สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ลาวโซ่ง, ไทดำ, จักรวาลทัศน์, คนพลัดถิ่น, ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์
Author พิเชฐ สายพันธ์
Title พลวัตจักรวาลทัศน์และโลกทัศน์ของลาวโซ่ง/ไทดำจากพิธีกรรมความตาย
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ไทดำ ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ไทยทรงดำ ไทดำ ไตดำ โซ่ง, Language and Linguistic Affiliations ไท(Tai)
Location of
Documents
- ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
- ฐานข้อมูลงานศึกษาวิจัยศูนย์มานุษยวิยาสิรินธร : [เอกสารฉบับเต็ม]
Total Pages 139 Year 2561
Source พิเชฐ สายพันธ์. (2561). พลวัตในจักรวาลทัศน์และโลกทัศน์ของลาวโซ่ง/ไทดำจากพิธีกรรมความตาย. กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร.
Abstract

จากการศึกษาพบว่า โลกทัศน์ของกลุ่มชาติพันธุ์ลาวโซ่ง/ไทดำมีการแบ่งดินแดนออกเป็นคู่ขนาน คือ เมืองฟ้า-เมืองลุ่ม โดยเมืองฟ้าเป็นที่อยู่ของ “ผีด้ำ” หรือบรรพชนและสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติที่คอยควบคุมดูแลมนุษย์ที่อยู่ในเมืองลุ่ม (โลกมนุษย์) ในพิธีกรรมความตายของกลุ่มชาติพันธุ์ลาวโซ่ง/ไทดำจะมีการสวดเพื่อส่งวิญญาณผู้ตายให้ไปสู่เมืองฟ้าโดยเนื้อหาของบทสวดจะมีการเท้าความย้อนไปถึงประวัติศาสตร์การตั้งถิ่นฐานและการเดินทางเคลื่อนย้ายของกลุ่มชาติพันธุ์จากที่ตั้งในปัจจุบันกลับไปยังดินแดนสิบสองจุไทเดิมจนถึงเมืองลอที่เป็นต้นกำเนิดทางประวัติศาสตร์และเป็นสถานที่เชื่อมต่อระหว่างเมืองลุ่มกับเมืองฟ้า 
 
กลุ่มชาติพันธุ์ลาวโซ่ง/ไทดำในประเทศไทยมีการรับเอาพิธีกรรมสวดอภิธรรมเข้ามาผสมผสานในพิธีกรรมความตายแต่ไม่ได้ส่งผลต่อระบบโครงสร้างเดิมที่มีอยู่แล้ว เพียงแต่เข้ามาเสริมคำอธิบายจักรวาลของชาวลาวโซ่ง/ไทดำให้มีความสมบูรณ์มากขึ้นเท่านั้น

Focus

ศึกษาระบบความคิดเกี่ยวกับโลกทัศน์และจักรวาลทัศน์ที่ปรากฏอยู่ในการปฏิบัติพิธีกรรมเกี่ยวกับความตายของกลุ่มชาติพันธุ์ลาวโซ่ง/ไทดำในประเทศไทย

Theoretical Issues

ใช้แนวคิดพลวัตวัฒนธรรม (cultural dynamic) มาเป็นกรอบการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงจักรวาลทัศน์และพิธีกรรมเกี่ยวกับความตายของกลุ่มลาวโซ่ง/ไทดำที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย (น.12) และใช้แนวคิดพิธีกรรมวิเคราะห์ (ritual analysis) ประกอบในการทำความเข้าใจระบบสัญญะที่ปรากฏอยู่ในพิธีกรรม (น.14) 

Ethnic Group in the Focus

กลุ่มชาติพันธุ์ลาวโซ่ง/ไทดำ  

Study Period (Data Collection)

ระยะเวลา 1 ปี (ตุลาคม 2560 - กันยายน 2561) (น.16) 
ศึกษาจากงานเชิงชาติพันธุ์วรรณา ตำรา (text) และการลงภาคสนามที่หมู่บ้านสระสี่มุม ตำบลสระพัฒนา อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม (น.16-17)

History of the Group and Community

กลุ่มชาติพันธุ์ลาวโซ่ง/ไทดำมีถิ่นต้นกำเนิดเดิมอยู่ที่บริเวณสิบสองจุไท สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม มีบันทึกการอพยพเข้ามาในสยามตั้งแต่สมัยธนบุรี (พ.ศ. 2322) และช่วงต้นรัตนโกสินทร์มาจนถึงรัชกาลที่ 5 โดยถูกกวาดต้อนจากกองทัพสยามในขณะนั้นโดยมีสถานะเป็นไพร่ลาว เมื่อเข้ามาอยู่ในไทยแล้วกลุ่มลาวโซ่ง/ไทดำได้ถูกส่งให้มาตั้งถิ่นฐานที่เมืองเพชรบุรี จนกระทั่งถึงสมัยรัชกาลที่ห้าได้มีการยกเลิกระบบไพร่ทาส กลุ่มลาวโซ่ง/ไทดำจึงมีอิสระในการโยกย้ายถิ่นฐานไปยังเมืองอื่น ๆ ในลักษณะเป็นกลุ่มใหญ่หรือกลุ่มเครือญาติ ปัจจุบันกลุ่มลาวโซ่ง/ไทดำส่วนหนึ่งยังคงตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณภาคกลางของประเทศไทย เช่น ราชบุรี นครปฐม สุพรรณบุรี กาญจนบุรี สระบุรี ลพบุรี นครสวรรค์ พิจิตร สุโขทัย และพิษณุโลก แต่ก็มีบางกลุ่มที่เคลื่อนย้ายลงไปยังบริเวณภาคใต้ เช่น ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี เป็นต้น (น. 18-22) 

Settlement Pattern

ตั้งถิ่นฐานอยู่รวมกันเป็นชุมชนที่เกาะกลุ่มรวมกันอย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะในหมู่เครือญาติ ไม่มีการอาศัยปะปนอยู่กับกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ส่งผลให้กลุ่มลาวโซ่ง/ไทดำในประเทศไทยยังสามารถรักษาแบบแผนประเพณีดั้งเดิมเอาไว้ได้ (น.22

Social Organization

ระบบชนชั้นในสังคมลาวโซ่ง/ไทดำ
สังคมลาวโซ่ง/ไทดำมีการ 2 ชนชั้นหลัก ได้แก่ ตระกูลชนชั้นปกครองหรือผู้ท้าว และตระกูลชนชั้นใต้ปกครองหรือผู้น้อย ชนชั้นของแต่ละคนสามารถดูได้จากสายตระกูล เรียกว่า “สิง” สายตระกูลที่สำคัญในชนชั้นปกครอง คือ ตระกูลลอและตระกูลเลือง จากคำกล่าวว่า “สิงเลืองเย็ดหมอ สิงลอเย็ดท้าว” หมายถึง ตระกูลเลืองมีสถานภาพเป็นหมอหรือผู้รู้ ส่วนตระกูลลอมีสถานภาพเป็นผู้ปกครองชุมชน ปัจจุบันกลุ่มลาวโซ่ง/ไทดำในประเทศไทยไม่ได้เข้มข้นเหมือนในอดีตแต่เป็นไปเพื่อรักษาความสัมพันธ์กันในการอยู่ร่วมกันภายในสังคมมากกว่าการปกครองตามจารีตซึ่งเป็นผลจากที่กลุ่มลาวโซ่ง/ไทดำถูกผนวกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งภายใต้การปกครองของสยามมาตั้งแต่สมัยธนบุรี อย่างไรก็ตามระบบชนชั้นของกลุ่มลาวโซ่ง/ไทดำยังคงปรากฏให้เห็นอยู่ในพิธีกรรมสำคัญ (น.47-448)
 
ระบบความสัมพันธ์ภายในสายตระกูล
ชาวลาวโซ่ง/ไทดำให้ความสำคัญกับการเคารพชนชั้นผู้ท้าวผู้น้อยและผู้อาวุโสของแต่ละตระกูลซึ่งเป็นสิ่งที่รักษาและยึดโยงความสัมพันธ์ของคนในสังคมลาวโซ่ง/ไทดำเอาไว้อย่างเหนียวแน่น การสืบสายตระกูลจะมีทั้งทางพ่อและทางแม่ จะเรียกเชื้อสายตระกูลฝ่ายพ่อว่า “ด้ำปู่” และเรียกเชื้อสายตระกูลฝ่ายแม่ว่า “ด้ำนาย” หรือ “ด้ำตา” แต่ส่วนใหญ่จะเน้นสืบสายตระกูลจากฝั่งพ่อเป็นหลัก (น.49) 

Belief System

กลุ่มชาติพันธุ์ลาวโซ่ง/ไทดำมีการนับถือผีแถนและผีบรรพชนซึ่งสัมพันธ์กับวิถีชีวิตและโครงสร้างสังคมภายในกลุ่มชาติพันธุ์ 
ความเชื่อเรื่องขวัญ 
เชื่อว่าสิ่งมีชีวิตเกิดจากการประกอบรวมกันของกายหยาบซึ่งเป็นส่วนที่จับต้องได้ในทางกายภาพ และส่วนของวิญญาณ เรียกว่า “ขวัญ” ซึ่งกระจายอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ดังคำกล่าว “สามสิบขวัญหน้า ห้าสิบขวัญหลัง” ขวัญเปรียบเหมือนส่วนสำคัญที่ช่วยให้ร่างกายสามารถทำงานได้ตามปกติ หากทำขวัญหลุดลอยไปจะทำให้ร่างกายเจ็บป่วยหรือมีอาการเหม่อลอย ชาวลาวโซ่ง/ไทดำจะมีพิธีแปงขวัญหรือพิธีรับขวัญสำหรับคนที่ยังมีชีวิตอยู่เพื่อขับไล่เสนียดจัญไรและเรียกขวัญที่กระจัดกระจายกลับมา  มีลักษณะเหมือนกับการทำขวัญของคนไทยในภาคกลาง พิธีแปงขวัญมักจะทำให้กับเด็กหรือผู้ใหญ่ที่มีอาการเจ็บป่วย ส่วนที่ต่างกัน คือ เครื่องเซ่นและบทแปงขวัญ (น. 41) 
 
ขวัญเป็นสิ่งที่ไม่สามารถแยกขาดได้จากชีวิตมนุษย์ เมื่อมนุษย์เสียชีวิตขวัญจะออกจากร่างกายไปยังที่ต่าง ๆ ขวัญกกหรือขวัญต้นจะกลับไปอยู่บนเมืองฟ้า ขวัญหัวจะถูกเรียกไปที่กะลอห้องบนเรือนของลูกชายหรือตูบ (ศาลขนาดเล็ก) ที่ลูกสาวจัดไว้ในกรณีที่บ้านนั้นไม่มีลูกชาย ส่วนขวัญปลายหรือเงาะจะอยู่ที่ป่าแฮ่ว การส่งขวัญของคนตายให้ไปอยู่เป็นที่เป็นทางจะเป็นการป้องกันไม่ให้กลายเป็นวิญญาณร้ายในอนาคต (น. 42) 
 
ความเชื่อเรื่องผี 
ชาวลาวโซ่ง/ไทดำมีความเชื่อแบบวิญญาณนิยม (animism) พวกเขาให้ความสำคัญกับผีในลักษณะต่าง ๆ โดยมีผีแถนที่อยู่บนเมืองฟ้าเป็นผีที่มีอำนาจสูงสุดในบรรดาผีทั้งหมด มีผีป่าหรือผีซวงที่สิงสถิตอยู่ตามธรรมชาติ มีผีด้ำหรือผีบรรพบุรุษที่คอยช่วยเหลือแถนควบคุมดูแลความเป็นไปของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ มีผีบ้านผีเมืองคอยปกปักรักษาให้อาศัยอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข (น. 43-44)
 
พิธีศพและพิธีกรรมเกี่ยวกับความตาย
พิธีศพของชาวลาวโซ่ง/ไทดำส่วนใหญ่จะจัดที่บ้าน บ้านที่มีงานศพจะเรียกว่า “เฮือนฮ้าย” (หมายถึง บ้านที่เกิดเรื่องร้าย) มี “หมอเขย” เป็นผู้นำประกอบพิธี มีเขยหาม แม่แฮ่ว ช่างแฮ่วและเครือญาติของผู้ตายเป็นผู้ช่วยหมอเขยในพิธี ศพของผู้ตายจะเรียกว่า “ขอน” ชาวลาวโซ่ง/ไทดำจะมีวิธีการจัดการศพด้วยการเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ผู้ตายใหม่และเตรียมข้าวของเครื่องใช้ให้ผู้ตายติดตัวเอาไปในโลกหน้า ปกติจะมีการเก็บศพเอาไว้ประมาณ 3-5 วันแล้วแต่ครอบครัว ในวันสุดท้ายจะเป็นการเผาศพและสวด “ความบอกทาง” เพื่อนำทางวิญญาณของผู้ตายไปยังเมืองฟ้า (น.66-69)
 
การสวด “ความบอกทาง” เพื่อบอกเส้นทางไปยังเมืองฟ้าให้ผู้ตายโดยจะเริ่มจากบ้านของผู้ตายแล้วย้อนไปยังประวัติศาสตร์การย้ายถิ่นฐาน ไม่ว่ากลุ่มลาวโซ่ง/ไทดำในไทยจะอาศัยอยู่ที่จังหวัดหรือภูมิภาคใดแต่จุดร่วมของเส้นทางคือการย้อนผ่านไปทางจังหวัดราชบุรี สุพรรณบุรี เสาไห้ จังหวัดสระบุรี ดงพญาไฟจังหวัดนครราชสีมา ขึ้นไปถึงบริวเวณแม่น้ำโขงแล้วข้ามไปฝั่งเวียงจันทน์ ผ่านน้ำงึมไปทางเมืองพวนเข้าไปยังดินแดนสิบสองจุไท หลังจากนั้นเส้นทางการเดินทางจะเหมือนกับกลุ่มลาวโซ่ง/ไทดำที่ยังคงตั้งถิ่นฐานบริเวณดังกล่าว บทสวดต่อจากนี้จะนำทางวิญญาณไปจนถึงเมืองลอซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดของดินแดนมนุษย์และเข้าสู่เมืองฟ้าและกลายเป็นผีด้ำ ผู้ตายที่อยู่ในตระกูลผู้ท้าวจะอยู่กับผีด้ำตระกูลผู้ท้าวในบริเวณ “เลียงปานหลวง” ส่วนผู้ตายที่เป็นผู้น้อยจะอยู่ในบริเวณ “เลียงปานน้อย” กับผีด้ำตระกูลผู้น้อย (น.62-65) 
 
ในขั้นตอนพิธีงานศพของกลุ่มลาวโซ่ง/ไทดำที่บ้านสระสี่มุม จังหวัดนครปฐมได้มีการผสมผสานกับศาสนาพุทธทำให้แตกต่างจากพิธีศพของลาวโซ่ง/ไทดำในพื้นที่อื่น ๆ ที่ไม่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพุทธ กล่าวคือ มีการนำเอาการสวดบังสุกุลอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ตาย การสวดอนิจจังตอนเก็บกระดูกและการเผาศพที่เมรุเพิ่มเข้ามาจากพิธีศพตามประเพณีดั้งเดิม มีการนำแนวคิดเกี่ยวกับนรกเข้ามาผสานเข้ากับจักรวาลเดิม เกิดเป็นดินแดนที่เรียกว่า “หม้อนรก” (น.82-83) 

Folklore

กลุ่มชาติพันธุ์ลาวโซ่ง/ไทดำมีระบบความเชื่อเกี่ยวกับโลกแบบคู่ขนาน คือ เมืองฟ้าและเมืองลุ่มที่แบ่งระหว่างมนุษย์กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติ เมืองฟ้าจะเป็นที่อยู่ของผีแถนและผีบรรพชนหรือ “ผีด้ำ”  เป็นพื้นที่ของโลกหลังความตายที่คอยดูแลความเป็นไปของเมืองลุ่มซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ชาวลาวโซ่ง/ไทดำเชื่อว่าเมืองลุ่มเกิดมาพร้อมกับการสร้างโลก หลังจากหมากน้ำเต้าที่บรรจุสิ่งมีชีวิตเอาไว้ได้แตกออก ผีแถนจากเมืองฟ้าก็ได้ส่งมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นไปยังเมืองต่าง ๆ จำนวน 6 เมือง ได้แก่ เมืองลาว เมืองม่าน เมืองลื้อ เมืองหม้วย เมืองโกย และเมืองลอ พวกเขาเชื่อว่าแถนได้ส่งปู่เจ้าท้าวสวงลงมาปกครองเมืองลอและแต่งงานกับหญิงชาวเมืองลอ มีบุตรชื่อท้าวลอซึ่งได้กลายเป็นผู้ปกครองเมืองลอคนต่อมา  ชาวไทดำจึงยึดเมืองลอเป็นเมืองต้นกำเนิดและเป็นดินแดนจุดสิ้นสุดของเมืองลุ่มที่เชื่อมต่อกับเมืองฟ้า ภายหลังเชื้อสายของท้าวลอได้แยกย้ายกันไปสร้างเมืองของตัวเอง ได้แก่ ปู่ตาดุก (หลุก) ปกครองเมืองลอหลวง ปู่ตาเดาปกครองเมืองลอน้อย ปู่ลับลีปกครองเมืองลอย่า (จ่า) ปู่สอนลีปกครองเมืองมิน ปู่ลางงางปกครองเมืองสานาน ปู่ลางกว้างปกครองเมืองหมาเมืองสาด ส่วนลูกคนสุดท้องชื่อว่า ปู่ลางเชิง (ลางเจือง) ได้พาผู้คนเดินทางผ่านเมืองลา เมืองหม้วย เมืองแอก เมืองควาย ก่อนจะสร้างเมืองแถนขึ้นเป็นพื้นที่ปกครองของตนเอง เมืองที่อยู่ในอาณาเขตของเมืองลุ่มถูกนับเป็นเครือข่ายการปกครองของกลุ่มไทดำและเป็นดินแดนต้นกำเนิดประวัติศาสตร์ของกลุ่มชาติพันธุ์ไทดำ (น.28-30)
 
เมืองลุ่มและเมืองฟ้าเป็นดินแดนที่แยกออกจากกันอย่างเป็นเส้นขนาน เมื่อมนุษย์หมดอายุขัย วิญญาณจะเดินทางขึ้นมายังเมืองฟ้าเพื่ออยู่ร่วมกับผีแถนและผีบรรพชน ชาวลางโซ่ง/ไทดำไม่มีความเชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิดใหม่ การเกิดของมนุษย์เกิดจากอำนาจของแถนเป็นผู้สร้าง เมืองฟ้าจึงเป็นเมืองที่มีความเป็นนิรันดร์ไม่มีวันสิ้นสุด (น.32)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

“ลาวโซ่ง” เป็นคำที่สยามใช้เรียกคนไทดำที่ถูกกวาดต้อนมาพร้อมกับชาวลาวในสมัยธนบุรีและรัตนโกสินทร์ตอนต้นจึงเกิดการเหมารวมคนกลุ่มนี้ว่าเป็นลาว กลุ่มไทดำที่อยู่ในไทยจึงเรียกตนเองว่า “ลาวโซ่ง” หรือ “ผู้ลาวโซ่ง” หรือย่อเหลือแค่ “ผู้ลาว” กับ “โซ่ง” แต่โดยทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมแล้วยังคงมีความเกี่ยวข้องกลุ่มชาติพันธุ์ไทดำในดินแดนสิบสองจุไทเดิม (น.21)

Social Cultural and Identity Change

กลุ่มลาวโซ่ง/ไทดำบางกลุ่มในประเทศไทยมีการรับเอาอิทธิพลจากศาสนาพุทธมาผสมกับพิธีกรรมเดิมโดยจะมีการนิมนต์พระสงฆ์มาสวดอภิธรรม สวดบังสุกุลและเผาศพที่เมรุอย่างเป็นกิจจะลักษณะซึ่งเป็นขั้นตอนที่เพิ่มมาจากพิธีศพตามปกติของชาวลาวโซ่ง/ไทดำในดินแดนอื่น ส่วนในจักรวาลทัศน์ของโลกหลังความตาย ความเชื่อเรื่องบาปกรรมได้เข้ามาเปลี่ยนจากจักรวาลคู่ขนานที่มีเพียงเมืองฟ้า-เมืองลุ่มให้กลายเป็นดินแดน 3 ส่วน โดยเพิ่มนรกเข้ามาเพื่อทำให้โลกหลังความตายมีความสมบูรณ์มากขึ้นแต่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างคติความเชื่อดั้งเดิม (น.106-108)

Other Issues

จิตสำนึกของคนพลัดถิ่นที่ยังคงยึดติดกับถิ่นฐานต้นกำเนิดที่ปรากฏอยู่ในบทสวดความบอกทางเพื่อนำทางวิญญาณกลับคืนสู่ดินแดนปิตุภูมิซึ่งเป็นต้นกำเนิดประวัติศาสตร์ของกลุ่มชาติพันธุ์ลาวโซ่ง/ไทดำ (น.103)

Map/Illustration

- แผนภูมิ ภูมิสัณฐานของโครงสร้างจักรวาลเมืองฟ้า-เมืองลุ่มของกลุ่มไทดำในสิบสองจุไท (น.36-37)
- แผนภาพ ภูมิสัณฐานของโครงสร้างจักรวาลเมืองฟ้า-เมืองลุ่มของกลุ่มไทดำในสิบสองจุไท (น.38)
- ตารางเปรียบเทียบเส้นทางส่งผีใน “ความบอกทาง” สำนวนต่าง ๆ (น.97-103)
- ภาพ ตัวอย่างบทสวดศพตอนความไต่อ่อนออก สำนวนปู่อู่โอบ เพชรบุรี-นครปฐม เรียบเรียงโดย คู ซวง สิ่ง ลอ (ชวลิต อารยุติธรรม) (น.129-130)
- ภาพ ตัวอย่างบทสวดศพตอนความบอกทาง สำนวนหมอคูณ สุราษฎร์ (น.131)
- ภาพ ตัวอย่างบทสวดศพตอนความบอกทาง สำนวนอ้างโดยวิศรุต สุพรรณบุรี (วิศรุต สุวรรณวิเวก) (น.132)
- ภาพ ตัวอย่างบทสวดศพตอนคำบอกทาง สำนวนนครสวรรค์ ของหมอนุ้ย ชุมพร (น.133) 
- ภาพ ตัวอย่างบทสวดศพตอนความบอกทาง สำนวนลอ วัน คอ เมืองแถง (เดียนเบียนฟู) (สำเนา พิเชฐ สายพันธ์) (น.134)
- ภาพ ตัวอย่างบทสวดศพตอนความบอกทางหรือ “ส่งผีตายขึ้นเมืองฟ้า” สำนวนรวบรวมโดยโง ติ๊ก ถิ่นห์ และเกิ่ม จ่อง (น.135)

Text Analyst อัคริมา สุขดี Date of Report 05 ม.ค. 2566
TAG ลาวโซ่ง, ไทดำ, จักรวาลทัศน์, คนพลัดถิ่น, ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง