กลุ่มชาติพันธุ์ลาวโซ่ง/ไทดำมีการนับถือผีแถนและผีบรรพชนซึ่งสัมพันธ์กับวิถีชีวิตและโครงสร้างสังคมภายในกลุ่มชาติพันธุ์
ความเชื่อเรื่องขวัญ
เชื่อว่าสิ่งมีชีวิตเกิดจากการประกอบรวมกันของกายหยาบซึ่งเป็นส่วนที่จับต้องได้ในทางกายภาพ และส่วนของวิญญาณ เรียกว่า “ขวัญ” ซึ่งกระจายอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ดังคำกล่าว “สามสิบขวัญหน้า ห้าสิบขวัญหลัง” ขวัญเปรียบเหมือนส่วนสำคัญที่ช่วยให้ร่างกายสามารถทำงานได้ตามปกติ หากทำขวัญหลุดลอยไปจะทำให้ร่างกายเจ็บป่วยหรือมีอาการเหม่อลอย ชาวลาวโซ่ง/ไทดำจะมีพิธีแปงขวัญหรือพิธีรับขวัญสำหรับคนที่ยังมีชีวิตอยู่เพื่อขับไล่เสนียดจัญไรและเรียกขวัญที่กระจัดกระจายกลับมา มีลักษณะเหมือนกับการทำขวัญของคนไทยในภาคกลาง พิธีแปงขวัญมักจะทำให้กับเด็กหรือผู้ใหญ่ที่มีอาการเจ็บป่วย ส่วนที่ต่างกัน คือ เครื่องเซ่นและบทแปงขวัญ (น. 41)
ขวัญเป็นสิ่งที่ไม่สามารถแยกขาดได้จากชีวิตมนุษย์ เมื่อมนุษย์เสียชีวิตขวัญจะออกจากร่างกายไปยังที่ต่าง ๆ ขวัญกกหรือขวัญต้นจะกลับไปอยู่บนเมืองฟ้า ขวัญหัวจะถูกเรียกไปที่กะลอห้องบนเรือนของลูกชายหรือตูบ (ศาลขนาดเล็ก) ที่ลูกสาวจัดไว้ในกรณีที่บ้านนั้นไม่มีลูกชาย ส่วนขวัญปลายหรือเงาะจะอยู่ที่ป่าแฮ่ว การส่งขวัญของคนตายให้ไปอยู่เป็นที่เป็นทางจะเป็นการป้องกันไม่ให้กลายเป็นวิญญาณร้ายในอนาคต (น. 42)
ความเชื่อเรื่องผี
ชาวลาวโซ่ง/ไทดำมีความเชื่อแบบวิญญาณนิยม (animism) พวกเขาให้ความสำคัญกับผีในลักษณะต่าง ๆ โดยมีผีแถนที่อยู่บนเมืองฟ้าเป็นผีที่มีอำนาจสูงสุดในบรรดาผีทั้งหมด มีผีป่าหรือผีซวงที่สิงสถิตอยู่ตามธรรมชาติ มีผีด้ำหรือผีบรรพบุรุษที่คอยช่วยเหลือแถนควบคุมดูแลความเป็นไปของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ มีผีบ้านผีเมืองคอยปกปักรักษาให้อาศัยอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข (น. 43-44)
พิธีศพและพิธีกรรมเกี่ยวกับความตาย
พิธีศพของชาวลาวโซ่ง/ไทดำส่วนใหญ่จะจัดที่บ้าน บ้านที่มีงานศพจะเรียกว่า “เฮือนฮ้าย” (หมายถึง บ้านที่เกิดเรื่องร้าย) มี “หมอเขย” เป็นผู้นำประกอบพิธี มีเขยหาม แม่แฮ่ว ช่างแฮ่วและเครือญาติของผู้ตายเป็นผู้ช่วยหมอเขยในพิธี ศพของผู้ตายจะเรียกว่า “ขอน” ชาวลาวโซ่ง/ไทดำจะมีวิธีการจัดการศพด้วยการเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ผู้ตายใหม่และเตรียมข้าวของเครื่องใช้ให้ผู้ตายติดตัวเอาไปในโลกหน้า ปกติจะมีการเก็บศพเอาไว้ประมาณ 3-5 วันแล้วแต่ครอบครัว ในวันสุดท้ายจะเป็นการเผาศพและสวด “ความบอกทาง” เพื่อนำทางวิญญาณของผู้ตายไปยังเมืองฟ้า (น.66-69)
การสวด “ความบอกทาง” เพื่อบอกเส้นทางไปยังเมืองฟ้าให้ผู้ตายโดยจะเริ่มจากบ้านของผู้ตายแล้วย้อนไปยังประวัติศาสตร์การย้ายถิ่นฐาน ไม่ว่ากลุ่มลาวโซ่ง/ไทดำในไทยจะอาศัยอยู่ที่จังหวัดหรือภูมิภาคใดแต่จุดร่วมของเส้นทางคือการย้อนผ่านไปทางจังหวัดราชบุรี สุพรรณบุรี เสาไห้ จังหวัดสระบุรี ดงพญาไฟจังหวัดนครราชสีมา ขึ้นไปถึงบริวเวณแม่น้ำโขงแล้วข้ามไปฝั่งเวียงจันทน์ ผ่านน้ำงึมไปทางเมืองพวนเข้าไปยังดินแดนสิบสองจุไท หลังจากนั้นเส้นทางการเดินทางจะเหมือนกับกลุ่มลาวโซ่ง/ไทดำที่ยังคงตั้งถิ่นฐานบริเวณดังกล่าว บทสวดต่อจากนี้จะนำทางวิญญาณไปจนถึงเมืองลอซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดของดินแดนมนุษย์และเข้าสู่เมืองฟ้าและกลายเป็นผีด้ำ ผู้ตายที่อยู่ในตระกูลผู้ท้าวจะอยู่กับผีด้ำตระกูลผู้ท้าวในบริเวณ “เลียงปานหลวง” ส่วนผู้ตายที่เป็นผู้น้อยจะอยู่ในบริเวณ “เลียงปานน้อย” กับผีด้ำตระกูลผู้น้อย (น.62-65)
ในขั้นตอนพิธีงานศพของกลุ่มลาวโซ่ง/ไทดำที่บ้านสระสี่มุม จังหวัดนครปฐมได้มีการผสมผสานกับศาสนาพุทธทำให้แตกต่างจากพิธีศพของลาวโซ่ง/ไทดำในพื้นที่อื่น ๆ ที่ไม่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพุทธ กล่าวคือ มีการนำเอาการสวดบังสุกุลอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ตาย การสวดอนิจจังตอนเก็บกระดูกและการเผาศพที่เมรุเพิ่มเข้ามาจากพิธีศพตามประเพณีดั้งเดิม มีการนำแนวคิดเกี่ยวกับนรกเข้ามาผสานเข้ากับจักรวาลเดิม เกิดเป็นดินแดนที่เรียกว่า “หม้อนรก” (น.82-83)