|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มุสลิม,ประมง,การขาดแคลนทรัพยากร,การต่อรอง,ปัตตานี |
Author |
Saroja Devi Dorairajoo |
Title |
"No Fish in the Sea": Thai Malay Tactics of Negotiation in a Time of Scarcity |
Document Type |
Ph.D. Dissertation |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเนเชี่ยน |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
391 |
Year |
2545 |
Source |
Thai Malay Tactics of Negotiation in a Time of Scarcity, The Department of Anthropology, Harvard University, Cambridge, Massachusetts, May 2002. |
Abstract |
ชาวประมงมุสลิมในภาคใต้ของประเทศไทยซึ่งหากินด้วยเรือหาปลาลำเล็ก กำลังตกอยู่ในความลำบาก เนื่องจากทรัพยากรธรรมชาติในทะเลหมดไป สาเหตุมาจากนายทุนที่มีเรือลำใหญ่ มีเทคโนโลยีในการจับปลาได้ทีละมาก ๆ จนเกิดภาวะขาดแคลน ทั้งป่าชายเลนก็ถูกบุกรุกทำลาย เพื่อไปทำนากุ้งซึ่งส่งผลเสียต่อสภาพแวดล้อมในทะเล ชาวประมงเล็ก ๆ จึงจับปลาได้น้อยหรือไม่ได้เมื่อออกทะเล โดยเฉพาะผู้ชายนายูซึ่งมีอาชีพเดียวคือหาปลาเลยไม่ค่อยออกทะเลกันเหมือนแต่ก่อน พวกเขาได้แต่ไปนั่งที่ร้านกาแฟพูดคุยกัน จนถูกเรียกว่า "คนขี้เกียจ" เมื่อประสบปัญหาเช่นนี้ทำให้บทบาทในครอบครัวของมุสลิมเปลี่ยนแปลงไป คนมุสลิมในภาคใต้เป็นคนที่มี 2 สัญชาติ ได้แก่ สัญชาติไทย และ สัญชาติมาเลเซีย จึงมีการใช้ข้อได้เปรียบนี้เพื่อให้ตัวเองอยู่รอด ชาวประมงนายูใช้ความเป็นคนไทยเรียกร้องให้มีการช่วยเหลือเรื่องทรัพยากรธรรมชาติ ผู้หญิงนายูซึ่งเป็นแม่ค้าขายปลาที่ผู้ชายในครอบครัวหามาได้ แม่ค้าเหล่านี้ใช้ความเป็นมุสลิมดึงดูดลูกค้าซึ่งต้องการซื้อปลาสด ๆ ที่ปลอดภัยจากสารฟอมาลิน ซึ่งเรือใหญ่ ๆ ใช้ในการเก็บรักษาปลาให้อยู่นานขึ้น ลูกค้าจะมองหาหญิงที่แต่งชุดมุสลิมซึ่งมีปลาสด ๆ ไร้สารพิษ ผู้ชายที่ยังไม่แต่งงานใช้ความเป็นคนไทยในการลักลอบเข้าไปทำงานตามร้าน "ต้มยำ" ในประเทศมาเลเซีย ร้านเช่นนี้กำลังเป็นที่นิยมเพราะขายอาหารไทยฮาลาล โดยมีต้มยำเป็นตัวนำ ร้านเหล่านี้ใช้พ่อครัวไทย (นายู) เพราะลูกค้าเชื่อว่าคนไทยเท่านั้นที่จะทำอาหารไทยได้ สุดท้ายหญิงสาวที่ยังไม่แต่งงานซึ่งตามปรกติจะไม่ออกไปนอกบ้าน แต่ในภาวะขาดแคลนเช่นนี้ หญิงสาวพากันไปทำงานซ่อมอวนเพื่อนำรายได้เข้าครอบครัว |
|
Focus |
ศึกษาชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประมงไทยมาเลย์ ในภาวะขาดแคลนทรัพยากรในทะเล และผลกระทบต่อวิถีชีวิตและวัฒนธรรม (หน้า 5) |
|
Theoretical Issues |
โดยอาศัยกรณีศึกษาชุมชนมลายู - มุสลิมชุมชนหนึ่งคือ บางตาวาร์ (Bang Tawar) ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ซึ่งผู้เขียนเรียกว่า "ไทยมาเลย์" ผู้เขียนพยายามแสดงให้เห็นว่า แนวทฤษฎีของ Barth, Haaland และ Despres ที่เน้นว่าการแสดงออกของอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ หรือ อัตลักษณ์ชาติ (national identity) ต่าง ๆ นั้น ก็เพื่อสามารถเข้าถึงทรัพยากรสำคัญบางประการนั้น มีหลักฐานสนับสนุนในงานของผู้เขียน แต่ว่าไม่ทั้งหมด เพราะมีความซับซ้อนมากกว่านั้น คือมีการเลือกอัตลักษณ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เป็นการต่อรองเพื่อการได้มาของทรัพยากร แต่ในระดับเดียวกันยังดำรงอัตลักษณ์ชาติพันธุ์เดิมไว้อย่างแน่นเหนียว (หน้า 371-372) ในกรณีของไทย-มาเลย์ที่บางตาวาร์ ได้เผชิญกับการขาดแคลนทรัพยากรในท้องทะเล ต้องมีการปรับวิถีชีวิตในบางประการคือพวกชายหนุ่มต้องไปทำงานหาเงินที่ประเทศมาเลเซีย โดยทำงานในร้านอาหารไทย ซึ่งทำให้คนหนุ่มเหล่านี้ต้องแสดงความเป็นไทยให้เหมาะกับภัตตาคารอาหารไทยแบบขนานแท้ (หน้า 365) แต่อัตลักษณ์นี้จะแสดงไม่ได้ในการข้ามพรมแดนอย่างผิดกฎหมาย พวกรุ่นพ่อที่ต้องอยู่ในหมู่บ้านต่อไป ก็ได้รับการชักชวนจากพวก NGO ที่เป็นพุทธ และองค์กรเกี่ยวกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และจัดการทรัพยากรท้องถิ่นอย่างยั่งยืน ให้เรียกร้องสิทธิของการเป็นพลเมือง เพื่อสามารถจัดการทรัพยากรท้องถิ่นของตนได้ ในแง่นี้ไทยมาเลย์ที่บางตาวาร์ก็ต้องเรียกร้องความเป็นไทยหรือพลเมืองไทยเพื่อเข้าถึงทรัพยากร (หน้า 366-367) ส่วนผู้หญิงไทยมาเลย์ที่ช่วยครอบครัวขายปลากลับต้องตอกย้ำความเป็นไทยมาเลย์ เพราะว่าเป็นสัญลักษณ์ของสินค้าประมงรายย่อยที่จับปลาชายฝั่ง และไม่มีการใส่ฟอมาลินที่เป็นอันตรายเหมือนเรือประมงขนาดใหญ่ ทำให้สินค้าได้ราคา (หน้า 368) ทัศนะของผู้เขียนเรื่องอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ และอัตลักษณ์ชาติ เป็นเรื่องที่ไม่ใช่บุคคลเลือกเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่อาจจะเลือกใช้อัตลักษณ์หนึ่งในสถานการณ์แบบหนึ่งเพื่อต่อรอง ในขณะที่ก็ครอบครองอัตลักษณ์อื่นด้วย |
|
Ethnic Group in the Focus |
ไทยมาเลย์ (ชาวประมงที่บางตาวา (Bang Tawar)) ในจังหวัดปัตตานี ภาคใต้ของประเทศไทย ในงานนี้เรียกว่า นายู (nayu) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไทยมาเลย์ที่บางตาวาร์ (Bang Tawar) พูดภาษาที่เรียกว่า "ตานิง" (taning) เป็นภาษามาเลย์ท้องถิ่นของปัตตานี ภาษานี้คล้ายภาษาถิ่นที่ชาวรัฐเกลันตังทางภาคเหนือของประเทศมาเลเซียใช้พูด แต่ในภาษา "ตานิง" จะมีคำไทยเข้ามาผสมด้วย เพราะคนไทยมาเลย์พูดภาษาไทยได้เนื่องจากเรียนหนังสือไทยด้วย (หน้า xiv) |
|
Study Period (Data Collection) |
9 เดือน ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ค.ศ.1999 ถึง สิงหาคม ค.ศ.2000 (หน้า 6) |
|
History of the Group and Community |
มุสลิมที่พูดภาษามาเลย์ในบางตาวาเป็นหนึ่งในชนกลุ่มน้อยในประเทศที่มีภาษาไทยเป็นภาษาประจำชาติ มีพุทธศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ สนธิสัญญา Anglo-Thai ทำขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1909 ระหว่างรัฐบาลอังกฤษที่ปกครองมาลายา (มาเลเซีย) และรัฐบาลสยาม ทำให้จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสตูล เป็นดินแดนส่วนหนึ่งของประเทศไทย (หน้า 2) มาเลย์มุสลิมในไทยเรียกตัวเองว่า นายู (nayu เป็นภาษาถิ่นมาจากภาษามลายู) จากนิทานพื้นบ้านแสดงว่ากษัตริย์ปัตตานีได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามจากคำสัญญาที่ให้ไว้กับชีคซาอิด หลังจากที่กษัตริย์ปัตตานีเปลี่ยนศาสนา พ่อค้ามุสลิมก็หลั่งไหลเข้ามาที่นี่จาก ชวา อาราเบีย สยาม อินเดีย จีน และญี่ปุ่น สินค้าหลักของปัตตานีคือ ทองคำ พริกไทย และอาหาร หลังจากเมลักกาล่มสลายในปี ค.ศ.1511 ปัตตานีกลายเป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญของชาวอิสลามในแหลมมาลายู ในปี ค.ศ.1516 ปัตตานีได้มีการค้าครั้งแรกกับชาวยุโรปคือโปรตุเกส โดยธรรมชาติของอ่าวปัตตานีเป็นที่หลบภัยมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ชื่อเสียงของปัตตานีขยายมากขึ้นเมื่อชาวดัชและอังกฤษเข้ามาตั้งโรงงานในปี ค.ศ.1602 และ 1612 ตามลำดับ (หน้า 19) ในฐานะที่เป็นอาณาจักรมั่งคั่งอยู่ระหว่างสยามที่อยู่ชายแดนทางเหนือ และอาณาจักรมาเลย์ทางใต้ ปัตตานีหาเกราะของตัวเองโดยยอมเป็นเมืองขึ้นของประเทศเพื่อนบ้านทั้งทางเหนือและทางใต้ ความสัมพันธ์เช่นนี้เป็นระบบการฑูตของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีผลต่อกันระหว่างหน่วยการเมือง เพื่อที่จะลดการกระทบกระทั่ง ความเป็นศัตรูและสงคราม นักประวัติศาสตร์หลายคนเขียนเกี่ยวกับปัตตานีสมัยนั้นอ้างถึงอาณาจักรมาเลย์ แต่มีการโต้แย้งว่ามีการอ้างถึงมาลายูครั้งเดียวพบใน Hikayat Patani อ้างถึงอาณาจักรมะละกาและผู้สืบตำแหน่ง Johor ไม่มีความพยายามที่จะเสนอปัตตานีว่าเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมและชนเผ่ามาเลย์ที่กว้างกว่า ตามตำนานใน Hikayat Patani เมืองปัตตานีซึ่งสร้างอยู่ริมฝั่งแม่น้ำมีกำเนิดมาจากชาวประมงคนหนึ่ง ตามตำนานที่กษัตริย์เสด็จไปล่ากวางเผือกนั้น มีข้อถกเถียงกันว่าเมืองปัตตานีถูกสร้างขึ้นโดยชนชาติที่พูดภาษาไทย ข้อถกเถียงนี้อาจจะสั่นคลอนความคิดที่ว่ารอบภาคใต้ทั้งหมดของประเทศไทยเป็นพื้นที่ของชนชาติที่พูดภาษามาเลย์ มีเหตุผลหนึ่งที่สนับสนุนข้อโต้แย้งว่าปัตตานีเป็นรัฐมาเลย์ คือ การถวายต้นไม้เงินต้นไม้ทองต่อเจ้าเหนือหัว การกระทำเช่นนี้แสดงความสัมพันธ์แบบเจ้าชีวิตระหว่างสยามกับรัฐประเทศราชที่เป็นมาเลย์ รวมถึง เคดาห์ ตรังกานู และเกลันตัน การผูกมัดของสยามกับรัฐที่เป็นมาเลย์ทางใต้เริ่มมีสมัยที่สุโขทัยขยายอาณาเขตลงไปทางใต้ในศตวรรษที่ 13 ในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช อำนาจของสุโขทัยสมัยนี้ ถูกบริหารผ่านนครศรีธรรมราชซึ่งเป็นศูนย์กลางการบริหารของรัฐบาลในภาคใต้ของประเทศไทย จากศตวรรษที่ 13 ถึง ศตวรรษที่ 17 ศูนย์กลางอำนาจหลักของภูมิภาคนี้คือสุโขทัย และผู้สืบทอดคือ อยุธยา-ศรีวิชัย Majapahit และ Melak-Johor รัฐที่เล็กกว่าและอ่อนแอกว่ารอบ ๆ ศูนย์กลางมีความสัมพันธ์แบบเมืองขึ้น ความสัมพันธ์แบบเจ้าเหนือหัวและประเทศราช เจริญขึ้นและเสื่อมลงขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งของเจ้าเหนือหัวและสถาณการณ์ ปัตตานีถูกรวมเข้าไว้ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรสยามในสมัยรัชกาลที่ 1 เมืองปี ค.ศ.1785 ส่วนหนึ่งเกิดจากความกังวลของสยามที่มีต่อความสามารถของปัตตานีที่แสดงตัวในฐานะศูนย์กลางการสอนศาสนาอิสลาม และวัฒนธรรมมาเลย์ในหมู่รัฐมาเลย์ทางเหนือ อีกเหตุที่ทำให้สยามกลัวคือปัตตานีเป็นเมืองท่าค้าขายสำคัญ เมื่อต้นศตวรรษที่ 17 ปัตานีทำการค้ากับทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เลยที่เดียว ปัตตานีมีชื่อเสียงเป็นศูนยกลางการผลิตพริกไทยและทองคำ และเป็นศูนยกลางการค้าในแหลมอินโดจีน ปัตตานีมีอ่าวที่อุดมสมบูรณ์ และอยู่ในตำแหน่งที่เป็นประตูตะวันออกของเส้นทางบกจากเคดาห์ซึ่งย่นระยะการเดินทางทางทะเลจากเมลากา ปัตตานียังมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ต่อความปลอดภัยของภูมิภาคทางใต้ทั้งหมด ช่วงที่สยามยังครอบครองปัตตานีมีพลังสำคัญเข้ามาในภูมิภาคคือ การล่าเมืองขึ้นของอังกฤษโดยเข้ามาตั้งโรงงานในปีนังเมื่อปี ค.ศ.1786 การเข้ามาของเมืองขึ้นแสดงถึงความแตกต่างในลักษณะความสัมพันธ์ ในขณะที่ความสัมพันธ์แบบก่อนหน้านี้มีลักษณะเป็นแบบเจ้าผู้ครอบครองกับประเทศราช ระหว่างสยามกับรัฐมาเลย์ต่าง ๆ เมื่ออังกฤษเข้าสู่ภูมิภาคพร้อมกับความหวังที่จะทำสนธิสัญญากับผู้ปกครองท้องถิ่นชาวมาเลย์เพื่อตั้งบริษัททางการค้าขึ้น โดยไม่รู้ข้อเท็จจริงว่าผู้ปกครองรัฐมาเลย์เหล่านี้เป็นประเทศราชของราชวงศ์สยามในกรุงเทพ สนธิสัญญานั้นอาจจะถูกประกาศไม่มีผลบังคับและเป็นโมฆะได้ ถ้าสยามไม่ให้ความเห็นชอบ ในขณะเดียวกันสำหรับผู้ปกครองชาวมาเลย์สนธิสัญญาเป็นเหมือนกับต้นไม้เงินต้นไม้ทองและมองว่าอังกฤษเป็นเจ้าเหนือหัวคนใหม่ที่จะปกป้องพวกเขาจากสยาม ในส่วนของสยามมองสนธิสัญญานี้เป็นกิจการภายในไม่ได้ขัดขวางความสัมพันธ์แบบประเทศราชของตนกับรัฐมาเลย์ ทั้งหลาย แต่สยามเข้มงวดกับปัตตานียิ่งขึ้นเนื่องจากการเข้ามาของอังกฤษ ปัตตานีตอบโต้โดยการขอให้อังกฤษช่วยปลดปล่อยตนเอง ในปี ค.ศ.1909 สยามกับอังกฤษเซนสนธิสัญญาแองโกล-ไทย ประเทศไทยล้มเลิกประเทศราชเหนือ เกลันตัน เกดาห์ เปรลิส และตรังกานู ในขณะที่ยังคงรักษาการครอบครองปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสตูล ต่อมากลายเป็นจังหวัด และเปลี่ยนกฎหมายมุสลิมเป็นกฎหมายไทย (หน้า 24) การจลาจลครั้งสำคัญครั้งแรกต่อรัฐบาลไทยเกิดขึ้นในปี ค.ศ.1922 เมื่อชาวบ้านมาเลย์ปะทะกองกำลังทหารและตำรวจ ชาวบ้านเหล่านี้มีปฏิกิริยาต่อต้านการบังคับนโยบายการศึกษาไทยของรัฐบาล และต่อต้านข้อกล่าวหาการกันเอาเงินจำนวนมากไปจากภาคใต้โดยการเก็บภาษีจากคนมาเลย์ การจลาจลนี้ก่อชนวนโดย Tengku Abdul Kadir Kamaruddin อดีตราชาของปัตตานีผู้เกษียณตัวเองไปอยู่เกลันตัน เมื่อปี ค.ศ.1915 (หน้า 25) การจลาจลมีความโน้มเอียงไปทางการเคลื่อนไหวเพื่อแยกตัวเป็นเอกราชในอนาคต กลุ่มผู้แบ่งแยกดินแดนสมัยแรกนำโดยอดีตผู้นำทางการเมืองของปัตตานี ยะลา นราธิวาส ชนชั้นสูงและราชวงศ์ไทยมาเลย์ ซึ่งสูญเสียอำนาจและเกษียณตัวไปเกลันตันเมื่อปัตตานีกลายเป็นของไทยในปี ค.ศ.1909 ผู้นำการจลาจลใช้ศาสนาและเชื้อชาติที่มีพื้นฐานเดียวกัน ในการผูกมัดคนมาเลย์ในมาเลเซียและคนมาเลย์ในไทยเพื่อที่จะได้การสนับสนุนจากชนชั้นสูงและผู้นำศาสนาในเกลันตัน หลังการจลาจลอีกครั้งในปี ค.ศ.1923 ต่อต้านการปิดโรงเรียนภาษาพื้นเมืองและศาสนา รัฐบาลยอมผ่อนปรนนโยบายต่อภาคใต้ ระหว่างปี ค.ศ.1923-1938 มีสันติภาพในจังหวัดที่เป็นมาเลย์มุสลิมคือ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ปี ค.ศ.1938 จอมพล ป. พิบูลสงครามผู้เป็นชาตินิยมสุดขั้วขึ้นสู่อำนาจในประเทศไทย ระบอบกษัตริย์ต้องหลีกทางให้กับระบอบประชาธิปไตยในปี ค.ศ.1932 รัฐบาลใหม่ประกอบด้วยกลุ่มทหาร ราชนาวี กลุ่มนักเรียนนอกที่เป็นชนชั้นกลาง เมื่อจอมพล ป. ขึ้นเป็นนายกของรัฐบาลใหม่ เขาเป็นนักการเมืองอายุ 41 มุ่งเน้นในการสร้างชาติ เช่น เปลี่ยนชื่อประเทศจากสยามไปเป็นประเทศไทย ออกพระราชบัญญัติหลายฉบับเช่น ไทยรัฐนิยม ในปี ค.ศ.1939 มีการกำหนดให้เปลี่ยนการปฏิบัติทางวัฒนธรรมของชนกลุ่มน้อยและค่านิยมของสังคมทั้งหมด มุสลิมในภาคใต้ถูกห้ามแต่งตัวในชุดโสร่งมาเลย์ ผู้ชายต้องสวมกางเกงเสื้อเชิร์ต ผู้หญิงต้องสรวมกระโปรง เสื้อ และหมวก ห้ามใช้ภาษามาเลย์ ห้ามชื่อมาเลย์หรืออาราบิค นายูจำนวนมากหลบหนีไปซาอุดิอาราเบียและมาเลเซีย จอมพล ป. ถูกขับไล่ไปในปี ค.ศ.1944 แต่ก็กลับเข้ามามีอำนาจอีกครั้งในปี ค.ศ.1948 สงครามแบ่งแยกดินแดนที่ตามมาส่วนใหญ่เป็นการตอบโต้รัฐบาลของจอมพล ป. (หน้า 27-28) มุสลิมภาคใต้ไม่สามารถกลายเป็นคนไทยเนื่องจากคคนไทยมีความเชื่อแบบพุทธ นายูจำนวนมากปฏิเสธที่จะใช้คำว่า ไทย อย่างไรก็ตาม นายูจะกลายเป็นคนไทยที่ดีหมายถึงต้องเปลี่ยนจาก มาเลย์มุสลิม มาเป็น ไทยมุสลิม คือให้รู้สึกว่าเป็นไทย แล้วจึงบอกว่านับถือศาสนาอิสลาม เพื่อที่จะปกป้องมุสลิมภาคใต้จากรัฐบาลไทยเผด็จการ Haji Sulong ผู้นำศาสนาในปัตตานีที่เป็นที่เคารพร่วมกับคนอื่นๆ อ้อนวอนรัฐบาลให้อนุญาตให้มีการปกครองตนเองและรับรองวัฒนธรรมมาเลย์มุสลิม พวกเขาถูกจับและหายไปในปี ค.ศ.1954 ทำให้เกิดสงครามและกลุ่มแบ่งแยกดินแดนหลายกลุ่ม พลังการต่อต้านมีเพิ่มขึ้นจากข้อเท็จจริงที่ว่า กลุ่มแบ่งแยกดินแดนเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนจากญาติและผู้เห็นใจในเขตชายแดนมาเลเซีย เท่า ๆ กับจากมุสลิมทั่วโลก( หน้า 30) องค์กรแบ่งแยกดินแดนจำนวนมากถูกนำโดยชนชั้นสูงและนักเรียนอิสลามที่ได้รับการฝึกฝนจากปากีสถาน ภาคใต้ของฟิลิปปินส์ อินเดีย อียิปต์ และประเทศอาหรับ แล้วกลับมาบ้านพร้อมด้วยเจตนาที่จะปล่อยมุสลิมเป็นอิสระจากการปกครองของไทยพุทธ พวกเขาเชื่อว่าภาษามาเลย์และศาสนาอิสลามอยู่ในอันตรายที่จะถูกลบเลือนไปโดนรัฐบาลไทย ในปัจจุบันกลุ่มแบ่งแยกดินแดนเหล่านี้ลงใต้ดิน หรือตั้งอยู่รอบโลก และยังปฏิบัติการเผยแพร่อุดมคติในโลกอินเทอร์เน็ต กลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่ดังที่สุดคือ PULO (Patani United Liberation Organization) มีเว็บไซต์ที่ www.pulo.org ซึ่งตั้งขึ้นหลังจากผู้นำกลุ่มถูกจับกุมในมาเลเซีย เมื่อปี 1998 ปัจจุบันกลุ่มที่แยกออกมาชื่อ New PULO ได้บริหารงานแทน (หน้า 31-32) กลุ่ม PULO มักถูกกล่าวหาในการก่อการร้ายทุกครั้งในภาคใต้ คนเหล่านี้มีความรู้สึกหลงไหลในความยิ่งใหญ่ในอดีตของปัตตานี และตำหนิชาวปัตตานีมาเลย์รุ่นใหม่ที่ยอมอยู่ใต้การปกครองของรัฐบาลพุทธ โดยเฉพาะนายูที่ไปทำงานในร้านต้มยำในมาเลเซียโดยแสดงตัวว่าเป็นคนไทย เหตุที่นายูในปัจจุบันนี้ไม่สนใจที่จะจับอาวุธและเข้าร่วมการแบ่งแยกดินแดน เนื่องจากชาวประมงนายูต้องปรับตัวเข้ากับสถาณะการณ์ที่เผชิญอยู่คือทรัพยากรธรรมชาติที่ลดน้อยลง |
|
Settlement Pattern |
ประชากรส่วนใหญ่ของนายู อยู่ใน 3 จังหวัด ได้แก่ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส อาศัยในหมู่บ้านเลียบไปตามชายฝั่งทะเล (หน้า 41) บางตาวาเป็นหมู่บ้านชาวประมงมีประชากรนายูประมาณ 1,600 คน มีมัสยิด 1 หลัง โรงเรียนประถม 1 โรงเรียน เตรียมอนุบาล 1 แห่ง และโรงเรียนสอนศาสนาอิสลาม (หน้า 69-70) |
|
Demography |
มุสลิมที่พูดภาษามาเลย์หรือเรียกว่า นายู ในภาคใต้คิดเป็น 80% ของมุสลิมทั้งหมดซึ่งมีอยู่น้อยกว่า 3% ของคนไทยทั้งหมด 60 ล้านคน มีประชากรหนาแน่นอยู่ใน 4 จังหวัดสุดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดปัตตานี (80.7%) ยะลา (68.9%) นราธิวาส(82%) สตูล (67%) (หน้า 6) ภาคใต้ของประเทศไทยมีเนื้อที่ 15% ของเนื้อที่ประเทศไทย มี 16 จังหวัดจาก 76 จังหวัดของประเทศไทย มีประชากร 13% หรือประมาณ 7 ล้านคน (หน้า 119) |
|
Economy |
ปัตตานีเป็นจังหวัดที่ทำการเกษตร มีนาข้าว ยาง และพืชเศรษฐกิจอื่น ๆ เช่น ผลไม้และมะพร้าว นอกจากนี้ ยังมีแร่ อาทิเช่น ทอง วุลแฟรม แมงกานีส และก๊าซธรรมชาติ ที่นี่ทำการประมงมาก เนื่องจาก มีชายฝั่งยาว 170 กิโลเมตร นายูจำนวนมากทำประมง ในขณะที่ชาวพุทธจะเน้นในการทำการเกษตร (หน้า 41-42) นายูในบางตาวาก็เหมือนกับหมู่บ้านที่อยู่ติดกับชายทะเลในภาคใต้ของไทยที่มีชีวิตส่วนใหญ่เกี่ยวกับการประมง หลายหมู่บ้านเหล่านี้มีการหาปลาเป็นอาชีพเศรษฐกิจอาชีพเดียว ส่วนใหญ่พวกเขาอาศัยใกล้ป่าชายเลน ซึ่งให้ฟืน ถ่าน และเป็นแหล่งที่มีสัตว์น้ำอุดมสมบูรณ์ ในระหว่างฤดูมรสุมที่ออกทะเลไม่ได้ สัตว์นำในพื้นที่ป่าชายเลนเป็นแหล่งอาหารของหมู่บ้าน ปัจจุบันนี้ วิถีชีวิตชาวประมงในหมู่บ้านชายฝั่งทะเลภาคใต้ของประเทศไทยเปลี่ยนไป ป่าชายเลนถูกทำลายเพื่อธุรกิจบ่อกุ้ง บ่อปลาและนาเกลือ ทะเลก็ถูกหาผลประโยชน์โดยเรือขนาดใหญ่ซึ่งทำลายสิ่งแวดล้อม ชาวประมงขนาดเล็กจำนวนมากจึงประสบความยากลำบากในอาชีพ (หน้า 4-5) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Folklore |
ตำนานของคนมาเลย์ในภาคใต้ของประเทศไทย "ฮิคายัต ปัตตานี" (Hikayat Patani) (หน้า 17-19) เขียนเกี่ยวกับการตั้งถิ่นฐานและการนับถือศาสนาอิสลามของปัตตานี ผู้ก่อตั้งปัตตานีคือพญาตู นักปา (king Phaya Tu Nakpa) เกิดเป็นโรคผิวหนัง ไม่มีใครรักษาหายนอกจากชีคซาอิด (Sheikh Said) ชายมุสลิมที่มาจากปาไซ (Pasai) ข้อตกลงในการรักษาโรคก็คือถ้าหายจากโรคลึกลับนี้ พญาตู นักปา จะต้องเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม เมื่อหายจากโรคแล้ว พญาตู นักปา เพิกเฉยต่อข้อตกลงดังกล่าว 2 ปีต่อมาเขาจึงเป็นโรคแบบเดิมอีก ชีคซาอิดก็รักษาเขาจนหายอีก พญาตูนักปา ก็ผิดสัญญาอีก ปีต่อมาจึงเป็นโรคเดิมอีก คราวนี้พญาตู นักปา ได้กล่าวให้คำสัญญาว่าถ้าหายจากโรคนี้อีกครั้ง เขาจะไม่ผิดสัญญาอีก นี่เป็นสาเหตุที่กษัตริย์ของปัตตานีได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามตั้งแต่นั้นมา ตำนานชื่อเมืองปัตตานี (หน้า 20) เรื่องมีอยู่ว่ากษัตริย์พระองค์หนึ่งได้ไปล่ากวางกับทหาร กวางเผือกที่พระองค์ไล่ตามได้หายไปอย่างลึกลับตรงชายหาด กษัตริย์ทรงมองไปรอบ ๆ พบตายายคนจับกุ้ง ทราบชื่อว่า Pak Tani จึงทรงตั้งชื่อเมืองริมแม่น้ำว่า ปัตตานี อีกเวอร์ชั่นของตำนานเดียวกันนี้บอกว่ามาจากคำว่า "pata ning" ภาษามาเลย์แปลว่าตรงจุดนี้ของชายหาด (ที่กวางหายไป) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ไทยพุทธเรียกมุสลิมว่า "แขก" หรือเรียกให้สุภาพว่า "ยาวี" (หน้า 53) ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มคือ ชาวประมงมุสลิมมักจะมีฐานะยากจนและเป็นลูกหนี้ของนายทุนคนไทยจีนหรือไทยพุทธ |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Other Issues |
ในวิทยานิพนธ์เล่มนี้อ้างถึงรัฐบาลของ "Pibul Songkram" (หน้า 27, 187, 363) ผู้เขียนวิทยานิพนธ์เข้าใจว่าเป็นคน ชื่อ พิบูล นามสกุล สงคราม ความจริงน่าจะเป็น รัฐบาลของจอมพลป. พิบูลสงคราม ในหน้า 44 "pua rachakarn" น่าจะเป็นตำแหน่ง ผู้ว่าราชการ (จังหวัด) |
|
Map/Illustration |
แผนที่แสดงบริเวณที่เป็นป่าชายเลนของประเทศไทย(ระหว่างหน้า 60-61) แผนที่แสดงจังหวัดที่เป็นมุสลิมในภาคใต้ของประเทศไทย และแสดงที่ตั้งหมู่บ้านบางตาวา (ระหว่างหน้า 63-64) แผนที่แสดงชายแดนประเทศไย (ระหว่างหน้า 363-364) แผนผังอ่าวปัตตานี (ระหว่างหน้า 63-64) แผนผังหมู่บ้านย่อยในบางตาวา (ระหว่างหน้า 65-66) เมนูร้านต้มยำ (ระหว่างหน้า 233-234) ภาพ ผู้หญิงแกะปูจากแห (หน้า 108) ภาพเด็กไม่เป็นอุปสรรค์ในการทำงานของผู้หญิง (หน้า 108) เรือจอดพัก (หน้า109) ผู้ชายพร้อมจะออกไปหาปลาในทะเล (หน้า 109) NGO กำลังแนะนำชาวบ้านมุสลิม (หน้า 157) ชาวบ้านมุสลิมกำลังพูดหน้าชั้น (หน้า 157) โครงการที่สนับสนุนโดย NGO - การทำปลาเค็ม (หน้า 158) โครงการที่สนับสนุนโดย NGO - เย็บดอกไม้ประดิษฐ์ลงบนผ้าคลุมผม (หน้า 158) ร้านอาหารต้นยำที่มีราคาแพง (หน้า 228) ร้านอาหารต้มยำราคาถูก (หน้า 228) อาหารต้มยำราคาแพงจริงๆ (หน้า 229) แม้ในร้านเล็กๆ อาหารต้มยำยังแพงกว่าอาหารมาเลย์ (หน้า 229) อาหารมาเลย์รสร้อนแรงแต่อุณหภูมิเย็น (หน้า 230) แค่ชี้ว่าต้องการอะไร (หน้า 230) อาหารขึ้นชื่อ ต้มยำ (หน้า 231) พ่อครัวร้านต้มยำกำลังทำผัดเผ็ดกุ้ง (หน้า 231) แม่ครัวร้านต้มยำกำลังทำผักคะน้าปลาเค็ม (หน้า 232) เด็กหนุ่มช่วยเตรียมอาหาร (หน้า 232) รอในหมู่บ้าจนกว่าจะมีตำแหน่งว่าง (หน้า 233) เจ้าของร้านต้มยำที่ประสบความสำเร็จมาเยี่ยมหมู่บ้าน (หน้า 233) เถ้าแก่เตรียมปลาไปขายในตลาด (หน้า 310) ร้านอาหารในหมู่บ้าน (หน้า 310) งานซ่อมแหในหมู่ผู้หญิง (หน้า 358) ผู้หญิงซ่อมแห (หน้า 358) ชายชรามาซ่อมแหเช่นกัน (หน้า 359) ชายหนุ่มซ่อมแหที่ใช้จับปลาทูน่า (หน้า 359) หญิงสาวที่ซ่อมแหใสเสื้อผ้าอย่างอิสระขึ้น (หน้า 360) แต่ก็สามารถเป็นมุสลิมที่ดีโดยสวมเสื้อคลุมอีกชั้น (หน้า 360) |
|
|