|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลื้อ,ประวัติศาสตร์,ความสัมพันธ์,คริสตจักร,เชียงรุ่ง,สิบสองปันนา,ภาคเหนือ |
Author |
พรรณี อวนสกุล, รัตนาพร เศรษกุล, พงษ์ธาดา วุฒิการณ์ |
Title |
ประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างคริสตจักรไทลื้อเชียงรุ่ง สิบสองปันนา กับคริสตจักรภาคเหนือในประเทศไทย อดีต-ปัจจุบัน |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ไทลื้อ ลื้อ ไตลื้อ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยพายัพ |
Total Pages |
132 |
Year |
2541 |
Source |
คณะมนุษยศาสตร์ คณะศาสนศาสตร์แมคกิลวารี มหาวิทยาลัยพายัพ เชียงใหม่ |
Abstract |
งานวิจัยชิ้นนี้ศึกษาในหลายประเด็น ได้แก่ การเผยแพร่คริสต์ศาสนาในดินแดนล้านนาภาคเหนือของประเทศไทย การเผยแพร่คริสต์ศาสนาในสิบสองปันนา ความสัมพันธ์ระหว่างคริสตจักรเชียงรุ่งกับคริสตจักรภาคเหนือของประเทศไทยในฐานะที่เป็น คริสตจักรคนไทด้วยกัน และวิเคราะห์คริสต์ศาสนาในสิบสองปันนา โดยเน้นที่คริสต์ศาสนาในเมืองเชียงรุ่ง อย่างไรก็ตาม ผลจากการศึกษาพบว่า การก่อตั้งคริสตจักรเชียงรุ่งเป็นการขยายงานพันธกิจของคริสตจักรในภาคเหนือของประเทศไทย โดยการดำเนินงานของคณะมิชชันนารีกลุ่มเดียวกับที่ก่อตั้งคริสตจักรในภาคเหนือของประเทศไทย และภายใต้นโยบายการขยายงานเผยแพร่คริสต์ศาสนาในกลุ่มคนไทประเทศต่าง ๆ ความสัมพันธ์ระหว่างคริสตจักรในภาคเหนือของประเทศไทยกับคริสตจักรเชียงรุ่ง มีลักษณะแบบคริสจักรพี่กับคริสตจักรน้อง โดยคริสตจักรเชียงรุ่งจะได้รับแบบแผนและความช่วยเหลือจากคริสตจักรในภาคเหนือของไทยทั้งในด้านการบริหาร บุคลากร รูปแบบการบริหารงาน ตลอดจนกิจกรรมบริการสังคม นอกจากนี้ ผู้ที่นับถือคริสต์ศาสนาในเชียงรุ่งส่วนใหญ่ ยังเป็นกลุ่มที่มีฐานะทางสังคมใกล้เคียงกับผู้ที่นับถือคริสต์ศาสนาในล้านนาด้วย ส่วนการบริหารงานปกครองคริสตจักรเชียงรุ่งนั้น อยู่ภายใต้การดูแลของมิชชันนารีในประเทศไทยมากกว่า เนื่องจากสะดวกในการติดต่อและเป็นไทด้วยกัน การเผยแพร่ศาสนาประสบความสำเร็จในกลุ่มคนชั้นล่างของสังคมเป็นส่วนใหญ่ ขณะที่ชนชั้นปกครองและไทลื้อสามัญไม่ให้ความสนใจต่อคริสต์ศาสนานัก และยังมองว่า ชุมชนคริสเตียนเป็นชุมชนของชนกลุ่มน้อย ที่มีจารีตประเพณีและวัฒนธรรมแตกต่างจากคนกลุ่มใหญ่ในสังคมด้วย (หน้า 10) |
|
Focus |
ศึกษาประวัติการก่อตั้ง พัฒนาการ ความสัมพันธ์กับคริสตจักรในภาคเหนือของประเทศไทย การสืบสานความเชื่อทางศาสนาในช่วงที่ประเทศจีนมีการเปลี่ยนแปลงเป็นระบอบคอมมูนิสต์และปิดกั้นเสรีภาพทางศาสนา และสถานภาพของคริสตจักรไทลื้อ เมืองเชียงรุ่ง แคว้นสิบสองปันนา ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนในปัจจุบัน |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มชาติพันธุ์ที่ศึกษาในงานวิจัยชิ้นนี้ คือ "ไทลื้อ" เมืองเชียงรุ่ง แคว้นสิบสองปันนา ประเทศจีน, "ไท" หมายถึง กลุ่มชนที่มีภาษาอยู่ในตระกูล "ไท" หรือ "ไต" ซึ่งปัจจุบันอาศัยอยู่ในประเทศไทยและลาว นอกจากนี้ยังมีคนไทที่อาศัยอยู่ในแคว้นอัสสัม ประเทศอินเดีย รัฐฉานทางตอนเหนือของประเทศพม่า แคว้นสิบสองปันนาทางตอนใต้ของประเทศจีน และทางตอนเหนือของประเทศเวียดนามด้วย ในปัจจุบันมี "คนไท" อาศัยอยู่ในภูมิภาคนี้ประมาณ 70 ล้านคน มีกลุ่มภาษาไทที่เป็นภาษาถิ่นย่อยประมาณ 50 ภาษาถิ่น มีความเป็นอยู่ รูปร่างหน้าตาและวัฒนธรรมคล้ายคลึงกัน (หน้า 4-5) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาที่ไทลื้อคริสตจักรเชียงรุ่ง สิบสองปันนาใช้กันทั่วไป คือ ภาษา "ไทลื้อ" อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันจีนได้กำหนดนโยบายให้ใช้ระบบการศึกษาแบบจีนเท่านั้น ส่งเสริมการใช้ภาษาจีนทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งในชีวิตประจำวันและการติดต่อราชการ แม้ในปัจจุบัน คนไทลื้อรุ่นใหม่จะยังคงพูดภาษาไทลื้อได้ แต่ก็ไม่สามารถอ่านภาษาไทลื้อได้ ปรากฏการณ์นี้จะพบได้ที่คริสตจักรไทลื้อ บ้านโยน ส่วนคริสตจักรไทลื้อบ้านนาแล เมืองขอนนั้น แม้คนรุ่นใหม่จะได้รับการศึกษาแบบจีนเช่นกัน แต่สมาชิกส่วนใหญ่ยังสามารถอ่านภาษาไทลื้อได้ (หน้า 94-95) |
|
Study Period (Data Collection) |
คณะวิจัยระบุว่าได้เดินทางไปทำวิจัยภาคสนามที่แคว้นสิบสองปันนา ประเทศจีน 2 ครั้ง คือ ระหว่างวันที่ 15 - 26 พฤษภาคม 2536 และระหว่างวันที่ 16 - 25 เมษายน 2537 (หน้า 4) งานวิจัยชิ้นนี้ตีพิมพ์เป็นเล่มในปี 2541 ดังนั้น จึงแสดงว่า ต้องศึกษาอยู่ในช่วงระหว่าง พ.ศ. 2536 - พ.ศ. 2541 |
|
History of the Group and Community |
ประวัติศาสตร์ของคริสตจักรเชียงรุ่ง สิบสองปันนา ประเทศจีน แบ่งออกได้เป็น 3 ช่วง ดังนี้ - ช่วงแรก คือ ยุคแห่งการบุกเบิกและเผยแพร่พันธกิจ เริ่มตั้งแต่การเดินทางสำรวจดินแดนสิบสองปันนาของศาสนาจารย์ ดร.แมคกิลวารีและคณะเมื่อ ค.ศ. 1893 การก่อตั้งคริสตจักรเชียงรุ่งใน ค.ศ. 1917 จนกระทั่งเมื่อพรรคคอมมูนิสต์จีนได้ชัยชนะ และได้ทำการจัดตั้งรัฐบาลปกครองประเทศใน ค.ศ.1949 - ช่วงที่สอง คือ ยุคสังคมคอมมิวนิสต์ ภายใต้ความเชื่อและอุดมการณ์มาร์กซิสม์ ทุกศาสนาถูกขจัดกวาดล้างออกจากสังคม ผู้ที่ยังคงยึดมั่นในความเชื่อและศรัทธาในศาสนา จำเป็นต้องหลบซ่อนการเรียนรู้และการปฏิบัติศาสนพิธี ภายใต้บริบทเช่นนี้ ส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างคริสตจักรเชียงรุ่งกับคริสตจักรในภาคเหนือของประเทศไทยในยุคนี้ ต้องหยุดชะงักลง เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจีนกับประเทศไทย - ยุคที่สาม คือ ยุคแห่งการฟื้นฟูและสืบสานความสัมพันธ์ ซึ่งเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อรัฐบาลคอมมิวนิสต์จีนได้เปลี่ยนนโยบายครั้งใหญ่ คือ การเปิดประเทศให้มีเสรีภาพทางเศรษฐกิจและศาสนา นโยบายการเปิดเสรีภาพทางศาสนาในปี ค.ศ. 1978 ส่งผลให้มีการฟื้นฟูการนับถือศาสนาขึ้นมาใหม่ในสังคมจีน ภายใต้บริบทเช่นนี้ คริสตจักรเชียงรุ่งก็ได้รับการฟื้นฟูก่อตั้งขึ้นอีกครั้งโดยชาวคริสเตียนไทลื้อเชียงรุ่ง กลุ่มคนที่มีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูคริสตจักรเชียงรุ่งก็คือ กลุ่มสตรีคริสเตียนทั้งเก่าและใหม่ (หน้า 131) พร้อม ๆ ไปกับการสืบสานความสัมพันธ์ระหว่างคริสตจักรเชียงรุ่ง กับคริสตจักรในภาคเหนือของประเทศไทยในรูปของการติดต่อและช่วยเหลือด้านต่าง ๆ เพื่อการฟื้นฟูคริสตจักร (หน้า 126) ในปัจจุบันนี้ เมืองเชียงรุ่งได้ถูกเปิดให้เป็นเมืองท่องเที่ยว โดยใช้วัฒนธรรมไทลื้อเป็นสิ่งจูงใจนักท่องเที่ยว สิ่งเหล่านี้ได้ทำวิถีชีวิตของไทลื้อเปลี่ยนแปลงไปด้วย คริสตจักรเชียงรุ่งที่ยังเหลืออยู่แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ คริสตจักรบ้านโยน ซึ่งเป็นคริสตจักรในเมืองเชียงรุ่งและคริสตจักรบ้านนาแล เมืองขอน และคริสตจักรเมืองยาง ซึ่งเป็นคริสจักรนอกเมืองเชียงรุ่ง (หน้า 91) อย่างไรก็ตาม ใน 2 กลุ่มนี้ ชุมชนคริสเตียนบ้านโยน คือ ศูนย์กลางของเมืองเชียงรุ่ง ที่ทำให้ชาวคริสเตียนยังคงได้รับประโยชน์จากการใช้ที่ดินของหมู่บ้านในการลงทุนทำธุรกิจประเภทต่างๆ นำผลกำไรบางส่วนมาสนับสนุนศาสนาและทำให้ชุมชนคริสเตียนบ้านโยนในปัจจุบันไม่ได้เป็นเพียงชุมชนทางศาสนาเท่านั้น แต่ยังมีกลิ่นอายของความเป็นชุมชนทางธุรกิจสมัยใหม่อีกด้วย (หน้า 132) |
|
Demography |
งานวิจัยระบุเพียงว่า จากการสำรวจใน พ.ศ. 2533 พบว่า ไทลื้อในสิบสองปันนา ในประเทศจีน มีจำนวนประชากรประมาณ 270,405 คน (หน้า 104) |
|
Economy |
ในอดีต ไทลื้อ สิบสองปันนา มีระบบเศรษฐกิจแบบธรรมชาติ ทั้งนี้เนื่องจากไทลื้ออาศัยในบริเวณเป็นที่ราบลุ่มขนาดเล็ก เต็มไปด้วยป่าเขา ทำให้ไทลื้อมีวิถีชีวิตที่ใกล้ชิดและพึ่งพิงกับธรรมชาติ ที่ตั้งของเมืองอยู่ห่างกัน ทำให้ระบบการผลิตของไทลื้อ สิบสองปันนา ยังคงเป็นระบบเศรษฐกิจแบบธรรมชาติที่หาได้ในท้องถิ่น การค้าในระดับสำคัญยังคงจำกัดอยู่ในหมู่คนต่างถิ่นและชนชั้นสูง การค้าในระดับล่างยังเป็นการค้าแบบแลกเปลี่ยนสินค้าเพื่อสนองความต้องการและความจำเป็นในการดำรงชีวิต และการผลิตในครัวเรือน สภาพเศรษฐกิจเช่นนี้ มีมาจนถึง ปี ค.ศ. 1940 (หน้า 43) ในปัจจุบัน ระบบเศรษฐกิจของชุมชนคริสเตียนบ้านโยน มีการปรับเปลี่ยนไปพร้อมกับระบบเศรษฐกิจกระแสทุนนิยมที่เข้ามาสู่เมืองเชียงรุ่ง สิบสองปันนา ได้อย่างเหมาะสม สภาพชุมชนบ้านโยนมีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจก่อนชุมชนอื่นในเชียงรุ่ง มีถนนสายหลักราดยางแอสฟัลต์กว้างประมาณ 8 เมตร ตัดผ่านชุมชนบ้านโยนมีโรงแรมใหญ่ตั้งอยู่ 3 หลัง 1 ใน 3 พัฒนามาจากบ้านพักของมิชชันนารีเดิม อีกแห่งเป็นการสร้างโรงแรมในพื้นที่ของโบสถ์บ้านโยนโดยให้เช่าพื้นที่แก่นักธุรกิจ และอีก 1 หลังสร้างขึ้นในที่ดินของนายบ้านโยน ในปัจจุบัน ชาวบ้านโยนทำธุรกิจหลายประเภท เช่น นายหน้าขายรถ เปิดร้านขายของที่ระลึกแก่นักท่องเที่ยว เปิดร้านอาหาร แบ่งพื้นที่พักอาศัยให้ชาวจีนฮ่ออพยพเช่าอาศัย มีช่องทางของการหารายได้, สะสมเงิน, และการลงทุนในรูปแบบต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับการปรับเปลี่ยนทางเศรษฐกิจกระแสทุนอย่างดี ในขณะที่ชุมคริสเตียนบ้านนาแล เมืองขอน ยังคงดำรงความเป็นชุมชนเกษตรกรรม ที่พัฒนาคุณภาพชีวิตดีขึ้นจากการทำงานหนักในไร่นา ขายผลผลิตได้และนำเงินมาปรับปรุงที่อยู่อาศัยให้มั่นคง (หน้า 118-119) |
|
Social Organization |
กลุ่มครอบครัวและเครือญาติของคริสเตียนบ้านโยน เชียงรุ่ง และคริสเตียนบ้านนาแล เมืองขอนมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด แต่ผู้ชายซึ่งเป็นผู้นำคริสเตียนในรุ่นแรก มักจะเสียชีวิตก่อนเป็นส่วนใหญ่ ส่วนผู้ชายสามคนสุดท้ายที่ยังมีชีวิตอยู่ ปัจจุบันได้หันไปนับถือศาสนาพุทธแล้วสองคน นอกจากนี้ภายในกลุ่มผู้นำคริสเตียน ยังมีความสัมพันธ์ทั้งในฐานะเพื่อนร่วมอุดมการณ์ และสายสัมพันธ์ทางเครือญาติโดยการเป็นพี่น้อง ลูกพี่ลูกน้อง ด้วย จากสภาพดังกล่าวทำให้ผู้นำการฟื้นตัวของคริสตจักรไทลื้อ ที่เชียงรุ่ง ภายหลังการเปลี่ยนแปลงและการปิดประเทศของจีน ถูกนำโดยกลุ่มผู้หญิงซึ่งเป็นภรรยาของกลุ่มผู้นำคริสเตียนรุ่นแรก ได้แก่ แม่แสงนาง, แม่แก้ว, แม่อาม, แม่โย่ง, แม่แปงโหลง, แม่ปัน, แม่ศรี, แม่แสงดา, และ แม่เลา (ดูแผนภาพเครือญาติคริสเตียนที่เชียงรุ่ง และที่บ้านนาแล สิบสองปันนา ประเทศจีน - หน้า 114) อย่างไรก็ตาม บทบาทของพวกเธอก็คือการถ่ายทอดความเชื่อ และความเป็นคริสเตียนให้ลูกทั้งหญิงและชาย สะใภ้ที่เข้ามาครอบครัว คริสเตียนก็มักจะเป็นคริสเตียนไปด้วย นอกจากนี้ กลุ่มผู้หญิงคริสเตียนยังบทบาทความเป็นแม่ที่มีต่อลูกด้วย เช่น ในยามที่เจ็บป่วยจะมีการเชิญเพื่อนบ้านคริสเตียนซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงอาวุโสมาอธิษฐานวางมือแก่ลูก เพื่อให้หายจากอาการป่วยไข้ที่หาสาเหตุไม่ได้ (หน้า 115) ในสังคมของไทลื้อคริสเตียน เชียงรุ่ง สิบสองปันนา ผู้หญิงมีบทบาทค่อนข้างสูงทั้งในอดีตและปัจจุบัน เช่น กลุ่มเรียนพระคัมภีร์, ผู้เข้าโบสถ์ร่วมนมัสการในวันอาทิตย์, และผู้นำกิจกรรมต่างๆ ของโบสถ์ เช่น นักเทศน์, ผู้นำการร้องเพลง, คนทำบัญชี, และคนรับเงิน ก็ล้วนแต่เป็นผู้หญิงทั้งสิ้น นอกจากนี้อีติ๊บ ยังเป็นผู้นำสตรีคริสเตียนจากโบสถ์บ้านโยน ออกไปเผยแพร่พระวจนะของพระเจ้าตามหมู่บ้านชานเมืองเชียงรุ่ง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวจีนฮ่อ หรือ โดยการแต่งงาน รวมทั้งการสืบสายโลหิตอีกด้วย สภาพดังกล่าวก่อให้เกิด "เครือข่ายทางสังคม" ที่มีผลต่อการฟื้นตัวและการดำเนินงานของกลุ่มคริสเตียนที่เชียงรุ่งในปัจจุบันด้วย (หน้า 116) |
|
Political Organization |
ไทลื้อคริสตจักรเชียงรุ่ง สิบสองปันนา อยู่ภายใต้การปกครองของจีน ซึ่งมีเติ้งเสี่ยวผิงเป็นผู้นำสูงสุด (หน้า 112) ในช่วงนี้รัฐบาลจีนได้วางนโยบายให้ทุกศาสนาดำเนินงานโดยยึดหลัก 3 ประการ ได้แก่ บริหารงานเอง, ประกาศเผยแพร่เอง, และพึ่งตนเอง ห้ามเผยแพร่ศาสนาโดยชาวต่างชาติรวมทั้งห้ามการช่วยเหลือทางการเงินจากภายนอก เนื่องจากผู้นำจีนเกรงว่าจะจะมีการนำศาสนามาเป็นข้ออ้างในการเข้ามาแทรกแซงทางการเมืองภายใน จากนโยบายดังกล่าว ทำให้มีการจัดการกิจกรรมทางศาสนา โดยมีคณะกรรมการกิจการชนชาติทางด้านศาสนาเป็นผู้ดูแลควบคุมกิจกรรมทางศาสนาต่าง ๆ ในทางปฏิบัตินั้นรัฐบาลจีนจะะเข้มงวดกับหลักการของนโยบายทางศาสนาในมณฑลที่มีชาวจีนอาศัยอยู่มาก แต่สำหรับในเขตอิสระปกครองตนเองของชนชาติส่วนน้อย เช่น ไทลื้อสิบสองปันนา รัฐบาลจีนจะค่อนข้างยืดหยุ่น อนุญาตให้รับเงินช่วยเหลือจากต่างชาติในการฟื้นฟูศาสนาในมลฑลของตนได้ (หน้า 118) สำหรับการเมืองภายในชุมชน ผู้นำอย่างไม่เป็นทางการของคริสตจักรเชียงรุ่ง เป็นผู้หญิงเกือบทั้งหมด ส่วนผู้ชายจะคอยให้ความร่วมมืออยู่ห่างๆ จนถูกวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มผู้หญิง อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงบางส่วนได้ปกป้องผู้ชายว่า ผู้ชายต้องทำงานหาเงิน ไม่มีเวลามาช่วยงานโบสถ์ เมื่อผู้ชายมีบทบาทน้อย "อีติ๊บ" (หมายถึง ผู้หญิงซึ่งเป็นผู้นำกิจกรรมต่างๆของโบสถ์) จึงขึ้นมาเป็นผู้นำโบสถ์ โดยมิได้มีการสถาปนาความเป็นผู้ปกครองโบสถ์ จากผู้มีสิทธิอำนาจในการปกครองคริสตจักรของจีน จึงทำให้ ติ๊บมีความลำบากใจในการจัดการกิจการงานของโบสถ์ และจุดมุ่งหมายในการเผยแพร่คริสต์ศาสนาต่อกลุ่มคนภายนอกชุมชน โดยเฉพาะคนจีนที่เคลื่อนย้ายแรงงานเข้ามาอยู่ในสิบสองปันนามากขึ้น ถึงกระนั้นก็ตาม สถานภาพของติ๊บในปัจจุบันก็มิได้ก่อให้เกิดปัญหาแต่ประการใด ( หน้า 116) |
|
Belief System |
ไทลื้อคริสตจักรเชียงรุ่ง สิบสองปันนา นับถือศาสนาคริสต์ นิกายโปรเตสแตนท์ ซึ่งมีคำสอนว่า ปัญหาพื้นฐานของมนุษยชาติ คือความผิดบาป ความรอด หมายถึงความเป็นอิสระจากผลแห่งความผิดบาป และความมีชีวิตนิรันดร์ในแผ่นดินสวรรค์ องค์พระเยซูคริสต์เท่านั้นคือผู้ช่วยให้รอดจากความผิดบาป ความรอดเกี่ยวข้องไปถึงสิ่งที่ดีกว่าอีกด้วย เช่น ชีวิตที่มีคุณธรรมมากกว่าบนแผ่นดินโลก และสิ่งที่ดีอีกสิ่งหนึ่งก็คือ สังคมที่เจริญกว่า (หน้า 100) นับตั้งแต่เริ่มต้นนับถือศาสนาคริสต์มาจนถึงปัจจุบัน ผู้ที่มีบทบาทในการสะสมและสืบทอดความเชื่อและความเป็นคริสเตียน คือ กลุ่มสตรี การถ่ายทอดพระคัมภีร์ยุคแรกได้ฝังรากลึกในจิตใจของผู้ที่เป็นศิษย์เยซูทั้งหญิงและชาย ความศรัทธาต่อคริสต์ศาสนาของไทลื้อในปัจจุบันนี้ แสดงออกเห็นในหลายทาง ได้แก่ โดยการถ่ายทอดความเชื่อและพิธีการบางอย่างที่ส่งต่อมาจากแม่เฒ่าจิต (ซึ่งเป็นภรรยาของอ้ายคำบุ ผู้นำคริสเตียนชาวพื้นเมืองที่เสียชีวิตไปแล้ว) สู่กลุ่มคริสเตียนหนุ่มสาวในยุคฟื้นฟู โดยการแสดงบทบาทของสตรีต่อครอบครัวและชุมชนตามพระคัมภีร์ต่าง ๆ เช่น คัมภีร์พันธสัญญาใหม่ ซึ่งคริสตชนไทลื้อยอมรับและศรัทธา, คัมภีร์มัทธิวที่สอนว่า สตรีมีความสำคัญทัดเทียมชาย โดยเฉพาะการบังเกิดของพระเยซู ให้ความหมายและความสำคัญของหญิงและชาย ซึ่งเป็นต้นวงศ์ของพระคริสต์ทัดเทียมกัน นั่นคือ ความสำคัญและความหมายของความเป็นบุคคล บทบาทสำคัญที่พระคริสต์มอบให้แก่หญิง ได้แก่ การนำข่าวการคืนพระชนม์ของพระองค์ไปบอกสาวก เพราะพระคริสต์ได้ปรากฏพระองค์แก่สตรี และคัมภีร์มาระโก ที่กล่าวว่า บทบาทสตรีไม่ได้จำกัดอยู่ในแวดวงเฉพาะครอบครัวของตน แต่ขยายความผูกพันไปถึงสตรีและคนในครอบครัวอื่น ในชุมชนอื่นด้วย หากผู้หญิงคนใดที่มีคุณธรรมตามที่พระคัมภีร์ว่าไว้ ก็จะถือว่า เป็นผู้หญิงที่สมควรแก่การยกย่อง (หน้า 113-114) ส่วนพิธีกรรมและวันสำคัญทางศาสนาคริสต์ ที่ไทลื้อคริสตจักรเชียงรุ่งต้องปฏิบัติมีหลายอย่าง ได้แก่ พิธีมหาสนิท ที่จะมีการใช้ขนมปังกับน้ำอ้อยกับน้ำมะขาม มีการประกอบพิธีนี้ทุก ๆ 3 เดือน พิธีบัพติสมา พิธีแต่งงาน จะมีการแต่งงานในโบสถ์ เพลงที่ใช้ร้องในภาษาไทลื้อเป็นเพลงบทที่ 222 วันอิสเตอร์ ที่จะมีการนมัสการตอนเช้าตรู่บนภูเขา พิธีถวายผลหัวปี จะจัดขึ้นหลังจากที่การเก็บเกี่ยวข้าวในนาเสร็จแล้ว โดยสมาชิกคริสตจักรจะนำเอาผลผลิตของตนมาถวายให้พระเจ้าด้วย วันคริสตมาส ซึ่งจัดในวันที่ 25-24 ธันวาคม โดยจะจัดให้มีการนมัสการพิเศษ ตอนกลางคืนวันที่ 24 ธันวาคม จะมีการออกไปร้องเพลงตามบ้านของสมาชิก และแต่ละบ้านจะออกมาต้อนรับด้วยขนมต่าง ๆ ส่วนวันที่ 25 ธันวาคม แต่ละบ้านจะจดวันคริสตมาสของตน มีลักษณะคล้ายต้นกฐินของชาวพุทธ มีของขวัญที่จะมอบแก่สมาชิกคริสตจักร เขียนชื่อแขวนไว้และจะมีการแห่ต้นคริสตมาสของตนไปที่โบสถ์ หลังการนมัสการก็จะมีการแจกของขวัญ การนมัสการทุกวันอาทิตย์ คือให้ยึดถือวันอาทิตย์เป็นวันสะบาโต ให้งดทำงานทั้งหมด, การถวายทรัพย์, และกลุ่มสตรีจะมีการนมัสการตอนบ่ายที่โบสถ์ มีการเรียนพระคัมภีร์ หัดร้องเพลงตามความเหมาะสม (หน้า 73-74) |
|
Education and Socialization |
ในปัจจุบันรัฐบาลจีนได้กำหนดนโยบายให้ใช้ระบบการศึกษาแบบจีนเท่านั้น คือ ส่งเสริมให้ไทลื้อใช้ภาษาจีนทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งในชีวิตประจำวัน และการติดต่อราชการ ในกรณีคริสเตียนบ้านโยนนั้น คนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ได้รับการศึกษาแบบจีน เรียนภาษาจีน แต่ก็ยังคงพูดและอ่านภาษาไทลื้อได้ (หน้า 95) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
นับถือศาสนาคริสต์ นิกายโปรเตสแตนท์ พูดภาษาไทลื้อ กลุ่มผู้หญิงเป็นผู้นำในกิจกรรมทางศาสนาและมีบทบาททางสังคมมากกว่าผู้ชาย มีทำนาทำไร่ และค้าขาย |
|
Social Cultural and Identity Change |
ในปัจจุบัน (พ.ศ. 2535) ท่ามกลางการปรับตัวเข้าสู่กระแสทุนนิยมของประเทศจีน ชุมชนไทลื้อคริสจักรเชียงรุ่ง สิบสองปันนา ก็ได้มีการปรับตัวไปตามระบบเศรษฐกิจกระแสทุนนิยมมากขึ้นด้วย ตัวอย่างเช่น ชุมชนไทลื้อคริสเตียนบ้านโยนที่มีการปรับเปลี่ยนไปพร้อมกับระบบเศรษฐกิจกระแสทุนนิยมที่เข้ามาสู่เมืองเชียงรุ่ง สิบสองปันนาอย่างเหมาะสม กล่าวคือ ชุมชนบ้านโยนมีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจก่อนชุมชนอื่นในเชียงรุ่ง มีถนนสายหลักราดยางแอสฟัลต์กว้างประมาณ 8 เมตร ตัดผ่านชุมชนบ้านโยนมีโรงแรมใหญ่ตั้งอยู่ 3 หลัง 1 ใน 3 พัฒนามาจากบ้านพักของมิชชันนารีเดิม อีกแห่งเป็นการสร้างโรงแรมในพื้นที่ของโบสถ์บ้านโยนโดยให้เช่าพื้นที่แก่นักธุรกิจ และอีก 1 หลังสร้างขึ้นในที่ดินของนายบ้านโยน ในปัจจุบัน ชาวบ้านโยนทำธุรกิจหลายประเภท เช่น นายหน้าขายรถ เปิดร้านขายของที่ระลึกแก่นักท่องเที่ยว เปิดร้านอาหาร แบ่งพื้นที่พักอาศัยให้ชาวจีนฮ่ออพยพเช่าอาศัย มีช่องทางของการหารายได้ สะสมเงิน และการลงทุนในรูปแบบต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับการปรับเปลี่ยนทางเศรษฐกิจกระแสทุนอย่างดี ในขณะที่ชุมคริสเตียนบ้านนาแล เมืองขอน ยังคงดำรงความเป็นชุมชนเกษตรกรรม ที่พัฒนาคุณภาพชีวิตดีขึ้นจากการทำงานหนักในไร่นา ขายผลผลิตได้และนำเงินมาปรับปรุงที่อยู่อาศัยให้มั่นคง เป็นระเบียบ และสะอาด นอกจากนี้ คณะวิจัยยังระบุด้วยว่า ช่วงระหว่างปี พ.ศ.2535 - 2536 วิถีชีวิตของชาวชุมชนคริสเตียนบ้านนาแลเมืองขอนมีความเปลี่ยนแปลงค่อนข้างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านความมั่นคงทางโครงสร้างพื้นฐานของชุมชน เช่น ถนน แหล่งน้ำ และความเป็นระเบียบและสะอาดของบ้านเรือน อย่างไรก็ตาม แม้ว่าความเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นอย่างชัดเจน แต่ก็ดำเนินไปพร้อมกับการฟื้นฟูศรัทธาในคริสต์ศาสนา ความเชื่อ และการปฏิบัติพิธีกรรมตามความเชื่อที่ยังคงถูกจัดการอย่างสม่ำเสมอและเป็นระบบ (หน้า 118 - 119) |
|
Other Issues |
นอกจากงานวิจัยชิ้นนี้จะเน้นที่การศึกษาประวัติศาสตร์ความเป็นมาของคริสจักรเชียงรุ่งเป็นสำคัญแล้ว ยังได้มีการศึกษาประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างคริสตจักรเชียงรุ่งกับคริสตจักรในภาคเหนือของประเทศไทยด้วย โดยศึกษาใน 5 ประเด็น ได้แก่ 1) อุดมการณ์และเป้าหมายของการจัดตั้งคริสตจักร 2) ลักษณะความสัมพันธ์ทางด้านงานพันธกิจและการบริหารงานคริสตจักร 3) ความสัมพันธ์ระหว่างคริสตจักรไทลื้อกับสังคมเชียงรุ่ง 4) ศึกษาวิเคราะห์ประวัติศาสตร์คริสตจักรเชียงรุ่งก่อนปี ค.ศ.1949 การหลบซ่อนและฝังตัวในความเชื่อศรัทธาต่อศาสนาเพื่อรอวันฟื้นตัวกลับมาอีกครั้ง 5) การฟื้นกลับมาก่อตั้งคริสตจักรเชียงรุ่งของไทลื้อในปัจจุบัน (หน้า 126 - 127) |
|
Map/Illustration |
แผนที่ : แผนที่ภาคเหนือของประเทศไทย ค.ศ.1912 แสดงที่ตั้งสถานีทำการของคณะอเมริกันเพรสไบทีเรียน (หน้า 14) แผนที่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน แสดงที่ตั้งมณฑลยูนนาน (หน้า 15) แผนที่มณฑลยูนนาน แสดงที่ตั้งเขตปกครองตนเองชนชาติไทสิบสองปันนา (หน้า 16) แผนที่สิบสองปันนา (หน้า 17) แผนภูมิ : โครงสร้างการบริหารงานของมิชชั่นลาว ค.ศ. 1917 (หน้า 67) โครงสร้างการบริหารงานของมิชชั่นสยาม ค.ศ. 1920 (หน้า 68) โครงสร้างการบริหารงานของยูนนานมิชชั่น ค.ศ. 1923 (หน้า 69) โครงสร้างการบริหารงานของสยามมิชชั่น ค.ศ. 1933 (หน้า 70) แผนภาพเครือญาติคริสเตียนที่เชียงรุ่งและบ้านนาแลเชียงขอน แคว้นสิบสองปันนา สาธารณรัฐประชาชนจีน (หน้า 114 ก) ภาพ : ศาสนาจารย์แมคกิลวารี ค.ศ. 1881 (หน้า 18) นายแพทย์เมสันและภรรยา เดินทางจากเชียงใหม่ไปเชียงรุ่งในสมัยรัชกาลที่ 5 เพื่อบุกเบิกงานคริสตจักรในดินแดนสิบ สองปันนา(หน้า 19) |
|
|