|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),ภูมิปัญญา,พิธีกรรม,เชียงใหม่ |
Author |
จักรพันธ์ เพียรพนัสสัก |
Title |
ภูมิปัญญาชาวบ้านในพิธีกรรมของชุมชนกะเหรี่ยง |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
สำนักหอสมุดมหาวิทยาลัยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
137 |
Year |
2543 |
Source |
หลักสูตรปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษานอกระบบ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
จากการศึกษาพบว่ามีสาระที่ปรากฏในพิธีกรรม ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะคือ 1. ลักษณะที่เป็นนามธรรม คือเป็นปรัชญาในการดำเนินชีวิต เรื่องการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ในชุมชนที่ก่อตั้งมานานกว่าร้อยปีมีการสั่งสมภูมิปัญญา ความเชื่อ แสดงออกมาในรูปพิธีกรรม ซึ่งจะเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับการดำเนินชีวิตประจำวันตั้งแต่เกิดจนถึงตาย เช่น พิธีกรรมที่การเกิด การแต่งงาน และการตาย สาระที่สะท้อนในพิธีกรรมซึ่งเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของชนเผ่าปกาเกอะญอ พิธีกรรมเหล่านี้สะท้อนความเชื่อที่ยอมรับต่ออำนาจเหนือธรรมชาติ มีหน้าที่สั่งสอนให้คนดำรงวิถีชีวิตให้ถูกต้องสอนให้ซื่อสัตย์ สุจริต ในเรื่องการทำมาหากิน การเกษตร ศิลปดนตรีตามวิถีของปกาเกอะญอ (หน้า 85-89) 2. ลักษณะเป็นรูปธรรม เป็นเรื่องเกี่ยวกับการทำมาหากิน การเกษตร ศิลปกรรม สะท้อนถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนกับโลก สิ่งแวดล้อม สัตว์ พืช ธรรมชาติ หรือความสัมพันธ์ของคนในชุมชนกันเอง และระหว่างคนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติ แสดงถึงภูมิปัญญาในการเรียนรู้และอยู่ร่วมกับธรรมชาติ แสดงออกมาในเรื่องการเกษตรคือการทำไร่หมุนเวียน อันเป็นวิถีการผลิตที่สอดคล้องกับธรรมชาติ การผลิต การทอผ้า และการทำเครื่องดนตรี (หน้า 89-92) ปกาเกอะญอมีการใช้ภูมิปัญญาแฝงอยู่ในรูปแบบต่างในชีวิตประจำวัน แบ่งได้เป็น 4 ลักษณะ คือ 1) การใช้ภูมิปัญญาโดยผ่านการตั้งกฎเกณฑ์ที่ตายตัว เช่น ประเพณีปฏิบัติที่สืบทอดกันมา 2) การใช้ภูมิปัญญาเข้ามาจัดการทรัพยากรธรรมชาติ การทำไร่หมุนเวียน การทำเหมืองฝาย 3) การมอบหมายหน้าที่ให้สิ่งต่าง ๆ รอบตัวในชีวิตประจำวัน เช่น การมอบหน้าที่พืชให้เป็นยาสมุนไพร มอบหน้าที่รักษาความทรงจำของคนในชุมชนให้กับเจดีย์ และ 4) การใช้ภูมิปัญญาในทางพิธีกรรม เช่น การไหว้ผีฝาย และผีขุนน้ำ (หน้า 93) |
|
Focus |
ศึกษารูปแบบ วิธีการและเนื้อหาสาระในพิธีกรรมของชุมชนกะเหรี่ยง และปัจจัยเงื่อนไขที่ส่งผลต่อการคงอยู่และการเปลี่ยนแปลงภูมิปัญญาในพิธีกรรมของชุมชนกะเหรี่ยง ที่บ้านขุนแม่รวม หมู่ที่ 1 ตำบลแม่แจ่มหลวง อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 6) |
|
Theoretical Issues |
ภูมิปัญญาในพิธีกรรมเป็นความเชื่อเกี่ยวกับธรรมชาติ ชีวิต และวัฒนธรรมของชาวปกาเกอะญอ แต่ก็มีการเปลี่ยนแปลงตามการเปลี่ยนแปลงของสังคม พิธีกรรมภูมิปัญญาที่มีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดคือการแต่งกาย ด้านการบันเทิงแบบดั้งเดิมเริ่มหายไป การใช้ภาษาที่มีการใช้ภาษาไทยมากขึ้น หรือพิธีกรรมการรักษาพยาบาลที่มีการรักษาแผนใหม่เข้ามา ความสัมพันธ์ทางสังคมเปลี่ยนไปใช้เงินเป็นสื่อกลางมากขึ้น ไม่ต้องเป็นบุญคุณกันอีกต่อไป การเปลี่ยนแปลงของพิธีกรรมเกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขปัจจัยในชุมชนเช่นการแต่งงานข้ามเผ่าพันธุ์ และปัจจัยภายนอกได้แก่การพัฒนา การศึกษาการปกครองและการท่องเที่ยว (หน้า ง-จ) |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
ไม่ได้กล่าวถึงระยะเวลาที่ศึกษาชัดเจน เพียงแต่บอกว่าเข้าไปศึกษาในพื้นที่ปี พ.ศ. 2539 (หน้า 29) |
|
History of the Group and Community |
ประมาณร้อยกว่าปีมาแล้ว มีชนเผ่าปกาเกอะญอ 5 ครอบครัวโดยการนำของแส่แซ่ อพยพมาจากแม่ฮ่องสอน มาตั้งหมู่บ้านที่ขุนห้วยแห่งนี้ จนมาถึงปัจจุบัน โดยแส่แซ่เป็นหัวหน้าปกครองและเป็นผู้ทำพิธีกรรม "ฮีโข่" คนแรกหลังจากนั้นก็มีฮีโข่สืบทอดกันมากว่า 5 รุ่น การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในรุ่นที่สี่ คือโป่งกา ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ใหญ่บ้านจากทางการด้วยอีกตำแหน่งหนึ่ง สันนิษฐานว่า ได้รับการแต่งตั้งเป็นหมู่บ้านประมาณปี พ.ศ. 2485 ผู้ใหญ่บ้านโป่งกา ซึ่งเป็นคนแรกที่นำชาวบ้านขนเอาหินขึ้นไปบนยอดดอยของหมู่บ้านเพื่อสร้างธาตุหิน (เจดีย์หิน) เพื่อใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรม และถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ห้ามตัดไม้ทำลายป่าหรือล่าสัตว์ ผู้ใหญ่บ้านคนต่อมาคือพ่อลุงจ่อหล่ะ เลิศดำเนิน จึงตั้งชื่อดอยนี้ว่าดอยโป่งกา จนมาถึงปัจจุบัน (หน้า 46-47) |
|
Settlement Pattern |
การตั้งถิ่นฐานของปกาเกอะญอกระจัดกระจายอยู่ตามหุบเขา หุบห้วยสายเล็กสายน้อยที่น้ำท่วมไม่ถึง หรือตามเนินเขา และทำการบุกเบิกที่ไร่ สูงขึ้นไปเป็นภูเขาสูงและป่าไม้ (หน้า 56) |
|
Demography |
จำนวนประชากรหมู่บ้านขุนแม่รวมมี 728 คน เป็นชาย 361 คน หญิง 367 คน มี 93 ครัวเรือน 115 ครอบครัว (หน้า 43) |
|
Economy |
ชาวบ้านขุนแม่รวมส่วนใหญ่มีอาชีพทำการเกษตร แยกออกเป็น ทำนาทั้งหมด 53 ครอบครัวที่ทำนา 1-5 ไร่ มี 37 ครอบครัว หรือร้อยละ 32.18 ทำนา 6-10 ไร่ 16 ครอบครัว คิดเป็นร้อยละ 13.13 (หน้า 55) ครอบครัวที่ทำไร่ ปลูกพืชอายุสั้น เช่นข้าวโพด มี 115 ครอบครัว เฉลี่ยนครอบครัวละ 5 ไร่ ส่วนครอบครัวที่ทำข้าวไร่ มี 99 ครอบครัว เฉลี่ยนครอบครัวละ 3 ไร่ ครอบครัวที่เลี้ยงสัตว์ เช่น หมู เป็ด ไก่ มีทุกครอบครัว ส่วนสัตว์ใหญ่ เช่น วัว ควาย มีประมาณ 35 ครอบครัว (หน้า 55) จากข้อมูล กชช.2 ค ปี พ.ศ. 2539 ชาวบ้านมีรายได้เฉลี่ยต่อปีประมาณ 11,120 บาท รายได้เฉลี่ยครอบครัวละ 926.67 บาทต่อเดือน อัตราค่าจ้างในหมู่บ้านวันละ 40 บาท แต่ส่วนใหญ่ใช้วิธีลงแขก เก็บภาษีทั้งหมู่บ้านได้ 764 บาท ต่อปี (หน้า 55) การผลิตของบ้านขุนแม่รวม มีลักษณะปลูกข้าวไร่หมุนเวียนเพื่อการบริโภค รายได้ส่วนมากมาจากการเลี้ยงสัตว์ ปลูกข้าวโพด พริก มะเขือเทศ (หน้า 45) ผลผลิตข้าวเปลือกเฉลี่ยต่อไร่จากนาขั้นบันได 180 กิโลกรัมต่อไร่ ข้าวโพด 220 กิโลกรัมต่อไร่ และข้าวไร่ 200 กิโลกรัมต่อไร่ (หน้า 56) ในชุมชนบ้านขุนแม่รวมแบ่งระดับฐานะได้เป็น 3 ระดับ คือ 1. ฐานะดี มีอยู่ประมาณ 5 กลุ่มตระกูล ซึ่งตระกูลเหล่านี้มีเศรษฐกิจดี มีร้านค้า มีรถยนต์ มีไร่นามากกว่าตระกูลอื่น เช่น ผู้ใหญ่บ้าน จะมีอำนาจในการจัดการด้านเศรษฐกิจ การพัฒนา และการจัดการคนในชุมชน 2. ฐานะปานกลาง เป็นครอบครัวที่มีการผลิตตามไร่บนเขาสูงเป็นส่วนมาก และมีอยู่หลายตระกูล ไม่ค่อยมีบทบาทการปกครองระดับหมู่บ้าน 3. ฐานะยากจน เป็นผู้มาจากหมู่บ้านอื่นเข้ามาแต่งงานในหมู่บ้าน ซึ่งมีไม่มากนัก หลายคนไม่ค่อยมีนามสกุล จึงไม่ค่อยมีบทบาทในชุมชน (หน้า 53-54) |
|
Social Organization |
สังคมหมู่บ้านขุนแม่รวมมีผู้นำทางสังคมคือ ฮีโข่ ฮี แปลว่าหมู่บ้าน โข่ แปลว่าหัว และผู้อาวุโสในหมู่บ้านเป็นที่ปรึกษาทำหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยในชุมชน เมื่อมีงานจะมีความร่วมมือทั้งหมู่บ้าน ถึงแม้ว่าปัจจุบันจะมีผู้ใหญ่บ้านแล้วก็ตาม (หน้า 44) ชาวชุมชนจะมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติอยู่ในระดับสูง โดอยอาศัยเงื่อนไขว่าเป็นผู้อยู่อาศัยมาตั้งแต่บรรพบุรุษตระกูลเดียวกัน เดิมบ้านขุนแม่รวมมี 5 กลุ่มตระกูลซึ่งถือว่าเป็นต้นตระกูล และมีบทบาทสำคัญในหมู่บ้าน (หน้า 46) |
|
Political Organization |
บ้านขุนแม่รวมมีการปกครองหมู่บ้านเช่นเดียวกับหมู่บ้านทั่วไป คือมีคณะกรรมการหมู่บ้านทำหน้าที่ในการปกครองและพัฒนาหมู่บ้าน โดยผู้ใหญ่บ้าน (พ่อหลวง) จะเป็นประธาน (หน้า 46) คณะกรรมการหมู่บ้านมีหน้าที่ออกกฎระเบียบในชุมชน เช่นการดูแลสัตว์เลี้ยงไม่ให้ทำความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น การอนุรักษ์ต้นน้ำและสัตว์ป่า การห้ามปลูกฝิ่น ซื้อขายยาเสพติด ทะเลาะวิวาทและยิงปืนในหมู่บ้านหากฝ่าฝืนจะถูกปรับ (หน้า 51-52) นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานรัฐเข้าไปส่งเสริมชาวบ้านในด้านต่างๆ เช่นโรงเรียน พัฒนากร เกษตรตำบล และสาธารณสุข งานพัฒนาจากรัฐยังไม่ประสบความสำเร็จมากนัก เนื่องจากองค์กรของชุมชนไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมต่อทิศทางการพัฒนา เช่น ระบบการศึกษา คนในชุมชนมองว่าเป็นการดึงคนออกไปนอกชุมชนมากขึ้น หรือนักพัฒนากรจะเข้ามาส่งเสริมให้ชาวบ้านทำโครงการตามนโยบายของรัฐบาลเท่านั้น จึงไม่สอดคล้องกับความต้องการของชุมชน รวมถึงระบบสาธารณสุขที่ชาวบ้านยังคงให้ความสำคัญกับการรัษาแบบดั้งเดิมมากกว่า (หน้า 49-50) |
|
Belief System |
พิธีกรรมของปกาเกอะญอบ้านขุนแม่รวมแบ่งได้เป็น 3 รูปแบบคือ 1. พิธีกรรมตามวงจรชีวิต เกี่ยวข้องกับการเกิด จะตัดสายรกของเด็กไปผูกติดกับต้นไม้ในป่าเรียกว่า "เด่อทู" ต้นไม้ที่มีสายรกจะห้ามตัดเด็ดขาด และในวันที่เด็กเกิดทุกคนในหมู่บ้านจะไม่ออกไปทำงาน พิธีกรรมแต่งงาน พิธีกรรมงานศพ (หน้า 60-65) 2. พิธีกรรมที่เกี่ยวกับการผลิต เช่น พิธีปัดรังควาญ หรือเลี้ยงผี จะทำในช่วงก่อนเริ่มฤดูการผลิต พิธีกรรมขึ้นปีใหม่ จะทำหลังพิธีกรรมเลี้ยงผี มีการผูกข้อมือฮีโข่และเลี้ยงฉลองทุกบ้าน พิธีกรรมไร่หมุนเวียน เป็นการคัดเลือกพื้นที่เพาะปลูกทำไร่หมุนเวียน พิธีกรรมการผลิต (ฉล่าลอดูหละ) มีการเสี่ยงทายเพื่อจัดสรรพื้นที่เพื่อทำการผลิต และพิธีกรรมนวดข้าว (เพาะบือกี่จือ) จะทำก่อนเก็บเกี่ยวจะทำพิธีกินหัวข้าว หรือข้าวใหม่หม้อแรกในรอบปีการผลิต (หน้า 65-71) 3. พิธีกรรมตามโอกาส เช่น พิธีกรรมขึ้นบ้านใหม่ พิธีกรรมบก๊ะ หรือบระ เกี่ยวกับการสังสรรค์รวมญาติฝ่ายหญิง ซึ่งสะท้อนถึงการให้ความสำคัญกับญาติฝ่ายหญิง พิธีกรรมขอขมา จะทำเมื่อมีคนทำผิดประเพณีของหมู่บ้านเพื่อขอโทษต่อผีบ้านผีเรือนและคนในชุมชน พิธีกรรมรักษาพยาบาล ขอขมาขอโทษต่อผีป่า ผีเรือน และพิธีกรรมทำนายและการเสี่ยงทาย มีทั้งการเสี่ยงทายด้วยไข่ไก่และข้าวสาร ใบไม้หรือการสัมผัสด้วยมือ (หน้า 72-80) |
|
Education and Socialization |
|
Health and Medicine |
เมื่อมีคนเจ็บป่วยชาวชุมชนเชื่อว่าเกิดจากการกระทำของผีป่า อาหารเป็นพิษมาจากพิธีกรรมระดับครอบครัว เครือญาติในหมู่บ้านที่ทำไม่ครบพิธีกรรม หรือมีคนที่ทำผิดผีต่อผีบ้านผีเรือนในเรื่องชู้สาว หรือผู้นำหมู่บ้าน "ฮีโข่" ทำพิธีไม่สมบูรณ์ จะต้องมีการทำพิธีในป่าเพื่อขอขมา แต่ถ้าไม่หายจะทำกรวยดอกไม้ไปหาหมอผีพื้นบ้านมาทำพิธีขอจากผีเรือน หากเป็นฤดูแล้งจะเอาไก่หนึ่งคู่ เหล้า 2 ขวด ดอกไม้ธูปเทียนไปทำพิธีใกล้แม่น้ำ ถ้าเป็นฤดูฝนจะใช้หมู 1 ตัว เมื่อไม่หายจริง ๆ จึงส่งสถานีอนามัยหรือโรงพยาบาล (หน้า 76) หมอพื้นบ้านของชุมชนจะใช้วิธีรักษาที่หลากหลาย เช่น ใช้ยาสมุนไพร การทำพิธีเลี้ยงผีป่า ผีบ้านผีเรือน ใช้คาถาอาคม การผูกข้อมือเรียกขวัญ การเสี่ยงทาย ทำนายและการนวด (หน้า 77) หมอพื้นบ้านของชุมชนมีวิธีรักษาผู้ป่วยหญิงมีครรภ์คืองดอาหารที่จะเป็นอันตรายต่อเด็กในครรภ์ เช่น สัตว์ที่ถูกยิงด้วยลูกดอกอาบยาพิษ พืชผักที่มียาง สัตว์บางชนิดเช่น ลิง ค่าง บ่าง ชะนี และหมี (หน้า 78) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ผู้หญิงในหมู่บ้านขุนแม่รวมจะเริ่มเรียนรู้การถักทอผ้าตั้งแต่เด็กๆ อายุ 9-10 ขวบ จะเริ่มทำหัตถกรรมในครอบครัว เช่น การทอผ้าฝ้ายพื้นบ้านมาเป็นผ้านุ่ง (หน้า 90) การแต่งกายของเด็กหญิงและสาวโสดจะสวมชุดยาวคล่อมเท้า ทรงกระบอกสีขาว ทอจากผ้าฝ้ายสลับสีทอยก นิยมสะพายย่ามและโพกศรีษะ ส่วนผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว จะสวมเสื้อทรงกระบอกตัวยาว คลุมถึงสะโพกสีดำ ปักชายด้วยลูกเดือย สวมผ้าถุง ลายพันตัว พื้นสีแดงสลับดำ ส่วนเด็กชายและผู้ชายส่วนมากจะใส่เสื้อผ้าสีแดงสลับขาว ทรงรูปตัววี สวมกางเกงสีดำ ปัจจุบันใส่กางเกงสีอะไรก็ได้ (หน้า 45) |
|
Folklore |
ปกาเกอะญอมีบทร้องทา ซึ่งแบ่งจากเนื้อหาได้เป็น 5 แบบ คือ 1. ทาต่าวา 2. ทาแต่งงาน 3. ทาบุโฆ่ 4. ทากี่จึ และ 5. ทาลอพลี่ บทร้องของปกาเกอะญอไม่ใช่มีเพียงเพื่อผ่อนคลายเท่านั้น แต่ยังซึมซับอยู่ในวิถีชีวิตของปกาเกอะญออย่างแนบแน่น การถ่ายทอดสั่งสอนคนรุ่นหลัง จะใช้ช่วงการรับประทานอาหารรอบกองไฟ มีบทลำนำถ่ายทอดคำสอน เกี่ยวกับเรื่องธรรมชาติ นิทานเกี่ยวกับคุณค่าและคุณธรรม พิธีกรรมและการนับต่างๆ (หน้า 58) ส่วนเครื่องดนตรีพื้นบ้านสมัยก่อนมีถึง 9-10 ชิ้น แต่ปัจจุบันเหลือไม่เกิน 5-7 ชิ้น คือ กลอง ฆ้อง ฉิ่ง ฉาบ เขาควายทำมาจากไม้ไผ่ ซึง ส่อเฆ ไม้ไผ่เขาควายยังใช้เป็นสัญญาณเรียกระดมชาวบ้าน (หน้า 84) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
จากการศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ของอำเภอแม่แจ่ม ปี พ.ศ. 2538 มีชนเผ่าพื้นเมืองร้อยละ 53.74 เป็นชนเผ่าปกาเกอะญอ ร้อยละ 40.56 ลั๊วะร้อยละ 2.82 ม้งร้อยละ 2.54 และลีซอร้อยละ 0.34 (หน้า44) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การเปลี่ยนแปลงทางสังคม วัฒนธรรมของหมู่บ้านขุนแม่รวมแบ่งได้เป็นการเปลี่ยนแปลง 2 ลักษณะคือ 1. การเปลี่ยนแปลงจากภายใน เช่นระบบผู้นำอย่างเป็นทางการของรัฐ ได้แก่ ผู้ใหญ่บ้าน อาจารย์ใหญ่ ซึ่งเป็นคนในชุมชนแต่นำความคิดของรัฐเข้ามาใช้พัฒนาหมู่บ้านเช่น การตัดถนน การแจกจ่ายสิ่งของจากทางราชการ ทำให้คนกลุ่มนี้มีได้รับการยอมรับและบทบาทในหมู่บ้านมากขึ้น ระบบเครือญาติ มีการเปลี่ยนแปลงจากการแต่งงานข้ามศาสนา หรือการเปลี่ยนศาสนา ทำให้การจัดพิธีกรรมในหมู่บ้านเกิดความหลากหลายมากขึ้น เรื่องระบบการถ่ายทอดการเรียนรู้ในชุมชน จากการเรียนรู้ที่บ้าน จากผู้อาวุโสเป็นการเรียนรู้ในห้องเรียน ทำให้บทเรียนหรือ อื่อทา เริ่มลดความสำคัญลง เรื่องวัฒนธรรมท้องถิ่นที่แสดงถึงเอกลักษณ์ของปกาเกอะญอเริ่มหายไป แต่รับเอาวัฒนธรรมสมัยใหม่เช่นเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย และวิธีการรักษาพยาบาลที่นิยมการรักษาแผนใหม่มากขึ้น จนถึงการเปลี่ยนแปลงในเรื่องพิธีกรรม ความเชื่อที่เดิมแสดงให้เห็นภูมิปัญญาการอยู่ร่วมกันระหว่างคนกับธรรมชาติอย่างสอดคล้องและสมดุล เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเช่น การลดขั้นตอนการทำพิธีกรรมไม่ให้ยุ่งยากซับซ้อน (หน้า 93-101) และ 2. การเปลี่ยนแปลงจากภายนอก คือกระบวนการพัฒนาสมัยใหม่ ซึ่งชาวเขาถูกรัฐมองว่าล้าหลัง เป็นสาเหตุของการทำลายธรรมชาติ จนถึงปัญหายาเสพติด เหล่านี้ทำให้เกิดการนำเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้าไปใช้ในชุมชนโดยไม่มองถึงความสอดคล้องกับวิถีความเชื่อ วัฒนธรรม ภูมิปัญญาดั้งเดิมถูกละเลย ชุมชนเริ่มเข้าสู่การผลิตที่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีสมัยใหม่ ชีวิตพึ่งพาสิ่งอำนวยความสะดวกมากขึ้น พึ่งพาธรรมชาติน้อยลง ทำให้ความเชื่อที่สัมพันธ์กับธรรมชาติลดน้อยลง นโยบายการศึกษาของรัฐก็มีส่วนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โรงเรียนจะสอนสิ่งที่อยู่นอกชุมชนมากกว่าจะให้เด็กเรียนรู้เรื่องของตนเองในชุมชน ทำให้ไม่เกิดความภาคภูมิใจต่อชุมชน เด็กๆ เริ่มถูกแยกออกห่างจากชุมชนมากขึ้น การบุกรุกของวัฒนธรรมภายนอกและธุรกิจท่องเที่ยว และพ่อค้าคนกลางที่ดึงชาวบ้านเข้าสู่ระบบตลาดมากขึ้น (หน้า 101-116) |
|
Map/Illustration |
ตารางแสดงจำนวนประชากรแยกตามช่วงอายุ (หน้า 43) Map : แสดงเส้นทางที่เข้าไปศึกษา (หน้า 25) แสดงที่ตั้งเขตตำบล อำเภอแม่แจ่ม (หน้า 26) |
|
|