักษาด้วยพิธีกรรมอย่างเหนียวแน่น เช่น การรักษาคนป่วยด้วยผีฟ้า ผีแถน ผีแม่มด หมอธรรม (ดูรายละเอียดในหัวข้อ Belief Systems) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การแต่งกายเป็นลักษณะเด่นเฉพาะของประชากรแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์โดยเมื่อมีการอพยพมาอยู่รวมกันเป็นเวลานาน การแต่งกายจึงมีการผสมผสานและแลกเปลี่ยนกันขึ้น ชาวบ้านเวินจะแสวงหาและผลิตผ้าไหมและผ้าฝ้ายนั้นเป็นหน้าที่ของผู้หญิงซึ่งเป็นภูมิปัญญาที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษโดยผลิตเพื่อใช้เองในครัวเรือนและใช้เป็นเครื่องขอขมาด้วย (ปรับไหม-ผิดสะใภ้) และสามารถแลกเปลี่ยนเป็นข้าวและเงินได้ การแต่งกายด้วยผ้าไหมจะใช้ใส่ในโอกาสพิเศษ เช่น งานบุญประเพณี งานแต่งงาน งานบวช งานพิธีกรรมต่าง ๆ ปัจจุบันมีการแต่งกายด้วยผ้าฝ้ายมากขึ้นเพราะการผลิตไม่ยุ่งยาก และราคาไม่แพง (ดูหน้า 40-42, รูปหน้า 43,46,47) การแต่งกายเมื่อประกอบพิธีกรรมนี้ผู้ซึ่งทำหน้าที่ประกอบพิธีกรรมจะแต่งกายพิเศษกว่าคนอื่น เช่น ใส่เสื้อหลายสี แล้วแต่ว่าแถนอยากใส่เสื้อสีอะไร หรือใส่ซ้อน ๆ กัน มีเครื่องประดับตกแต่งมากมาย การแต่งกายในเวลาปกติ : หญิงส่วย(กวย) - เสื้อคอกระเช้าสีดำหรือเสื้อแขนยาวสีดำย้อมครั่ง ผ่าอก ติดกระดุมเงิน นุ่งผ้าถุงสีน้ำตาลไหม้ มีชายเป็นลายต่าง ๆ ผ้าถุงหรือผ้าซิ่นมีหัวซิ่นและตีนซิ่นซึ่งทอด้วยไหม ชายส่วย - ผ้าโสร่ง ไม่ค่อยใส่เสื้อ หญิงเขมร - ผ้าซิ่นฝ้าย เสื้อคอกระเช้า ผู้หญิงสูงอายุจะใส่เสื้อคอกระเช้า ผ่าอก หรือใส่ผ้าแถบพันหน้าอก ชายเขมร - ไม่สวมเสื้อ ใส่โสร่ง ผ้าขาวม้าคาดเอว ใครที่ฐานะไม่ค่อยดีจะใส่กางเกงขาก๊วยยาวเลยเข่าเล็กน้อย หญิงลาว - ผ้าซิ่นทั้งฝ้ายและผ้าด้าย ส่วนผ้าไหมนั้นจะใช้ในพิธีกรรม งานบุญประเพณี หรืองานธุระนอกบ้าน เสื้อเป็นเสื้อหมากกะแหล่งหรือเสื้อคอกระเช้า ชายลาว - ใส่โสร่ง ผ้าขาวม้าคาดเตียวเวลาทำงานหรือใส่กางเกงขาก๊วยขาสั้นไว้ด้านใน และมีผ้าขาวม้าคาดเอวหรือพาดไว้บนบ่าอีกหนึ่งผืน ถ้าอากาศเย็นสบายก็ไม่ใส่เสื้อ การแต่งกายเมื่อประกอบพิธีกรรมหรือในโอกาสพิเศษ : หญิงส่วย (กวย) - เสื้อแขนสั้นด้านใน ใส่เสื้อแขนยาวสีดำติดกระดุมเงินไว้ด้านนอก มีผ้าพาดไหล่เป็นลวดลายขิดหรือผ้ายก เครื่องประดับ ได้แก่ ต่างหูเงิน กำไลเงิน ชายส่วย - ใส่โสร่งและใส่เสื้อ หญิงเขมร - ใส่เสื้อทั้งแขนสั้นและแขนยาว ผ้าไหม ผ้าฝ้าย มีผ้าพาดบ่าสีดำ นุ่งผ้า ผ้าไหม มีเชิงบ้างและไม่มีเชิงบ้าง แต่ต้องมีหัวซิ่นทุกผืน ชายเขมร - เสื้อทอมือย้อมสีดำคล้ายม่อฮ่อม ผ่าอก ใส่โสร่งไหม ผ้าขาวม้าคาดเอว ถ้าไม่มีโสร่งใส่เพราะฐานะยากจนก็นุ่งกางเกงขาก๊วยยาวครึ่งเข่า หญิงลาว - การแต่งกายในงานหรือโอกาสพิเศษจะพิถีพิถันมาก นิยมใส่เสื้อผ้า (ตีนเหยียบ) ย้อมเป็นสีดำหรือเสื้อสีขาว แขนยาว และผ้าพาดบ่าสีขาว ใส่ผ้าซิ่นไหม มีเชิง เข็มขัดเงินหรือทอง ใส่ต่างหู หากเป็นคนแก่จะใส่ผ้าถึงซ้อนกัน 2 ผืน ผืนที่ใส่ด้านนอกจะต้องเป็นผ้าซิ่นไหม ผืนด้านในอาจเป็นผ้าซิ่นฝ้ายหรือผ้าซิ่นไหมผืนเก่าๆ ชายลาว - ผ้าโสร่งไหมผืนใหม่และผ้าขาวม้า ผ้าไหมผืนใหม่ เสื้อที่ใส่ต้องจะเป็นสีขาวหรือสีอะไรที่สามารถหาได้แต่ต้องเป็นเสื้อที่ใหม่สุด ปัจจุบันด้วยวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่เรียบง่ายทำให้บทบาทและความสำคัญของการแต่งกายลดลง แต่การแต่งกายของแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์ก็ยังคงความเป็นเอกลักษณ์บางอย่างของตัวเองไว้ เช่น ผ้าซิ่น ผ้าพาดบ่า ผ้าโสร่ง ผ้าขาวม้า แต่ส่วนมากผู้ชายจะเปลี่ยนแปลงมากกว่าผู้หญิงโดยนิยมใส่กางเกงขายาวหรือขาสั้นเพราะสะดวกดี (หน้า 44-46, รูปหน้า 41) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
เอกลักษณ์ทางพิธีกรรมของชาวบ้านเวินนี้ยังคงความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์อยู่ โดยที่สมาชิกในชุมชนสามารถไปร่วมและให้ความสำคัญร่วมกันในทุกพิธีกรรมได้โดยไม่มีข้อขัดแย้ง สิ่งเหล่านี้จะเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะนำไปสู่การผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมต่อไป (หน้า 114) เช่น เอกลักษณ์ทางการแต่งกายที่เป็นลักษณะเด่นเฉพาะ กล่าวคือ กลุ่มชาติพันธุ์ส่วยกับเขมรจะแต่งกายโดยการนุ่งซิ่น เอาหัวซิ่นลง เอาตีนซิ่นขึ้น ส่วนกลุ่มชาติพันธุ์ลาวจะนุ่งซิ่นตามปกติ (หน้า 111) การผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมในหมู่บ้านเวินนั้นเป็นการรวมตัวกันของ 3 กลุ่มชาติพันธุ์ คือ ส่วย เขมร และไทยลาว โดยวิถีชีวิตภายในชุมชนได้มีการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมเป็นอย่างดี (หน้า 114) เช่น แม้จะไม่มีวัดในหมู่บ้าน ชาวบ้านเวินก็จะร่วมพิธีทางศาสนาในหมู่บ้านอื่นที่มีงานทำบุญประเพณี การผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์สามกลุ่มทั้งไทยลาว ส่วยและเขมร นี้เป็นที่ยอมรับของสังคมหมู่บ้านและได้รับความร่วมมือด้วยดีซึ่งนับว่าเป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นที่สืบทอดต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน |
|
Social Cultural and Identity Change |
จากการเก็บและรวบรวมข้อมูลในงานวิจัยนี้พบว่า วิถีชีวิตของชาวบ้านเวินในปัจจุบันยังคงเป็นวิถีชีวิตอย่างเรียบง่ายอยู่กันในลักษณะของระบบเครือญาติมาโดยตลอด มีความเชื่อมั่นในผู้นำ มีความสามัคคีกลมเกลียว และยังเป็นสังคมแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน อีกทั้งต้องพึ่งพาตนเอง ดังนั้นจึงควรพึงระวังในเรื่องของการไหลบ่าทางวัฒนธรรมของสังคมเมืองสู่สังคมชนบท ส่วนในเรื่องพิธีกรรมนั้นยังไม่มีการไหลบ่าของวัฒนธรรมภายนอกเข้ามา โดยแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์ในบ้านเวินนี้ยังคงเป็นพิธีกรรมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะกลุ่มซึ่งสมาชิกในชุมชนสามารถไปร่วม และให้ความสำคัญร่วมกันในทุกพิธีกรรมได้โดยไม่มีข้อขัดแย้ง สิ่งเหล่านี้จะเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะนำไปสู่การผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมต่อไป (หน้า 114) |
|
Map/Illustration |
แผนที่ - จังหวัดศรีสะเกษโดยสังเขป (147), อำเภอศรีรัตนะ จังหวัดศรีสะเกษ (148) แผนผัง - หมู่บ้านเวิน (149) |
|
|