|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ม้ง, เมี่ยน, ลาหู่, ลีซู, อ่าข่า,ยวน,จีนยูนนาน,ชาวเขา,ระบบเศรษฐกิจ,ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์,ภาคเหนือ |
Author |
William Y. Dessaint, Alain Y. Dessaint |
Title |
Economic Systems and Ethnic Relations in Northern Thailand |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
อ่าข่า, ลีซู, ลาหู่ ลาหู่ ละหู่ ลาฮู, ไทยวน ยวน ยวนสีคิ้ว คนเมือง, อิ้วเมี่ยน เมี่ยน, ม้ง, จีนยูนนาน จีนฮ่อ มุสลิมยูนนาน,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไม่ระบุ |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
13 |
Year |
2525 |
Source |
Anthony R. Walker (ed.) Studies of Ethnic Minority Peoples. Singapore: Contributions to Southeast Asian Ethnography. |
Abstract |
บทความกล่าวถึงระบบเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ทางภาคเหนือของประเทศไทย การที่แต่ละกลุ่มมีพื้นที่นิเวศเฉพาะ มีผลผลิตเฉพาะอย่าง จึงต้องพึ่งพิงผลผลิตจากกลุ่มอื่น ๆ ที่มีระบบนิเวศแตกต่างกันออกไป ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจระหว่างกลุ่มขึ้นอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะการพึ่งพิงทางการค้าระหว่างคนที่อยู่บนพื้นที่สูงและคนพื้นราบ แต่มีความสัมพันธ์ทางสังคมน้อย กลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ยังคงรักษาวิถีชีวิตที่แตกต่างของตนเอาไว้ มีความเป็นอิสระทางวัฒนธรรม แต่พึ่งพิงทางเศรษฐกิจ โดยอาศัยการแลกเปลี่ยนผ่านคนกลาง ได้แก่ พ่อค้าเร่ คาราวาน และร้านค้า มากกว่าจะติดต่อค้าขายกับศูนย์กลางตลาดโดยตรง เมื่อฝิ่นซึ่งเป็นพืชเงินสดสำคัญของชนบนพื้นที่สูงถูกประกาศให้กลายเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ทรัพยากรที่ดินมีจำกัด นำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างคนพื้นราบและคนบนพื้นที่สูง รัฐไทยพยายามกลืนกลายทางวัฒนธรรมด้วยวิธีต่าง ๆ |
|
Focus |
ระบบเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ทางตอนเหนือของประเทศไทย |
|
Theoretical Issues |
ผู้เขียนเสนอว่า กลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่ทางภาคเหนือของไทยนั้นมีการรวมตัวกันตั้งถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่ที่มีระบบนิเวศแตกต่างกันบนพื้นที่สูง ซึ่งมีสภาพภูมิศาสตร์ ดิน และอากาศที่แตกต่างกัน ทำให้แต่ละกลุ่มที่อาศัยอยู่ในสภาพนิเวศเฉพาะนั้น ๆ มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ตายตัวและแยกออกจากกลุ่มอื่น ๆ ในทางสังคมวัฒนธรรม (น. 72) การที่แต่ละกลุ่มมีพื้นที่นิเวศเฉพาะ มีผลผลิตเฉพาะอย่าง จึงต้องพึ่งพิงผลผลิตจากกลุ่มอื่น ๆ ที่มีระบบนิเวศแตกต่างกันออกไป ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจระหว่างกลุ่มขึ้นอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะการพึ่งพิงทางการค้าระหว่างคนที่อยู่บนพื้นที่สูงและคนพื้นราบ แต่ยังคงรักษาความเป็นอิสระทางวัฒนธรรมเอาไว้ โดยอาศัยการแลกเปลี่ยนผ่านพ่อค้าเร่ คาราวาน และร้านค้าที่เป็นของคนจีน มากกว่าจะติดต่อค้าขายกับศูนย์กลางตลาดโดยตรง ลักษณะการทำธุรกรรมระหว่างคนพื้นที่สูงกับผู้ค้าเร่ กองคาราวาน และเจ้าของร้านก็คือ การรู้ถึงความแตกต่างทางชาติพันธุ์ ที่ต่างฝ่ายต่างพยายามที่จะหาประโยชน์จากอีกฝ่าย ติดต่อกันในเชิงพาณิชย์เท่านั้น คนพื้นราบ คือ ยวน ฉาน และลื้อ รวมถึงคนจีน มีความสำคัญในการจัดส่ง (supply) อาหาร เสื้อผ้า และสินค้าอื่น ๆ ตลอดจนเป็นตลาดรับซื้อพืชเศรษฐกิจของชาวเขาด้วย การที่เจ้าของร้านและคนพื้นราบให้เครดิต เป็นการกระตุ้นให้ชาวเขาผลิตฝิ่น ซึ่งสะท้อนถึงตำแหน่งชายขอบของพื้นที่สูงในการสัมพันธ์กับพื้นราบ เป็นชายขอบทางภูมิศาสตร์เพราะฝิ่นไม่สามารถปลูกในพื้นที่ต่ำกว่า 1400 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล และเป็นชายขอบทางเศรษฐกิจ เพราะการค้าฝิ่นถูกประกาศให้เป็นสิ่งผิดกฎหมายและมีอุปสรรคมากมายในการเดินทาง ชนบนพื้นที่สูงได้ใช้พื้นที่นิเวศที่เป็นชายขอบและตำแหน่งชายขอบในระบบตลาด เพื่อรักษาสิทธิในการปกครองตนเองทางการเมืองและวัฒนธรรมของกลุ่มตนเอาไว้ (น. 81) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ชนบนพื้นที่สูง ได้แก่ ม้ง เย้า ลาหู่ ลีซอ อาข่า กับคนจีน และคนพื้นราบทางภาคเหนือที่เรียกว่า ยวน (โยนก) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ชนบนพื้นที่สูง ซึ่งส่วนใหญ่อพยพมาจากยูนนานมีภาษาที่แตกต่างจากภาษาคนพื้นราบทางตอนเหนือของไทยมาก ทำให้นิยมติดต่อกับพ่อค้าจีน ซึ่งสื่อสารกันเข้าใจดีกว่าคนยวน (น.79) แม้ว่าในความเป็นจริงแล้ว คนบนพื้นที่สูงและคนพื้นราบบางส่วนสามารถพูดได้มากกว่า 1 ภาษา นอกเหนือจากภาษาของตนเองก็ตาม (น.75) |
|
Study Period (Data Collection) |
ไม่ระบุช่วงเวลาชัดเจน แต่เป็นการเก็บข้อมูลภาคสนามที่เชียงใหม่และน่าน โดยได้ทุนจากหลายสถาบัน (เชิงอรรถที่ 1 น.73) |
|
History of the Group and Community |
|
Economy |
ระบบเศรษฐกิจทางภาคเหนือของไทย ทั้งบนพื้นที่สูงและพื้นราบมีลักษณะเพื่อยังชีพ การรวมตัวกันทางเศรษฐกิจระหว่างคนบนพื้นที่สูงและพื้นราบมีน้อย เรียกว่ามณฑลทางเศรษฐกิจมีลักษณะแบ่งแยกกัน และความสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างกลุ่มต่าง ๆ นั้นมีเล็กน้อย กลไกที่บูรณาการทางเศรษฐกิจที่มีอยู่ไม่ใช่ตลาดภูมิภาค แต่เป็นเครือข่ายการค้านอกตลาดท้องถิ่น (น.75) เพราะว่าสินค้าที่ชาวเขาผลิตและเอาไปขายนั้นไม่ได้เป็นที่ต้องการในตลาดท้องถิ่น และสินค้าที่ชาวเขาต้องการก็ไม่ได้อยู่ในตลาดสด (น.79) ผู้เขียนระบุว่า เศรษฐกิจของชนบนพื้นที่สูงนั้นเป็นเศรษฐกิจยังชีพพิเศษที่ต้องพึ่งพิงการค้า (commercialized colonial economy) กล่าวคือ ต้องพึ่งพิงการผลิตสินค้าชนิดเดียวที่ขนส่งได้ง่ายและไม่เน่าเสีย มีมูลค่าสูงและเป็นที่ต้องการของโลกภายนอก ได้แก่ ฝิ่น ซึ่งต้องปลูกในที่ห่างไกล รอดจากการควบคุมของตำรวจ อีกทั้งปลอดภัยที่จะขนส่งจากแหล่งผลิตที่ห่างไกลมายังพื้นที่บริโภค ประมาณการว่า ร้อยละ 80 ของฝิ่นที่เสพย์ในโลกมาจากพื้นที่สูงของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และขนย้ายผ่าน กรุงเทพ หรือ แม่ฮ่องสอน ไปยังสหรัฐ แคนาดา หรือยุโรป (น.76) กลุ่มม้ง และลีซอที่ผลิตฝิ่นมักจ้างแรงงานจากกลุ่มอื่น ๆ มาทำงานในไร่และรับใช้ต่าง ๆ โดยได้ค่าตอบแทนเป็นฝิ่นและอาหารที่พัก แต่บ่อยครั้งที่แรงงานที่ติดฝิ่นเหล่านี้ ป่วยจนทำงานไม่ไหว ต้องจ่ายค่าแรงล่วงหน้าและโต้เถียงกันเมื่อถึงเวลาที่ต้องมาทำงาน ลีซอและม้งจะถือว่าแรงงานเหล่านี้เป็นแรงงานไร้ฝีมือ ไม่ซื่อสัตย์ และอาจไว้วางใจให้ทำหน้าที่สำคัญที่ละเอียดอ่อนเช่นการปลูกฝิ่นได้ การค้าขายระหว่างคนที่อยู่ในพื้นที่นิเวศต่างกันหรือการค้าต่างถิ่นนั้น (ต่างจากการค้าภายในหมู่บ้านที่มีพื้นฐานบนการแลกเปลี่ยนอย่างเท่าเทียม) ราคาสินค้าจะผันผวนขึ้นลง ผู้ที่มีบทบาทสำคัญ ได้แก่ 1) ผู้ค้าเร่ในพื้นที่ขนาดเล็ก 2) พ่อค้า กองคาราวานและคนกลาง ครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ 3) ร้านค้าพาณิชย์ต่าง ๆ 1. หาบเร่จะค้าขายกับชุมชนที่ห่างจากตลาดหรือศูนย์กลางการค้าที่มีระยะห่างด้วยการเดิน 1 วัน ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง "ยวน" ที่หารายได้เพิ่มจากการทำเกษตร สินค้าได้มาจาก 3 แหล่ง คือ ผลิตเองจากไร่นา รวบรวมจากเพื่อนบ้านและมิตรสหาย และของที่ซื้อมาจากตลาดหรือร้านค้า ซึ่งราคาไม่แพงนักและไม่หนักมาก สามารถขายได้อย่างรวดเร็ว เช่น ไม้ขีดไฟ ถ่านไฟฉาย มูลค่าของที่นำไปขาย 1 เที่ยวประมาณ 100 บาท แม่ค้าหาบเร่เหล่านี้จะไปยังชุมชนซ้ำ ๆ เมื่อลูกค้าต้องการสิ่งใด ครั้งต่อไปก็จะนำไปให้ ขากลับก็จะรับซื้อ ของพื้นบ้าน ของป่ากลับไปขายให้ตลาดหรือร้านค้าด้วย ทำกำไรได้ทั้งขาไปและกลับ (น.77-78) 2. พ่อค้า กองคาราวาน จะมีทุนมาก มีเครดิต และรายได้จากการค้าเป็นรายได้บางส่วนเท่านั้น ส่วนใหญ่เป็นคนจีน บ้างเป็นสมาชิกขององค์กร เช่น หุ้นส่วนไทย-จีน ก๊กมินตั๋ง ซึ่งควบคุมการค้าฝิ่นในภาคเหนือของไทยมาตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1960 อีกส่วนก็มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับร้านค้าในเมืองใหญ่ และยังมีพ่อค้าคนกลางที่รับซื้อฝิ่นจำนวนมากหรือสินค้าอื่น ๆ เพื่อนำไปขายต่อให้แก่บริษัท คนกลุ่มนี้มีการเงินและการขนส่งที่ดีกว่า มีบทบาทสำคัญในการป้อนสินค้าจากตลาดไปยังพื้นที่ห่างไกล และรับซื้อพืชผลจากชนบทมาขายนอกพื้นที่ การค้าแบบนี้มีการให้สินเชื่อสูง กองคาราวานให้ผู้ผลิตยืมเงินเสมอ ๆ บางครั้งลีซอ ม้ง เย้า ที่ปลูกฝิ่นก็ให้เครดิตแก่พ่อค้าเพื่อแลกกับคำสัญญาว่าจะให้ราคาสูง พ่อค้าจีนส่วนใหญ่เป็นยูนนาน มีที่พักถาวรอยู่ในหมู่บ้านบนภูเขา มักมีบ้านและครอบครัวอยู่ทั้งในหมู่บ้านและในเมือง พ่อค้าก๊กมินตั๋งมีบ้านและภรรยาชาวเขาเพื่อใช้เป็นโรงเก็บสินค้า แล้วจึงบรรทุกใส่หลังม้ามายังรถบรรทุก 3. ชาวเขาส่วนใหญ่ชอบซื้อสินค้าจากร้านค้ามากกว่าตลาดสดของคนยวน (คนเมือง) เพราะสะดวกกว่า ชาวเขารู้ภาษาจีน อีกทั้งพ่อค้าจีนให้ความช่วยเหลืออื่นๆ แก่ชาวเขา ให้ที่พัก ให้คำแนะนำว่าจะไปรับบริการอื่นได้ที่ไหน จะติดต่อกับเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจอย่างไร เพราะเจ้าของร้านส่วนใหญ่เคยเป็นพ่อค้าคาราวานมาก่อน เคยติดต่อกับชาวเขามาก่อน และเหตุผลสุดท้ายคือ ผู้ค้าในตลาดยวนส่วนมากเป็นเพศตรงข้าม ขณะที่เจ้าของร้านค้าเป็นชายเหมือนกัน จึงชอบติดต่อกับร้านค้ามากกว่า (น.79) ธรรมเนียมสากลทางเหนือ คือ การตั้งราคาปากเปล่าและต่อรองกัน ผู้ซื้อจะถามราคาสินค้าต่างๆ และจำไว้เป็นข้อมูลเทียบกับที่เคยซื้อ และเทียบกับราคาในบริเวณใกล้เคียงด้วย การเปลี่ยนและผันแปรราคาตามสถานที่และเวลาจะแพร่ออกไปปากต่อปากอย่างรวดเร็ว กลุ่มชาติพันธุ์ส่วนใหญ่มีการเก็บออมในรูปเครื่องประดับเงิน นักเดินทาง (travellers) เป็นตัวหลักในการให้ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าแบรนด์เนม เช่น นาฬิกาไซโก ปืนไรเฟิลเอ็ม 14 ของสหรัฐ ซึ่งมีราคาสูงกว่าของที่หาได้ในท้องถิ่น |
|
Social Organization |
ไม่ระบุในรายละเอียด แต่กล่าวว่า มีการแต่งงานข้ามกลุ่มชาติพันธุ์ (limited occurrence of miscegenation) ที่จำกัด และมีบ้างที่หมู่บ้านหนึ่ง ๆ มีหลายกลุ่มชาติพันธุ์อยู่ร่วมกัน (น.75) |
|
Political Organization |
พ่อค้า กองคาราวาน มักเป็นสมาชิกขององค์กร เช่น ก๊กมินตั๋ง หรือมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับร้านค้าในเมืองใหญ่ มักมีบ้านและครอบครัวอยู่ทั้งในหมู่บ้านและในเมือง นับเป็นกลุ่มที่มีบทบาทสำคัญ ที่ใดที่พ่อค้าจีนมีทรัพยากรและอิทธิพลมากพอ ก็อาจชวนชาวเขาให้เพิ่มปริมาณการผลิตพืชผลบางชนิด และให้อาหาร ของจำเป็นต่าง ๆ แก่ชาวเขา ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย หมู่บ้านบางแห่งหันมาปลูกพืชเงินสดเพียง 1-2 ชนิดเท่านั้น เช่น ฝิ่น พริก ฯลฯ ตามคำชักชวนของพ่อค้าจีน มีการพัฒนาความสัมพันธ์ระบบอุปถัมภ์ขึ้นในบางกรณี อย่างไรก็ตาม เมื่อฝิ่นกลายเป็นสินค้าผิดกฎหมายในไทยตั้งแต่ปี 1958 ตลาดลับๆ ของฝิ่น มีความไม่แน่นอนมักนำไปสู่ความขัดแย้งและกลายเป็นศัตรูกันได้ เพราะชาวเขาที่ปลูกฝิ่น คือ ลีซอ ละหู่ อาข่า ม้ง และเย้านั้น ถูกจำกัดหลายด้านทำให้ไม่สามารถขายฝิ่นได้ในราคาตลาดที่สูงกว่า พวกเขารู้ดีว่า ได้รับส่วนแบ่งจากมูลค่าตลาดเพียงน้อยนิดที่พ่อค้าจีนและไทยได้ และเขาก็รู้ว่าพ่อค้าคนกลางพวกนี้มีอำนาจคุ้มครองอยู่ จึงทำกำไรได้มหาศาลจากการขายฝิ่นที่รับซื้อไปจากชาวเขา (น.78-79) ในด้านความสัมพันธ์กับรัฐบาลไทย เนื่องจากแนวเขตแดนทางเหนือของไทยนั้นเป็นแนวเขา รัฐบาลมีความวิตกเกี่ยวกับความมั่นคงชายแดน อีกทั้งถูกกดดันจากสหรัฐให้กฎหมายห้ามการผลิตฝิ่น จึงเริ่มมีการสร้างถนนขึ้นเขา เจ้าหน้าที่รัฐพยายามใช้กฎหมายควบคุมการผลิตและค้าฝิ่น ส่งผลให้เกิดความตึงเครียดในหลายจังหวัดโดยเฉพาะม้งที่น่านและเพชรบูรณ์ ทหารและตำรวจได้ใช้อาวุธหนักโจมตีชาวเขา เกิดการสูญเสียชีวิตทั้ง 2 ฝ่าย สื่อมวลชนโหมแพร่ข่าวยุทธการทหารในครั้งนั้น ส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างคนไทยพื้นราบกับชนบนพื้นที่สูงเลวร้ายขึ้น เช่น มีการประโคมข่าวว่าชาวเขาเป็นคอมมิวนิสต์ที่ถูกครอบงำโดยรัสเซีย ระบุว่าพบหนังสือที่พิมพ์เป็นภาษารัสเซีย ทั้งๆที่ความจริงแล้วเป็นคัมภีร์ไบเบิลที่มิชชันนารีชาวอังกฤษเขียนเป็นภาษาลีซอ (เชิงอรรถที่ 5 น.82) ข้อเขียนระบุว่าไทยได้เมตตาให้ชาวเขาอาศัยอยู่ในประเทศอย่างสงบมานานแต่ม้งกลับไปร่วมมือกับศัตรูภายนอกมาต่อสู้กับชาติไทย ทำให้ความรู้สึกของคนไทยเปลี่ยนไป เห็นว่าควรขับไล่ม้งออกไปจากผืนแผ่นดินไทย จากความขัดแย้งนี้ ม้ง เย้า ถิ่น ขมุ นับพันคนในจังหวัดน่าน เชียงราย เพชรบูรณ์ ได้ถูกขับไล่ออกจากพื้นที่ภูเขา ให้ไปอยู่ในค่ายอพยพที่พื้นราบเพื่อให้ง่ายต่อการควบคุมของรัฐบาล และมีกระบวนการต่าง ๆ ในการกลืนกลายทางวัฒนธรรม ได้แก่ พัฒนาด้านคมนาคมขนส่ง โยกย้ายถิ่นฐาน ช่วยสงเคราะห์ด้านการศึกษาและการรักษาพยาบาล โครงการธรรมจาริก สอนเทคนิคทางการเกษตรและเพิ่มจำนวนตำรวจและเจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่ (น.82) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
แม้จะมีการติดต่อค้าขายระหว่างคนพื้นที่สูงกับผู้ค้าเร่ กองคาราวาน และเจ้าของร้าน ต่างก็ตระหนักรู้ถึงความแตกต่างทางชาติพันธุ์ ต่างฝ่ายต่างพยายามที่จะหาประโยชน์จากอีกฝ่าย แม้จะมีการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจ แต่ชาวเขายังคงรักษาความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์เอาไว้ เช่น ในการจ้างแรงงาน ความแตกต่างทางชาติพันธุ์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างทำให้เกิดการไม่เคารพซึ่งกันและกัน บางครั้งลีซอก็ถือว่ายวนและกะเหรี่ยงที่ติดยานั้นเป็นตัวอย่างของคนที่มีคุณภาพต่ำ พวกเขาเห็นว่าตนเองฉลาดกว่าเพราะสามารถจ้างคนที่ไม่ใช่ลีซอ ในทางตรงข้าม แรงงานก็เห็นว่าลีซอซึ่งเป็นพวก "ป่าเถื่อน" "ไม่เจริญ" นั้น มั่งคั่งกว่าพวกตน และเห็นว่าความมั่งคั่งนั้นเกิดจากการปลูกสิ่งซึ่งผิดกฎหมาย และใช้วิธีเพาะปลูกที่ทำลายป่า (น.77) ในการหาข้อมูลเรื่องคุณภาพและราคาของสินค้า ความน่าเชื่อถือจะถูกประเมินจากการแบ่งประเภทชาติพันธุ์และสัญลักษณ์พื้นฐาน เช่น วิธีแต่งกาย การพูดและกริยาท่าทาง ตัวอย่างเช่น ม้งจะเชื่อถือข้อมูลที่ได้จากม้งมากกว่าผู้ที่ไม่ใช่ม้ง ถึงแม้ว่าเขาจะอยู่ในสถานะที่น่าจะรู้ข้อเท็จจริงก็ตาม (น.80) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ในช่วงที่ทำการศึกษา การเปลี่ยนทิศทางเศรษฐกิจ การเพิ่มจำนวนประชากร และสถานการณ์การเมืองได้เปลี่ยนธรรมชาติของความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มในพื้นที่ การที่ประชากรพื้นราบเพิ่มมากขึ้นทำให้ต้องหันมาถางป่าที่เชิงเขา และปลูกชาตามเนินเขา อัตราการตายที่ลดลงของชาวเขา และการที่มีผู้อพยพมาจากพม่าและลาวอย่างต่อเนื่องทำให้เกิดความกดดันอย่างมากเรื่องทรัพยากรที่ดินบนพื้นที่สูง ทำให้ต้องพึ่งพิงพืชเงินสดโดยเฉพาะฝิ่นซึ่งใช้พื้นที่น้อยแต่ให้ผลตอบแทนสูง ต้องพึ่งพิงคนพื้นราบมากขึ้น ในบางครั้งการขาดแคลนที่ดินส่งผลให้เกิดความขัดแย้งและพิพาทกันระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ซึ่งมีแนวคิดเรื่องการถือครองที่ดินต่างกัน หลังจากประกาศห้ามการผลิตและขายฝิ่น รัฐบาลไทยมีความพยายามที่จะกลืนกลายทางวัฒนธรรมชนบนพื้นที่สูง ด้วยการพัฒนาด้านคมนาคมขนส่งให้เข้าถึงพื้นที่สูงที่ห่างไกล โยกย้ายชุมชนออกจากป่าเขา ช่วยสงเคราะห์ด้านการศึกษาและการรักษาพยาบาล โครงการธรรมจาริก สอนเทคนิคทางการเกษตรและเพิ่มจำนวนตำรวจและเจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่ เป็นต้น (น.82) การเปลี่ยนทางเศรษฐกิจ การเมืองในปัจจุบันนำไปสู่สถานการณ์ที่คนพื้นราบเรียกร้องให้อนุรักษ์ทรัพยากรพื้นที่สูงไว้เพื่อประโยชน์ของพวกตน ผลก็คือ เป็นพหุนิยมทางสังคมวัฒนธรรม (โดยกลุ่มชาติพันธุ์ยังธำรงวิถีชีวิตที่แตกต่างเอาไว้) กำลังถูกท้าทายโดยรัฐชาติซึ่งพยายามที่จะกลืนกลายกลุ่มต่าง ๆ ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ตึงเครียดและนำไปสู่ความขัดแย้ง (น.83) |
|
Text Analyst |
สมรักษ์ ชัยสิงห์กานานนท์ |
Date of Report |
25 ก.ย. 2567 |
TAG |
ม้ง, เมี่ยน, ลาหู่, ลีซู, อ่าข่า, ยวน, จีนยูนนาน, ชาวเขา, ระบบเศรษฐกิจ, ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์, ภาคเหนือ, |
Translator |
- |
|