|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
การเปลี่ยนแปลง,เศรษฐกิจ,รถไฟ,มณฑลพายัพ,ภาคเหนือ |
Author |
พูนพร พูลทาจักร |
Title |
การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในมณฑลพายัพหลังการตัดเส้นทางรถไฟสายเหนือ พ.ศ. 2464-2484 |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
-
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไม่ระบุ |
Location of
Documents |
สำนักหอสมุดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Total Pages |
219 |
Year |
2530 |
Source |
หลักสูตรปริญญาอักษรศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร |
Abstract |
ศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในมณฑลพายัพหลังการตัดเส้นทางรถไฟสายเหนือ พบว่า เส้นทางรถไฟก่อให้เกิดความสะดวกในการติดต่อระหว่างมณฑลพายัพกับกรุงเทพฯ มีการส่งสินค้าสำเร็จรูปจากกรุงเทพฯ ทำให้การค้าทางเรือซบเซาลง และการค้าข้ามพรมแดนจึงค่อย ๆ ลดความสำคัญลง การค้าทำให้ล้านนาสัมพันธ์กับกรุงเทพฯ มากขึ้น พ่อค้าคนจีนสามารถเข้าไปขยายบทบาทควบคุมเครือข่ายการค้าในมณฑลพายัพได้มากกว่ากลุ่มอื่น ในด้านการผลิตสินค้า สินค้าจากมณฑลพายัพที่สำคัญคือข้าวเปลือก สุกร พืชผักต่างๆ และสินค้าหัตถกรรม เปลี่ยนจากพึ่งตนเองสู่เพื่อการค้าควบคู่กัน นอกจากนี้ยังทำให้เงินสกุลบาทเข้ามามีบทบาทแทนสกุลรูปี และส่งผลให้เกิดการขยายตัวของชุมชนเมือง เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างกว้างขวาง (หน้า บทคัดย่อ) |
|
Focus |
ศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมในมณฑลพายัพหลังการตัดเส้นทางรถไฟสายเหนือ พ.ศ. 2464-2484 โดยพิจารณาถึงสภาพเศรษฐกิจทั่วไปของมณฑลพายัพ ลักษณะภูมิประเทศ วิถีการผลิตการดำรงชีวิตทั้งก่อนหน้าและหลังการมีเส้นทางรถไฟ ศึกษาแรงจูงใจในการก่อสร้างเส้นทางรถไฟสายเหนือ ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ การดำเนินการ ปัญหาและอุปสรรคในการก่อสร้าง (หน้า 5-6) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มชาติพันธุ์ในมณฑลพายัพในปี พ.ศ. 2462 ประกอบด้วยชาวสยาม มีจำนวนมากที่สุด รองลงมาคือชาวพม่า ชาวจีน ชาวอินเดียและมาเลย์ นอกจากนี้ ยังมีชาวกัมพูชา ญี่ปุ่น และชาวผิวขาว (ตาราง หน้า 105) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
ศึกษาเหตุการณ์ในช่วงเวลา พ.ศ. 2464-2484 |
|
History of the Group and Community |
สภาพเศรษฐกิจของมณฑลพายัพก่อนมีเส้นทางรถไฟ มีลักษณะการผลิตเพื่อตนเอง มีการค้าทั้งภายในมณฑล การค้าระหว่างพรมแดนคือยูนนาน พม่า และลาว และการค้ากับกรุงเทพฯ แต่ก็เป็นไปเพื่อการบริโภคมากกว่าจะพัฒนาขึ้นไปสู่การสะสมทุน เนื่องจากสภาพภูมิประเทศที่ไม่อาจทำให้การเคลื่อนย้ายสินค้าได้อย่างสะดวกนัก (หน้า 9-24) ในช่วงปี พ.ศ. 2385-2417 การทำไม้ในมณฑลพายัพเริ่มมีความสำคัญมากขึ้น เนื่องจากเป็นที่ต้องการทั้งจากกรุงเทพฯ และต่างประเทศ เดิมสิทธิการให้สัมปทานป่าไม้อยู่ในความควบคุมของบรรดาเจ้านายพื้นเมือง แต่เกิดปัญหาการให้สัมปทานไม้ซ้ำซ้อน เกิดความขัดแย้งเป็นคดีความเสมอ ในช่วงปี พ.ศ. 2417-2442 จึงเปิดโอกาสให้รัฐบาลกรุงเทพฯ เข้ามาแทรกแซงกิจการภายในมณฑลพายัพ เข้าไปเปลี่ยนแปลงการปกครองให้อยู่ในความควบคุมต่อกรุงเทพฯ มากขึ้นฯ (หน้า 27-44) การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือการการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากหัวเมืองประเทศราชเป็นมณฑลพายัพ การควบคุมกิจการป่าไม้ไว้กับรัฐบาลกรุงเทพฯ ปรับปรุงระบบภาษีโดยเรียกเก็บเป็นเงินตรา เป็นผลให้เกิดการค้าระหว่างกรุงเทพฯ และล้านนาขยายตัวมากขึ้น ขณะเดียวกันราษฎรก็ได้รับความเดือดร้อน ในช่วงนี้จึงเกิดกบฏต่อต้านการเก็บภาษีแบบใหม่ เช่น กบฏพระยาผาบในปี พ.ศ. 2432 (หน้า 32-42) ในระหว่าง พ.ศ. 2443-2464 รัฐบาลกรุงเทพฯ เริ่มกระชับอำนาจการปกครองยิ่งขึ้นโดยจัดการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาลพายัพ การปลดปล่อยแรงงานไพร่และทาส และเก็บเงินค่าแรงแทนเกณฑ์แรงงาน (หน้า 45-52) มีการปรับปรุงเส้นทางคมนาคมภายในมณฑล ส่วนเส้นทางรถไฟสายเหนือเริ่มก่อสร้างตั้งแต่ พ.ศ. 2440 โดยเริ่มเปิดเดินรถไฟเป็นตอน ๆ พร้อม ๆ กับการสนับสนุนให้ราษฎรทำการผลิตเพื่อขายมากขึ้น เส้นทางรถไฟไปถึงปากน้ำโพในปี พ.ศ. 2448 ถึงเด่นไชยในปี พ.ศ. 2454 จนเสร็จสมบูรณ์ถึงสถานีเชียงใหม่ พ.ศ. 2464 ซึ่งทำให้ร่นระยะเวลาเดินทางจาก 3 เดือนโดยทางน้ำมาเป็น 26 ชั่วโมงเท่านั้น (หน้า 54-60) การขยายตัวการค้าเริ่มมีมากขึ้นตามลำดับของการขยายการเดินรถไฟ สินค้าจากกรุงเทพสามารถเข้าไปขายในบริเวณภาคเหนือได้มากขึ้นและรวดเร็ว ขณะเดียวกันการค้าทางเรือเริ่มซบเซา ตลอดจนการค้าระหว่างพรมแดนก็ตกต่ำลงเพราะไม่สามารถลดต้นทุนค่าขนส่งได้ (หน้า 83-92) ในอีกด้านหนึ่ง ผลผลิตเช่นข้าวจากล้านนา มีการขยายพื้นที่เพาะปลูกข้าวและพืชชนิดต่าง ๆ การเลี้ยงสุกร และการทอผ้าเพื่อส่งไปขายในภาคกลาง โดยมีพ่อค้าชาวจีนเป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนให้เกิดการผลิตเพื่อการค้าส่งกรุงเทพฯ และกระจายสินค้าจากกรุงเทพฯ เข้าสู่ชุมชนท้องถิ่นต่าง ๆ (หน้า 102, 108-124) ชุมชนเมืองที่เส้นทางรถไฟผ่านเติบโตขยายตัวเช่นชุมชนการค้าฝั่งตะวันตกของน้ำปิงในเชียงใหม่ และการขยายตัวของชุมชนฝั่งตะวันออก นอกจากนี้ ยังมีเมืองลำปาง ลำพูน และเมืองแพร่ก็เกิดการขยายตัวของชุมชนเมืองมากขึ้น (หน้า 98-101) ขณะเดียวกันชาวนาเริ่มถูกผลักดันให้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจตลาดมากขึ้น พ่อค้าชาวจีนและเจ้านายบางคนลงทุนขยายพื้นที่เพาะปลูกโดยการขุดเหมืองฝาย แล้วให้ชาวนาเช่าทำนา ชาวนาบางส่วนผันตัวเองขึ้นไปเป็นพ่อค้ารับซื้อข้าวในหมู่บ้านให้กับพ่อค้าคนกลางชาวจีน (109-124) ส่วนเจ้านายพื้นเมืองถูกลดบทบาทอำนาจลงทั้งทางการเมืองการปกครองและเศรษฐกิจลงทีละน้อย ทำให้ฐานะทางเศรษฐกิจของเจ้านายลดต่ำลง ถึงแม้ว่าจะมีเจ้านายบางส่วนผันตัวเองไปลงทุนทางเศรษฐกิจ แต่ส่วนใหญ่ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก (หน้า 157-161) การค้าระหว่างมณฑลพายัพกับกรุงเทพฯ เจริญรุ่งเรืองไม่นาน ก็เกิดเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก ในช่วงต้นทศวรรษ 2470 ราคาข้าวเปลือกตกต่ำอย่างรวดเร็ว จึงมีการเปลี่ยนพื้นที่เพาะปลูกข้าวบางส่วนมาปลูก อ้อยและยาสูบจนทำให้ยาสูบเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของล้านนาจนมาถึงปัจจุบัน และต่อมาก็ประสบปัญหาเศรษฐกิจอีกครั้งจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อปี พ.ศ. 2482 เส้นทางรถไฟถูกระเบิดเสียหาย พ่อค้าชาวจีนถูกจำกัดพื้นที่ ข้าวทั้งหมดถูกผลิตเพื่อส่งให้กองทัพญี่ปุ่น และเกิดการขาดแคลนสินค้าอุปโภคและบริโภคทั่วภาคเหนือ (หน้า 128-143) |
|
Demography |
ประชากรในมณฑลพายัพในปี พ.ศ. 2462 ประกอบด้วยชาวสยาม 771,240 คน ชาวจีน 1,331 คน ชาวอินเดียและมาเลย์ 660 คน ชาวพม่า 24,802 คน นอกจากนี้ ยังมีชาวกัมพูชา 1 คน ญี่ปุ่น 3 คนและชาวผิวขาว 47 คน (ตาราง หน้า 105) ขณะที่ในปี พ.ศ. 2472 มีชาวสยาม 1,442,213 คน ชาวจีน 6,989 คน ชาวอินเดียและมาเลย์ 1,522 คน ชาวพม่า 28,498 คน นอกจากนี้ยังมีชาวกัมพูชา 101 คน ญี่ปุ่น 16 คนและชาวผิวขาว 126 คน (ตารางหน้า 105) |
|
Economy |
ลักษณะการผลิตของสังคมล้านนาก่อนมีทางรถไฟเป็นการผลิตเพื่อการเลี้ยงตัวเองเป็นหลัก เช่น การปลูกข้าว ปลูกพืชชนิดต่างๆ เช่น มะพร้าว หมากพลู ยาสูบ พริก และผักต่าง ๆ ส่วนหนึ่งต้องนำไปเสียภาษีให้รัฐ นอกจากนี้ ยังมีการเลี้ยงสัตว์ไว้เป็นอาหารใช้งาน เช่น วัว ควาย เป็ด และไก่ ตลอดจนช้าง ม้า มีงานหัตถกรรมจากไม่ไผ่เกือบทุกหมู่บ้าน เช่น ตะกร้า กระบุงและเครื่องมือจับสัตว์น้ำ การทำเครื่องโลหะและภาชนะดินเผามีการทำบางหมู่บ้านเพราะต้องอาศัยความชำนาญ ในช่วงว่างเว้นจากนาผู้หญิงจะทอผ้าฝ้าย ส่วนผ้าไหมจะพบน้อยกว่า การผลิตเพื่อบริโภคไม่สามารถผลิตอาหารเครื่องใช้ได้ทั้งหมดจึงเกิดการค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างชุมชน (หน้า 16-19) การค้าขายแลกเปลี่ยนในบริเวณล้านนาแบ่งได้เป็น 2 ส่วนคือ 1. การค้าขายโดยพ่อค้าพื้นเมือง แลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างหมู่บ้านและระหว่างเมือง เรียกว่า "พ่อค้าวัวต่าง" ซึ่งเป็นชาวนาในหมู่บ้านที่ใช้เวลาว่างจากการทำนาเดือนพฤษภาคม ถึงมิถุนายน รวบรวมผลผลิตที่เกินความต้องการของหมู่บ้าน ออกเดินทางไปค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าที่หมู่บ้านของตนเองขาดแคลน สินค้าสำคัญได้แก่เกลือสินเธาว์จากเมืองน่าน เมี่ยง นิยมปลูกมากในแถบอำเภอดอยสะเก็ด อำเภอแม่แตง ส่วนพ่อค้าวัวต่างจากเชียงรายมักนำเอาข้าวเปลือกเดินทางไปแลกเปลี่ยนสินค้าที่เมืองแพร่และอุตรดิตถ์ ยังมีสินค้าชนิดอื่นที่มีการแลกเปลี่ยนกัน เช่น ของป่า เครื่องใช้โลหะ และเมื่อการค้าระหว่างล้านนากับกรุงเทพฯขยายตัวมากขึ้น สินค้าอุตสาหกรรมเช่นเสื้อผ้า ด้าย เทียนไข สบู่ น้ำมันก๊าด ไม้ขีดไฟ ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของสินค้าของพ่อค้าวัวต่างด้วย พ่อค้าวัวต่างเหล่านี้ยังคงทำนาเป็นอาชีพหลัก ไม่ปรากฏว่ามีการเปลี่ยนฐานะจากผู้ผลิตไปเป็นพ่อค้า เนื่องการแลกเปลี่ยนมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาสินค้าที่ขาดแคลนมากกว่าจะยึดเป็นอาชีพหลักและนำมาสู่การสะสมทุน (หน้า 19-21) 2.การค้าข้ามพรมแดน คือ การค้าระดับภูมิภาคระหว่างล้านนากับรัฐเพื่อนบ้าน เช่น มณฑลยูนนานในจีนตอนใต้ รัฐไทยใหญ่ ตลอดจนหลวงพระบางและเวียงจันทร์ การค้าข้ามพรมแดนเริ่มมีมาตั้งพุทธศตวรรษที่ 19 พ่อค้าที่ทำการค้าข้ามพรมแดนได้แก่ พ่อค้าจีนฮ่อจากยูนนาน พ่อค้าไทยใหญ่หรือเงี้ยวจากรัฐฉาน พ่อค้าพม่าและพ่อค้าลาว โดยเฉพาะพ่อค้าจีนฮ่อและพ่อค้าไทยใหญ่นับว่ามีบทบาทในการค้าข้ามพรมแดนอย่างมาก โดยเข้ามาทางระหว่างเมืองตาลี เชียงตุง เชียงราย ผ่านแม่สรวยมาถึงเชียงใหม่ และทางเชียงรายผ่านพะเยาไปถึงแพร่และอุตรดิตถ์ในช่วงฤดูหนาว มีสินค้าประเภท ฝิ่น ขี้ผึ้ง มันฮ่อ หม้อทองเหลืองผ้าไหมและหมวกฟาง เพื่อมาแลกฝ้าย เกลือและหมากกลับไปยูนนาน ส่วนการค้ากับเขตแดนพม่า เริ่มอย่างจริงจังหลังอังกฤษยึดครองหัวเมืองมอญในพม่าได้ในปี พ.ศ. 2469 ทำให้เกิดการค้าขายระหว่างลำพูนกับเมืองเมาะละแหม่ง โดยอังกฤษสั่งซื้อวัว ควายและช้างไปเป็นอาหารและแรงงาน ต่อมาจึงขยายการค้าถึงเชียงใหม่และลำปาง ส่วนบทบาทการค้าขายสินค้าเป็นของพ่อค้าจีนฮ่อและเงี้ยว นำสินค้าจากเมาะละแหม่งไปขายในล้านนา เช่น เสื้อผ้าสำเร็จรูป เทียนไข ไม้ขีดไฟ เครื่องใช้โลหะ ตลอดจนเกลือจากเมาะละแหม่ง ขณะเดียวกันก็ส่งสินค้าจากล้านนาเข้าไปขายที่เมาะละแหม่งด้วย เช่น สัตว์เลี้ยง ของป่า น้ำผึ้ง หนังสัตว์ รัก เป็นต้น ลูกค้าในล้านนาส่วนใหญ่เป็นเจ้านายผู้ปกครองและลูกหลานเพราะมีฐานะทางเศรษฐกิจดีกว่า ส่วนเส้นทางการค้าจากเมาะละแหม่งถึงล้านนาคือ จากเมาะละแหม่งเข้าทางแม่สอด ผ่านระแหงมาถึงเถิน ผ่านเมืองลี้ไปยังลำพูนและเชียงใหม่ ใช้เวลาประมาณ 17 วัน และเส้นทางจากเมาะละแหม่งถึงลำปาง คือ จากเมืองเถินแล้วเลียบแม่น้ำวังถึงลำปาง และอาจต่อไปถึงเมืองแพร่ เชียงรายจนไปถึงรัฐฉาน พ่อค้าจากหลวงพระบางนำเอา เกลือ ยาส้ม ปลาร้า กำยานและครั่งมาขายที่ล้านนา แต่การค้าบริเวณนี้มีปริมาณน้อยและสำคัญน้อยกว่าการค้าข้ามพรมแดนกับทางพม่า (หน้า 21-23) นอกจากนี้ยังมีเส้นทางการค้าทางเรือระหว่างล้านนากับกรุงเทพฯ ในช่วง หลัง พ.ศ. 2417 จนถึงก่อนมีเส้นทางรถไฟ โดยพ่อค้าคนจีนผูกขาดสินค้าบางชนิด เช่น ของป่า ครั่ง หมาก เขาสัตว์ บรรทุกเรือล่องตามลำน้ำปิง วัง ยม และน่าน เพื่อขายต่อที่กรุงเทพฯ แต่มีปริมาณไม่มากนัก ตอนขากลับก็นำสินค้าจากกรุงเทพฯ ขึ้นไปขายบริเวณมณฑลพายัพ เช่น ผ้า ไม้ขีดไฟ กระจก เทียนไข และจักรยาน ฯลฯ เส้นทางการค้าลำน้ำปิงและน้ำวัง มีศูนย์กลางอยู่ที่เชียงใหม่ ลำปางและระแหง เรือที่ใช้คือเรือหางแมลงป่องหรือ "แม่ปะ" ส่งการค้าในลำน้ำน่าน มีศูนย์กลางอยู่ที่ท่าอิฐ จังหวัดอุตรดิตถ์ เมืองแพร่ และเมืองน่าน เรือที่ใช้คือเรือชะล่าดง (หน้า 42-43) กลุ่มพ่อค้าคนจีนที่มีบทบาทสำคัญได้แก่ ตระกูลฉั่ว ตระกูลชุติมา นิมมานเหมินทร์ ศักดาทร วิบูลสันติและตระกูลเลียว ทั้งหมดนี้อยู่ในเชียงใหม่และลำพูน ส่วนลำปางมี ตระกูลพานิชพันธ์ เป็นผู้ดำเนินการการค้าทางเรือ การแลกเปลี่ยนสินค้าในบริเวณมณฑลพายัพก่อนมีทางรถไฟ มีปริมาณเบาบาง แม้จะมีทรัพยากรป่าไม้จำนวนมาก แต่ก็จำกัดอยู่เพียงบางกลุ่มคนเฉพาะคนในบังคับอังกฤษและเจ้านายพื้นเมือง สำหรับการค้าข้ามพรมแดนกับกรุงเทพฯ ก็เป็นไปเพื่อเลี้ยงตัวเอง และจำกัดอยู่เฉพาะหัวเมืองใหญ่ ๆ เท่านั้น (หน้า 43-44) |
|
Political Organization |
เมื่อมีการขยายตัวทางการค้าระหว่างล้านนากับเมืองท่าเมาะละแหม่งมากขึ้น มีคนในบังคับของอังกฤษเข้ามาติดต่องานในล้านนา และเกิดปัญหาตามมา เช่น เกิดความไม่สงบบริเวณพรมแดนระหว่างไทยกับพม่า จากการสู้รบและปล้นสดมภ์ของกระเหรี่ยงอิสระ ตลอดจนการอพยพลี้ภัยของกระเหรี่ยงเข้ามาในล้านนา ประการที่สองคือ เกิดความขัดแย้งในสัญญาการทำป่าไม้ ซึ่งไม่ไม่ได้ระบุเวลา และทำสัญญาซ้ำซ้อนทำให้เสียผลประโยชน์ เกิดคดีฟ้องร้องกันระหว่างคนในบังคับอังกฤษกับเจ้าเมืองล้านนา (หน้า 32) รัฐบาลกรุงเทพฯ ได้จัดส่งข้าหลวงขึ้นไปตัดสินคดีความเป็นครั้งคราว อย่างไรก็ตาม ทางอังกฤษยังไม่พอใจการแก้ปัญหาของรัฐบาลสยามจึงกดดันรัฐบาลสยามให้แก้ไขปัญหาให้ได้ จนนำมาสู่การทำ "สัญญาเชียงใหม่" ขึ้นในปี พ.ศ. 2417 โดยให้รัฐบาลสยามส่งข้าราชการจากกรุงเทพฯ ขึ้นไปประจำที่เชียงใหม่เพื่อดูแลปัญหาคนในบังคับของอังกฤษ เรียกว่า "ข้าหลวงสามหัวเมือง" คนแรกคือพระนครินทร์ราชเสนี (พุ่ม ศรีไชยยันต์) ปรากฏว่า ประสบปัญหาอย่างมาก คดีความไม่สามารถตัดสินให้ยุติได้ที่เชียงใหม่ ต้องลงไปตัดสินที่กรุงเทพฯ อังกฤษจึงเรียกร้องให้ทำ "สัญญาเชียงใหม่ ฉบับที่ 2) ปี พ.ศ. 2426 พร้อมกับเริ่มดำเนินการจัดการปกครองแบบมณฑลหัวเมืองประเทศราชล้านนา (หน้า 33-36) นอกจากความพยายามแก้ปัญหาคนในบังคับอังกฤษแล้ว ยังเป็นโอกาสดีสำหรับการเริ่มต้นจัดการปกครองล้านนาเพื่อดึงอำนาจเข้าสู่ส่วนกลาง โดยแต่งตั้งพระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นพิชิตปรีชากรขึ้นมาเป็นข้าหลวงพิเศษ มีหน้าที่ปฏิบัติตามสัญญาเชียงใหม่ฉบับที่ 2 และปกครองในดินแดนล้านนา การดำเนินงานแบ่งได้เป็น 2 ส่วน คือ การแก้ปัญหาเกี่ยวกับกิจการป่าไม้ มีการยกเลิกสัญญาการทำไม้ที่เคยทำเอาไว้ และจัดทำบัญชีป่าไม้เพื่อให้ทราบการครอบครองป่าไม้ของเหล่าเจ้านาย ตลอดจนการเพิ่มภาษีค่าตอไม้เข้ารัฐบาลกรุงเทพฯ (หน้า 36-37) ส่วนการปกครองในล้านนาจัดเป็นรูปแบบมณฑล ให้คงตำแหน่งเค้าสนามไว้ แต่ลดความสำคัญลง โดยการแต่งตั้งเสนาขึ้นมาใหม่ 6 ตำแหน่ง คือกรมมหาดไทย กรมทหาร กรมคลัง ยุติธรรม กรมวังและกรมนา มีเจ้านายเป็นเสนาและข้าราชการจากกรุงเทพฯ เป็นผู้ช่วยคอยให้คำปรึกษาแนะนำ ดังนั้นข้าราชการจากกรุงเทพฯ จึงเป็นผู้ควบคุมการทำงานในแต่ละกรมอย่างแท้จริง (หน้า 37) ต่อมามีพระยาทรงสรุเดช (อั้น บุนนาค) ขึ้นมาดำรงตำแหน่งข้าหลวงใหญ่มณฑลพายัพ และตั้งกรมป่าไม้ขึ้นในปี พ.ศ. 2439 เป็นการโอนกรรมสิทธ์ป่าไม้ทั้งหมดจากเจ้านายพื้นเมืองมาเป็นของแผ่นดิน นอกจากนี้ยังโอนการประมูลภาษีและการจัดเก็บให้กับข้าราชการกลาง ทำให้เกิดความไม่พอใจแก่เจ้านายพื้นเมืองอย่างมาก พระยาทรงสุรเดชจึงถูกเรียกตัวกลับกรุงเทพฯ ปี พ.ศ. 2442 (หน้า 38) การเปลี่ยนแปลงการปกครองทำให้เจ้านายพื้นเมืองสูญเสียผลประโยชน์เป็นอันมาก จากกรณีป่าไม้และการจัดเก็บภาษีตลอดจนชาวบ้านล้วนได้รับความเดือดร้อนจากภาษี (หน้า 39-42) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การตัดเส้นทางรถไฟสายเหนือก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมของล้านนาในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับการเติบโตของชุมชนเมือง สถานีรถไฟมักตั้งอยู่ในบริเวณออกไปนอกชุมชนเมืองเล็กน้อย ที่ตั้งของสถานีเดิมมักเป็นทุ่งนาหรือเป็นเพียงตำบลเล็กๆ ที่มีคนอาศัยอยู่ไม่มาก แต่เมื่อมีสถานีรถไฟมาตั้ง บริเวณรอบๆ ได้กลายเป็นชุมชนทางการค้าแห่งใหม่เป็นศูนย์รวมของพ่อค้าและลูกค้าตลอดจนสินค้าเข้าและออกจำนวนมาก ทำให้ชุมชนเมืองขยายออกไปยังบริเวณที่ตั้งของสถานี เช่น เชียงใหม่ เดิมมีชุมชนหนาแน่นอยู่ที่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำปิงและเมื่อมีสถานีรถไฟมาตั้ง ทำให้ชุมชนขยายออกไปทางบริเวณตำบลสันป่าข่อยและหนองประทีป เกิดเป็นแหล่งเศรษฐกิจแห่งใหม่ชักจูงให้ผู้คนอพยพมาตั้งรกรากในฝั่งตะวันออกมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีเมืองลำปาง ลำพูนและเด่นไชยที่เติบโตขึ้นมาตามการตั้งสถานีรถไฟ มีความเจริญ สะดวกสบาย ขณะเดียวกัน ก็เริ่มเกิดแหล่งเสื่อมโทรม เช่น โสเภณีและขอทานตามมาเช่นเดียวกัน (หน้า 147-151) การขยายตัวของกลุ่มชนชั้นพ่อค้าชาวจีน พ่อค้าชาวจีนสามารถขยายบทบาททางการค้าออกไปอย่างกว้างขวาง มีพ่อค้าชาวจีนรุ่นใหม่เข้ามาสมทบกับรุ่นเดิม เกิดเป็นชุมชนชาวจีนซึ่งจะตั้งบ้านเรือนและร้านค้าอยู่ใกล้สถานี มีการรวมกลุ่มชาวจีนเป็นสมาคมและก่อตั้งโรงเรียนจีน ชาวจีนจึงมีบทบาทในในทางการค้าบริเวณมณฑลพายัพมากขึ้น (หน้า 151-153) การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของชาวนา เริ่มมีการผลิตเพื่อการพึ่งตนเองมาสู่การผลิตเพื่อขายมากขึ้น โดยการขยายพื้นที่เพาะปลูกและทำนาปีละ 2 ครั้ง และเลิกการผลิตเครื่องอุปโภคบริโภคเอง เมื่อได้เงินมาก็มาซื้อสินค้าที่เคยผลิตทำได้เอง เช่น เสื้อผ้า ไม้ขีดไฟ เทียนไขหรือตะเกียงน้ำมัน ตลอดจนสินค้าแปลกใหม่ เช่น จาน ชามสังกะสี หรือบุหรี่ต่างประเทศ (หน้า 153) บางครั้งข้าวถูกส่งขายจนไม่เพียงพอกับการบริโภคเลี้ยงตัวเอง และเมื่อเกิดเศรษฐกิจตกต่ำ ราคาข้าวลดต่ำลงชาวนาได้ระผลกระทบกระเทือน บางส่วนหันกลับมาผลิตเพื่อบริโภคและผลิตสิ่งของเครื่องใช้เช่นต้องทอผ้าเอง หรือใช้หินตะบันแทนไม้ขีดไฟ (หน้า 154) ผลที่ตามมาอีกคือเกิดชนชั้นชาวนาไร้ที่ดิน เนื่องจากการเป็นหนี้และสูญเสียที่ดินให้กับพ่อค้าและเจ้านายพื้นเมือง ทางเลือกของคนกลุ่มนี้คือเช่านาจากพ่อค้า เจ้านายพื้นเมืองหรือกระทั่งชาวนาที่ร่ำรวยด้วยกันเอง หรือไม่ก็ต้องอพยพออกไปบุกเบิกที่ดินใหม่ (หน้า 155) ส่วนพ่อค้าวัวต่าง ก็ได้รับผลกระทบจากการสร้างทางรถไฟ ส่วนใหญ่กลับไปใช้ชีวิตเป็นชาวนาอย่างเดิม มีเพียงบางส่วนที่สามารถผันตัวเองไปเป็นพ่อค้าเข้าไปค้าขายในเมือง รับซื้อข้างเปลือกแล้วขายให้พ่อค้าชาวจีน (หน้า 156-157) กลุ่มเจ้านายพื้นเมืองก็ได้รับผลกระทบทั้งจากบทบาทฐานะทางการเมือง และเศรษฐกิจ ทำให้ฐานะทางเศรษฐกิจตกต่ำลง จนต้องกู้ยืมเป็นหนี้พ่อค้า มีเจ้านายบางคนพยายามเปลี่ยนตัวเองเข้ามาเป็นพ่อค้า เช่นลงทุนบุกเบิกที่นาและไร่ยาสูบ หรือการลงทุนทำตลาดและห้องแถว แต่ก็มีเป็นส่วนน้อยที่ประสบความสำเร็จ (หน้า 157-160) |
|
Map/Illustration |
ตารางที่ 1 แสดงอัตราแลกเปลี่ยนีะหว่างเงินรูปีกับเงินบาทในบริเวณมณฑลพายัพระหว่าง พ.ศ. 2440-2457 (หน้า 75) ตารางที่ 2 เปรียบเทียบค่าเดินทางและขนส่งสินค้าทางเรือและทางรถไฟจากกรุงเทพฯ-ลำปาง (หน้า 77) ตารางที่ 3 แสดงมูลค่าสินค้านำเข้าจากเขตแดนพายัพสู่มณฑลพายัพ พ.ศ. 2462-2468 (หน้า 88) |
|
|