|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ไท,สังคม,วัฒนธรรม,ความเชื่อ,บ้านใหม่หมอกจ๋าม,เชียงใหม่ |
Author |
นงนุช จันทราภัย, เรณู วิชาศิลป์ |
Title |
สังคมและวัฒนธรรมไทบ้านใหม่หมอกจ๋าม |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ไทลื้อ ลื้อ ไตลื้อ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มนุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน) |
Total Pages |
47 |
Year |
2541 |
Source |
หนังสือ "ไท" ฉลาดชาย ระมิตานนท์ วิระดา สมสวัสดิ์ และเรณู วิชาศิลป์ บรรณาธิการ, เชียงใหม่ :ศูนย์สตรีศึกษา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
มีเนื้อหาครอบคลุมหลายประเด็นทั้งเรื่อง สภาพทั่วไป ประวัติความเป็นมา สภาพสังคม ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์และวัฒนธรรมที่หลากหลาย การปรับตัวและลักษณะโครงสร้างของสังคมไท ตลอดจนความเชื่อประเพณี พิธีกรรม ในวงชีวิตของคนไทบ้านใหม่หมอกจ๋าม |
|
Focus |
ในงานศึกษากล่าวถึงประวัติความเป็นมาของชุมชนไทบ้านใหม่หมอกจ๋ามและสภาพสังคม วัฒนธรรม ความเชื่อ ประเพณี พิธีกรรม ที่เกิดขึ้นในวงจรชีวิต |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ในบ้านใหม่หมอกจ๋าม ภาษาของแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์มีระบบเสียงและคำศัพท์บางส่วนแตกต่างกัน
ชนกลุ่มใหญ่คือคนไท ซึ่งเป็นกลุ่มผู้บุกเบิกตั้งหลักแหล่งอยู่ก่อน ดังนั้น ภาษาไทจึงเป็นภาษาหลักของตนไปโดยปริยาย ยกเว้นภาษาเขียนซึ่งค่อนข้างยุ่งยากซับซ้อนเกินกว่าที่จะเริ่มต้นศึกษาใหม่ บริเวณที่อยู่อาศัยแยกตามชาติพันธุ์ เมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันในกลุ่มจึงใช้ภาษาเดิมของเผ่าพันธุ์ แต่เมื่อต้องติดต่อกับกลุ่มอื่นในหมู่บ้านเดียวกันตามสาธารณะ ก็ใช้ภาษาไทและพยายามใช้คำเมืองหรือภาษาไทยมาตราฐานเมื่อพูดกับคนต่างถิ่น (หน้า 311) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ชาวบ้านใหม่หมอกจ๋าม เรียกชื่อหมู่บ้านตัวเองว่า บ้านใหม่ เดิมมีชื่อเรียกว่าบ้านโป่งป้อม แต่ไม่พบหลักฐานบันทึกเป็นตำนานเกี่ยวกับหมู่บ้าน ราษฎรคู่แรกที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในหมู่บ้านมาจาก อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่เพราะเห็นความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ ปี พ.ศ. 2503 มีคนไทที่มาจากเชียงราย 8 ครอบครัว และชาวบ้านท่าตอน อ.ท่าตอน 9 ครอบครัว อพยพมาเพิ่ม ปี พ.ศ.2505 กองกำลังกู้ชาติไท หรือตะโข้ 200 คนได้หลบหนีการปราบปรามของรัฐบาลพม่าเข้ามาพักอยู่เป็นเวลา 9 เดือน จึงยกทัพกลับไปรัฐฉานและมีผู้สมัครใจอยู่ตั้งถิ่นฐานกับชาวเขาเผ่ามูเซอ และลาหู่ จึงตั้งชุมชนอยู่บนเนินสูง เขตหมู่บ้านเมืองงาม
ปัจจุบันเมื่อตั้งเป็นชุมชนไทเรียกถิ่นที่อยู่ของตัวเองว่า บ้านใหม่หมอกจ๋าม หลังจากนั้นทั้งครอบครัวไทในบริเวณใกล้เคียงและกลุ่มชาติพันธุ์อื่นก็อพยพตามมารวมกลุ่มด้วยเป็นระยะ ต่อเมื่อชุมชนนี้เติบโตและคึกคักขึ้นรัฐไทยจึงต้องประกาศให้เป็นหมู่บ้านอย่างเป็นทางการปี พ.ศ. 2516 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหมู่บ้าน หมู่ที่ 13 ขึ้นกับ อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ มีการจัดรูปแบบการปกครองตามรูปแบบของรัฐเมื่อประชากรมีความหนาแน่นมากขึ้นจึงแยกเป็นหมู่ที่ 8 ของเขตการปกครอง อ.ท่าตอน ปี พ.ศ. 2528 ได้รับคัดเลือกให้เป็นหมู่บ้าน ปชด. (อาสาป้องกันตนเองชายแดน) ปี พ.ศ.2529 เป็นหมู่บ้าน อพป.(อาสาป้องกันตนเอง) และได้รับคัดเลือกให้เป็นหมู่บ้านแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง (หน้า 291-293) |
|
Settlement Pattern |
การตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนจะตั้งแยกกันเป็นกลุ่มตามชาติพันธุ์ของตนเอง ตามลำดับเวลาที่อพยพเข้ามาในประเทศไทย คนไท -ทำเลที่ตั้งขนานไปกับลำน้ำแม่กก กลุ่มไทกลุ่มใหม่ตั้งบ้านเรือนอยู่หัวนา เส้นทางไปบ้านท่ามะแกง ไทยยวน ครอบครัวแรกมาตั้งหลักแหล่งอยู่บริเวณถ้ำบ้วน ปัจจุบันมี 4 หลังคาเรือน ไทแงน ถูกจัดให้อยู่บริเวณบนดอยริมวัดทางทิศใต้ ไทลื้อ ตั้งเรือนอยู่บริเวณเดียวกับไทแงนเพราะมาเวลาไล่เลี่ยกันและเลยไปทางถ้ำบ้วน ที่อพยพมาระลอกหลัง 18 หลังคาเรือนถูกจัดให้อยู่วังไผ่ห่างจากบ้านใหม่หมอจ๋าม 3 กิโลเมตร ไทแช่ม อยู่ต่อหัวนาออกไป 1 กิโลเมตร (หน้า 291) |
|
Demography |
บ้านใหม่หมอกจ๋ามประกอบด้วย 5 กลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มที่มีประชากรสูงที่สุด คือกลุ่มไทใหญ่ ไทลื้อ ไทยอง ไทแช่ม ไทยยวน จากรายงานของทางราชการเป็นประชากรไตหลายเผ่าหลายภาษา รายงานประชากรจากการสำรวจมีจำนวน 1,194 คน 204 ครัวเรือนมีประชากรอยู่จริง 1,858 คน 481 ครัวเรือน ชาย 879 คน หญิง 979 คนเกือบครึ่งหนึ่งของประชากรมีสถานภาพเป็นผู้พลัดถิ่น สัญชาติพม่า จำนวนประชากรของแต่ละกลุ่มไม่แน่นอนเนื่องจากมีผู้อพยพเข้าเมืองทางแนวชายแดนด้านเหนือโดยไม่แจ้งให้เจ้าหน้าที่รัฐทราบ (291) |
|
Economy |
ในสังคมไทเป็นสังคมเกษตรกรรมและเป็นสังคมพึ่งตนเองเป็นหลัก ต้องการแรงงานเพื่อการผลิต ระดับเทคโนโลยีต่ำ ต้องการความร่วมมือในระหว่างสมาชิกของสังคม เพื่อการสร้างผลผลิต สมาชิกของสังคมจะถูกจำแนกกลุ่มตามแรงงานและสติปัญญา ทุกครัวเรือนประกอบอาชีพเพาะปลูก เครือญาติเป็นแรงงานในการผลิต มีการค้าขายหรือมีอาชีพอื่นเป็นอาชีพเสริม (หน้า303,306,308-309) |
|
Social Organization |
ลักษณะครอบครัวเป็นครอบครัวเดี่ยว สมาชิกสายตรงในครอบครัวมีรุ่นเดียวคือ รุ่นลูก การแต่งงานถือเป็นการผูกพันถาวร เป็นระบบผัวเดียวเมียเดียว หลังแต่งงานจะอาศัยอยู่บ้านพ่อแม่ระยะหนึ่ง ก่อนไปสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ ฝ่ายหญิงมาอยู่กับครอบครัวสามี บุตรที่ยังไม่แต่งงานจะอยู่ช่วยงานพ่อแม่ การเลือกคู่ครอง ชายหญิงมีโอกาสเลือกคู่ครองด้วยตนเอง และสังคมไทไม่เปิดโอกาสให้เลือกคู่ครองที่ใกล้ชิดทางสายโลหิต หญิงชายจะไม่ประพฤติผิดประเวณีจนกว่าจะแต่งงานกัน ระบบเครือญาติของไทไม่ซับซ้อน โดยให้ความหมายญาติแต่ละสายไว้อย่างชัดเจน อาศัยเกณฑ์การนับจากการแต่งงานและความสัมพันธ์ของสมาชิกในสังคม ให้ความสำคัญกับเครือญาติฝ่ายบิดาเป็นหลัก และจะถูกกำหนดให้มีบทบาทในการแต่งงาน การสืบมรดก เป็นการรับสืบทอดทางสายบิดาโดยธรรมชาติ บุตรที่อาศัยอยู่กับพ่อแม่เป็นผู้เลี้ยงดูและผู้รับมรดกที่ดินและเรือนที่อยู่อาศัยของพ่อแม่ (หน้า 300,303,310) |
|
Political Organization |
กลุ่มชาติพันธุ์ไทเป็นกลุ่มที่มีสมาชิกมาก และเข้ามาตั้งถิ่นฐานก่อนกลุ่มชาติพันธุ์อื่น การได้รับมอบอำนาจในการดูแลจากราชการไทย และการเป็นกลุ่มสัมพันธ์กับอำนาจนอกประเทศ โดยเฉพาะช่วงแรกของการตั้งชุมชน จึงมีบทบาทเป็นผู้จัดวิถีชีวิต มีอำนาจทางวัฒนธรรมรวมถึงอำนาจทางการเมืองการปกครองของชุมชนด้วย โดยการได้รับมอบอำนาจการปกครอง ดูแลจากรัฐบาลไทย กลุ่มผู้นำดั้งเดิมถูกละลายจากการมอบอำนาจของรัฐ(อพยพมาเพิ่มเรื่อย ๆ ) และการให้ความสำคัญกับเพศชายมากกว่าเพศหญิงเพศชายจึงได้รับอภิสิทธิ์ในการปกครองมากกว่า
"โครงสร้างช่วงวัย" Age-grade Structure เป็นเครื่องมือในการวางจังหวะ การเรียนรู้ ค่านิยม วิถีชีวิตแต่ละช่วงชีวิตของคนไท และเป็นกลไกทางสังคมในการสร้างเครือข่ายสังคม และยังเป็นการวางตำแหน่ง หรือคัดเลือกตำแหน่งผู้นำทางสังคมการเมืองการปกครองในอนาคตอีกประการหนึ่งด้วย (หน้า 298,300,306,309) |
|
Belief System |
ในช่วงแรกของการดำเนินชีวิต ยังยึดรูปแบบและวิถีชีวิตดั้งเดิมเป็นหลักโดยเฉพาะด้านศาสนาและความเชื่อ โดยมีจุดมุ่งหมายเป็นจุ่มไทแห่งหนึ่งเพื่อเตรียมก่อตั้งรัฐฉานให้เป็นอิสระ คนไทบ้านใหม่หมอกจ๋ามนับถือศาสนาพุทธโดยมีวัดเป็นศูนย์กลางการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ มีประเพณีที่สืบทอดกันมาคือ
- ประเพณีเกี่ยวกับการเกิด วิถีปฏิบัติที่สำคัญ ถ้าเด็กเกิดเป็นผู้ชายจะนำรกไปแขวนไว้ต้นไม้ ที่เป็นมงคลนามกับเด็กเพื่อให้เด็กฉลาดและเป็นคนดี ถ้าเด็กเกิดเป็นผู้หญิงจะนำรกไปทิ้งน้ำ โดยเชื่อว่าชีวิตจะร่มเย็นเป็นสุข
- การทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ซึ่งนิยมทำพิธี 2 ช่วง คือตอนค่ำของวันแรกจะมีการ "ฮอลิ่ก" (การอ่านหนังสือธรรมมะ) และขอพรผู้เฒ่าผู้แก่ วันที่ 2 ทำพิธีทางศาสนา
- การแต่งงาน ผู้สูงอายุเรียกว่า "เฮ็ดส่องกะหล่า" หรือ "เฮ็ดส่องมังกะหล่า" คนรุ่นใหม่เรียน แต่งงานส่วนการเลือกคู่ครองส่วนมากจะเป็นคนไทด้วยกัน หรือต่างเชื้อชาติหรือชาติพันธุ์ก็ได้
- การทำศพ เดิมคนไทไม่มีการเผาศพ ยกเว้นพระสงฆ์ เมื่ออพยพมาตอนหลังจึงทำพิธีเผาตามแบบคนไทยและจะไม่มีการไว้ทุกข์
- กั๋นตอ คือการแสดงความเคารพยำเกรงและขอโทษผู้ใหญ่
นอกจากนั้นคนไทยังนับถือผี เพื่อให้คอยคุ้มครอง ปกป้องให้อยู่ดีมีสุขอีกด้วย เช่น การไหว้ผีเจ้าเมือง การบูชาผีเจ้าบ้าน เป็นต้น (หน้า 298,321-330) |
|
Education and Socialization |
ลักษณะการอบรมเลี้ยงดูและการให้ความรู้ในวิทยาการต่าง ๆ คือ มีการขัดเกลาทางสังคม และรับการศึกษาตามรูปแบบของรัฐ เด็กที่อยู่ในระหว่างวัย 7-14 ปีต้องเข้ารับการศึกษาจนจบระดับปฐมศึกษา (หน้า 310) |
|
Health and Medicine |
คนไทเชื่อว่าความเจ็บไข้ได้ป่วยเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ผิดผี มีเคราะห์ ขวัญหนี และพยาธิ (โรค) การรักษาไข้เนื่องจากผิดผีก็ต้องทำพิธีเลี้ยงผี หรือเซ่นผี ถ้าอาการไข้ของเด็กเกิดจากอาการขวัญหนีออกจากร่างกายก็ต้องทำพิธีเรียกขวัญ ส่วนธาตุในกายแปรปรวนนั้นก็จะรักษาด้วยยา ซึ่งมีทั้งสมุนไพรและยาแผนปัจจุบัน ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาพยาบาลในหมู่บ้านมีด้วยกัน 4 คน คือ แม่เก็บ (หมอตำแย) หมอแผนโบราณ ซึ่งรักษาด้วยวิธีไสยศาสตร์หรือยาสมุนไพร หมอแผนปัจจุบัน หมอขวากซุย เป็นหมอรักษากระดูก คนในชุมชนที่ป่วยไข้ด้วยโรคพื้น ๆ มักไปหาหมอแผนโบราณก่อน ถ้าไม่หายก็ไปหาหมอแผนปัจจุบัน ถ้ามีอาการมากขึ้นก็จะไปโรงพยาบาลประจำอำเภอ (หน้า 328-329) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การแต่งกายของคนไทนั้น เปลี่ยนแปลงเป็นแบบเดียวกับคนเมืองหรือชาวล้านนาในปัจจุบันส่วนใหญ่ นอกจากผู้สูงอายุที่ยังแต่งกายแบบดั้งเดิมอยู่บ้าง คนรุ่นใหม่จะแต่งกายสมัยใหม่ ยามมีงานประเพณี หรือวันสำคัญทางพุทธศาสนา จะแต่งกายแบบดั้งเดิมของตน ถ้าต้องเป็นผู้แสดง เช่น ฟ้อนนางนก หรือฟ้อนดาบ ฟ้อนไท จึงแต่งกายครบถ้วนตามลักษณะดั้งเดิม ชายวัยกลางคนและชายสูงอายุทุกคนในหมู่บ้านมีรอยสักทั้งตัวเพราะเชื่อเรื่องการอยู่ยงคงกระพัน หญิงชายยุคใหม่ไม่นิยมสัก
ผู้เขียนกล่าวถึงสภาพที่ตั้งของหมู่บ้านและบริเวณใกล้เคียงนั้นมีซากคันดินลักษณะดินแดงอัดแน่นและพบเศษอิฐตกหล่นอยู่บ้าง แนวคันดินแบ่งเป็น 2 แนว ๆ หนึ่งโอบล้อมดอยหมอกจ๋ามและพื้นที่โรงเรียนไปจรดฝั่งแม่น้ำด้านตะวันออก และตะวันตก อีกแนวหนึ่งโอบล้อมดอยหมอกเปาด้านริมฝั่งแม่น้ำทั้งสองมุมมีพื้นที่ยื่นล้ำออกไปเป็นผืนกว้างลักษณะคล้ายป้อม เชิงเทิน พบซากเจดีย์ บนดอยหมอกเปาและพบวัดร้างในพื้นที่ถัดจากเขตถ้ำบ้วนลงไป (หน้า 291,298-299) |
|
Folklore |
ในสมัยก่อนศพของผู้ที่ตายในวันที่ 14 เมษายนจะถูกห่อแล้วมัดโยงไว้ปากเหวหรือกิ่งไม้ไม่ให้แตะต้องพื้นดิน ตามคติความเชื่อในนิทานว่าถ้าเศียรของท้าวมหาพรหมตกถึงพื้นไฟจะไหม้โลกต้องให้นางสงกรานต์เอาพานมารับ (หน้า 325) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
การวางเครือญาติของชุมชนไทบ้านใหม่ช่วยให้เกิดความเข้าใจกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ในระยะแรกของการตั้งหมู่บ้านสมาชิกของแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์ มักเลือกคู่ครอง เฉพาะในกลุ่มชาติพันธุ์ของตนเอง แต่ปัจจุบันมีการสร้างถนนเชื่อมกับ ต.ท่าตอน และหมู่บ้านอื่น ๆ มากขึ้น ชายหญิงมีโอกาสเลือกคู่นอกกลุ่มสังคมและข้ามกลุ่มเผ่าพันธุ์ จึงพบว่ามีการแต่งงานระหว่างหญิงไทกับชายไทยและชาวเผ่าลีซอ และย้ายออกไปอยู่บ้านสามีมากขึ้น สังคมไท สมาชิกแต่ละช่วงวัย จะได้รับการถ่ายทอด กระตุ้นซ้ำ ค่านิยม ความเชื่อ และพฤติกรรมพึงปฏิบัติ อันเป็นคุณสมบัติของสังคมและชาติพันธุ์ ไทเป็นกลุ่มที่มีสถานภาพทางสังคมสูงกว่ากลุ่มอื่น กลุ่มอื่นจึงสนับสนุนให้ลูกหลานให้เรียนรู้หนังสือ และการสอนลิ่กไท มีส่วนทำให้คนรุ่นใหม่ในชุมชนถูกหล่อหลอมกันเป็นไท ไม่ว่ากลุ่มบรรพบุรุษจะเป็นกลุ่มใดก็ตาม เป็นวิธีการที่ปลูกฝังวัฒนธรรมทางภาษาให้ดำรงคงไว้ เพราะวัฒนธรรมทางภาษาเป็นส่วนสำคัญที่แสดงถึงเอกลักษณ์ของเผ่าพันธุ์ (หน้า 301,303,308) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ผู้เขียนกล่าวไว้ชัดเจน พอสรุปได้ว่า ในช่วงแรกของการอพยพวัฒนธรรมความเชื่อของคนไทเป็นศูนย์กลางการยึดถือปฏิบัติ พอสภาพสังคม เศรษฐกิจเปลี่ยนไป โดยมีการเชื่อมโยงกับชนเผ่าอื่น และไทพื้นราบเช่น มีถนนตัดผ่าน มีโรงเรียนที่สอนภาษาไทยมาตราฐาน ทำให้ทัศนะของคนเปลี่ยนไป วิถีปฏิบัติ ความเชื่อเก่า ภาษา การแต่งงานก็ปรับเปลี่ยนกลมกลืนตามยุคสมัย (หน้า 315-316,298-301) |
|
Map/Illustration |
-แผนที่บ้านใหม่หมอกจ๋าม หน้า 303
-แผนภูมิตัวอย่างการเปรียบเทียบความหมาย คำเครือญาติ หน้า 305
-โครงสร้างช่วงวัยชายไท หน้า 307 |
|
|