|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
มุสลิม,ประวัติศาสตร์,บทบาท,ปลายอยุธยา ธนบุรี,ประเทศไทย |
Author |
เพ็ญศรี กาญจโนมัย, นันทนา กปิลกาญจน์ |
Title |
บทบาทมุสลิมในปลายอยุธยา-ธนบุรี พ.ศ. 2300-2325 |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไม่ระบุ |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
94 |
Year |
2521 |
Source |
คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ |
Abstract |
ผู้ศึกษามุ่งเน้นให้เห็นบทบาทของมุสลิมต่อประวัติศาสตร์ ทั้งทางการเมืองตั้งแต่สมัยสุโขทัย ตำแหน่งเสนาบดีการคลัง และการท่าเรือก็เป็นของชาวเปอร์เซีย สืบทอดมาจนถึงสมัยอยุธยาและสมัยธนบุรี ที่มุสลิมก็มีตำแหน่งทางราชการสูง ทั้งทหาร พลเรือน การทูต ตลอดจนเห็นบทบาทมุสลิมต่อ เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมอื่น ๆ อย่างเช่น ภาษา การแต่งกาย เพลง การฟ้อนรำ เป็นต้น ศิลปและวัฒนธรรมของไทยหลายอย่างก็มีต้นกำเนิดมาจาก อิสลามอยู่มาก กลายเป็นวัฒนธรรมผสมผสานมาจนถึงทุกวันนี้ |
|
Focus |
เป็นการสืบค้นความเป็นมาของมุสลิมในสมัยปลายอยุธยา-ธนบุรี 2300-2325 ตลอดจนนำเสนอถึงบทบาทสำคัญของมุสลิมต่อการเมืองการปกครองและบทบาทด้านอื่นที่ผสมผสานและส่งผลต่อวัฒนธรรมของแผ่นดินไทย |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
ช่วงเวลาในการรวบรวมข้อมูลอยู่ระหว่าง 1 พฤศจิกายน 2520 - 31 ตุลาคม 2521 และเป็นการศึกษาเหตุการณ์ ในระหว่าง พ.ศ. 2300 - 2325 |
|
History of the Group and Community |
จุดเริ่มต้นของมุสลิมในไทยเริ่มตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย (พ.ศ.1800-1921) แต่มุสลิมเริ่มมีบทบาทมากขึ้นตั้งแต่สมัยพระนารายณ์มหาราช ซึ่งมุสลิมได้รับตำแหน่งสูงในทางราชการหลายคน มุสลิมสืบเชื้อสายมาจาก 2 สาย คือ มุสลิมที่มีเชื้อสายมาจากชาวเปอร์เซียหรืออิหร่านมาตั้งรกรากที่ ต. หัวแหลม จ.อยุธยา บางเขน บางอ้อ บางกอกใหญ่ บางกอกน้อย ซึ่งเรียกว่า แขกแพ หรือแขกเทศ หรือพวกที่ตั้งรกรากแถวมัสยิด ผดุงธรรม ซอยกุฏี เจริญพาศน์ ฝั่งธนบุรีซึ่งเรียกว่า แขกเจ้าเซ็น และมุสลิมที่สืบเชื้อสายมาจาก ปัตตานีที่อพยพเข้ามาไทยตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ ช่วงกรุงศรีอยุธยา และช่วงกรุงธนบุรี ตำแหน่งทางราชการ ทั้งทหารและพลเรือนมักตกเป็นตำแหน่งสืบทอด ของพวกมุสลิม เพราะต้องใช้ภาษาแขกติดต่อกับต่างประเทศ มุสลิมคนสำคัญคือ ท่านเฉกอะหมัด นอกจากนี้ยังมีมุสลิมอีกมากที่รับราชการมีความดีความชอบและมีบทบาทสำคัญในแผ่นดิน ตลอดมาทุกยุคทุกสมัย นับแต่มีการประกาศใช้พระราชบัญญัตินามสกุลในรัชกาลที่ 6 ตระกูลของท่านเฉกอะหมัดได้แยกย้ายไปตั้งสกุลวงศ์มากมาย และสืบตระกูลมาจนถึงปัจจุบัน (หน้า 9,12,14,17,89,93) |
|
Settlement Pattern |
จดหมายเหตุโบราณระบุว่ามีพวกแขกเทศ มาตั้งบ้านเรือนอยู่ตั้งแต่ประตูจีนด้านตะวันตกของกรุงศรีอยุธยา ไปจนถึงหัดวัดนางมุก แล้วเลี้ยวไปท่ากายี ซึ่งนับว่าเป็นบริเวณในกำแพงเมือง ส่วนนอกกำแพงเมืองก็มีมุสลิมอยู่ตั้งแต่ปลายสะพานประตูจีนฟากตะวันตกไปถึงตำบลฌะไกรน้อย มุสลิมในบริเวณดังกล่าวเป็นแขกที่มาจากเปอร์เซีย หรืออาหรับ ส่วนที่มาจากมลายูตั้งบ้านเรือนกันหนาแน่นแถบคลองตะเคียนทางทิศใต้ ส่วนแขกมักสันท์ที่มาจากเกาะคัสซาร์ อินโดนีเซีย จะตั้งบ้านเรือนอยู่แถบแม่น้ำเจ้าพระยาด้านฝั่งตะวันตก ใกล้ปากคลองตะเคียนข้างใต้ลงไป และตรงตำบลท้ายคู พวกแขกเจ้าเซ็นซึ่งอยู่ในนิกายชีอะห์ อิสนาอะชะรี ซึ่งท่านเฉกอะหมัด นับถืออยู่ ได้สร้างบ้านเรือน สร้างกุฏีทอง และทำที่ฝังศพขึ้น จนชาวกรุงศรีอยุธยาเรียกบ้านท้ายคูว่า บ้านแขกกุฏีเจ้าเซ็น มาจนกระทั่งปัจจุบัน (หน้า 27,31) |
|
Economy |
ประเทศไทยเองมีประเพณีการส่งทูตไปเจริญราชไมตรีกับประเทศอื่น ๆ เมื่อมีความสัมพันธ์กับต่างชาติ ย่อมเปิดโอกาสให้พ่อค้ามุสลิมเข้ามาค้าขายในประเทศไทย เพราะไทยเป็นประเทศอุดมสมบูรณ์และมีสินค้าที่เขาต้องการ นับว่าพวกพ่อค้ามุสลิมเป็นผู้นำในการค้าระหว่างไทยกับต่างประเทศ อย่างเช่น พวกแขกมัวร์บางคนได้รับการแต่งตั้งเป็น "พระคลัง" ดูแลพานิชยกรรมทั้งในและนอกราชอาณาจักร (หน้า 9-10,13) |
|
Political Organization |
มุสลิมในประเทศไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยา-ธนบุรีเข้าไปมีบทบาทอยู่มากในทางราชการในตำแหน่งหน้าที่สำคัญ ๆ ทั้งทางทหาร พลเรือน (การค้ากับต่างประเทศ) และการทูต และยังเข้ารับตำแหน่งขุนนางทุกฝ่ายในของราชสำนัก ผู้เชี่ยวชาญทางขนบประเพณีฝ่ายในพระราชสำนัก ซึ่งถือว่ามีส่วนในการสร้างชาติตลอดมา และในสมัยกรุงศรีอยุธยา หนังสืออิหร่านราชธรรม ซึ่งมีคติพจน์สำหรับกษัตริย์ ในการปกครองประเทศ มีส่วนช่วยในการบริหารประเทศอยู่ด้วย ส่วนอิสลามลัทธิชีอะห์ เป็นพวกนับถือเจ้า และเชื่อมั่นในผู้นำ (หน้า 14,34,94,87-88) |
|
Belief System |
แขกเทศได้รับคตินิยมจากพระพุทธศาสนา มีการกราบไหว้ บูชา ขอพร ขอความร่มเย็นเป็นสุขขอความมั่งคั่ง ร่ำรวย ส่วนพวกสุหนี่จะไม่ยอมประกอบศาสนกิจนอกสุสานของนิกายสุหนี่ |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
อารยธรรมอิสลามเกี่ยวกับการแต่งกายเข้ามามีอิทธิพลเกี่ยวข้องกับชีวิตคนไทยด้วยเครื่องต้นของพระมหากษัตริย์ไทยที่เรียกว่าฉลองพระองค์อย่างเทศ ซึ่งดั้งเดิมเกิดในประเทศเปอร์เซีย ส่วนเพลงในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย มีความนิยมบรรเลงเพลงที่มีสำเนียงเป็นภาษาต่างประเทศ เช่น เพลงแขกลพบุรี เพลงแขกต่อยหม้อ กลองแขก ปี่ชวา และการฟ้อนรำของมุสลิมก็ได้มาตกอยู่ในระบบนาฏศิลป์ของไทย การรำตะเขิงนั้นมาจากการฟ้อนรำของพวกซูฟีและการรำดาวดึงส์ พระยาราชสุภาวดี ได้เริ่มแต่งคำฉันท์ กฤษณาสอนน้อง ฉบับกรุงธนบุรีซึ่งมีความมุ่งหมายเพื่อสอนหญิงด้วย ระหว่างปี 2312-2319 การใช้ถ้วยชามสีต่าง ๆ เป็นลวดลายตกแต่งพระวิหารเจดีย์ต่างที่มีอิทธิพลมาจากอิสลาม ด้านสถาปัตยกรรม ปี 2359 ได้มีการก่อสร้างมัสยิดต้นสนใหม่ จากเดิมที่สร้างด้วยไม้ มาสร้างด้วยก่ออิฐถือปูน และได้แบบจากตึก ในบรมราชวังหลังหนึ่งผสมกับพระราชวังสถานมงคล (หน้า 56,74,82-83,94,87) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ศิลปวัฒนธรรมของไทยหลายอย่างมีต้นกำเนิดมาจากอิสลาม กลายเป็นวัฒนธรรมผสมผสานมาจนกระทั่งปัจจุบัน (94) |
|
Map/Illustration |
ภาพประกอบ สุสานท่านเฉกอะหมัด ,มัสยิดตะเกี๋ยโยคิน หน้า 40 มัสยิดต้นสน , คลองตะเคียน หน้า 42 ที่ฝังศพพระยาจักรี , ที่ฝังศพพระยาราชบังสัน หน้า 70 |
|
|