สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ไทลื้อ, ชาติพันธุ์, สิบสองปันนา, ผู้นำจารีต, ประวัติศาสตร์, ความเป็นอยู่และประเพณี, เชียงรุ้ง
Author วสันต์ ปัญญาแก้ว
Title มองไทสิบสองปันนากับชาติจีนยุคใหม่ ผ่านชีวประวัติของผู้นำจารีตของชาวลื้อ
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ไทลื้อ ลื้อ ไตลื้อ, Language and Linguistic Affiliations ไท(Tai)
Location of
Documents
- ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
- ฐานข้อมูลงานวิจัย ศมส. : [เอกสารฉบับเต็ม]
Total Pages 75 Year 2561
Source วสันต์ ปัญญาแก้ว. (2561). มองไทสิบสองปันนากับชาติจีนยุคใหม่ ผ่านชีวประวัติของผู้นำจารีตของชาวลื้อ. เชียงใหม่: ภาควิชาสังคมวิทยาและมนุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
Abstract

งานวิจัยชิ้นนี้ศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชาวลื้อในดินแดนสิบสองปันนาที่ถูกผนวกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งภายใต้การปกครองของมณฑลยูนนาน โดยเน้นถ่ายทอดผ่านมุมมองของคนในและเรื่องเล่า รวมถึงชีวประวัติของผู้นำจารีตชาวลื้อที่ปรับตัวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของการปกครองภายใต้การบริหารงานของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเพื่อให้เห็นการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นจากการพัฒนาเศรษฐกิจตามนโยบายของรัฐบาลท้องถิ่นสิบสองปันนา

ผู้วิจัยได้ให้ข้อเสนอว่าความพยายามรื้อฟื้นประเพณีและพิธีกรรมดั้งเดิมขึ้นมาใหม่ไม่เพียงแต่เป็นการเคลื่อนไหวของขบวนการทางวัฒนธรรมแต่ยังเป็นการจารึกจดจำและแสดงให้เห็นถึงประวัติศาสตร์สังคมของกลุ่มชาติพันธุ์

Focus

ศึกษาสังคมและการปรับตัวของชาวลื้อสิบสองปันนาภายใต้การปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์จีนนับตั้งแต่ปี พ.ศ.2496 จนถึงปัจจุบัน ผ่านประสบการณ์และชีวประวัติของผู้นำจารีตชาวลื้อ

Theoretical Issues

ผู้วิจัยใช้การวิเคราะห์ความเคลื่อนไหวทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์โดยมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของการโต้ตอบทางวัฒนธรรมในบริบทรัฐชาติสมัยใหม่ โดยพิจารณาจากสนามความสัมพันธ์ที่มีพื้นที่ชายแดนเข้ามาเกี่ยวข้อง มองว่าชายแดนเป็นประตูที่เปิดโอกาสให้เกิดการติดต่อสื่อสารและแสวงหาโอกาสจากการข้ามไปข้ามมาระหว่างพรมแดนซึ่งเป็นผลจากนโยบายควบคุมการเคลื่อนย้ายและการจัดระเบียบพื้นที่ชายแดน รวมไปถึงปัญหาระหว่างรัฐกับชนกลุ่มน้อยที่ยังคงคลุมเครือและยังไม่มีข้อสรุปที่ตายตัว  (หน้า 8-9) 

Ethnic Group in the Focus

กลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อในพื้นที่สิบสองปันนา 

Language and Linguistic Affiliations

ในอดีตชาวลื้อมีอักขระภาษาลื้อซึ่งเป็นหนึ่งเดียวกับ “อักษรธรรม” ของคนเมืองหลวงพระบางและ “ตัวเมือง-ตัวธรรม” ของชาวล้านนา ต่อมาได้ถูกดัดแปลงใหม่เป็น “ภาษาไทใหม่” (new Dai script) ที่มีระบบการเขียนง่ายขึ้น ทว่ากลับไม่ได้รับความสนใจในชั้นเรียนจนทำให้ปัจจุบันชาวไทส่วนใหญ่ในเขตปกครองตนเองฯ นั้นแทบจะอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้แล้ว (หน้า 13, 68)

Study Period (Data Collection)

ใช้เวลารวม 12 เดือน (ตั้งแต่พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 - ตุลาคม พ.ศ. 2561) เน้นศึกษาจากการวิจัยเอกสาร (Documentary Research) การสัมภาษณ์เชิงชีวประวัติ (Life Story Interview) และทำงานภาคสนาม (Fieldwork) ในสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน (หน้า 4) 

History of the Group and Community

แผ่นดินลื้อในประวัติศาสตร์ชนชาติไทมีอาณาเขตครอบคลุมลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน ได้แก่ บริเวณตอนเหนือของลาว ภาคตะวันออกของพม่า และตอนใต้ของมณฑลยูนนาน มีเมืองราชธานีสำคัญคือเมืองเชียงรุ่งที่ประสานหัวเมืองต่าง ๆ ในสิบสองปันนาเข้ากับศูนย์กลางอำนาจของรัฐไท วัฒนธรรมของชนชาติไทในบริเวณลุ่มน้ำโขงตอนบนมีลักษณะร่วมกัน คือ 1) นับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท – นิกายโยน 2) ตั้งถิ่นฐานอยู่ระหว่างหุบเขา มีการทำนาข้าวและใช้ระบบชลประทานแบบเหมืองฝาย 3) ใช้ระบบสมาพันรัฐศักดินาในการจัดระเบียบการปกครอง (หน้า 11)

ผลกระทบจากการล่าอาณานิคมของจักรวรรดิยุโรปตั้งแต่ช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ 24 จนถึงการปฏิวัติวัฒนธรรมของประเทศจีน (พ.ศ. 2509-2519) ได้ทำให้ชาวลื้อและกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ในบริเวณสิบสองปันนาต้องกลายเป็นคนพลัดถิ่นหรือ “คนไร้รัฐ” ในดินแดนอื่น (หน้า 12-13) การปฏิวัติวัฒนธรรมนับเป็น “กลียุค” ในความทรงจำของชาวลื้อเนื่องจากวัดวาอารมและหอคำของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินบ้างถูกรื้อถอน บ้างถูกทำลายทิ้ง พระเณรถูกจับสึก กลายเป็นกระบวนการขุดรากถอนโคนวัฒนธรรมสิบสองปันนาที่ดำเนินอย่างต่อเนื่องกว่าสองทศวรรษ กระทั่งราวต้นพุทธศตวรรษ 2520 ได้เกิดขบวนการรื้อฟื้นสังคมทำให้วัฒนธรรมและพุทธศาสนาค่อย ๆ ฟื้นคืน เช่นเดียวกับชาวลื้อที่ได้เดินทางกลับคืนสู่บ้านเกิดในสิบสองปันนา (หน้า 68-69) 

Demography

หลังจากที่รัฐบาลจีนคืนเสรีภาพในการนับถือศาสนา ชาวลื้อส่วนหนี่งที่อพยพไปอยู่ในเขตแดนของประเทศลาวตอนเหนือและพม่าก็ได้โยกย้ายกลับคืนสู่บ้านเกิดและทำการรื้อฟื้นพุทธศาสนาเพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจ ในขณะที่ชาวลื้อบางส่วนตัดสินใจที่จะตั้งถิ่นฐานอยู่ในรัฐฉาน ลาวตอนเหนือและชายแดนไทย-พม่า (หน้า 44)  

ปัจจุบันประชากรในเขตปกครองตนเองชนชาติลื้อสิบสองปันนาตามประมาณการล่าสุดพบว่ามีอยู่ราว 990,000 คน รวม 13 ชนชาติ โดยมีชนชาติลื้อเป็น 34% ของประชากรทั้งหมด อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาตามทะเบียนสำมะโนครัวพบว่าในเขตปกครองท้องถิ่นจิงหงกลับพบว่า 34% ของครัวเรือนทั้งหมดเป็นชาวฮั่น (หน้า 28-29) 
ในเขตเทศบาลตำบลกาดทรายมีประชากรอยู่ประมาณ 70,000 คน 64% ของประชากรทั้งหมดเป็นชาวไท 21% เป็นชาวอาข่า ที่เหลือเป็นชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ โดยในสถิติที่กล่าวไปข้างต้นยังไม่ได้นับรวมชาวฮั่นที่อพยพเข้ามา (หน้า 30)

Economy

ภายใต้นโยบาย “สี่ทันสมัย” ของเติ้ง เสี่ยวผิง รัฐบาลท้องถิ่นสิบสองปันนาได้ริเริ่มการพัฒนาท้องถิ่นโดยเชิญนักพัฒนาและผู้เชี่ยวชาญให้เข้ามาวางแผนพัฒนาเมืองเชียงรุ่งในระยะยาวเพื่อปรับเปลี่ยนให้เป็นศูนย์กลางความเจริญของเขตปกครองตนเองชนชาติไทสิบสองปันนาและทำให้เป็นแดนสวรรค์สำหรับการท่องเที่ยวพักผ่อนของชาวจีนฮั่น รัฐบาลท้องถิ่นสิบสองปันนาได้มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงชาติพันธุ์ทำให้อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์กลายเป็นสินค้าที่ถูกจัดแสดง (หน้า 15)

ความเจริญของเมืองเชียงรุ่งดำเนินไปพร้อมกับการอพยพเข้ามาของชาวฮั่นนำไปสู่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์และที่อยู่อาศัย บางพื้นที่ถูกยกระดับเป็น “เขตเศรษฐกิจพิเศษเพื่อการพัฒนา” (หน้า 16-17)  

Political Organization

เขตปกครองตนเองชนชาติลื้อสิบสองปันนามีอำนาจบริหารราชการอยู่ภายใต้โครงสร้างการปกครองของมณฑลยูนนาน (หน้า 68) ภายในเขตสิบสบองปันนามีการแบ่งเพื้นที่บริหารงานราชการออกเป็น 3 อำเภอ (County) ได้แก่ อำเภอเชียงรุ่ง/จิงหง (Jinhong) อำเภอเมืองหล้า (Meng La) และอำเภอเมืองฮาย (Meng Hai) ในแต่ละอำเภอจะมีเทศบาล ตำบล (township) เขต (unit) และหมู่บ้านเป็นเขตปกครองย่อยลดหลั่นกันไปตามลำดับ ในบรรดา 3 อำเภอที่กล่าวไปข้างต้นมีเพียงเมืองเชียงรุ่งเท่านั้นที่มีการบริหารราชการอยู่ในระดับเมือง (city) หรือ “นาคร” ตามคำเรียกของชาวลื้อ ประกอบไปด้วย 2 เขตเทศบาล ได้แก่ เทศบาลนาครเชียงรุ่งและเทศบาลกาดทราย (หน้า 17) 
ในแต่ละเขตย่อยจะมีการจัดตั้งองค์กรโดยมี “นายบ้าน” เป็นผู้กำกับดูแลและมีสมาชิกพรรคประมาณ 15 คนทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการชุดต่าง ๆ อาทิ เลขาธิการหมู่บ้าน ฝ่ายกองกำลังป้องกันตนเอง กลุ่มเยาวชน กลุ่มสตรี เป็นต้น นอกจากนายบ้านแล้วยังมีผู้นำทางศาสนา ได้แก่ เจ้าอาวาสและอาจารย์วัด ที่ได้รับความเคารพจากคนในหมู่บ้าน คอยทำหน้าที่เป็นผู้นำในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและความเชื่อของคนในหมู่บ้าน (หน้า 31)

Belief System

ความเชื่อ
ชาวลื้อมีความศรัทธาในพุทธศาสนาและเชื่อเรื่องผีด้วยเช่นเดียวกัน ผีในความเชื่อของชาวลื้อคล้ายคลึงกับชาวล้านนา เช่น ผีเฮือน ผีเมือง เป็นต้น จึงเกิดพิธีกรรมไหว้ผีเฮือนและผีเมือง โดยพิธีไหว้ผีเมืองจะจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีเช่นเดียวกับงานไหว้พระธาตุที่ดอยปางเย่อซึ่งเชื่อว่าเป็นสถานที่สิงสถิตของผีเมือง (หน้า 32) 
 
พิธีกรรมเกี่ยวกับความตาย
ชาวลื้อได้รื้อฟื้นจารีตเกี่ยวกับพิธีกรรมความตายสำหรับเจ้าแผ่นดินหลังจากการเสียชีวิตของเจ้าหม่อมคำลือในวันที่ 1 ตุลาคม 2560 พิธีกรรมตามจารีตดั้งเดิมของชาวลื้อในเอกสารการจัดงานศพเจ้าไทระบุว่ามี 4 จารีตเก่า ดังนี้
“นอนแร” 
“เอาขอนเจ้าลงหอไปไหว้ตำหนัก” 
“เอาเจ้าออกไปป่าแก้ว” 
“กมจี่เผา-ก่อกู่” 
กล่าวโดยย่อ คือ เมื่อเจ้าแผ่นดินเสียชีวิตจะมีการตั้งศพไว้บำเพ็ญกุศล หลังจากฌาปนกิจศพด้วยการเผา เถ้าของเจ้าแผ่นดินจะถูกเคลื่อนย้ายกลับสู่ดินแดนสิบสองปันนาซึ่งเป็นมาตุภูมิ จากนั้นจะมีการทำพิธีเรียกขวัญเพื่อเชิญดวงวิญญาณของท่านไปยังป่าช้าเก่าแก่ของกษัตริย์สิบสองปันนาที่เมืองฮำ เมื่อเวลาผ่านไปราวหนึ่งปีได้มีการนำอัฐของหม่อมเจ้าคำลือไปไว้ใน “กู่เจ้าแผ่นดิน” (หน้า 56-58) 
 
พิธีการไหว้พระธาตุใจเมือง (ใจ๋เมือง) 
พิธีไหว้พระธาตุใจเมืองจะจัดขึ้นทุกปีในคืนวันเพ็ญเดือนสามตามการนับวันเดือนปีของชาวลื้อ (ประมาณเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์) ชาวบ้านจะนำดอกไม้ธูปเทียนมาเดินเลียบพระธาตุโดยจะมีผู้นำ (ชนชั้นนำของชาวลื้อ) กับครอบครัวมาเป็นผู้นำชาวบ้านร่วมไหว้พระธาตุ (หน้า 30) 
 
การฟื้นฟูพระพุทธศาสนา
ช่วงต้นของการพยายามรื้อฟื้นพุทธศาสนาหลังการปฏิวัติวัฒนธรรม ชุมชนลื้อต้องประสบปัญหาใหญ่ 3 ประการ คือ 1) ขาดพระจริงๆ 2) ความทรุดโทรมของศาสนสถานซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตวิญญาณ 3) ลูกหลานชาวลื้อทำตัวเหมือนไม่มีศาสนาและไม่มีความรู้ในพระธรรมวินัยและคำสอนของพระพุทธเจ้า ด้วยปัญหาสามประการนี้ทำให้เกิดการเดินทางข้ามรัฐเพื่อนิมนต์พระสงฆ์จากเชียงตุงและเมืองยองเข้ามาเผยแพร่พระธรรมคำสอนให้กับพระลูกวัดชาวลื้อในช่วงสิบปีแรกของการรื้อฟื้นศาสนา 
 
นับตั้งแต่ทศวรรษที่ 2530 เป็นต้นมาได้มีการจัดตั้งสิบสอบปันนาพุทธสมาคม (Xishuangbanna Buddhist Association) ขึ้นอย่างเป็นทางการ หน้าที่หลักของพุทธสมาคมคือเปิดหลักสูตรอบรมพระสงฆ์และสามเณรในพุทธศาสนาโดยใช้ศาลาวัดบ้านถิ่นในเมืองเชียงรุ่งเป็นที่ทำการชั่วคราว กิจกรรมดังกล่าวดำเนินต่อไปประมาณ 5 ปี (พ.ศ.2528-2534) ได้มีการคัดเลือกพระ/เณรจำนวน 10 รูปเพื่อศึกษาต่อด้านพุทธศาสนาในเมืองไทย (หน้า 45-46) ผู้วิจัยได้เสนอว่าการเดินทางของพระและเณรชาวลื้อเพื่อศึกษาความรู้และนำมารื้อฟื้นพุทธศาสนาเป็นกระบวนการเพื่อตอกย้ำสำนึกรักในบ้านเกิดและก่อร่างสร้างจินตนาการภาพมาตุภูมิในอุดมคติซึ่งถูกมองว่ากลายเป็นกระบวนการเคลื่อนไหวทางวัฒนธรรมเพื่อโต้ตอบการเปลี่ยนแปลงที่เป็นผลจากการพัฒนาในระดับชาติและระดับภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (หน้า 53)

Folklore

ชาวลื้อมีตำนานเกี่ยวกับการตั้งเมืองที่เขียนโดยผู้เฒ่าชาวลื้อในเอกสารพับสา ตำนานแรกพูดถึงความเชื่อเรื่องผียักษ์ ผีเสื้อ เรื่องเล่ามีอยู่ว่ายักษ์ (พระอินทร์) ดลใจให้เจ้าเมืองเข้าป่าไปล่ากวาง ยักษ์เนรมิตกายเป็นกวางทอง (กวางคำ) เจ้าเมืองติดกับจึงถูกยักษ์จับกิน เมื่อตายแล้วกลายเป็นผีก็หลอกหลอนผู้คนจึงทำให้คนเมืองต้องเอาของมาเซ่นไหว้ เกิดเป็นความเชื่อเรื่องการเลี้ยงผีของชาวลื้อ (หน้า 57)
 
ตำนานช่วงที่ 2 เป็นที่มาของเมืองอะลาโว เล่าถึงพญาอินทร์ไปปลูกสวนตาล สวนมะพร้าว พญาอินทร์นำลูกตาลมาวางในสวน พญาวัวได้มากินลูกตาลไปครึ่งหนึ่ง เหลือทิ้งไว้อีกครึ่งหนึ่ง ต่อมาลูกเจ้าเมืองมากินลูกตาลส่วนที่เหลือก็ตั้งท้องให้กำเนิดบุตรชาย พญาวัวจึงบอกให้กลับไปบ้านแล้วให้พ่อแม่หานายพรานพาไปหาที่ตั้งเมืองใหม่ นายพรานคนนั้นชื่อว่า อ้ายแป เป็นพรานที่เก่งกาจ อ้ายแปจึงพาพวกเขาเข้าป่าไปจนถึงสถานที่แห่งหนึ่งก็ตั้งเมืองชื่อว่าเวียงเชียงฮุ่ง เวียงเชียงคาน ธรรมเนียมการเผาศพเจ้าเมืองลื้อเกิดจากพญาวัวสั่งให้อ้ายแปเอาศพไปฝังกับเจ้าหงคำที่เมืองเชียงคาน เกิดเป็นธรรมเนียมว่าเจ้าเมืองเชียงรุ่งต้องกลับไปฝังที่เชียงคาน เรียกสถานที่นั้นว่า “แท่นคำดงคาน” (ป่าช้าฝังศพเจ้าแผ่นดิน) การเผาศพเจ้าเมืองตามฉบับของอ้ายแปจะต่างจากคนธรรมดา งานศพของเจ้าเมืองจะมีเครื่องบรรณาการ มีการเฉลิมฉลองแห่ขบวนศพ (หน้า 57-58)
 
ตำนานช่วงที่ 3 เปลี่ยนจากเมืองอะลาโวเป็นเมืองอะลาวี เนื่องจากเจ้าเมืองในขณะนั้นเป็นฟ้าเทวีจึงทำการเปลี่ยนชื่อเมือง (หน้า 58) 
 
นอกจากตำนานการก่อตั้งเมืองแล้วยังมีตำนานเกี่ยวกับความเป็นมาของชุมชนตามประวัติศาสตร์อีกด้วย ตัวอย่างเช่น หมู่บ้านเชียงปอม มีตำนานของสองชุมชนที่มีความเป็นมาต่างกัน คือ 1) ชุมชนบ้านหลวง ตามตำนานเล่าว่าผู้นำชุมชนเป็นคนเมืองเวียงจันทร์ ในคราวนั้นได้รับความช่วยเหลือจากกษัตริย์ของเชียงรุ่งที่เดินทางไปเมืองเวียงจันทร์ ผู้นำชุมชนจึงได้อพยพติดตามมายังที่เชียงรุ่งและสร้างชุมชนบ้านหลวงขึ้นมาในหมู่บ้านเชียงปอม 2) ชุมชนบ้านน้อย มีเรื่องเล่าว่าผู้ก่อตั้งชุมชนเป็นทหารที่แตกทักมาจากเชียงเจิงทางทิศตะวันตกของสิบสองปันนา ทหารเชียงเจิงเหล่านี้เป็นกลุ่มผู้สนับสนุนเจ้าจากทางเชียงรุ่ง นำไปสู่สงครามกลางเมืองระหว่างเชียงรุ่งกับเมืองฮาย ทหารจากเชียงเจิงจึงย้ายมาตั้งถิ่นฐานอยู่ในหมู่บ้านในเมืองเชียงรุ่ง สมทบกับชุมชนบ้านหลวงจนกลายเป็นหมู่บ้านเชียงปอม เรื่องเล่านี้มีหลักฐานชัดเจนที่เรียกว่า “ใจ๋บ้าน” อยู่สองแห่งซึ่งเกิดจากชุมชนสองชุมชน (คติของชาวลื้อเมื่อตั้งชุมชนจะต้องมีใจ๋บ้าน) (หน้า 31-32) 

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ชาวลื้อเป็นกลุ่มชนที่มีการสันนิษฐานว่าตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณลุ่มน้ำโขงตอนบนมาตั้งแต่ช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 17 มีหลักฐานที่บ่งชี้ถึงการสถาปนารัฐชาวลื้อขึ้นบริเวณตอนเหนือของประเทศไทยและตอนใต้ของมณฑลยูนนานในปัจจุบัน ในอดีตดินแดนลื้อใช้ระบบ “เมืองเจ้าฟ้า” (principality) ในการกระจายอาณาเขตไปยังพื้นที่บางส่วนในยูนนาน รัฐฉาน ลาว เวียดนาม และไทย ภายหลังได้เกิดการสถาปนารัฐตามมาด้วยการแบ่งเขตแดนตั้งแต่ยุคอาณานิคมช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ 24 ทำให้ดินแดนของชาวลื้อในบริเวณลุ่มน้ำโขงตอนบนถูกแบ่งแยกและนับเป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีน พม่า และลาว ชาวลื้อที่แต่เดิมแยกกันอยู่ตามหัวเมืองจึงถูกแบ่งสังกัดใหม่ตามรัฐชาติที่ดินแดนของตนถูกนับรวมเข้าไป อาทิ “ชนชาติส่วนน้อยชาวไท” เป็นคำที่ใช้เรียกชาวลื้อที่อาศัยอยู่ในบริเวณสิบสองปันนา  “ลาวลุ่ม” ใช้เรียกชาวลื้อที่อาศัยอยู่ในเมืองพง เมืองอู เมืองสิงห์ เวียงภูคาในประเทศลาว “ชาวฉาน” ใช้เรียกชาวลื้อที่อาศัยในเมืองยอง เมืองพยาก ท่าขี้เหล็กและเชียงตุงในประเทศพม่า “ชาวไท” ใช้เรียกชาวลื้อที่อาศัยในภาคเหนือของประเทศเวียดนาม ส่วนชาวลื้อที่อาศัยอยู่บริเวณภาคเหนือของประเทศไทยจะถูกเรียกว่า “ชาวไทยลื้อ” (หน้า 4-5, 67-68)

Social Cultural and Identity Change

การพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่สิบสองปันนาทำให้ชาวลื้อเกิดการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตบางส่วนไปแทบสิ้นเชิง อาทิ 1) การปลูกยางพาราเข้ามาแทนที่การทำนาข้าว 2) เกิดการเลือกกินมากขึ้น อาหารดั้งเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์ไม่เป็นที่นิยม 3) ภาษาหลักที่ใช้ในสื่อสารกลายเป็นภาษาจีนกลาง ส่วน“กำปากลื้อ” หรือภาษาท้องถิ่นของชาวลื้อถูกลดความสำคัญลงเหลือเพียงภาษาที่ใช้พูดคุยกันในครอบครัว 4) วาทกรรมความขยันและทันสมัยแบบชาวฮั่นได้เข้ามากดทับชาวลื้อ โดยมองว่าชาวลื้อเป็นพวกล้าหลังและขี้เกียจ (ไม่ทันสมัย) ค่านิยมของจีนสมัยใหม่ได้เข้ามามีส่วนในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางสังคมของชาวลื้อ ผู้วิจัยได้ยกตัวอย่างเปรียบเทียบว่าชาวลื้อและความเป็นลื้อเปรียบได้กับหญิงสาวชาวป่าที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจควบคุมของชายชาวฮั่น หญิงสาวชาวลื้อถูกมองเป็นสินค้าทางเพศเช่นเดียวกับวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชาวลื้อที่ถูกทำให้กลายเป็นสินค้าจัดแสดงสำหรับชาวฮั่น (หน้า 22-24) 
 
อย่างไรก็ตาม ชาวลื้อในสิบสองปันนาได้มีการพยายามฟื้นฟูวัฒนธรรมท้องถิ่นและพุทธศาสนา อาทิ ฟื้นฟูภาษาเขียน ศาสนสถาน โดยมีแกนนำสำคัญคือพระและเณรข้ามชาติจากรัฐฉานเป็นผู้ช่วยขับเคลื่อนขบวนการดังกล่าว (หน้า 52)

Map/Illustration

แผนที่
-แผนที่แสดงที่ตั้งของเขตปกครองตนเองชนชาติส่วนน้อยชาวไทสิบสองปันนาในบริบทของรัฐจารีตไทในอาณาบริเวณชายแดนลุ่มน้ำโขงตอนบน (หน้า 12)
-แผนที่แสดงที่ตั้งของเมืองเชียงรุ่ง (Keng Hung/ Jinghong) และเมืองสำคัญอื่น ๆ ซึ่งกลายมาเป็นชื่ออำเภอ (County) คือ เมืองฮายและเมืองหล้า และตำบล (Township) เช่น เมืองยาง เมืองฮำ เมืองพง เมืองมาง ในเขตปกครองตนเองชนชาติส่วนน้อยชาวไทสิบสองปันนาและพื้นที่ชายแดนพม่า (เชียงตุงและเมืองยอง) และประเทศลาว (เมืองสิงห์และเมืองอู) (หน้า 18) 
-แผนที่แสดงตัวเมืองเชียงรุ่งและเทศบาลกาดทรายซึ่งตั้งอยู่ในแอ่งที่ราบเชียงรุ่ง  (หน้า 22) 
-แผนที่แสดงเส้นทางถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ สาย 7 ที่ตัดผ่านที่นาของชุมชนกาดทรายและหมู่บ้านเชียงปอม (Chiang Pom Village) (หน้า 33) 
 
รูปภาพ
-รูปปั้นโจว เอนไหล ตั้งอยู่ด้านหน้าสวนขวัญบ้านถิ่น เมืองเชียงรุ่ง (หน้า 20) 
-บรรยากาศร้านค้าข้างถนน ยามค่ำคืนในเมืองเชียงรุ่ง (หน้า  23)
-ภาพบรรยากาศเมืองเชียงรุ่ง (หน้า 25-28)
-“พื้นที่สมัยใหม่” ซึ่งส่วนใหญ่เต็มไปด้วยลูกค้าชาวฮั่นในเชียงรุ่ง (หน้า 36)
-ภาพการสร้างบ้านด้วยอิฐแทนบ้านไม้แบบเก่า (หน้า 39)
-ภาพบ้านเรือนไทในหมู่บ้านเชียงปอมที่ถูกดัดแปลงเป็นร้านอาหารไท และอาหารไท (หน้า 42-43)
-ภาพวิหารวัดป่าเจหลังใหม่ ศูนย์รวมจิตใจและกิจกรรมด้านศาสนาของชาวลื้อ (หน้า 46) 
-ภาพวัดหลวงเมืองลื้อและวัดป่าเจ (หน้า 51)
-ภาพหม่อมเจ้าคำลือ (หน้า 55)
-ภาพจารีตงานศพเจ้าไท (หน้า 57- 65)

Text Analyst อัคริมา สุขดี Date of Report 05 ม.ค. 2566
TAG ไทลื้อ, ชาติพันธุ์, สิบสองปันนา, ผู้นำจารีต, ประวัติศาสตร์, ความเป็นอยู่และประเพณี, เชียงรุ้ง, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง