|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ชาติพันธุ์, สิทธิมนุษยชน, ชนเผ่าพื้นเมือง, นโยบาย, กฎหมาย |
Author |
ชูพินิจ เกษมณี, กิตติศักดิ์ รัตนกระจ่างศรี, แกม อะวุงชิ ชิมเร, พิราวรรณ วงศ์นิธิสถาพร |
Title |
การวิจัยสำรวจสถานการณ์และนโยบายชนเผ่าพื้นเมืองและกลุ่มชาติพันธุ์ |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
-
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
- ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
- ฐานข้อมูลงานศึกษาวิจัยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร : [เอกสารฉบับเต็ม] |
Total Pages |
44 |
Year |
2563 |
Source |
ชูพินิจ เกษมณี และคณะ. (2563). การวิจัยสำรวจสถานการณ์และนโยบายชนเผ่าพื้นเมืองและกลุ่มชาติพันธุ์. กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร. ค้นคว้าเมื่อ 16 ธันวาคม 2564 , จาก ฐานข้อมูลงานวิจัย ศมส. |
Abstract |
จากการสำรวจถึงชนเผ่าพื้นเมืองทั่วโลกพบว่า ชนเผ่าพื้นเมืองอาศัยอยู่ในมากกว่า 90 ประเทศทั่วโลก มีอัตราส่วนร้อยละมากกว่า 6 ของประชากรโลก ภายในประชากรร้อยละ 15 ตกอยู่ในสภาวะคนชายขอบและมีสถานะภาพยากจนที่สุด จึงมีการหารือจากสหประชาชาติ ได้จัดตั้ง คณะทำงานว่าด้วยประชากรชนเผ่าพื้นเมือง (Working Group on indigenous Population) ในปี 1982 เรียกย่อๆว่า WGIP ได้เริ่มยกร่างปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองตั้งแต่ปี 1985 แล้วเสร็จในปี 1993 ณ คณะอนุกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ นับจากปี 1995-2006 คณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อพิจารณาร่างเนื้อหาปฏิญญาฯ ที่นำเสนอต่อ คณะมนตรีสิทธิมนุษยชน ผ่านความเห็นชอบแล้วค่อยสู่การนำเสนอสู่ สมัชชาใหญ่ โดยเข้าร่วมจากหลายประเทศในการประชุมสหประชาชาติ และเห็นชอบเป็นส่วนใหญ่ถึง ๑๔๔ ประเทศ จนได้มีวันจัดตั้ง ประกาศวันสากลแห่งชนเผ่าพื้นเมืองโลก ทุกวันที่ 9 สิงหาคม ทุกปี ตั้งแต่ปี 1993 พร้อมทั้งนิยามมโนภาพให้ความหมายต่อคำว่า “ชนเผ่าพื้นเมือง (indigenous Peoples)” เป็นคำสากล แต่ก็มีหลายประเทศมีการใช้คำชื่อเรียกที่แตกต่างกันอยู่บ้างเช่น ชนพื้นถิ่น ชนพื้นเมือง กลุ่มปฐมชาติ ส่วนในประเทศไทยตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่ปรากฏในมาตรา ใช้คำว่า กลุ่มชาติพันธุ์ จากแผนการปฏิรูปประเทศ กำหนดให้มีการจัดทำ พระราชบัญญัติส่งเสริมและอนุรักษ์วิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ โดยรัฐบาลมอบหมายให้ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร รับผิดชอบในส่วนพระราชบัญญัติดังกล่าว เพื่อให้สอดคล้องกับสังคมพหุวัฒนธรรม ที่มีประวัติศาสตร์และวิถีชีวิตของผู้คนในแต่ละสภาพภูมิศาสตร์ เหนือ ใต้ กลาง อีสาน เนื่องจาก ยังมีกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทยที่ใช้ชีวิตพึ่งพาธรรมชาติ แต่ขาดการรับรองสิทธิทางกฎหมายในด้านต่างๆ และด้วยเหตุนี้ ชนเผ่าพื้นเมืองอาจมีสภาพเป็นกลุ่มเปราะบางถูกละเมิดสิทธิได้จากภาครัฐและภาคเอกชนในช่วงของการพัฒนาประเทศในสังคมอุตสาหกรรม ดังนั้นแล้วในการที่ร่างพระราชบัญญัติจึงต้องมีการศึกษากฎหมายและนโยบายส่งเสริมกลุ่มชาติพันธุ์ จึงมีการศึกษาระบบของหลายประเทศ ได้แก่ประวัติความเป็นมา ประสิทธิภาพของกฎหมายที่นำมาใช้ เพื่อดูเป็นแนวพิจารณาว่าควรยกร่างกฎหมาย พระราชบัญญัติส่งเสริมและอนุรักษ์กลุ่มชาติพันธุ์ ให้ไปในทิศทางใดให้สอดคล้องกับบริบทของประเทศไทย (น.3-น.7) |
|
Focus |
เพื่อรวบรวมข้อสนเทศหรือกรณีศึกษาจากประเทศต่างๆเพื่อนำมาสนับสนุนร่างทางกฎหมายและส่งเสริมดำเนินการคุ้มครองและอนุรักษ์กลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทยให้สอดคล้องกับบริบทของชุมชนชาติพันธุ์ เพื่อคงรักษาไว้ ซึ่งความหลากหลายของชาติพันธุ์ ท่ามกลางสังคมพหุวัฒนธรรม รวมถึงจัดระบบโครงสร้างเชิงสถาบันของรัฐที่จะต้องให้ความคุ้มครอง บริหารจัดการ และให้สิทธิในการใช้ชีวิต คงไว้ดั้งเดิม โดยไม่ถูกคุกคามดำเนินการไปพร้อมกับบริบทของประเทศไทย ตามหลักการสิทธิมนุษยชนที่เป็นมาตรฐานสากลที่นานาชาติเห็นพ้องร่วมกัน (น.5) |
|
Theoretical Issues |
ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ มีชาติพันธุ์ที่อยู่ในประเทศไทยกันมากกว่า 60 กลุ่ม แต่ละกลุ่มเองก็มีวิถีชีวิตที่แตกต่างหลายและไม่เหมือนกันและบางทีอาจจะมีการขัดแย้งเหลื่อมล้ำซ้อนทับอาณาเขตกันโดยแต่ละฝ่ายอาจไม่ได้เข้าใจกัน รวมถึงในบริบทรัฐสมัยใหม่ที่ต้องการสร้างความเป็นเอกภาพและเดินหน้าพัฒนาประเทศ ส่งผลเข้าไปละเมิดสิทธิในการดำรงชีวิตของชาติพันธุ์กลุ่มอื่นๆ ดังนั้นจึงต้องมีการหาแนวทางนโยบายการส่งเสริมคุ้มครองวิถีชีวิต ชนกลุ่มน้อยของรัฐไทย ภายใต้การผลักดันพระราชบัญญัติส่งเสริมและอนุรักษ์วิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ดังนั้นแล้วการศึกษากรณีการร่างกฎหมายเกี่ยวกับนโยบายชาติพันธุ์ จึงมีความสำคัญในการทบทวนบริบทพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของประเทศต่างๆ เพื่อเป็นกรณีศึกษา ได้แก่ สถานการณ์และปัญหาของชาติพันธุ์ในแต่ละประเทศ การสร้างนโยบายการพัฒนาของรัฐ และผลักดันการร่างกฎหมายเพื่อสนับสนุนและเสริมโครงสร้างการบริหารจัดการของกลุ่มชาติพันธุ์เพื่อลดผลกระทบและความขัดแย้งต่อวิถีชีวิตจุดเด่นจุดด้อยที่เกิดขึ้นคืออะไร ตัวอย่างประเทศที่ได้ใช้เป็นกรณีศึกษานั้นกฎหมายที่เข้ามาคุ้มครองชาติพันธุ์ในประเทศพวกเขาเกิดขึ้นมาได้จากบริบทอย่างไร (น.3-น.7) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ชาวเซมิ (Sámi people) เป็นชนพื้นเมืองกลุ่ม Finno-Ugric5 อาศัยอยู่ในบริเวณที่เรียกว่าแซปมิ หรือที่เรียกว่าบริเวณที่ผู้คนอาศัยอยู่ในทางเหนือของยุโรป ทางเหนือของเอเชีย ซึ่งประกอบไปด้วยดินแดนตอนเหนือของประเทศนอร์เวย์ สวีเดน ฟินแลนด์ และคาบสมุทรโกลา ของประเทศรัสเซีย ภาษาที่พูดคือภาษาเซมิอยู่กลุ่มตระกูลภาษา ยูราลิค คนเหล่านี้ถูกเหล่าจักในนามของชาวแลบ (lab landers) ที่อยู่ในแลบแลนด์ แต่ชาวเซมิต้องการให้เรียกดินแดนของพวกเขาว่า แซปมิมากกว่า เพราะถือว่าเป็นพื้นที่ที่เขาอาศัยมาแต่เดิม (น.8)
ชนเผ่าพื้นเมืองในแคนาดา (indigenous Canadians) เป็นชนพื้นเมืองที่ตั้งถิ่นฐานในอเมริกาเหนือมาเป็นเวลานานมากแล้ว 40,000 ปีมาแล้ว ประกอบไปด้วยชนเผ่าพื้นเมืองต่างๆมากถึง 640 เผ่าเฉพาะในแคนาดา และกลุ่มคนเหล่านี้มีชื่อเรียกว่า คนพื้นเมืองแคนาดา (Aboriginal Canadians) ชนเผ่าดั้งเดิมแคนาดา (Native Canadians) ประชาชนกลุ่มแรก (First Peoples) และ อินเดียน (Indian) ที่แปลว่าคนพื้นเมือง ปัจจุบันชนเผ่าพื้นเมืองแคนาดา (indigenous Canadians) ประกอบไปด้วย 3 กลุ่ม ได้แก่
กลุ่มปฐมชาติ (First Nations) คือกลุ่มที่อยู่มาแต่เดิมก่อนที่ชาวยุโรปจะค้นพบแผ่นดินนี้ในช่วงศตวรรษที่ 18 กลุ่มปฐมชาติมีเส้นทางการค้าทั่วแคนาดา ตั้งแต่เมื่อ 500 ปีถึง 1000 ปีก่อนคริสตกาล แล้วชุมชนต่างๆ ประกอบไปด้วยหลายชนเผ่า บางเผ่าก็มีจำนวนไม่มาก โดยการตั้งถิ่นฐานมีอยู่ทั่วประเทศ (น.26)
กลุ่มอินูอิทหรือเอสกิโม (inuit/eskimo) คือกลุ่มที่สืบเชื้อสายมาจากวัฒนธรรมทูเล (Thule culture) จากภาคตะวันตกของรัฐอะลาสก้า (western Alaska) เมื่อประมาณ ค.ศ.1,000 แล้วกระจายตัวข้ามมหาสมุทรอาร์กติก (Arctic Osean) มุ่งหน้ามาทางด้านตะวันออกมาแทนที่วัฒนธรรมดอร์เซ็ท ที่กลุ่มอินูอิทได้รุกรานเข้ามาและได้เริ่มตั้งถิ่นฐานอยู่แถบขั้วโลกเหนือบริเวณกรีนแลนด์ (น.26)
กลุ่มเมทิส (Metis) คือกลุ่มที่สืบเชื้อสายมาจากการแต่งงานกับชาวยุโรปส่วนใหญ่แล้วคือฝรั่งเศสกับกลุ่มปฐมชาติอีกหลายกลุ่ม หรือก็คือกลุ่มเลือดผสม ส่วนใหญ่ผสมระหว่างพ่อค้าชาวยุโรปและผู้หญิงชนเผ่าพื้นเมือง แต่ก็มีบางส่วนคือผู้หญิงคือชาวยุโรปและชนเผ่าคือผู้ชาย และอยู่ในช่วงรวบรวมที่แน่นอนอยู่ กลุ่มเมทิสส่วนใหญ่พูดภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส พร้อมกับภาษาชนพื้นเมืองได้อย่างหลากหลาย (น.26)
ชนพื้นเมืองของมาเลเซีย ได้แก่ ชาวโอรัง อัสลี ถ้าถูกเรียกในซาบาห์และซาราวัคจะถูกเรียกว่า โอรัง อะซัล คือกลุ่มชนแรกเดิม หรือชนแรกเริ่ม แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ นีกริโต เซนอย และจากุน (หรือโปรโต-มาเลย์) และแบ่งออกได้อีกเป็น 6 กลุ่มย่อย เทียบได้กับชนพื้นเมืองมาเลย์ เมื่อ 10,000 ปีก่อน จากข้อมูลพวกเขาได้อพยพมาจากตะวันตกเฉียงใต้จากประเทศจีนมายังคาบสมุทรที่ปัจจุบันที่เราเรียกว่า มาเลเซียตะวันตก ก่อนที่อิทธิพลจากประเทศมหาอำนาจอื่นๆ จะตามมาทีหลัง ชนพื้นเมืองเหล่านี้ประกอบไปด้วย 18 ชุมชนเป็นชนกลุ่มน้อยที่สุดของคาบสมุทรมาเลเซีย (น.35) นอกจานี้ยังมีชาวโอรัง อูลู และอนัก เนเกรี เป็นชนแรกเริ่มเหมือนโอรัง อัสลี แตกต่างกันตรงที่อาศัยเป็นชนแรกเริ่มในซาบาห์ และ ซาราวัค
|
|
Language and Linguistic Affiliations |
ชาวซามิ ภาษาที่พูดคือภาษาเซมิอยู่กลุ่มตระกูลภาษา ยูราลิค ภาษาเซมิ ฟินแลนด์ ได้รับการยอมรับว่าเป็นภาษาพื้นบ้านของสวีเดน
ชนเผ่าพื้นเมืองในแคนาดา (indigenous Canadians) ประกอบไปด้วยกลุ่มปฐมชาติ (First Nations) มีภาษาพูดมากกว่า 50 ภาษา (น.25) กลุ่มอินูอิทหรือเอสกิโม (inuit or Eskimos) มาแทนที่วัฒนธรรมดอร์เซ็ทใช้ภาษาinuktiitut ใช้คำว่า tuniit) และกลุ่มสุดท้ายกลุ่มเมนทิส มีเลือดผสมระหว่างคนพื้นเมืองและผิวขาวทำให้ภาษาที่พูดของคนส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส (น.26-27)
ชนเผ่าพื้นเมืองมาเลเซีย ไม่ปรากฏข้อมูลทางภาษา
|
|
Study Period (Data Collection) |
ปีงบประมาณ กันยายน พ.ศ.2563 |
|
History of the Group and Community |
ชาวซามิ อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่พวกเขาเรียกว่า แซปมิ ในอดีตน้อยถูกเรียกว่า “ชาวแลบ (Lablanders)” เรียกสั้นๆว่า “แลบ” ชาวเซมินับว่าการเรียกแบบนั้นไม่สุภาพ (น.8) ชาวเซมิมีประชากรกระจายตามภูมิภาคต่างๆ หลายประเทศ นอว์เวยย์ สวีเดน ฟินแลนด์ รัสเซีย มีนักวิชาการบางกลุ่มได้อธิบายว่า ชาวซามิ จัดอยู่ในกลุ่ม ปาเลโอ-ไซบีเรียน (Paleo-Siberian Peolples) และบ้างก็ว่ามาจากยุโรปตอนกลาง (น.9)
ชนเผ่าพื้นเมืองในแคนาดา อาศัยและตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ทวีปอเมริกาเหนือมาประมาณ 40,000 ปีมาแล้ว นักโบราณคดีและมานุษยวิทยาค้นพบว่ามีมากกว่า 640 เผ่าที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในแคนาดา หรือในทวีปนี้มานาน ปัจจุบันคำจำกัดความ ชนเผ่าพื้นเมืองในแคนาดา ถูกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มปฐมชาติ (First Nations) กลุ่มอินูอิท หรือเอสกิโม (inuit or Eskimos) และกลุ่มสุดท้ายกลุ่มเมนทิส คนภายนอกทวีปจะรู้จักพวกเขาว่าเป็นหรือเหมารวมและเรียกว่าพวกเขารวมกันว่า ชนเผ่าอินเดียนแดง ตามที่นักสำรวจที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งที่ชื่อว่า คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ได้เข้ามาสำรวจจากการเข้าใจผิดคิดว่าประเทศคนนี้คือประเทศอินเดีย จึงเรียกเหล่าชนเผ่าเหล่านี้ว่า อินเดียแดง จนติดปากกัน แต่ความเป็นจริงนั้นมีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ (น.24)
ชาวโอรัง อัสลี ก่อนยุคที่อังกฤษจะเข้ามาควบคุมเหนือรัฐมาเลย์ บรรดารัฐต่างๆ เต็มไปด้วยชาวโอรังอัสลี จำนวนมากได้อยู่อาศัยเป็นอิสระจากการปกครองของสุลต่านมาเลย์ (อ้างCarey,1976) ถึงแม้จะมีปฏิสัมพันธ์กันบ้างระหว่างชุมชนกับสุลต่านมาเลย์ (อ้างDental et al ,1998) แต่การเข้ามาของอังกฤษทำให้เกิดการตอกย้ำระบบรัฐชาติสมัยใหม่มาสู่มาเลย์ ทำให้บังคับให้ชาวโอรังอัสลีต้องขึ้นตรงต่อสุลต่าน และถูกมองจากรัฐว่าเป็นพวกไร้รัฐ และมีระดับต่ำเกินกว่าจะมีอธิปไตยหรือสิทธิใดๆ (อ้างSullivan,1998) จากงานชาติพันธุ์วรรณาของยุโรปยุคแรก ได้จัดวางชาวโอรัง อัสลีอยู่ในขั้นแรกของการพัฒนา จัดว่ามีความเชื่องช้าสู่การตั้งถิ่นฐาน มีอารยธรรมที่เคลื่อนที่เข้าสู่ผ่านการตามรอยประชาคมมาเลย์ที่ใหญ่กว่า (อ้างHarper,1998)
|
|
Settlement Pattern |
อ้างอิง Henriken J (1999) รัฐบาลต่างๆ ได้อธิบายไว้ว่า ชาวซามิ แบ่งออกเป็นกลุ่มต่างๆมีลักษณะการใช้ชีวิตที่ไม่เหมือนกัน เช่น กลุ่มเลี้ยงกวางเรนเดียร์,กลุ่มที่อาศัยอยู่ชายฝั่ง,กลุ่มที่อาศัยอยู่ที่ริมแม่น้ำ,กลุ่มที่อาศัยอยู่ในป่า,ชาวซามิในฟินแลนด์หรือชาวซามิในรัสเซีย ฯลฯ (น.9) ดังนั้นลักษณะการตั้งถิ่นฐานจะขึ้นอยู่กับกลุ่มของชาวซามิ
อ้างอิง Robert j.makle (2007) ชนพื้นเมืองแคนาดา กลุ่มปฐมชาติมีเส้นทางการค้าทั่วแคนาดา ทำให้ชุมชนต่างๆได้พัฒนาวัฒนธรรมและชุมชนการตั้งถิ่นฐานไปคนละรูปแบบ จารีตประเพณี และคุณลักษณะเฉพาะของแต่ละกลุ่ม เช่น กลุ่มปฐมชาติที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ กลุ่มที่อยู่ตามมหาสมุทรแปซิฟิก กลุ่มที่อยู่ตามพื้นราบ กลุ่มที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ป่าภาคเหนือ กลุ่มที่ตั้งถิ่นฐานรอบๆทะเลสาบเกรต (Great lake) กลุ่มที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่แถบแอตแลนติก นอกจากนี้ก็มีเผ่าเล็กๆ ที่มีประชากรน้อยตั้งถิ่นฐานกระจัดกระจายกันทั่วประเทศด้วยเช่นเดียวกัน (น.25) นอกจากนี้มีลำดับชั้นทางสังคมที่ซับซ้อน บ้างก็ตั้งถิ่นฐานถาวรในเมือง การเกษตรกรรม วัฒนธรรมเหล่านี้พัฒนาไปพร้อมกับคนผิวขาวที่เข้ามาจากยุโรป
กลุ่มเมทิส การแต่งถิ่นฐานคล้ายกับกลุ่มปฐมชาติ เพราะกลุ่มเมทิสเป็นการแต่งงานเข้ามาของคนขาวยุโรปซึ่งส่วนใหญ่เป็นฝรั่งเศสที่เข้ามาแต่งงานกับชนเผ่าพื้นเมือง (น.26)
กลุ่มอินูอิทในแคนาดา มีการถิ่นฐานอยู่ในแถบแลบราดอร์ ไม่มีหลักฐานการเข้ามาตั้งถิ่นฐานในแคนาดาเมื่อไหร่มาแน่ชัด แต่คาดว่าเป็นอิทธิพลของวัฒนธรรมทูเล ที่กระจายตัวข้ามสมุทรอาร์กติกเข้ามาแทนที่วัฒนธรรมดอร์เซ็ท ที่เข้ามาในกรีนแลนด์ ที่ปัจจุบันคือส่วนหนึ่งของแคนาดา (น.26)
ชนเผ่าพื้นเมืองในมาเลเซีย หรือชนแรกเริ่ม ได้แก่ โอรัง อัสลี อาศัยอยู่ในคาบสมุทรมาเลเซีย ถ้าเป็นชนแรกเริ่มที่อยู่ในรัฐซาบาห์และรัฐซาราวัค จะถูกเรียกว่า โอรัง อะซัล มีความหมายคล้ายๆกันแค่เป็นชนแรกเริ่มเหมือนกันอยู่แต่อยู่กันคนละพื้นที่ และ ชนเผ่าพื้นเมืองอื่นๆ ได้แก่ โอรัง อูลู และอนักเนเกรี (น.36)
|
|
Demography |
ชาวซามิ ปัจจุบันชาวเซมิมีประมาณ 70,000 – 10,000 คน (น.9)
ชนเผ่าพื้นเมืองแคนาดา มีจำนวน 1,673,780 คน แยกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มปฐมชาติ (First nations) มีจำนวน 977,230 คน กลุ่มอินูอิท (inuit or Eskimo) มี จำนวน65,025 และกลุ่มเมทิส (Metis) จำนวน 587,545 คน (น.24-25)
ชนเผ่าพื้นเมืองของมาเลเซีย โอรัง อัสลี มีประมาณ 210,000 คน หรือ 0.7% ของประชากรถ้านับเฉพาะ เป็นชนพื้นเมืองในคาบสมุทรมาเลเซีย แต่หากนับรวมกับ โอรัง อัสลี ที่ถูกเรียกว่าโอรัง อะซัล ในบาซาห์และซาราวัค และรวมกับชนเผ่าพื้นเมืองอื่นๆ อย่างโอรัง อูลู (ซาราวัคเป็นส่วนใหญ่และกระจายไปตามรัฐอื่นๆ) และอนัก เนเกรี (ซาบาห์) โดยรวมแล้วจะมีประมาณ 13.8 % ของประชากร จากการรับรองโดยรัฐบาลในปี 2015 (น.36-น.37)
|
|
Social Organization |
ชาวซามิกับ การจัดตั้ง สภาซามิ ที่รับรองโดยชาวซามิ ซึ่งเป็นองค์กรสูงสุดของซามิ ที่เกิดจากการรวมกลุ่มทางสังคมของชาวเซมิเกิดขึ้นเพราะมีปัญหาที่เกิดขึ้นต่อพวกเขาหลายด้าน สมาคมแห่งแรกเริ่มต้นที่ประเทศนอร์เวย์ ได้เริ่มจัดทำวารสารฉบับแรกของชาวซามิชื่อ “ ซาไก ลุตตาเลตเจ” ที่มีประเด็นเกี่ยวกับสังคมของชาวซามิ หลังจากนั้นก็ทำให้สวีเดนได้จัดตั้งองค์กรทางสังคมเกี่ยวกับชาวซามิตามกันมา โดยมีการพูดคุยหารือกันระหว่างชาวซามิในระหว่างเขตแดน จนมีการจัดตั้งองค์กรครบกันทั้ง 3 ประเทศนอร์ดิก ประกอบไปด้วย ฟินแลนด์ นอร์เวย์ และสวีเดน ทำให้มีพื้นที่สำหรับชาวซามิเข้าไปมีส่วนร่วมการเมืองตั้งแต่ในระดับชาติของตัวเองลามไปถึงระดับภูมิภาค แต่ยังขาดประเทศรัสเซียที่ยังไม่มีความคืบหน้า และก็พบว่าชาวซามิเริ่มมีการเคลื่อนไหวทางการเมืองตามมาในระยะหลัง (Henriken J ,1999) (น.8-น.21)
การจัดตั้ง JOAS อันเป็นเครือข่ายขององค์กรประชาคมชนเผ่าพื้นเมืองในมาเลเซีย ซึ่งมีการออกมาเรียกร้องเคลื่อนไหวทางเมือง นักเคลื่อนไหวต่างๆในมาเลเซีย ที่ดำเนินการในหลากหลายด้าน ที่สำคัญคือเรื่องสิทธิในที่ดินของชนพื้นเมือง ที่มีเครือข่ายร่วมกับ UNHCR ในการช่วยเหลือชนพื้นเมือง เช่น ชนกลุ่มน้อยในพม่า การลี้ภัยของชาวโรฮิงยา (น.34)
|
|
Political Organization |
ชาวซามิกับ นโยบายการกลืนกลายของรัฐ รัฐบาลในกลุ่มประเทศนอร์ดิก มีความพยายามทำให้ชาวซามิกลายเป็นคนกระแสหลัก (assimilation policy) เช่น การห้ามพูดภาษาซามิในโรงเรียน จึงเป็นผลทำให้ชาวซามิรวมตัวออกมาเรียกร้องอัตลักษณ์ของตัวเอง โดยต้องการให้รัฐ จัดตั้งโรงเรียนในการเรียนการสอนภาษาซามิเพื่อคงไว้ซึ่งภาษาของกลุ่มตน นำมาสู่บัญญัติสู่การคุ้มครองและพัฒนาภาษา The Sami Act (1987) (น.10) ปัญหาสิทธิที่ดิน ที่ชาวซามิได้รับผลกระทบการต่อสู้แย่งชิงสิทธิที่ดินระหว่างบริษัทเหมืองแร่และชาวซามิ การเรียกร้องให้คุ้มครองพื้นที่การเลี้ยงกวางที่ก้ำกึ่งพรมแดน
จากแต่เดิมรัฐบาลแคนาดาแต่เดิมนั้นอยู่ภายใต้อิทธิพลของอังกฤษ จนมาประกาศเอกราชในภายหลังในการปกครองตนเอง โดยปกครองแบบรัฐเป็นต้นมา การได้รับอิทธิพลการปกครองสมัยใหม่แบบอังกฤษเป็นรากฐานสำคัญในการร่างรัฐธรรมนูญที่ร่างจากสหพันธรัฐทั้ง 10 รัฐ จึงได้มีกฎหมายเกี่ยวข้องกับชนพื้นเมืองในแคนาดาควบคู่ในรัฐธรรมนูญที่เกิดจากการเรียกร้องสิทธิต่างๆ ที่ชนพื้นเมืองได้เรียกร้องจากรัฐบาลมานาน เป็นสนธิสัญญา และข้อตกลง เพราะเถอะว่าชนพื้นเมืองเป็นเจ้าของแผ่นดินมาก่อนคนผิวขาว ซึ่งนำมาสู่สิทธิพิเศษหลายประการ โดยเฉพาะชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในพื้นที่สงวน ได้รับการยกเว้นภาษี ไม่ต้องเสียภาษีการค้า ไม่ต้องเสียค่ารักษาพยาบาลเมื่อเจ็บป่วย ไม่เสียค่าเล่าเรียนจนถึงปริญญาตรี และอีกมากมายและได้รับการรับรองสหประชาชาติ ที่ดูเหมือนว่าจะมีอภิสิทธิ์เหนือกว่าพลเมืองกลุ่มอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากชนเผ่าพื้นเมืองประสบกับปัญหาหลายอย่างที่เกิดขึ้นกับชนเผ่าพื้นเมือง เช่น ความยากจน การโดนดูถูกเหยียดหยาม ปัญหาที่เกิดจากโรงเรียนกินนอนแบบประจำที่นำเอาชนพื้นเมืองเข้าไประบบ และที่สำคัญภาษาอยู่ในภาวะวิกฤติ เนื่องจากการเข้ามาของเทคโนโลยี ระบบทุนนิยม การศึกษาสมัยใหม่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ (น.27-น.30)
ชาวโอรัง อัสลี แต่ก่อนไม่ได้อยู่ภายใต้สุลต่านที่ปกครองสหพันธ์รัฐมาเลย์ หลังจากที่อังกฤษเข้ามาปกครองคาบสมุทรมาเลย์เหนือสุลต่าน คือจุดเริ่มต้นทำให้เกิดกฎหมายที่เข้ามาคุ้มครองชาติพันธุ์ ที่ต้องการควบคุมไม่ให้เกิดปัญหาอยู่เหนือกฎหมาย เนื่องจากในสมัยของการปกครองภายใต้รัฐอังกฤษมองชาวโอรัง อัสลีว่าเป็นกลุ่มที่ล้าหลังอ่อนด้อยทางเมือง การออกนโยบายทางกฎหมายมาก็เพื่อปกป้องและจัดสรรสวัสดิการแก่ชาวโอรัง อัสลีเอง เพื่อตอบสนองต่อความเป็นอยู่ (อ้างDental er al,1998) ไม่ว่าจะเป็นวิกฤติการณ์ที่มีการสู้กันระหว่างสหพันธ์มาลายากับอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ ทำให้เกิดกฎหมายคุ้มครองดูแล พระราชฎีกาดูแลคนพื้นเมือง (Aboriginal Peoples Ordinance) ในปี 1954 ที่คือกฎหมายแรกที่เข้ากำกับควบคุมการบริหารระหว่างรัฐและชาวโอรัง อัสลี ปัจจุบันคือกฎหมายชนพื้นเมือง โดยภายใต้กฎหมายนี้คือรองรับโดยรัฐธรรมนูญ รวมถึงรับรองสิทธิที่ดิน ตามประเพณีและกฎระเบียบ จารีต ประเพณี ที่ชนพื้นเมืองจะได้ ติดตรงปัญหาตรงที่ไม่ได้นำมาใช้อย่างเหมาะสม เมื่อมีการรวมประเทศกันระหว่างสหพันธ์มาเลยัน กับ ซาบาห์ และ ซาราวัค กฎหมายนี้ก็ถูกนำไปใช้กับชาวโอรัง อะซัล ในรัฐที่รวมด้วย รวมกันเป็นประเทศมาเลเซีย มีความขัดแย้งเรื่องการเมือง การชิงอำนาจพรรคหลายๆพรรค พอผ่านไปหลายยุคหลายสมัย ผ่านการเรียกร้องจากนักสิทธิมนุษยชนและตัวของชนพื้นเมืองที่ออกมาเคลื่อนไหว ในเวลาถัดมาเลเซียได้รับรองและปฏิญาณกับสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิของชนเผ่าพื้นเมือง (UNDRIP) (น.31) และมีกฎหมายที่มีต่อชนพื้นถิ่นอื่นๆ ตามมาไม่ว่าจะเป็น พระราชกฤษฎีกา เพื่อ ชนพื้นถิ่นแห่งบาซาห์ ชนพื้นถิ่นซาราวัค ให้ทั่วถึงมาเลเซียถูกปรับไปตามกรอบของสิทธิมนุษยชนและยอมรับในสากลขึ้น
|
|
Education and Socialization |
ชนพื้นเมืองในแคนาดา ถูกส่งเสริมทางด้านภาษา โดยที่ภาครัฐได้เปิดหลักสูตร คณะชนเผ่าพื้นเมืองศึกษา (Department of indigenous Studies) ในมหาวิทยาลัย 25 แห่งในแคนาดา ทั้งตรีและโท เอก เนื่องจากหนึ่งในปัญหาของชนพื้นเมืองแคนาดาคือ ภาษาของชนพื้นเมืองกำลังอยู่ในสภาวะวิกฤติ (น.28) นอกจากนี้รัฐบาลแคนาดานั้น รัฐบาลยังแก้ปัญหาที่รัฐบาลในอดีต ที่มีนโยบายกลืนความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ โดยเคยนำชนเผ่าพื้นเมือง เข้าไปในโรงเรียนกินนอนแบบประจำ (Residential schools / boarding schools) : ที่สร้างบาดแผลทางประวัติศาสตร์ต่อชนเผ่าพื้นเมือง ไม่ว่าจะเป็น การลืมภาษาและวัฒนธรรม ความรุนแรงในสถานศึกษา จนนำสู่การจัดตั้ง คณะกรรมการตามหาความจริงและไกล่เกลี่ย (Truth and Reconcilation Comission) เพื่อชดใช้ค่าเสียหายแก่ชนเผ่าพื้นเมืองที่เคยถูกกระทำจากความพยายามผลักไสอัตลักษณ์เดิมของพวกเขา |
|
Health and Medicine |
สวัสดิการด้านการดูแลสุขภาพ สาธารณสุขที่ปรากฏในงานพบเพียงของชนเผ่าพื้นเมืองในแคนาดา เนื่องจากนับว่าเป็นเจ้าของแผ่นดินมาก่อนคนผิวขาว จึงได้รับสิทธิพิเศษอื่นๆ จากรัฐบาลอย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็น สิทธิที่จะไม่ต้องเสียภาษีรายได้บุคคล ไม่ต้องเสียภาษีการค้า สิทธิในการศึกษาจนถึงระดับปริญญาตรี และได้รับเงินสนับสนุนที่อยู่อาศัยและพื้นที่สงวน สิทธิที่จะไม่ต้องเสียค่ารักษาพยาบาลเมื่อเจ็บป่วย |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ชาวเซมิ (Sámi people) วิถีชีวิตแต่เดิมดำรงชีวิตด้วยการจับปลา ล่าสัตว์ มีการเลี้ยงกวางเรนเดียร์ มีการเลี้ยงใช้เป็นพาหนะ ซึ่งสงวนการล่ากวางไว้ให้สำหรับเฉพาะชาวเซมิในแถบนอร์ดิก ถึงแม้ว่าปัจจุบันการเลี้ยงแบบเร่ร่อนไม่มีแล้ว เปลี่ยนมาเป็นการเลี้ยงในฟาร์มตามชุมชน และหันมาทำงานในหน่วยงานรัฐ งานรับจ้าง ทำเหมืองแร่ การประมง อุตสาหกรรมมากขึ้น เริ่มกลายเป็นกลุ่มคนในกระแสหลัก (Assimilation policy) โดยกระแสของโลกาภิวัตน์และทุนนิยมสมัยใหม่ แต่อย่างไรก็ตามความพยายามในการธำรงทางอัตลักษณ์ของชาวเซมิเคลื่อนไหวจนได้มีการจัดตั้งรัฐสภาเซมิในการมีส่วนร่วมกับการร่างกฎหมายต่อไปโดยเข้ามามีบทบาททางการเมืองผลักดันสู่ข้อกฎหมาย (น.19)
ชนเผ่าพื้นเมืองในแคนาดา (indigenous Canadians) เป็นชนที่มีวิถีชีวิตอยู่มาก่อนที่ชาวยุโรปจะเข้ามา ประกอบไปด้วยชนเผ่าเล็กๆ จำนวนมาก ทำอาชีพเกษตรกรรม มีสถาปัตยกรรม มีเส้นทางการค้าทั่วแคนาดา มีจารีตประเพณีของแต่ละกลุ่ม และมีภาษาของตนมากกว่า 50 ภาษา ถึงแม้ว่าในทางนโยบายทางกฎหมายชนเผ่าพื้นเมืองจะนับว่าอยู่มาก่อนคนผิวขาวยุโรป ได้รับสิทธิพิเศษมากมายจากการรับรองโดยสหประชาชาติ แต่ชนเผ่าพื้นเมืองเหล่านี้ก็ยังประสบกับปัญหาความยากจน ปัญหาสังคมที่มากกว่ากลุ่มพลเมืองอื่นๆ รวมถึงปัญหาจากในอดีตอย่างการนำเด็กชนพื้นเมืองเข้ามาสู่ระบบการศึกษาและการเปลี่ยนวิถีชีวิต ส่งผลทำให้ภาษาชนพื้นเมืองอยู่ในภาวะวิกฤติ มีประชากรที่มีการพูดภาษาดั้งเดิมของตนไม่ได้มากถึง ร้อยละ 80 (น.27)
ชาวโอรัง อัสลี คือชนแรกเริ่มเดิมของคาบสมุทรมาเลย์ งานชาติพันธุ์ของชาวยุโรปมองว่า อัสลีอยู่ในขั้นแรกของการพัฒนาและเชื่องช้า มีระดับต่ำมากเกินกว่าจะมีอธิปไตยหรือสิทธิในทรัพย์สินใดๆ และมีจำนวนที่น้อย ทำให้เจ้าอาณานิคมในสมัยนั้นมองว่ามีความอ่อนด้อยทางการเมืองและมีวัฒนธรรมที่ต่ำกว่าพวกตน เพราะเปรียบเสมือนกลุ่มคนไร้รัฐ (น.31) จึงได้มีกฎหมายชนพื้นเมืองเข้ามาคุ้มครองดูแลเพราะชนกลุ่มนี้จัดว่าอยู่ว่าเป็นกลุ่มคนชายขอบเปราะบางในสถานการณ์รัฐสมัยใหม่
|
|
Social Cultural and Identity Change |
ความเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายที่เข้ามาคุ้มครองกลุ่มชาติพันธุ์นั้นที่เกิดขึ้นในกลุ่มประเทศนอร์ดิก แคนาดา และรัสเซีย จุดร่วมที่สำคัญของกระบวนการนี้คือ ต้นเหตุนั้นเกิดจากกระบวนการสร้างรัฐชาติสมัยใหม่ ที่มีพรมแดนและอำนาจควบคุมชัดเจน เนื่องจากชาติพันธุ์ที่อยู่ในพื้นที่ไม่ได้มีสำนึกร่วมของความเป็นรัฐชาติ แต่หากใช้ชีวิตตามอัตลักษณ์และวิถีชีวิตดั้งเดิมของตัวเอง ที่ไม่ได้ไปตามกระแสหลักของโลกาภิวัตน์ ดังนั้นเมื่อพรมแดนรัฐชาติเกิดขึ้นจึงต้องมีการรวมศูนย์กลุ่มชนใดก็ตามที่อยู่ในขอบเขตแดนของชาตินั้น ประเด็นหลักที่ตามมาคือ กฎหมายและมาตรฐานเดียวสร้างปัญหาแก่คนที่มีอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ดั้งเดิม ที่ใช้ชีวิตพึ่งพาธรรมชาติ |
|
Other Issues |
ประเด็นของกระบวนการจัดทำกฎหมาย
การจัดทำกฎหมายที่เข้ามาแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นแต่ละประเทศมีการเผชิญกับบริบทที่ต่างกันออกไป เช่น ชาวซามิในกลุ่มประเทศนอร์ดิก คือชนพื้นเดิมที่ใช้ชีวิตอาศัยและเคลื่อนย้ายไปมาอิสระระหว่าง 4 ประเทศนี้แล้ว ปัญหาหลักคือเรื่องพรมแดนรัฐ สิ่งที่กลุ่มนักวิชาการทำอันดับแรกคือ ศึกษาว่าพวกเขาเป็นใคร มีวิถีชีวิตเป็นอย่างไร ภาษาที่ใช้ ตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณไหน มีการสำรวจประชากรในเชิงปริมาณในงานของต่างประเทศมาคร่าวๆ เพื่อให้ทราบการกระจายตัวที่แน่นอนของเหล่าชาติพันธุ์นี้ ประกอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นคือชาวซามิมีการรวมกลุ่มรวมตัวกัน เป็น สภาซามินอร์ดิก เนื่องจากมองว่ามีความจำเป็นที่จะต้องร่วมมือกันเพื่อตัวของพวกเขาเอง โดยรวมตัวและจัดตั้งองค์กร ประชุมกันระหว่างหลายประเทศ เพราะความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นของชาวซามิในแต่ละที่ต่างก็เห็นพ้องตรงกันสำหรับ การสร้างกลไกนี้เพื่อผลักดันเข้าสภา ดังนั้นการขับเคลื่อนใน นอร์เวย์ สวีเดน ฟินแลนด์ นั้นมีความก้าวหน้าเนื่องจากมีความเป็นประชาธิปไตยและรับฟังเสียงผ่านกระบวนการเลือกตั้ง แต่จุดอ่อนที่เกิดขึ้นคือเนื่องจากรัฐสภาเซมิ จะมีปัญหาตรงที่พรมแดนที่ยังแก้ไม่ขาดแต่ก็อยู่ในระยะของการผลักดันและรัฐธรรมนูญระหว่างประเทศที่ยากในการจะไปในทิศทางเดียวกัน และทรัพยากรและทุนสนับสนุนอาจไม่เพียงพอ เรื่องสิทธิที่ดินยังไม่สามารถแก้ไขได้ และอำนาจทางภาษาที่จำกัดการสื่อสาร ที่ไม่สามารถมีอำนาจในการออกกฎหมาย (น.8-น.21)
ในส่วนต่อมาคือ ชนพื้นเมืองในแคนาดา จะความคล้ายคลึงกัน เช่น กลุ่มนักวิชาการมีการศึกษาค้นคว้า ที่มาของชนพื้นเมือง วิถีชีวิต ความเป็นอยู่ และสำรวจเชิงปริมาณเพื่อทราบจำนวนประชากร โดยจะพบว่าตัวเลขการสำรวจเชิงประชากรของแคนาดามีความใกล้เคียงตัวเลขจริงและครอบคลุมสูง ทำให้ตัวของรัฐเองสามารถผลักดันรัฐสวัสดิการต่างๆ และจัดสรรสิทธิพิเศษต่างๆ ให้กับกลุ่มชนพื้นเมืองของแคนาดาได้ แถมมีบัตรประจำตัวชนพื้นเมือง อาจจะเกิดจากที่รัฐบาลแคนาดาในอดีต มีความพยายามรวมศูนย์ความเป็นชาติ โดยพยายามรวมกลุ่มชาติพันธุ์เข้ามาสู่สังคมกระแสหลักมาก่อนระยะหนึ่ง โดยความพยายามให้กลุ่มชาติพันธุ์มาเป็นคนกระแสหลักตามพลเมืองทั่วไปให้ได้ จึงทำให้เกิดวิกฤติการณ์ภาษาที่เริ่มหายไปของชนเผ่าพื้นเมือง จุดเด่นขอแคนาดามีกฎหมายและสวัสดิการที่รอบด้านให้กับชนพื้นเมือง อีกทั้งยังมีการสร้างระบบการศึกษาที่จะคงไว้ซึ่งภาษาดั้งเดิมของชาติพันธุ์ ในหลักสูตรของมหาวิทยาลัย แต่สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจากการเรียกร้องที่มีนาเนิ่นนานเพราะชนพื้นเมืองเหล่านี้มีการเลี้ยงร้องสิทธิ โดยมีการกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญของแคนาดา โดยรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ชัดเจนว่า ชนเผ่าพื้นเมืองนั้นเป็นเจ้าของแผ่นดินมาก่อนคนผิวขาวที่อพยพเข้ามาภายหลัง (น.23-น.30)
ในลำดับสุดท้ายของ ชนพื้นเมืองในมาเลเซีย เริ่มต้นที่นักวิชาการมีการสำรวจประชากรที่แน่นอนของ ชนกลุ่มนี้ พบว่า ชนพื้นเมืองอย่างเช่น โอรัง อัสลี นั้นมีจำนวนประชากรที่น้อยและไม่มีอำนาจที่จะเข้ามาผลักดันในการเมือง ในปี 2015 ประชากรชนเผ่าพื้นเมืองที่รับรองโดยรัฐบาลในปี 2015 มีประมาณ 13.8 % (น.36-37) ต่างกันกับกรณีของชนพื้นเมืองในแคนาดาและชาวซามิ มีจำนวนมาก และสามารถร่วมกลุ่มกันสร้างการต่อรองทางการเมืองได้ และอุปสรรคในการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิของชนพื้นเมืองในทางการเมืองของมาเลเซีย อันดับแรกคือความเป็นพลเมืองชาติพันธุ์มาเลย์ของมาเลเซียคือมีจำนวนประชากรที่เป็นส่วนใหญ่ ประกอบกับการมีอยู่ชาวอินเดีย และชาวจีน ถ้าหากไม่นับรวมกับสิงคโปร์ก็ถือว่ามีจำนวนมหาศาล ทำให้เกิดประเด็นการรวมเสียงทางการเมือง เพื่อสนับสนุนอภิสิทธิ์เพื่อชาติพันธุ์มาเลย์ไว้เป็นส่วนใหญ่ โดยป้องกันการครอบงำจากชาวจีนและอินเดีย เรียกว่าเป็นการเมืองแบ่งแยกที่เข้มข้นนี่ยังส่งผลในระดับรากหญ้า โดยกฎหมายเลือกที่จะพิทักษ์รักษาตำแหน่งสำคัญของคนส่วนใหญ่ไว้ก่อน ที่ส่งผลกระทบต่อชนเผ่าพื้นเมือง ในด้านสิทธิในที่ดิน เขตแดน ทรัพยากรคือเรื่องหลักๆ ที่กลุ่มชาติพันธุ์ ที่ไม่มีอำนาจทางการเมืองเข้าไปต่อรอง ในการใช้ที่ดินตามจารีตประเพณีของกลุ่มตัวเอง แต่อย่างไรก็ตามก็มีการเคลื่อนไหวขึ้นมาจากระดับเล็กๆมาสู่ระดับใหญ่ขึ้น ให้เกิดการยอมรับ ความเป็นชาติพันธุ์ จนเกิดเป็นกฎหมายที่ว่าด้วยสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ ในที่ทำกินก่อน เช่นเรื่องที่ดิน ป่าไม้ การประมง อุทยาน สัตว์ป่า แต่ติดตรงที่ประเพณีของชนพื้นเมืองมีลักษณะเลื่อนลอย จึงไม่สามารถระบุขอบเขตการใช้ที่ดินที่แน่นอนได้ ทำให้เกิดการละเมิดสิทธิของชนพื้นเมืองหลายครั้ง รวมถึงการพัฒนาสร้างเขื่อนที่รุกล้ำอาณาเขตทำกินตามประเพณีของชนพื้นเมือง ในระดับต่อมาคือเรื่องการศึกษาและการเข้าถึงข้อมูลที่ชนพื้นเมืองยังเข้าไม่ถึง และสิทธิสตรีที่ถูกเลือกปฏิบัติภายใต้การกดทับทับซ้อน (น.43-44) ยังคงเดินหน้าเคลื่อนไหวให้ความเป็นธรรมตามหลักสิทธิมนุษยชนต่อไป
ดังนั้นหากประเทศไทยจะนำกรณีศึกษาจากชาวซามิไปใช้คือต้อง ให้ชาติพันธุ์ได้เห็นคุณค่าและมีการร่วมมือกันและเห็นพ้องต้องกันในการรวมกลุ่มกันเพื่อสร้างอำนาจทางการเมืองเพื่อนำเข้าสู่สภา เกิดการรวมกลุ่มเหมือนกับ รัฐสภาเซมิ
ส่วนกรณีของแคนาดามาใช้ หลังจากมีการเรียกร้องและเคลื่อนไหวจากชาติพันธุ์ ต้องมีการสำรวจกลุ่มชาติพันธุ์ที่แน่นอน มีการระบุในบัตรประชาชนว่าคนกลุ่มนี้คือชาติพันธุ์ เช่นเดียวกับของแคนาดาที่มีบัตรประจำตัวชนเผ่าพื้นเมือง เพื่อรัฐจะจัดสรรสวัสดิการ และคุ้มครองสิทธิทำมาหากินตามจารีตของชนเผ่าพื้นเมือง แต่อย่างไรก็ตามจะไม่ควบคุมและชี้นำเสรีภาพในการใช้ชีวิตของพวก เพียงแค่คุ้มครองสิทธิเพื่อมาผลักดันจนได้รับการกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญที่ชัดเชน เพราะรากฐานของแคนาดาคือ ชนเผ่าพื้นเมืองมีส่วนร่วมกับรัฐธรรมนูญมาก่อน ทำให้กฎหมายนำมาใช้ได้อย่างเป็นรูปธรรม และมีการอนุรักษ์สอนภาษาของชนเผ่าพื้นเมืองมาไว้ในหลักสูตรของมหาวิทยาลัยบ้างเช่นเดียวกัน
และกรณีสุดท้ายของสิทธิชนพื้นเมืองของมาเลเซีย มีการนำ “จารีตประเพณีและการใช้ประโยชน์”ของชนพื้นเมืองเข้าไปในนิยามของกฎหมายรัฐธรรมนูญของสหพันธรัฐมาเลเซีย เพื่อให้สอดคล้องกับความหลากหลายของบริบท เช่น บริบทในคาบสมุทรมาเลเซีย ซาราวัค และบาซาห์
|
|
Map/Illustration |
ภาพที่ 1 โครงสร้างสภาซามิ หน้า 14
ภาพที่ 2 ซามิและรัฐสภาระดับชาติในฟินแลนด์ หน้า 16
ภาพที่ 3 ซามิและรัฐสภาระดับชาติในสวีเดน หน้า 17
ภาพที่ 4 ชาวซามิและรัฐสภาในประเทศนอร์เวย์ หน้า 18
ภาพที่ 5 ช่วงเวลาของกระบวนการเคลื่อนไหวของชาวซามิ หน้า 20
|
|
|