|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),อำนาจ,ผู้ทำนาย,พระ,ศาสนา,แม่ฮ่องสอน |
Author |
Yoko Hayami |
Title |
Embodied Power of Prophets and Monks: Dynamics of Religion among Karen in Thailand |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ศูนย์มนุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
25 |
Year |
2544 |
Source |
paper from INTERNATIONAL WORKSHOP Inter-Ethnic Relations in the Making of Mainland Southeast Asia and Southwestern China.18-25 March 2001 Chiang Tung, Myanmar and Chiang Rai, Thailand |
Abstract |
ทำให้มองเห็นถึงความแตกต่างในการปฏิบัติพิธีกรรม อิทธิพลที่ผลักดันกะเหรี่ยงให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่เจริญขึ้น ให้พวกเขาได้มีเครื่องยึดเหนี่ยวในจิตใจ ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในภูมิประเทศที่แตกต่างกันสักเพียงใด แม้ในปัจจุบันความเจริญก้าวหน้าภายนอก ทำให้การทำนุบำรุงศาสนาเป็นไปด้วยความยากลำบาก |
|
Focus |
ศึกษาการเปลี่ยนแปลงการถือปฏิบัติในพิธีกรรมทางศาสนาที่เกิดขึ้นใหม่ซึ่งมีหลากหลาย |
|
Theoretical Issues |
ผู้เขียนเสนอว่ากระบวนการผลวัตทางศาสนามีเงื่อนไขเกี่ยวเนื่องถึงเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่ชุมชนกะเหรี่ยงถูกบูรณาการเข้ากับรัฐไทยซึ่งกำลังพัฒนาไปสู่ความทันสมัย (หน้า 86) และส่งผลกระทบกับชุมชนกะเหรี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการปฏิสัมพันธ์กับแนวคิดทั้งที่มาใหม่ อย่างเช่น หลักพุทธศาสนาซึ่งปฏิเสธการสังเวยด้วยชีวิตสัตว์ |
|
Ethnic Group in the Focus |
กะเหรี่ยงกลุ่มสกอว์ ซึ่งไม่ได้ระบุแถบพื้นที่แน่ชัด ระบุแต่เพียงว่า อยู่แถบภาคเหนือของประเทศไทย เช่น แม่ฮ่องสอน และที่อยู่ในประเทศพม่า |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ผู้เขียนไม่ได้ระบุชัดเจนว่าใช้ภาษาใดในการค้นคว้า แต่มีการระบุถึงการใช้ภาษาที่เป็นคาถาเวทมนต์ของกะเหรี่ยง ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะ Tai Buddhist เช่น Shan และทางเหนือของประเทศไทย (หน้า 110) |
|
Study Period (Data Collection) |
ผู้เขียนได้ศึกษาค้นคว้าในปี ค.ศ. 1980 |
|
History of the Group and Community |
ผู้เขียนไม่ได้ระบุถึงประวัติศาสตร์ของกะเหรี่ยงไว้ ระบุเพียงว่า กะเหรี่ยง อยู่รวมกันในนามของชาวเขา ภายใต้นโยบายที่หลากหลายตั้งแต่ปี ค.ศ. 1960 (หน้า 86) |
|
Economy |
ไม่ได้ระบุชัดเจน ระบุเพียงว่า ครอบครัวใดที่จัดงานเลี้ยงรื่นเริง เช่น พิธีแต่งงาน จะต้องมีเนื้อสัตว์เป็นส่วนประกอบ ซึ่งถือว่าการจัดเลี้ยงด้วยเนื้อสัตว์เป็นหน้าเป็นตาแก่เจ้าของงาน เพราะในยามปกติทั่วไปกะเหรี่ยงไม่สามารถบริโภคเนื้อสัตว์ได้บ่อยครั้งนัก เนื่องมาจากสภาพความเป็นอยู่ที่ยากจน (หน้า 93) |
|
Political Organization |
กะเหรี่ยงมีความเป็นอยู่รวมกันหลากหลายเผ่าพันธุ์ ภายใต้นโยบายที่หลากหลาย ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1960 กะเหรี่ยงจะไม่ใช้อำนาจโดยการบังคับข่มขู่ ในหมู่กะเหรี่ยงปรากฎว่ามีบุคคล 2 คน ซึ่งเป็นผู้นำที่มีอำนาจจนเป็นที่กล่าวขานในหมู่กะเหรี่ยง แถบภาคเหนือของประเทศไทย คือ hikho และ s'ra hikho เป็นผู้นำทางศาสนาที่สืบทอดกันมาแต่รุ่นแรก ชุมชนที่เก่าแก่ได้ปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนา โดยมี hikho เป็นผู้นำปฏิบัติในนามของพลังแห่งความศรัทธา ร่วมกับการปฏิบัติพิธีกรรมของบรรพบุรุษ เช่น พิธีกรรมบูชายัญสัตว์ s'ra เป็นผู้ที่มีเวทมนต์ในการปรุงยาและเสกสิ่งต่าง ๆ เช่น การเคลื่อนย้ายสิ่งของ ทำให้ยิงไม่เข้า s'ra ยังมีความสามารถในการป้องกันภัยด้วย และจากการสังเกตพบว่าผู้ชำนาญที่มีอำนาจทางเวทมนต์มักจะมีทักษะทางด้านภาษา มีความรู้ดี และมีประสบการณ์ในการเดินทางไกล กล่าวคือผู้นำที่มีอำนาจได้นำประสบการณ์ที่ได้พบปะวัฒนธรรมและความรู้อื่น ๆ ในพื้นที่ที่ตนได้เดินทางไปมาปรับใช้ ส่วนการรักษาระดับพลังให้อยู่ในระดับสูงขึ้นนั้นทำได้โดยการบำเพ็ญตน ละเว้นเนื้อสัตว์และสตรี อำนาจในการสะกด สัก เสกของ การถ่มน้ำลาย หรือการสะกดลมหายใจ ที่เชื่อว่าเป็นอำนาจของ s'ra พิธีกรรมเหล่านี้ Marshall ได้ระบุไว้ว่า พลังอำนาจของพวกเขาประกอบกับความรู้จากโลกภายนอก เป็นอำนาจในการล้อมคอกชุมชน และเป็นสัญญาณเตือนถึงคำสั่งชุมชน (หน้า 86-90) |
|
Belief System |
กะเหรี่ยงที่อาศัยในพื้นที่ระหว่างตัวเมืองแม่ฮ่องสอนและ Musikee ได้รับอิทธิพลความเชื่อที่ เรียกว่า ลัทธิ "Mojethau" ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงกลางทศวรรษ 1940 ในหมู่บ้านกะเหรี่ยง ทางทิศตะวันตกของปาย โดยที่ Mojethau ซึ่งเป็นชายกลางคนคนหนึ่งเริ่มมีอาการผิดปกติหลังจากการตายของ ภรรยา อ้างว่ามีผู้มาเข้าร่าง และได้เทศน์เกี่ยวกับข้อห้ามในการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตและการมีชู้ ในช่วงเวลาดังกล่าวเขามีศานุศิษย์มากพอสมควร และมีผู้ช่วยใกล้ชิด 3 คน ซึ่งเรื่องเล่าที่เกี่ยวกับ Mojethau จะแสดงถึงญาณพิเศษของเขาที่สามารถหยั่งรู้สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นไกลออกไปได้ ต่อมา Mojethau เริ่มมีอาการแปลก ๆ เช่น ให้กำจัดสุนัขและไก่ที่เลี้ยงไว้ พวกศานุศิษย์เริ่มผิดหวัง เพราะสูญเสียสิ่งต่าง ๆ ไป ในที่สุดก็เรียกตำรวจมาจัดการทำให้ลัทธินี้สิ้นสุดลงภายในเวลาไม่นานนัก ลัทธิความเชื่อแบบนี้เคยปรากฎแล้วในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ในพม่าแถบมะละแหม่ง ซึ่ง Judson (มิชชันนารีอเมริกัน) ได้ส่งผู้ช่วยหลายคนไปพบกะเหรี่ยงหนุ่มคนหนึ่งซึ่งมีสมญานามว่า ศรีอาริยเมตไตร ซึ่งอ้างว่ามีความสามารถติดต่อกับโลกลี้ลับได้และยังมีบันทึกเกี่ยวกับกะเหรี่ยง บางคนที่อ้างว่าเป็นผู้พยากรณ์ เช่น ลัทธิ Telakhon ซึ่งมีพัฒนาการในทศวรรษ 1860 แถวมะละแหม่งอีกเช่นกัน และได้แพร่ขยายเข้ามาในประเทศไทยแถวบริเวณกาญจนบุรีด้วย (หน้า 91-98) ตามลัทธินี้ซึ่ง Stern พบที่กาญจนบุรีในทศวรรษ 1960 ผู้ถือลัทธินี้เชื่อว่า หากใช้ชีวิตอย่างมีศีลธรรม พระผู้ช่วยให้รอดจะลงมาในร่างของคนผิวขาวและถือหนังสือเป็นทองมาด้วย และผู้นำจะสามารถจำอริยะ (พระพุทธเจ้าในอนาคต) และสามารถอ่านหนังสือดังกล่าวได้ จะเป็นผู้นำความรุ่งเรืองมาสู่เผ่าพันธุ์กะเหรี่ยง (หน้า 99) ลัทธิต่าง ๆ ของกะเหรี่ยงที่เกิดขึ้นมีความหลากหลายแต่มีลักษณะร่วมกัน คือเชื่อว่าผู้นำมีอำนาจเหนือธรรมชาติ ซึ่งมีลักษณะต่างกันไป เช่น เป็นหมอสมุนไพร ผู้พยากรณ์ หรือเป็นศรีอาริยเมตไตร เน้นและมีการทำพิธีกรรมที่แตกต่างไปจากกะเหรี่ยงธรรมดาโดยเฉพาะเรื่องมังสวิรัติและศีลธรรม และผู้นำดังกล่าวจะนำความรุ่งเรืองนี้มาให้กะเหรี่ยง ผู้เขียนได้อธิบายว่าอำนาจและการถือปฏิบัติดังกล่าว กะเหรี่ยงได้แบบอย่างมาจากพระเถระที่เป็นที่นับถือในทางเหนือของไทย เช่น ครูบาขาวปี๋ และครูบาศรีวิชัย (หน้า 102) ซึ่งพวกกะเหรี่ยงได้ร่วมนับถือด้วย ทั้งที่ "ครูบา" จะอยู่ในอาณาจักรของพุทธศาสนา |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
กะเหรี่ยงรับเอาความหลากหลายของธรรมเนียมปฏิบัติจากศาสนาภายนอกมาใช้ การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม อาจเกิดจากความเจริญสมัยใหม่ภายนอก ซึ่งทำให้การทำนุบำรุงพุทธศาสนาเป็นไปด้วยความยากลำบาก (หน้า 108) |
|
|