|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ไทใหญ่,ความเชื่อ,พิธีกรรม,ประเพณี,บ้านใหม่หมอกจ๋าม,เชียงใหม่ |
Author |
เรณู วิชาศิลป์ |
Title |
ประเพณีพิธีกรรมชาวไทยใหญ่บ้านใหม่หมอกจ๋าม |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ไทใหญ่ ไต คนไต,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มนุษย์วิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) |
Total Pages |
100 |
Year |
2541 |
Source |
หนังสือ "ไท" ฉลาดชาย ระมิตานนท์ วิระดา สมสวัสดิ์ และเรณู วิชาศิลป์ บรรณาธิการ, เชียงใหม่ :ศูนย์สตรีศึกษา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.(หน้า 333-434) |
Abstract |
เนื้อหาโดยรวมพูดถึงสภาพทั่วไป ประวัติศาสตร์ ความเป็นมาของชุมชน ตลอดจน ความเชื่อ ประเพณี พิธีกรรม ที่เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ มนุษย์กับธรรมชาติ และมนุษย์กับสิ่งเหนือธรรมชาติ ของชุมชนไตบ้านใหม่หมอกจ๋าม |
|
Focus |
ศึกษาความเชื่อ พิธีกรรม และประเพณีต่าง ๆ ของไทใหญ่บ้านใหม่หมอกจ๋าม |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ห้วยน้ำยอน ห้วยน้ำเย็น เป็นหลักแหล่งดั้งเดิมของชาวบ้านใหม่หมอกจ๋าม และได้ย้ายไปอยู่เวียงเก่า ชื่อ เวียงดอกจำปา หรือบ้านใหม่หมอกจ๋ามในปัจจุบัน ตามที่สมเด็จพระราชชนนี ทรงตรัสแนะนำ มีคนไต 4 ตระกูลอพยพไปก่อนเป็นผู้บุกเบิก ได้วางแผนผังหมู่บ้านและมีคนอื่น อพยพตามมาทีหลัง ทั้งจากแถบห้วยน้ำยอน ห้วยน้ำเย็น ฝาง เชียงดาว และที่อื่น ๆ ซึ่งผู้คนในหมู่บ้านต่างก็มีประวัติศาสตร์ การอพยพมาจากเมืองคนไตต่าง ๆ กันในพม่า (หน้า 335) |
|
Settlement Pattern |
ลักษณะหมู่บ้านตั้งอยู่ที่ราบเชิงเขา อยู่ท่ามกลางชนกลุ่มน้อยหลายเชื้อชาติ ซึ่งมีทั้งกลุ่มวัฒนธรรมอื่น คนไตจะปลูกเรือนเรียงรายอยู่ที่ราบเชิงเขา มีลักษณะคล้ายการตั้งบ้านเรือนของคนไตในรัฐฉาน ชื่อบ้านใหม่หมอกจ๋ามตั้งตามนามเดิมของเมืองโบราณที่มีร่องรอยอยู่ที่นี่ คือเวียงดอกจำปา อยู่ใกล้สะพานท่าตอนเป็นอีกชุมชนหนึ่งที่มีไตอาศัยอยู่หนาแน่น มีวัดและมีพิธีกรรมตามรูปแบบของไต ซึ่งเป็นหลักแหล่งดั้งเดิมของชาวบ้านใหม่หมอกจ๋าม (หน้า 334-335) |
|
Economy |
การประกอบอาชีพยังเป็นการทำไร่ทำนาเป็นหลัก แต่ในหมู่บ้านยังมีพื้นที่ทำมาหากินน้อย ผลผลิตยังไม่พอต่อการยังชีพ ผลผลิตที่ดูหนาตา ได้แก่ พริกแห้ง ข้าวโพด มะม่วง ที่มีพ่อค้าจากนอกหมู่บ้านเข้ามารับซื้อ รวมทั้งไพคา ที่ชาวบ้านทำขึ้นเพื่อนำมาซ่อมแซมหลังคาบ้านและจำหน่ายอีกด้วย ไตไม่นิยมเลี้ยงสัตว์เอาไว้ขายหรือประกอบอาหารเพราะเชื่อว่าเป็นบาป แต่จะซื้อจากผู้อื่นได้ คนในหมู่บ้านบางส่วนก็ออกไปรับจ้างในเมือง เนื่องจากคนไตเป็นกลุ่มแรกที่เข้ามาอยู่จึงมีอิทธิพลและมีโอกาสจับจองเป็นเจ้าของที่ดิน กลุ่มไตบางส่วนจึงไม่ต้องประกอบการผลิตด้วยตนเองแล้ว เพียงคอยรับค่าหัวนา กับผลผลิตแบบแบ่งกึ่งจากผู้เช่า บางคนก็ทำการค้าขาย เป็นหมอกลางหมู่บ้าน (หน้า 337-338,403) |
|
Social Organization |
ครอบครัวคนไตมีพ่อเป็นใหญ่ สถานภาพของผู้หญิงจะไม่ทัดเทียมกับผู้ชาย ด้วยอิทธิพลความเชื่อลัทธิ ผี วิญญาณ ฮินดู พราหมณ์ พุทธ ครูของคนไตจะได้รับการยกย่องสูงเท่าเทียมกับสถาบันทางศาสนา และครอบครัว ในพิธีกรรมบางอย่างจะเห็นกลุ่มพลังในชุมชนแบ่งบทบาทของกลุ่มหนุ่มสาวเป็นผู้คิดและมองปัญหา ผู้เฒ่า ผู้แกเป็นหลักในเรื่องเงินทอง พิธีกั๋นตอ เป็นพิธีการสืบสายเครือญาติที่เหนียวแน่นมั่นคง (หน้า 370,384) |
|
Political Organization |
ผู้นำมี 2 ลักษณะ คือผู้นำจัดตั้ง คือกำนันที่ได้รับการแต่งตั้งจากราชการ โดยไม่มีวาระ และผู้นำตามธรรมชาติ คือได้รับการเคารพนับถือจากชาวบ้าน ไม่ว่าการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา หรือกิจกรรมอื่น ๆ ในหมู่บ้านและยังแยกเป็น 2 กลุ่ม คือ พระภิกษุ และกลุ่มผู้นำชุมชน หรือบรรดาคนแก่ที่มาบุกเบิก ในการก่อตั้งหมู่บ้าน (หน้า 339) |
|
Belief System |
จะเน้นถึงพิธีกรรมทางศาสนาเป็นหลัก และพยายามปฏิเสธพิธีกรรมเกี่ยวกับผี โดยอาศัยความเชื่อเกี่ยวกับศาสนาเป็นแกน ดังคำสอนที่บอกว่า "ถ้าพุทธศาสนาสูญสิ้นไปจากชนชาติไต ไตก็สูญสิ้นไปจากโลก" ขณะเดียวกันในรูปพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับประเพณี และพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับวัฏจักรของชีวิต และประเพณีการผลิตก็ได้มีรูปแบบของพฤติกรรมความเชื่อต่อลัทธิวิญญาณ ลัทธิถือผีบรรพบุรุษ ตลอดจนความเชื่อตามคติพราหมณ์ และฮินดูผสมอยู่มาก ตำนานที่กล่าวถึงการกำเนิดของจักรวาล มนุษย์และสรรพสิ่ง แสดงออกถึงความเชื่อในพระเจ้าหลายองค์ตามลัทธิพราหมณ์ และยังมีการพยายามผสมผสานอย่างกลมกลืนแนบแน่นกับความคิดอเทวนิยม ซึ่งเป็นความเชื่อในพุทธศาสนาในระดับปรัชญา แต่ในทางปฏิบัติความเชื่อของคนส่วนใหญ่ คงพัฒนาไปเพียงผสมผสานความคิด ในระดับพุทธศาสนาแบบชาวบ้านคือ ยึดถือในพิธีกรรมและอำนาจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น
1.ความเชื่อและพิธีกรรมเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ความเชื่อเรื่องเทพ มีพิธีกรรมดังนี้
- "ขึ้นเจ้าเมือง" เพื่อตอบแทนบุญคุณที่เจ้าเมืองให้ความคุ้มครองคนในหมู่บ้านให้มีความเป็นอยู่สุขสบาย และมีพิธีกรรม "สวดมังคละใจบ้าน" เพื่อเป็นการขอบคุณที่ทำให้เข้ามาอยู่สถานที่นี้อย่างเป็นสุข ซึ่งใจบ้านเป็นสถานที่มงคลถือเป็นหลักของบ้าน และคนไตเชื่อว่าธรรมชาติมีเจ้าของผืนแผ่นดินก็มี "ผีหลิน" ดูแลรักษา แม่น้ำก็มี "ผีน้ำ" ดูแลรักษา
- มีพิธีกรรม "ลางเมือง" เพื่อเลี้ยงผีฝาย เป็นการขุดลอกลำเหมืองที่ส่งน้ำเข้านา ขั้นตอนการปลูกข้าวจึงมีการประกอบพิธีกรรมก่อนหรือควบคู่กับการปลูกข้าวทุกขั้นตอน เช่น หลังจากแฮกนาเขาจะเริ่มปลูกข้าว 7 กอแรก เรียกว่า ข้าวผันนา หรือข้าวขวัญนา นั่นเอง ยังมีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องขวัญข้าว ว่าจะอยู่ตามต้นไม้ต่าง ๆ แต่ละปีไม่ซ้ำกันและตอนปลูกนาต้องตัดต้นไม้ชนิดนั้นมาทำต๊างแฮก หรือต๊างขวัญนา นอกจากนั้นยังมีพิธีฮ้องขวัญควาย ถือเป็นความห่วงใยในสัตว์เลี้ยงจึงใช้เป็นประเพณีมารองรับความรู้สึกของชุมชน
2. คนไต มีวันปอยยกย่องครูหมอไต ซึ่งเป็นผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญทั้งทางวิชาการและด้านการปกครอง ศิลปวัฒนธรรม การแสดงต่าง ๆ เป็นต้น จุดประสงค์ดั้งเดิมคือ มุ่งเน้นคุณธรรม และความกตัญญู และเปลี่ยนมาเป็น การรวมกลุ่มทางการเมือง
3. พิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับศาสนาก็มีครบทั้ง 12 เดือน มีตำนานที่กล่าวถึงพระพุทธเจ้าแตกต่างกันออกไป เช่น ประเพณีเข่งส่าง ปุ๊ด ตำนานอุปคุตผู้คอยปกป้องคุ้มครองศาสนาและการประกอบพิธีกรรม จากการรังควานรบกวนของสง ผียักษ์เป็นผีแก่นแก้ว ประเพณีปวยเตียนออกหว่า ประเพณีถวายมหาตุ๊ก ก็จะมีตำนานแตกต่างกันออกไป
(หน้า 336,339,340,343-344,348-349,353,366-372,399) |
|
Education and Socialization |
คนไตให้คุณค่าแก่การศึกษา แสวงหาความรู้เพราะวิชาความรู้ก่อให้เกิดสติปัญญา ครูหมอไตจึงได้รับการยกย่องโดยมีวันปอยยกย่องครูหมอไต ซึ่งครูหมอเป็นผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญทั้งทางวิชาการที่เรียกว่าวิชาหนังสือ และวิชาชีพต่าง ๆ เช่น การสร้างบ้าน การทำถ้วยชาม เป็นต้น ตลอดจนงานด้านการปกครอง แพทย์ เภสัชกรรม และวัฒนธรรม ศิลปะการแสดงต่าง ๆ และมีผู้ที่ได้รับยกย่องเป็นหมอ คือ ผู้ที่มีความรู้สาขาใด สาขาหนึ่ง ๆ จนสอนคนอื่นได้
คนไต ไม่ค่อยมีโอกาสศึกษาเล่าเรียน เพราะถูกกีดกันจากพม่า มูลเหตุหนึ่งก็คือ เมื่อเรียนจบก็ไม่ได้รับตำแหน่งหน้าที่การงานเท่าเทียมคนพม่า และภาษาที่เรียนก็เป็นภาษาพม่า ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการศึกษาเล่าเรียนของคนไต (หน้า 366-372) |
|
Health and Medicine |
ภายในหมู่บ้านมีหมอตำแย 2 คน และเป็นหมอประจำหมู่บ้าน เวลาชาวบ้านเจ็บไข้ได้ป่วยก็มักจะรับการรักษาในหมู่บ้านเพราะระยะทางและเศรษฐกิจไม่อำนวย หมอกลางบ้านจะรักษาทางเสกเป่า และปรุงยาสมุนไพร กรณีการรักษาพยาบาลกับหมอกลางบ้านเมื่อรักษาหายชาวบ้านจะเตรียม "เครื่องกั๋นตอ" ประกอบด้วยเงิน ขนม ผลไม้ ข้าวตอก ดอกไม้ (หน้า 365,371,409) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Folklore |
มีนิทานของไตเรื่อง เงี้ยวขายผี ซึ่งแพร่หลายในเขตล้านนาไทยโดยสรุปก็คือ ชุมชนต่าง ๆ ในเขตล้านนา ล้วนมาซื้อผีประเภทต่าง ๆ กับไทใหญ่ทั้งสิ้น เพื่อความเป็นศิริมงคลกับครอบครัวและชุมชนของตน เมื่อไทใหญ่ขายผีดี ๆ ไปหมด จึงเหลือแต่ผีร้าย ไตจึงไม่เหลือผีให้นับถืออีกแล้ว
ตำนานที่กล่าวถึงการเข้าทรงปัจจุบันที่กล่าวกันว่ามีเจ้าเพิ่มมากขึ้น โดยกล่าวถึงว่ามนุษย์ในโลกนี้จะมีครึ่งคนครึ่งผีเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ต่อไปพ่อแม่ลูกก็จะไม่รู้จักกัน นอกจากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างจะเกิดอาเพศผิดจากเคย ทางหลวงจะเป็นงูเห่า (มีข้าศึกมาก) เพื่อนเก่าจะเป็นเสือเย็น (แก่งแย่งผลประโยชน์กัน) ในเถือนจะมีแต่บ้านคน (คนหนีไปอยู่ในป่า) ในบ้านจะเป็นศึก (บ้านเรือนไม่น่าอยู่ ทะเลาะกัน) บนฟ้าจะเป็นฝุ่น บนดินจะเป็นไฟ คนจึงเอาผีเป็นที่พึ่งมากขึ้น (หน้า 442, 435)
มีนิทานประเภทเทพปกรณ์หรืออาจเรียกว่าปรัมปรานิยายบ้าง ตำนานของไตบ้างเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการกำเนิดโลก จักรวาลและมนุษย์ ดังนี้
1.หมอหลวงกำผา น่าจะแปลว่า จักรวาลบัวหลวง กล่าวถึงการสิ้นสมัยของปักเจกพุทธ 5 พระองค์ มนุษย์และสัตว์โลกต่างก็เห็นภัยในวัฏสังขาร จึงละกิเลสทำจิตให้พ้นจากสภาวะที่ยึดติดในกามสุข สรรพสัตว์ทุกชนิดจึงหนีไปอยู่ในชั้นพรหม ซึ่งถือว่าบรรลุฌาน 3 ต่อมาร่างเหล่านี้จึงลงมากินง้วนดินสภาพของเทพก็หมดไป จึงกลายเป็นมนุษย์พวกแรกผู้เป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ทั้งหลาย
2.ซาเหล็กซาจาง ต่อจากเรื่องหมอหลวงกำผา เริ่มเรื่องที่เมืองมนุษย์ การสร้างข้อความได้เกิดข้อขัดแย้ง ระหว่างขุนอินทร์ และขุนสาง เรื่องการกำหนดแม่ปีว่าควรจะมีกี่ปี ต่อมาให้มนุษย์ผู้หนึ่งเป็นผู้ตัดสินและได้ตัดสินให้พระอินทร์ชนะ ต่อจากนั้นปีศักราชของไตก็นับตามพระอินทร์ ขุนสางถูกตัดหัวต่อจากนั้นก็ปรากฎเรื่องราวตามตำนานของประเพณีสงกรานต์ของไท (หน้า 398-399,407) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ชาวบ้านไต มีความภาคภูมิใจในศักดิ์ศรีของคนไตว่าเจริญกว่าชนเผ่าอื่น ๆ โดยเฉพาะในแง่ของศาสนา และความเชื่อซึ่งถือเป็นจุดเด่นที่แสดงความเจริญกว่าของเชื้อชาติไต ตัวอย่างเช่น กลุ่มไตในบ้านใหม่หมอกจ๋าม เน้นพิธีกรรมทางพุทธศาสนามากกว่า และหลีกเลี่ยงพิธีกรรมเกี่ยวกับผี มีข้อขัดแย้งทางใจกับกลุ่มไทแงนที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้เคียงอันอาจถือเป็นบ้านบริวารทางวัฒนธรรม (หน้า 335-336,406) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ไตบ้านใหม่หมอกจ๋ามรากฐานทางสังคม วัฒนธรรม ประเพณียังไม่แน่น ปรับเปลี่ยนตามนโยบายของรัฐ และผสมผสานกับชนกลุ่มโดยรอบ ๆ ทั้งใช้รากฐานเดิมดัดแปลงใหม่ทั้งแบบหลวงและแบบคนเมืองเข้ามาผสมผสาน ถ้าเปรียบกับไตที่แม่ฮ่องสอน ไตที่นี่จะพยายามปรับตัวเป็นคนเมืองมากกว่า เพราะยังขาดความมั่นคงทางการเมือง เศรษฐกิจ ความมั่นคงทางวัฒนธรรมจึงไม่แน่นพอ พร้อมที่จะปรับเปลี่ยนและยอมรับเงื่อนไขจากภายนอกทุกประการ เช่น การแต่งกายและวิถีชีวิตด้านต่าง ๆ ที่เปลี่ยนไปพึ่งพาสินค้าอุปโภค บริโภคจากเมืองมากขึ้น พิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการผลิตก็ลดการยึดถือปฏิบัติลง และหันไปใช้ยาฆ่าแมลงและปุ๋ยมากขึ้น แนวคิดพุทธศาสนาแพร่กระจายเข้ามาครอบงำความเชื่อดั้งเดิมในลักษณะที่มีบทบาทเหนือกว่า ความเชื่อเรื่องราวเกี่ยวกับลัทธิภูตผีวิญญาณถูกบดบังเลือนหายไปจากความทรงจำ จากเดิมที่วัดเคยเป็นศูนย์กลางทุกวันนี้ต่างคาดหวังเอากับความช่วยเหลือจากในเมืองและทางการมากกว่า วัยเด็กได้รับการศึกษาภาคบังคับ หนุ่มสาวออกไปทำงานนอกหมู่บ้านส่งผลต่อการปะทะสังสรรค์ และถ่ายทอดวัฒนธรรมในครอบครัวและในสังคมมากที่เดียว ประกอบกับเป็นหมู่บ้านใหม่ พระและผู้นำได้จัด และเลือกสรรประเพณีตามที่คิดว่าเหมาะสม หรือทันสมัย (หน้า 335-337,339,341,345,356,407) |
|
Map/Illustration |
- แผนภูมิแสดงความสัมพันธ์ขององค์กรพิธีกรรมจากคำเรียกขานในพิธีกรรม หน้า 459, 460
- แผนผังแสดงความสัมพันธ์ขององค์ประกอบของรูปแบบพิธีกรรม หน้า 462 |
|
|