|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),การปรับเปลี่ยนการเกษตร,แม่ฮ่องสอน |
Author |
Runako Samata |
Title |
Agricultural Transformation and Highlander Choice: A Case Study of a Pwo Karen Community in Northwestern Thailand |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
22 |
Year |
2546 |
Source |
Politics of the Commons : Articulating Development and Strengthening Local Partice |
Abstract |
มีเนื้อหาครอบคลุมปัญหาเศรษฐกิจ ด้านหนี้สินทั้งกับรัฐบาล และนายทุน ที่กะเหรี่ยงได้กู้มา ปัญหาสิ่งแวดล้อม ของกะเหรี่ยงที่พยายามปรับเปลี่ยนวิถีการเกษตร โดยการใช้เทคโนโลยี และ สารเคมี |
|
Focus |
ผลกระทบที่เกิดจากการพัฒนาการเกษตร และพื้นที่สำหรับการเกษตรกรรมที่ถูกจำกัด (หน้าที่ 1) |
|
Theoretical Issues |
ผู้เขียนใช้ทฤษฎี "Neo - Malthusian Theory" กล่าวถึง การเพิ่มจำนวนประชากรมีผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ และผู้เขียนก็ยังได้นำแนวคิดของนักวิเคราะห์หลายท่าน ที่ให้ใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของกะเหรี่ยง |
|
Ethnic Group in the Focus |
เป็นกะเหรี่ยง เผ่าโปว์ (Pwo) ใน 2 หมู่บ้าน คือกะเหรี่ยงบ้านตองเหลือง และ กะเหรี่ยงบ้านแม่ช้าง ที่อาศัยอยู่ที่ ตำบลแม่โฮะ อำเภอ แม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน (หน้า1) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
ช่วงการศึกษาวิจัยประมาณ 1 ปี ตั้งแต่ เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2002 (พ.ศ.2546) มกราคม ค.ศ.2003 (พ.ศ. 2546) |
|
History of the Group and Community |
กะเหรี่ยงเผ่าโปว์ อ.แม่สะเรียง จ. แม่ฮ่องสอน มี 6 หมู่บ้าน ที่ทำวิจัยมี 2 หมู่บ้าน คือ บ้านแม่ช้าง ซึ่งได้ตั้งถิ่นฐานในประเทศไทยมากกว่า 200-250 ปี (จากการสอบถาม) และบ้านตองเหลืองตั้งถิ่นฐานประมาณ 100 ปีที่แล้ว ย้ายมาจากบ้านแม่ช้าง (หน้า 1-2) ก่อนหน้านี้กะเหรี่ยงเผ่าโปว์ในแม่โฮะปลูกกะหล่ำปลีให้พวกม้งผู้ซึ่งเช่าที่ดินของกะเหรี่ยง ทำให้กะเหรี่ยงก็ได้เรียนรู้เรื่องการปลูกกะหล่ำปลี โดยปกติแล้ว การปลูกกะหล่ำปลีของกะเหรี่ยงนั้น จะปลูกตามที่สูง ทำให้ดินเสื่อม และเกิดมลภาวะทางน้ำจากการใช้ปุ๋ยเคมี เพราะต้องการเพิ่มผลผลิต (หน้า 2-3) |
|
Settlement Pattern |
ผู้เขียนไม่ระบุชัดเจน แต่สามารถดูได้จากแผนที่ได้สรุปว่าบ้านของกะเหรี่ยงจะปลูกติดเส้นทางคมนาคม ไม่ปลูกตั้งบ้านเรือนเป็นกลุ่ม (หน้า 19) |
|
Demography |
มีการสำรวจในเดือนกุมภาพันธ์ - มีนาคม ค.ศ. 2002 (พ.ศ.2545) ประชากรบ้านแม่ช้าง มี 245 คน จาก 54 ครอบครัว และบ้านตองเหลืองสำรวจในเดือนมกราคม ค.ศ. 2003 (พ.ศ. 2546) จำนวนประชากรราว 505 คน จาก 125 ครอบครัว (หน้า 2) |
|
Economy |
กะเหรี่ยงได้นำการชลประทานมาใช้ในการปลูกข้าวและกะหล่ำปลีในที่ดินที่แตกต่างกัน กะเหรี่ยงเผ่าโปว์บ้านแม่ช้างทำไร่เลื่อนลอยมาเป็นเวลานาน ส่วนกะเหรี่ยงเผ่าโปว์บ้านตองเหลืองนำวิธีการปลูกข้าวผสมกะหล่ำปลีของกะเหรี่ยงเผ่าโปว์บ้านแม่ช้างมาใช้ และก็ได้นำปุ๋ยเคมีเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร แต่การใช้ปุ๋ยเคมีก็มีแต่เกษตรกรที่รวยกว่าที่สามารถซื้อได้ แต่เพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดี เกษตรกรที่จนจำต้องเป็นหนี้ เพื่อซื้อปุ๋ยเคมี เมื่อใช้ไปนานๆ เข้า ก็ทำให้ดินเสื่อม ที่ดินเพาะปลูกไม่ได้ ทำให้กะเหรี่ยงบางส่วนต้องทำอาชีพผิดกฎหมาย แต่ในปี ค.ศ.2002 (พ.ศ. 2545) ได้มีกองทุนหมู่บ้านเพื่อช่วยเหลือกะเหรี่ยงที่ไม่มีทุนทำการเกษตร (หน้า 4-5) |
|
Social Organization |
เกิดจากความไม่เท่าเทียมกันในสภาพเศรษฐกิจ กะเหรี่ยงที่เป็นชาวนาบางคนก็รวยจากการปลูกกะหล่ำปลี จนเป็นเจ้าของที่ดินขนาดใหญ่ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ และปศุสัตว์ ในขณะเดียวกัน ชาวนากะเหรี่ยงที่จนกว่าเพราะไม่ประสบความสำเร็จจากการเพาะปลูกกะหล่ำปลีก็มีหนี้สิน เพราะเงินที่กู้มาซื้อสารเคมีและปุ๋ย (หน้า 9-10) กะเหรี่ยงที่รวยบางคนได้แอบโกงที่ดินที่บ้านตองเหลือง พวกเขาสูญเสียที่ดินขนาดใหญ่ ในการสำรวจนี้ได้มีการกำหนดราคาแลกเปลี่ยน การค้าที่ดิน ลักษณะนี้เคยเกิดที่ จังหวัดอุทัยธานีมาแล้ว (หน้า 6) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
สังคมของกะเหรี่ยงมีการเกษตรเพื่อยังชีพ แต่ต้องมาเปลี่ยนเป็นเพื่อการค้า เปลี่ยนจากการทำไร่เลื่อนลอยที่พวกกะเหรี่ยงทำกันมานานและทำให้ดินเสื่อม มาเป็นการปลูกพืชหมุนเวียน และในช่วง 10 ปี คือ ค.ศ. 1980 (พ.ศ.2523) กะเหรี่ยงได้ หันมาปลูกกะหล่ำปลีแทนม้งที่ไม่นิยมการปลูกกะหล่ำปลี (หน้า 3) |
|
Other Issues |
สังคมของกะเหรี่ยงมีการเกษตรเพื่อยังชีพ แต่ต้องมาเปลี่ยนเป็นเพื่อการค้า เปลี่ยนจากการทำไร่เลื่อนลอยที่พวกกะเหรี่ยงทำกันมานานและทำให้ดินเสื่อม มาเป็นการปลูกพืชหมุนเวียน และในช่วง 10 ปี คือ ค.ศ. 1980 (พ.ศ.2523) กะเหรี่ยงได้ หันมาปลูกกะหล่ำปลีแทนม้งที่ไม่นิยมการปลูกกะหล่ำปลี (หน้า 3) |
|
Map/Illustration |
Map 1. Location of the Villages for the Study Map 2. Residential Area of the Village: Ban Mae Chang (The Major Part) Map 3. Residential Area of the Village: Ban Mae Chang Bon (The Satellite Part) |
|
|