|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),คนพื้นราบ,ความสัมพันธ์,เชียงใหม่ |
Author |
David H. Marlowe |
Title |
Upland-Lowland Relationship: The Case of the S’kaw Karen of Central Upland Western Chiang Mai |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
15 |
Year |
2510 |
Source |
Proceedings of the First Symposium of the Tribal Research Centre, Chiang Mai, Thailand.,p.53-68. |
Abstract |
ความสัมพันธ์ระหว่างกะเหรี่ยงกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นมีประเด็นสำคัญคือ ไม่มีกลุ่มใดสามารถอยู่แยกโดดเดี่ยวต่างมีความสัมพันธ์ที่หลากหลายระหว่างกลุ่ม และแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์ต่างเป็นส่วนหนึ่งของสังคมเป็น ที่เชื่อมโยงความสัมพันธ์ด้วย เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมและสภาพภูมิประเทศของพื้นที่ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงและเกิดปัญหาขึ้น จะส่งผลกระทบกับโครงสร้างทางสังคมของทุกกลุ่มชาติพันธุ์ (หน้า 65) |
|
Focus |
โครงสร้างความสัมพันธ์ของกะเหรี่ยงสะกอบนพื้นที่สูงกับกลุ่มคนบนพื้นที่ราบ ในจังหวัดเชียงใหม่ และการสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ในเขตพื้นที่ใกล้เคียงภายใต้สถานการณ์ต่าง ๆ (หน้า 53) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กะเหรี่ยงสะกอ หมู่บ้าน Nawn Krissu และหมู่บ้านใกล้เคียงใน ตำบล Borkeo อ. สะเมิง จ. เชียงใหม่ และ หมู่บ้าน Mea Tia Glo และหมู่บ้านย่อย Mo Tiko ต. บ้านหลวง อ. จอมทอง จ.เชียงใหม่ พวกเขาเรียกตนเองว่า "Bu kun yo" หรือ "Bu kun yo yaaw" (หน้า 53) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ในบรรดากลุ่มคนที่อยู่ในพื้นที่สูงทางภาคเหนือของประเทศไทย กะเหรี่ยงเป็นกลุ่มประชากรที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ได้อาศัยอยู่ในบริเวณนี้มาเป็นระยะเวลานาน โดยอพยพมาจากทางตะวันตกของฝั่งแม่น้ำสาละวินเข้าสู่ดินแดนประเทศไทย อาศัยในบริเวณ ลุ่มน้ำแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ โดยมาตั้งถิ่นฐาน เมื่อประมาณ 200 ปีที่ผ่านมาและมีการอพยพเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ในอดีตกลุ่มกะเหรี่ยงมีความสัมพันธ์กับเจ้าฟ้าผู้ปกครองเชียงใหม่ ในการรับสิทธิครอบครองที่ดิน โดยจ่ายค่าภาษีให้กับเจ้าฟ้าในพื้นที่ โดยจ่ายเป็นของป่า เช่น เขาสัตว์ น้ำผึ้ง และผลผลิตจากไร่ มีการเขียนสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรบนหนังสัตว์แต่ได้สูญหายไปนานมาแล้ว (หน้า 54) |
|
Settlement Pattern |
ชุมชนของกะเหรี่ยงสะกอ หรือหมู่บ้านซึ่งเรียกว่า "s waw" ในภาษากะเหรี่ยง เป็นหน่วยทางสังคมซึ่งสมาชิกรู้สึกผูกพันเหมือนญาติและมองว่าเป็นคนที่มีพื้นฐานเดียวกันอาจจะมีลักษณะเข้าประเภทใดประเภทหนึ่งดังนี้ คือ 1. หมู่บ้านในบริเวณหุบเขา เป็นหมู่บ้านดั้งเดิมมีการอาศัยอยู่ต่อเนื่อง กลุ่มนี้จะทำนาที่ลุ่มเป็นหลักและทำไร่หมุนเวียนเสริมหากผลผลิตจากนาที่ลุ่มไม่เพียงพอ หมู่บ้านประเภทนี้ค่อนข้างเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ มีตั้งแต่ 16-72 หลังคาเรือน 2. หมู่บ้านในหุบเขาในระดับสูง ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่เพิ่งเข้ามาตั้งถิ่นฐานในปัจจุบัน และเมื่อมีประชากรเพิ่มมากขึ้นจะแยกหมู่บ้านไปหาพื้นที่ใหม่ กลุ่มที่มีที่ดินที่ลุ่มน้อยจะทำไร่หมุนเวียนเป็นหลักและทำนาที่ลุ่มเสริมผลผลิต และสำหรับกลุ่มที่มีที่ดินที่ลุ่มมากจะทำนาที่ลุ่มเป็นหลักทำไร่หมุนเวียนเสริม ขนาดหมู่บ้านเฉลี่ยประมาณ 11 หลังคาเรือน 3. หมู่บ้านตั้งในพื้นที่สูง กลุ่มนี้ไม่มีที่ดินสำหรับทำนาที่ลุ่ม หรือมีเพียงเล็กน้อย ส่วนใหญ่จะทำไร่หมุนเวียนเป็นหลัก (หน้า 55) |
|
Demography |
จำนวนประชากรกะเหรี่ยงบนพื้นที่สูงมีประมาณ 125,000 คน (National Statistical office, Opium Survey, Mimeo Bangkok, 1968) (หน้า 53) |
|
Economy |
ข้าวเป็นผลผลิตสำคัญใช้บริโภคในครัวเรือน ส่วนสินค้าอื่น ๆ จะซื้อจากภายนอก เช่น ปลาเค็ม เกลือ ยาสูบ เครื่องประดับ ฯลฯ และนำข้าวที่เหลือจากการใช้บริโภค ของป่า และฝิ่น ออกมาขาย หมู่บ้านที่อยู่ใกล้ที่ราบลุ่มจะมีกิจกรรมการค้าขายมากกว่าหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกล สำหรับหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลจะมีพ่อค้า ชาวจีนฮ่อ ไทใหญ่หรือ ชาวเหนือ นำกองคาราวานเดินทางไปซื้อขายสินค้าในหมู่บ้าน โดยส่วนใหญ่พ่อค้าจะมาจากในเมือง สะเมิง จอมทอง แม่สะเรียง ขุนยวม และเชียงใหม่ การซื้อขายข้าวในพื้นที่มีตลาดใหญ่ เช่น ที่ อ. จอมทอง อ. สะเมิง อ. ปาย และ อ. แม่สะเรียง กะเหรี่ยงบนพื้นที่สูงในจังหวัดเชียงใหม่ของทำธุรกิจกับกลุ่มพ่อค้าที่เคยให้กู้ยืม บ่อยครั้งพ่อค้าเหล่านี้เป็นผู้ซื้อสินค้าทางการเกษตร ของป่า จากกะเหรี่ยง และมีความสัมพันธ์ในการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน (หน้า 56-57) การจ้างแรงงาน : กะเหรี่ยงหลายครอบครัวที่ผู้วิจัยทำการสำรวจในปี ค.ศ. 1967 30% ออกไปรับจ้างขายแรงงานเพื่อหาเงินซื้อข้าวหรือจ่ายค่าข้าว ใน 501 ครอบครัวที่ทำการสำรวจ 70% ทำงานกับกะเหรี่ยงด้วยกัน 38%ทำงานกับคนไทย และ 28% ทำงานกับม้ง กะเหรี่ยงออกไปรับจ้างในไร่ ทำงานป่าไม้ ให้กับกลุ่มคนพื้นที่ราบ และมีกระเหรี่ยงจ้างคนพื้นที่ราบสำหรับทำงานในไร่เช่นเดียวกัน (หน้า 57-58) |
|
Social Organization |
หน่วยสังคมพื้นฐานของกะเหรี่ยงสะกอที่เป็นหน่วยแสดงอัตลักษณ์ทางสังคมของกะเหรี่ยงคือกลุ่มสายเลือดซึ่งเชื่อมโยงญาติสองข้าง (ฝ่ายพ่อและแม่) และอาศัยอยู่ร่วมกันในหุบเขาที่มีลำน้ำไหลผ่าน กะเหรี่ยงเรียกหน่วยทางสังคมนี้ว่า "g' waw" คนที่แต่งงานกับสมาชิกของกลุ่มจะได้รับการยอมรับเป็นเครือญาติที่แท้จริงและอยู่ในสายตระกูลของคู่แต่งงาน ส่วนคนที่อพยพเข้ามาอยู่จะเป็นเหมือนญาติและเป็นผู้อยู่ร่วมบ้านเดียวกัน "g' waw" จึงเป็นหน่วยที่กะเหรี่ยงใช้ในการจัดกลุ่มสังคมและกลุ่มท้องถิ่นของตนเองที่แสดงให้เห็นว่าแตกต่างหรือเหมือนกันกับกะเหรี่ยงคนอื่น เช่น จะระบุว่าเป็น bu' kun you Bo Keo Kei หรือหมายถึงเป็นกะเหรี่ยงสะกอจากลุ่มแม่น้ำ Borkeo ที่มาจากตระกูล Baw Ja bu และ Baw Inah หรือ bu' kuk yo Meh The Ki หมายความว่าเป็นกะเหรี่ยงจากลุ่มแม่น้ำแม่ทาทางตอนใต้ของ อ.จอมทอง "g' waw" จึงเป็นสัญลักษณ์แสดงอัตลักษณ์และตัวตนของกะเหรี่ยง ซึ่งไม่ได้มีหน้าที่เป็นกลุ่มสังคมมากนัก มีเพียงส่วนน้อยที่ร่วมกันประกอบพิธีกรรมร่วมกัน 1 g' waw อาจจะมี 1-30 หมู่บ้าน (s' waw) และหมู่บ้านคือหน่วยทางสังคมหลักของกลุ่มกะเหรี่ยงซึ่งสมาชิกมีความสัมพันธ์กันเป็นเครือญาติ แต่ละหมู่บ้านจะมีผู้นำประกอบพิธีกรรม และเป็นผู้มีอำนาจในการตัดสินใจ การสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าจะสืบทอดจากพ่อไปยังลูกชายแต่ถ้าไม่มีทายาทสายบิดาอาจจะสืบทอดไปยังสายมารดาแต่หลังจากนั้นก็จะกลับมาสืบทอดทางสายบิดาตามเดิม (หน้า 54-55) เสี่ยวหรือสหาย : เสี่ยวในภาษาเหนือหรือสหายในภาษาไทย คือ เพื่อน จะใช้กับคนอื่นที่ไม่ใช่กะเหรี่ยงที่มีความสัมพันธ์สนิทสนมและเป็นเพื่อนใกล้ชิดและจะคอยช่วยเหลือกัน จากการสำรวจในปี ค.ศ. 1967 50% ของกะเหรี่ยงทุกครัวเรือนมีเสี่ยวใน อ. จอมทอง 99% มีความสัมพันธ์แบบเสี่ยวกับชาวเหนือ นอกจากนี้กะเหรี่ยงยังเป็นเสี่ยวกับคนพื้นที่ราบในหลายพื้นที่ความสัมพันธ์เหล่านี้มีการสืบทอดจนถึง 3 ชั่วอายุคน (หน้า 58-60) |
|
Political Organization |
ความสัมพันธ์ทางการปกครองระหว่างกะเหรี่ยง กับเจ้าฟ้าและรัฐไทย ผู้อาวุโสประจำหมู่บ้านเป็นคนนำส่งส่วยให้กับผู้ปกครองรัฐในเขตชายแดน เจ้าหน้าที่ของผู้ปกครองไม่ได้รับอนุญาติให้เข้าไปยังหมู่บ้านของกะเหรี่ยง จึงเป็นการยอมรับอำนาจในการปกครองอย่างเป็นอิสระของกลุ่มกะเหรี่ยง ภายหลังรัฐไทยได้เข้ามามีบทบาทในการปกครองเชียงใหม่มากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงการปกครองของจอมพล ป. พิบูลสงคราม (ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2) ภายใต้นโยบายชาตินิยม การปกครองของกกลุ่มกะเหรี่ยง ผู้นำจะต้องได้รับการยอมรับจากรัฐบาลไทย (หน้า 54) |
|
Belief System |
กะเหรี่ยงนับถือผีและอำนาจเหนือธรรมชาติ ศาสนาพุทธ และศาสนาคริสต์ โดยราว 60% ของครัวเรือนที่นับถือศาสนาพุทธเหล่านี้จะไปร่วมงานในเทศกาลประเพณีทางพุทธศาสนาที่วัดของกลุ่มคนบนพื้นที่ราบ และมีการนับถือครูบา พระในนิยายล้านนานโดยเฉพาะครูบาศรีวิชัย ครูบาขาว ปัจจุบันครูบาจะอยู่ที่วัดใน อ. ลี้ จ. ลำพูน ในปี ค.ศ. 1967 ครูบาเดินทางมายังวัดสบใต้ อ.จอมทอง มีกลุ่มกะเหรี่ยงหลายร้อยคนและกลุ่มคนบนพื้นที่ราบเข้าร่วมพิธีกรรม (หน้า 59) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
รัฐออกกฏในการแต่งกายในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เพื่อความเป็นไทยทำให้กะเหรี่ยงเริ่มเปลี่ยนการแต่งกายเป็นเหมือนลัวะ ผู้ชายตัดผมสั้นเกรียน แต่ผู้หญิงไม่เปลี่ยนมากนัก (หน้า 54) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ความสัมพันธ์ระหว่างกะเหรี่ยงและกลุ่มชาติพันธุ์อี่น ๆ : ลักษณะการปฏิสัมพันธ์ของกะเหรี่ยงที่มีกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ที่เป็นเพื่อนบ้านจะหลากหลายกันไป และมีอิทธิพลต่อทัศนะของกะเหรี่ยงที่มีกับกลุ่มชาติพันธุ์แต่ละกลุ่ม กะเหรี่ยงคิดว่าตนเป็นชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมทีปกครองโดย ชาวเหนือและคนไทยในเมือง ซึ่งพวกเขาคิดว่าไม่ได้เป็นเพื่อนบ้านของพวกเขา สำหรับกลุ่มคนที่เป็นเพื่อนบ้านสำหรับกะเหรี่ยงคือคนที่เหมือนกับพวกเขา "ทำอะไรเหมือนกัน ความคิดเห็นคล้ายคลึงกัน และพบปะกันบ่อยครั้ง" คำว่าเพื่อนบ้านของกะเหรี่ยงจึงหมายถึงกลุ่ม ชาวเหนือ ไทลื้อ ลัวะ และไทใหญ่ ซึ่งอาศัยอยู่ใกล้เคียงและมีระบบเศรษฐกิจและการศึกษาใกล้เคียงกับกะเหรี่ยง สำหรับชาวเหนือ และคนไทยที่อาศัยอยู่ในเมืองมีความแตกต่างในการดำรงวิถีชีวิตกับกะเหรี่ยง กะเหรี่ยงจึงไม่มีความรู้สึกใกล้ชิดกับคนเหล่านี้และรู้ว่าตนอยู่ในสถานะของการเป็นชนกลุ่มน้อย (หน้า 60) ความสัมพันธ์ระหว่างกะเหรี่ยงและม้ง : ม้งอพยพเข้ามาอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกับกะเหรี่ยงเมื่อประมาณ 3-5 ปีที่ผ่านมา แต่กะเหรี่ยงไม่ถือว่าม้งเป็นเพื่อน และไม่มีความสัมพันธ์ทางเครือญาติ แต่งงานระหว่างกลุ่ม เนื่องจากมีปัญหาความขัดแย้งในเรื่องของที่ดิน และกะเหรี่ยงมีความคิดว่าม้งเป็นกลุ่มที่ร่ำรวยมีอำนาจในการติดต่อกับรัฐบาลไทยมากกว่ากะเหรี่ยงทำให้กะเหรี่ยงสูญเสียสิทธิในการปกครองที่ดินบางส่วนที่เคยเป็นของตน (หน้า 60-62) ความสัมพันธ์แบบเสี่ยวหรือสหาย (ดูหัวข้อ Social Organization) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
|