|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลาหู่,ระบบสังคม,การทำไร่หมุนเวียน,เชียงใหม่ |
Author |
Sanit Wongsprasert |
Title |
Lahu Agriculture and Society |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
ลาหู่ ลาหู่ ละหู่ ลาฮู,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) |
Total Pages |
242 |
Year |
2517 |
Source |
Department of Anthropology, University of Sydney |
Abstract |
งานวิจัยครั้งนี้ มีจุดมุ่งหมายที่จะโต้แย้งเกี่ยวกับแนวคิดว่าการทำไร่หมุนเวียนเป็นการทำลายป่าไม้ จากการศึกษาพบว่าวิธีการทำไร่หมุนเวียนของลาหู่เป็นการทำการเกษตรกรรมที่มีความซับซ้อน พัฒนาเพื่อใช้ที่ดินบนพื้นที่สูงให้ได้ผลผลิตในการปลูกข้าวที่ดีและส่งผลให้สังคมสามารถดำรงวิถีชีวิตอยู่ได้อย่างเป็นอิสระไม่ต้องพึ่งพากลุ่มภายนอก และผลผลิตอื่น ๆ เช่น พริก ฝิ่น ยังสามารถใช้ในการขายหรือแลกเปลี่ยนกับสินค้าอื่น ๆ ที่ต้องการ ด้วยเหตุนี้วิธีการทำการเกษตรของลาหู่ไม่ได้มีผลต่อการทำลายป่าไม้ เนื่องจากมีการหมุนเวียนการใช้พื้นที่ใเป็นวิถีชีวิตที่ประสบความสำเร็จในการจัดการและอยู่ร่วมกับธรรมชาติ (หน้า 242) |
|
Focus |
ศึกษารูปแบบการทำเกษตรกรรมของลาหู่แดง หมู่บ้าน Pang Fan ในลักษณะที่เป็นหลักฐานโต้แย้งแนวคิดที่ว่าการทำไร่หมุนเวียนบนพื้นที่สูงเป็นการทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเน้นการนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับรูปแบบการทำไร่หมุนเวียน และความเหมาะสมของการใช้พื้นที่ที่ทำให้กลุ่มสังคมลาหู่สามารถพึ่งพาตนเองได้ และเป็นอิสระจากภายนอก รวมถึงมีการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างเหมาะสม (หน้า 1-5) |
|
Theoretical Issues |
งานวิจัยชิ้นนี้โต้แย้งแนวคิดการทำไร่หมุนเวียนเป็นการทำลายป่าไม้ ซึ่งแนวคิดนี้เกิดจากความเข้าใจผิด ซึ่งอาจจะเกิดจากไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับการทำไร่หมุนเวียนที่ตีพิมพ์มากนัก การวิจัยในครั้งนี้จึงเป็นความพยายามในการให้ข้อมูลเกี่ยวกับระบบเกษตรกรรมของกลุ่มลาหู่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การเกษตรกรรมแบบดั้งเดิมเป็นวิถีชีวิตที่เหมาะสมสามารถเลี้ยงดูสมาชิกภายในครัวเรือนและเป็นอิสระ ไม่ต้องพึ่งพาทรัพยากรจากภายนอก และระบบการทำเกษตรกรรมแบบนี้มีความสัมพันธ์กับบริบททางเศรษฐกิจและสังคมของชุมชน ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งคือลาหู่มีวิถีชีวิตที่พึ่งพิงกับธรรมชาติในการล่าสัตว์และหาพืชผัก จากป่า ถ้าหากป่าไม้หมดไปวิถีชีวิตของพวกเขาก็จะไม่สามารถดำรงอยู่ได้ (Cf, Hinton, 1968) ด้วยเหตุนี้ ลาหู่จึงมีระบบการจัดการการใช้ที่ดินที่จะไม่ครอบครองและทำการถางป่าโดยส่วนใหญ่จะทำไร่ในเฉพาะพื้นที่รอบ ๆ หุบเขา และที่สำคัญในการทำไร่หมุนเวียนจะไม่ทำอยู่ในพื้นที่เดียวติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน จะปล่อยให้ที่ดินได้รับความอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง อย่างไรก็ตามการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรอาจจะส่งผลต่อการทำเกตษรกรรมซึ่งต้องติดตามผลจากรายงานวิจัยอื่น ๆ ที่ศึกษาในพื้นที่ทางภาคเหนือของประเทศไทยต่อไป ซึ่งข้อมูลที่มากขึ้นจะช่วยให้มีการเปรียบเทียบและการวิเคราะห์เพิ่มมากขึ้นต่อไป (หน้า 240-242) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มลาหู่แดง บ้าน Pang Fan อ. พร้าว จ. เชียงใหม่ (หน้า 1) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ลาหู่พูดภาษาในกลุ่มตระกูลย่อยของ Lo loish ซึ่งเป็นสาขาของ Lolo-Burmese อยู่ในตระกูลภาษา ธิเบต-พม่า (Tibeto-Burman) มีสำเนียงแตกต่างกันในแต่ละกลุ่มย่อยของลาหู่ ความแตกต่างของสำเนียงเกิดขึ้นในช่วง 50-60 ปีที่ผ่านมา โดยมีการยืมคำเมืองมาใช้เป็นต้น (หน้า 32) |
|
Study Period (Data Collection) |
ค.ศ.1966-1969 (หน้า 1) และ ค.ศ.1971 (หน้า ii) |
|
History of the Group and Community |
จากหลักฐานที่มีอยู่ลาหู่เข้ามาอยู่อาศัยในอาณาจักรสยามได้เป็นเวลากว่าร้อยปีที่ผ่านมาและมีการอพยพเข้ามาเพิ่มขึ้นในช่วงปี ค.ศ.1920 การอพยพเข้ามายังคงมีอยู่จนถึงปัจจุบัน ในปี ค.ศ. 1958-1960 5% ของลาหู่ที่หมู่บ้าน "Pang Fan" และ หมู่บ้านอื่น ๆ ใน อ. พร้าว อพยพมาจากพม่า อาจกล่าวได้ว่ากลุ่มลาหู่เป็นชนกลุ่มน้อยมีวิถีชีวิตด้วยการทำไร่หมุนเวียนบนพื้นที่สูง อาศัยอยู่ในเขตเทือกเขา บริเวณเขตแดนของ 4 ประเทศ คือ จีน พม่า ไทย และลาว มาหลายร้อยปี (หน้า 34-35) |
|
Settlement Pattern |
ลาหู่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณ ลองติจูดที่ 17-24 พบได้ในพื้นที่ทางเหนือของประเทศเวียดนาม มณฑลยูนนานในประเทศจีน ทางตะวันออกของแม่น้ำสาละวินตรงข้ามรัฐฉานในประเทศพม่า และได้มีการอพยพลงใต้ลงมายังภาคเหนือของประเทศไทย ซึ่งในประเทศไทยมีลาหู่กลุ่มต่างๆ อยู่ประมาณ 7 กลุ่ม ใน 5 จังหวัด คือ เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน ลำปาง และตาก โดยแต่ละกลุ่มการแต่งกายจะแตกต่างกัน (หน้า 28-31) บ้านเรือนของลาหู่สร้างด้วยไม้ไผ่ ยกพื้น และสร้างอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน (หน้า 32) หมู่บ้าน A และ B มีวัดอยู่บนภูเขาและหมู่บ้านอยู่ถัดลงมา และมีการต่อท่อส่งน้ำจากลำไม่ไผ่มาใช้ในหมู่บ้าน ทุกคนในหมู่บ้านใช้น้ำจากที่นี่ บ้านเรือนสร้างอยู่ติดกัน ระยะห่างประมาณ 2-10 เมตร แต่ละครอบครัวไม่มีพื้นที่หรือลานส่วนตัว แต่มีการสร้างรั้วเพื่อป้องกันสัตว์เลี้ยงเข้ามาภายในบ้าน ห่างจากหมู่บ้านประมาณ 1 กิโลเมตรเป็นสถานที่สำหรับใช้เลี้ยงสัตว์เช่น หมู วัว ไก่ และควาย เป็นต้น พื้นที่เหล่านี้จะไม่ใช้ในการทำเกษตรกรรม นอกจากตัวหมู่บ้านมีหมู่บ้านเล็กอาศัยอยู่ถัดไป หากสัตว์เลี้ยงเข้าไปทำความเสียหายให้กับไร่ของหมู่บ้านเล็กเจ้าของจะต้องจ่ายค่าเสียหายเหล่านั้น (หน้า 46-50) |
|
Demography |
บ้าน Pang Fan มีจำนวนประชากร 111 คน เป็นชาย 55 คน และ หญิง 56 คน บ้านหลวง มีจำนวนประชากร 262 คน เป็นชาย 136 คน และ หญิง 126 คน (หน้า 37-38) |
|
Economy |
ลาหู่ส่วนใหญ่จะทำไร่หมุนเวียนโดยปลูกพืชหลัก 3 ชนิด คือ ข้าว พริก และฝิ่น นอกจากนี้ มีการปลูกพืชผักอื่นๆ ไว้กันในครอบครัว ฤดูการเพาะปลูกจะเริ่มขึ้นในเดือนมกราคม และเก็บเกี่ยวในช่วงเดือนมีนาคม การใช้พื้นที่ในการเพาะปลูก ข้าวจะปลูกในที่ลุ่ม ใช้พื้นที่ประมาณ 2 ปีและหลังจากนั้นจะใช้ในการปลูกข้าวโพดเพื่อใช้ในการเลี้ยงสัตว์การปลูกฝิ่นพื้นที่สูงในหุบเขาที่มีน้ำอยู่ด้านล่าง พื้นที่ปลูกพริกและฝิ่นจะอยู่ใกล้หมู่บ้าน เนื่องจากสัตว์เลี้ยงจะไม่กินพืชผลเหล่านี้ การเพาะปลูกจะใช้แรงงานภายในครอบครัวเป็นหลักโดยครอบครัวที่มีลูกชายอาจจะขยายพื้นที่เพาะปลูกไปยังบริเวณป่าได้ เนื่องจากมีแรงงานในการถางป่า แต่สำหรับครอบครัวที่มีลูกผู้หญิงพื้นที่เพาะปลูกจะเป็นบริเวณพุ่มไม้ที่ไม่มีต้นไม้ใหญ่มากนัก (หน้า 144) สำหรับการเตรียมการเพาะปลูกจะเป็นงานของผู้หญิงและเด็ก ๆ ในช่วงเวลานี้ผู้ชายจะเตรียมสร้างกระท่อมในไร่ สำหรับการปลูกพริกผู้ชายเป็นคนขุดหลุมและผู้หญิงจะหยอดเมล็ดและใช้ดินกลบด้วยเท้า การเก็บเกี่ยวผู้ชายจะเก็บข้าวโพดครึ่งวันและไปทางานอย่างอื่นต่อ สำหรับการเก็บเกี่ยวพริกจะเริ่มในช่วงกันยายนเป็นต้นไปโดยเด็ก ๆ จะเก็บพริกและนำใส่ตะกร้ามาตากไว้ที่กระท่อม สำหรับการเก็บเกี่ยวข้าวจะเริ่มในช่วงเดือนตุลาคม เมื่อเก็บเกี่ยวจะตากไว้ให้แห้งก่อนเก็บเข้ายุ้งฉาง สำหรับฝิ่นเป็นพืชสุดท้ายของการเก็บเกี่ยวช่วงต้นเดือนธันวาคมเป็นต้นไป สำหรับการเก็บฝิ่นจะใช้มีกรีดเอายางออกมาจากดอกฝิ่นซึ่งเป็นงานสำหรับผู้ใหญ่เท่านั้นเด็ก ๆ ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำงานในไร่ฝิ่น (หน้า 85-94) นอกจากกการทำไร่ลาหู่จะล่าสัตว์โดยจะนำหนังสัตว์ เขากวางไปขายหรือแลกเปลี่ยน และหาของป่าพืชผักเพื่อใช้บริโภคในครัวเรือน (หน้า 120) การแลกเปลี่ยนและการซื้อขายสินค้าเช่น ข้าว และสัตว์เลี้ยง จะมีทั้งซื้อขายและแลกเปลี่ยน แต่สำหรับผักจะเป็นการขายโดยเฉพาะ ผลผลิตที่จะนำมาขายจะเป็นผลผลิตส่วนเกินภายในครอบครัวจะไม่ผลผลิตที่ใช้ในครัวเรือนออกมาขาย (หน้า 206-208) |
|
Social Organization |
ครัวเรือนเป็นสถาบันพื้นฐานของสังคมลาหู่แดง ซึ่งสมาชิกในครัวเรือนจะเป็นเครือญาติกัน ประกอบด้วย สามี ภรรยา และลูกๆ ซึ่งอาจจะมีที่แต่งงานแล้ว ลาหู่แดงมีคำศัพท์ที่แยกให้เห็นความแตกต่างระหว่าง ครัวเรือน และ ครอบครัว "te g'o" คือ ครัวเรือน ซึ่งอาจจะมีหลายครอบครัว ซึ่งลาหู่แดงเรียกว่า "te chi" ประกอบด้วย ด้วย สามี ภรรยา "ครัวเรือน" จึงเป็นหน่วยเศรษฐกิจที่สำคัญเพราะเป็นหน่วยผลิต สมาชิกผู้ชายจะเป็นหัวหน้าครอบครัวและเมื่อหัวหน้าครอบครัวตายลูกชายหรือลูกเขยจะเป็นหัวหน้าครอบครัวคนต่อไป การนับญาติของลาหู่แดงจะนับทั้งฝ่ายบิดาและฝ่ายมารดา โดยใช้คำเรียกที่เหมือนกันกับญาติทั้งสองฝ่าย คำเรียก "aw vi" เป็นคำเรียกญาติที่อายุมากกว่า "aw nyi" เป็นคำเรียกญาติที่อายุน้อยกว่า (หน้า 40-43) การแต่งงานจะมีการแต่งภายในกลุ่มย่อยของลาหู่ และแต่งงานนอกกลุ่ม เช่น แต่งกับคนขมุ คนเมือง และ จีนฮ่อ (Yunnanese ) ซึ่งเป็นกลุ่มที่อาศัยอยู่บนพื้นที่สูงเช่นเดียวกัน (หน้า 32) ไม่แต่งในสายตระกูลเดียวกัน แต่สำหรับลูกพี่ลูกน้องอาจจะสามารถแต่งกันได้แต่จะเป็นลูกพี่ลูกน้องคนที่ 3 และจะไม่แต่งงานกับพี่สาวของภรรยา แต่ถ้าต้องการแต่ง จะต้องหย่าก่อนที่ภรรยาจะตาย ภายหลังการแต่งงานผู้ชายจะต้องไปอยู่บ้านครอบครัวฝ่ายหญิงทำงานให้กับครอบครัวเป็นระยะเวลาประมาณ 2 ปี พวกเขาจะได้รับการสั่งสอนในการดูแลครอบครัว เลี้ยงดูบุตร การทำเครื่องทางการเกษตร และการประกอบพิธีกรรมเซ่นไหว้ผี ภายหลังครบกำหนด 2 ปีจะกลับไปอยู่บ้านฝ่ายชายอีก 1 ปี และภายหลังจากนั้น จะกลับมาอยู่กับครอบครัวฝ่ายหญิงอีกครั้งมากกว่า 9 ปีขึ้นไป การหย่าร้างเกิดขึ้นได้โดยฝ่ายชายมักจะอ้างว่าครอบครัวฝ่ายหญิงใช้งานหนัก เป็นต้น (หน้า 45) |
|
Political Organization |
หมู่บ้านจะมีผู้นำทางการปกครองและมีผู้นำทางศาสนาช่วยกันดูแลความสงบสุขของชุมชน แต่สำหรับในหมู่บ้านเล็ก ๆ จะไม่มีผู้นำแต่มีผู้อาวุโสดูแล และจะเข้าร่วมพิธีกรรมกับหมู่บ้านใหญ่ที่อยู่ใกล้เคียง (หน้า 52-53) ปัจจุบัน การปกครองท้องถิ่นจากรัฐบาลไทยได้เข้าไปมีอิทธิพลในหมู่บ้าน โดยมีการแต่งตั้งกำนันประจำตำบล โดย 1 ตำบลจะมีหมู่บ้านประมาณ 10 หมู่บ้านขึ้นไป หมู่บ้านของลาหู่ถูกจัดเป็นหมู่บ้านที่ 10 ของตำบลประทุม อ. พร้าว จ.เชียงใหม่ แต่พื้นที่หมู่บ้านไม่ได้ครอบคลุมพื้นที่ทำการเกษตร ด้วยเหตุนี้มีบางครั้งที่พื้นที่ทางการเกษตรของหมู่บ้านอยู่ในเขตหมู่บ้านอื่น (หน้า 56-57) |
|
Belief System |
ลาหู่นับถือผีบรรพบุรุษ เทพเจ้าและอำนาจเหนือธรรมชาติต่าง ๆ ในหมู่บ้านมีที่ประกอบพิธีกรรมอยู่บนภูเขา บริเวณโดยรอบจะมีธงสีเหลือง และสีขาว อยู่บนเสาไม้ไผ่ ซึ่งธงเหล่านี้จะประดับที่บ้านของผู้นำหมู่บ้าน และผู้นำทางศาสนาเช่นเดียวกัน โดยมีความเชื่อว่าธงจะนำวิญญาณที่ดีมาคุ้มครองหมู่บ้าน และขับไล่วิญญาณชั่วร้ายออกไป ในทุกปีผู้นำทางศาสนาจะประกอบพิธีเพื่อเซ่นไหว้เทพเจ้าสูงสุด คือ Gui Sha เพื่อให้หมู่บ้านได้รับความสงบสุขและผลผลิตทางการเกษตรอุดมสมบูรณ์ (หน้า 48-50) พิธีกรรมเกี่ยวกับการเกษตรกรรม ในแต่ละขั้นตอนของการเพาะปลูกจะมีการทำพิธีกรรมจนเสร็จสิ้นการเก็บเกี่ยว เพื่อเซ่นไหว้เทพเจ้า และอำนาจเหนือธรรมชาติต่าง ๆ ให้ผลผลิตอุดมสมบูรณ์ พิธีกรรมเริ่มการเพาะปลูกเรียกว่า Heh mo ca ซึ่งเป็นขั้นตอนของการตัดต้นไม้จะมีการสวดเพื่อบอกกล่าวต่อเทพเจ้าแห่งขุนเขา (Hill Spirit) เมื่อเสร็จพิธีก็จะจัดเตรียมพื้นที่ได้ในวันต่อไป เมื่อเริ่มทำการถางและเอาต้นไม้ใหญ่ออกจะมีการทำพิธีอีกครั้งเรียกว่า Jaw te ve meh jaw ve เพื่อขับไล่วิญญาณที่อยู่ในต้นไม้ออกไป ภายหลังเสร็จพิธีกรรมนี้จะแน่ใจได้ว่าสามารถทำงานในไร่ต่อไปได้อย่างปลอดภัย เมื่อทำการเผาก็จะมีการทำพิธีเพื่อบอกกล่าวเทพเจ้าแห่งขุนเขาให้รับรู้เพื่อให้การเผาเป็นไปด้วยดี ถ้าการเผาไม่ดีเจ้าของที่ดินจะต้องเตรียมพื้นที่อีกครั้ง เพื่อให้พร้อมต่อการเพาะปลูกอาจจะเป็น 2-3 วันหรือเป็นอาทิตย์ เมื่อเผาเสร็จผู้ชายจะเก็บไม้ใหญ่ออกและผู้หญิงจะเตรียมการเพาะปลูก ภายหลังเมื่อมีการเพาะปลูกจะต้องเซ่นไหว้เพื่อให้เทพเจ้าคอยดูแลไม่ให้พืชผลเสียหายทั้งจากภัยธรรมชาติและจากสัตว์ แมลงต่างๆ และเมื่อถึงฤดูการเก็บเกี่ยวจะทำพิธีเพื่อขอบคุณเทพเจ้าที่ให้ผลผลิตอุดมสมบูรณ์ (หน้า 233-237) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Folklore |
ตำนานทำไมลาหู่ถึงทำไร่หมุนเวียน นานมาแล้ว เทพเจ้า Gui Sha เรียกกลุ่มคนชาติพันธุ์ต่าง ๆ มาพบเพื่อให้พร ลาหู่กับคนเมืองมาถึงพร้อมกัน Gui Sha ให้เลือกระหว่าง ขวาน กับคันไถ ลาหู่เลือกขวาน จึงทำไร่หมุนเวียนบนพื้นที่สูง คนเมืองเลือกคันไถจึงทำนาในที่ลุ่ม และเมื่อ Gui Sha ให้พรเสร็จ ลาหู่นำพรที่ได้ใส่ตะกร้า ส่วนคนเมืองใส่ไว้ในตะกร้าที่มีฝาปิด เมื่อเดินทางกลับ ลาหู่ทำตะกร้าตกพรหกออกจากตะกร้าจึงไม่ได้พรเต็มที่ พืชผลที่ปลูกได้ผลผลิตน้อย แต่ตะกร้าของคนเมืองปิดพืชพรรณที่ปลูกจึงได้ผลผลิตดี และอยู่มาวันหนึ่ง Gui Sha ปลอมตัวลงมาเป็นคนจนและได้พบกับลาหู่ คนเมือง และ กะเหรี่ยง และขอให้เดินทางไปด้วยกันแต่ทั้งสามกลุ่มไม่สามารถไปได้ เนื่องจากอยู่ในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว และเมื่อ Gui Sha พบชาวจีน และจีนฮ่อ และขอให้พวกเขาเดินทางไปด้วย ทั้งสองกลุ่มตกลงจึงกลายเป็นพ่อค้าร่ำรวยและไม่ต้องทำงานหนักในไร่ ส่วนลาหู่ต้องทำไร่หมุนเวียนมาจนถึงปัจจุบัน (หน้า 230-232) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ความสัมพันธ์ระหว่างลาหู่และคนเมือง ส่วนใหญ่จะมีกลุ่มคนเมืองเข้ามาซื้อขายสินค้าในหมู่บ้านโดยเดินเท้าเข้ามา โดยจะนำของใช้จากตลาดในเมืองมาขายและซื้อผลผลิตจากหมู่บ้านกลับออกไป มีมากที่เข้ามาซื้อฝิ่น ส่วนใหญ่พ่อค้าจะเข้ามาในช่วงที่มีเทศกาลประจำหมู่บ้าน จะพักอยู่ภายในหมู่บ้าน 1 คืนและกลับออกไป นอกจากนี้ความสัมพันธ์ระหว่าลาหู่และคนเมืองมีคำเรียกเฉพาะว่า "เสี่ยว" ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่เป็นมิตรต่อกัน ช่วงที่หมู่บ้านคนเมืองมีเทศกาลจะบอกไปยังลาหู่ให้เข้ามาร่วม โดยจะมาอาศัยและพักอยู่ที่บ้านคนเมืองซึ่งจะดูแลและหาอาหารให้กินอย่างดี เมื่อลาหู่กลับก็จะหุงข้าวให้ไปกินระหว่างทาง ลาหู่มีความคิดเกี่ยวกับคนเมืองว่าเป็นกลุ่มคนที่มีความรู้และติดต่อกับโลกภายนอกมากกว่า เมื่อพวกเขาไปเยี่ยมคนเมืองก็จะได้รับรู้ข่าวสารจากโลกภายนอกมากขึ้น (หน้า 216-227) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Other Issues |
การเกษตรกรรม 1. หลักการเลือกพื้นที่ในการเพาะปลูก ลาหู่มีความรู้ในการเลือกพื้นที่ในการเพาะปลูกให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่และชนิดของดิน และอยู่ไม่ห่างจากแหล่งน้ำมากนัก เพื่อให้ได้ผลผลิตที่อุดมสมบูรณ์และมีกการเลือกพื้นที่ในการเพาะปลูกตามลักษณะของพืชแต่ละชนิด เช่น การเพาะปลูกข้าว 78.9% จ ะปลูกในพื้นที่ป่า 11% ปลูกในพื้นที่พุ่มไม้ 10.1% และปลูกในพื้นที่เพาะปลูกปีที่แล้ว การเพาะปลูกพริก 55.6% ปลูกในพื้นที่ป่า 44.4% และปลูกในพื้นที่เป็นพุ่มไม้ การเพาะปลูกฝิ่น 12.9% ปลูกในพื้นทีป่า 19.2% ปลูกในพื้นที่พุ่มไม้ และ 67.9 ปลูกในพื้นที่เพาะปลูกปีที่แล้ว (หน้า 64-70) 2. การเพาะปลูกข้าวไร่ จะมีการเลือกพื้นที่ในช่วงก่อนเดือนมกราคมและก่อนเทศกาลปีใหม่ โดยส่วนใหญ่หัวหน้าครอบครัวจะเป็นคนตัดสินใจว่าพื้นที่ไหนเหมาะสมต่อการเพาะปลูกในแต่ละปี การเลือกพื้นที่ปกติจะไม่เป็นเรื่องของหมู่บ้าน A หมู่บ้านเดียว แต่หมู่บ้าน B จะเข้าร่วมด้วยเช่นกัน เช่นในปี ค.ศ. 1968 6 ครัวเรือนจาก 12 ครัวเรือนของดหมู่บ้าน A เข้าร่วมกับ หมู่บ้าน B ในการเลือกพื้นที่ในการทำการเพาะปลูกข้าวไร่ ซึ่งในที่สุดทั้งสองหมู่บ้านมีพื้นที่เพาะปลูกอยู่ในเขตแดนเดียวกัน การเพาะปลูกข้าวถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุดและจะต้องได้รับการดูและในการเพาะปลูกตลอดทั้งปี (หน้า 71-73) 3. เทคนิคการเพาะปลูก การใช้เครื่องมือหลายชนิดในการเพาะปลูก เช่น ขวาน ในการตัดต้นไม้ใหญ่ มีดสำหรับตัดต้นไม้ และไม้ไผ่ และใบมีดใส่ด้ามไม้ไผ่ทำเป็นเครื่องมือสำหรับหยอดเมล็ด ฯลฯ การถางพื้นที่จะเริ่มทำจากพื้นที่ลาดชันน้อยและถางขึ้นมาในที่ลาดชันมากขึ้น และเมื่อตัดต้นไม้ใหญ่จะล้มลงใส่ต้นไม้หรือพุ่มไม้เล็กช่วยให้การเคลียร์พื้นที่เป็นไปได้ง่ายขึ้น แต่หากต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นสูง และไม่มีกิ่งก้านสาขามากนักก็จะปล่อยไว้ไม่ตัดทิ้ง ภายหลังจากการเคลียร์พื้นที่สำหรับเพาะปลูกข้าว พริก และ ฝิ่น ไร่ข้าวโพดจะเป็นพื้นที่สุดท้ายที่จะถาง และพื้นที่ที่เคยใช้ในการปลูก ข้าวจะ ใช้ในการปลูกพืชชนิดอื่น ๆ การเผาจะเป็นหน้าที่ของผู้ชาย โดยส่วนใหญ่จะปล่อยพื้นที่ให้แห้งประมาณ 1 เดือนก่อนที่จะทำการเผา จะทำการเผาก่อนตอนเที่ยงและใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง การเผาจะต้องให้การระมัดระวังในเรื่องของลม พื้นที่ปลูกข้าวหลากมีหลายพื้นที่จะทำการเผาแต่ละวันต่างกัน การเพาะปลูกจะเริ่มต้นในช่วงต้นเดือนเมษายนหลังจากที่การเผาเสร็จ ผู้หญิงและเด็กๆ จะทำการปลูกข้าวโพด ฟักทอง ผักต่าง ๆ ในช่วงระยะเวลานี้ผู้ชายจะทำการสร้างกะท่อม สำหรับการปลูกข้าวจะเริ่มในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม เมื่อเสร็จการปลูกข้าวก็จะเริ่มการเพาะปลูกพริก ต่อไปและต่อด้วยการเพาะปลูกฝิ่น การเก็บเกี่ยวข้าวโพดจะเริ่มเก็บเกี่ยวในช่วงกลางเดือนกรกฎาคมจนถึงเดือนตุลาคม หลังจากนั้นจะเป็นการเก็บเกี่ยวข้าวเบา และต่อด้วยการเก็บเกี่ยวพริกในช่วงเดือนพฤศจิกายน สำหรับการเก็บเกี่ยวข้าวจะเริ่มต้นในช่วงเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน และฝิ่นเป็นพืชสุดท้ายที่ทำการเก็บเกี่ยว (หน้า 75-95) 4. สิทธิการใช้ที่ดินและการเว้นช่วงเวลาเพาะปลูก ในการเพาะปลูกข้าว พริก และข้าวโพดในแต่ละครัวเรือนจะไม่ใช้พื้นที่ถาวรในการเพาะปลูก ส่วนใหญ่จะใช้พื้นที่ประมาณ 1 ปีแล้วเปลี่ยนไปใช้ที่อื่น สำหรับการปลูกฝิ่นอาจใช้พื้นที่เดิมนานเท่าที่เขาต้องการ แต่เมื่อผลผลิตได้น้อยก็จะเปลี่ยนไปใช้ที่อื่นเช่นกัน จึงไม่มีการเป็นเจ้าของที่ดินและไม่มีการซื้อขายที่ดินกันในสังคมลาหู่ ภายหลังฤดูเก็บเกี่ยวเมื่อและไม่ใช้พื้นที่เพาะปลูกเหล่านั้นแล้วจะปล่อยทิ้งไว้ตามธรรมชาติ พื้นที่ไว้ประมาณ 5-10 ปี แลัวกลับมาใช้พื้นที่อีกครั้ง (หน้า 104-107) โดยสรุปแล้วลาหู่แดงที่บ้าน "Pang Fan" ส่วนใหญ่จะทำการเพาะปลูกข้าว แม้ว่าจะเป็นงานหนักมากกว่าการปลูกพืชชนิดอื่น ๆ เนื่องจากข้าวมีความหมายในการเป็นผลิตที่สามารถเลี้ยงดูครัวเรือน และเป็นอิสระไม่ต้องขึ้นกับสังคมภายนอก ข้าวจึงไม่ใช่เพียงผลผลิตทางการเกษตรเท่านั้นแต่มีความเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมความเชื่อในสังคมซึ่งพืชชนิดอื่น ๆ มีความเกี่ยวข้องน้อยกว่า (หน้า 108-109) |
|
|