|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),เยาวชน,การเปลี่ยนแปลง,วิถีชีวิต,เชียงใหม่ |
Author |
อิทธิพล เหมหงษ์ |
Title |
การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของเยาวชนชาวเขาที่เข้ามาอยู่อาศัยในเมือง |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Total Pages |
110 |
Year |
2545 |
Source |
หลักสูตรปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษานอกระบบ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
การศึกษาการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของเยาวชนชาวเขาที่เข้ามาอาศัยอยู่ในเมือง ได้ข้อสรุปว่าในช่วง 10-15 ปีที่ผ่านมา กระแสวัฒนธรรมความเชื่อจากภายนอกชุมชนเข้ามาในรูปของ รัฐ ศาสนา การคมนาคม และเทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้เยาวชนจำนวนมากออกไปทำงานและเรียนข้างนอกชุมชน เยาวชนที่ออกมาอยู่ในเมืองมีการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตแบบใหม่ ภายใต้บริบทที่เปลี่ยนไป มีเพื่อนใหม่ กติกาใหม่ ความเชื่อแบบใหม่ ภายใต้การควบคุมดูแลของครู บาทหลวง แทนญาติพี่น้อง หรือผู้อาวุโสในหมู่บ้าน ได้รับโอกาสการศึกษาสูงขึ้น มีงานทำ มีรายได้ของตัวเอง มีความพยายามพูดภาษาไทยให้คล่อง เรียนรู้มารยาทแบบไทย เพื่อให้หางานทำง่ายได้ขึ้น (หน้า ง-จ) |
|
Focus |
ศึกษาการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตในด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และบริบททางสังคมของเยาวชนชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงที่เข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในเมือง (หน้า 2) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มเยาวชนกะเหรี่ยงที่อยู่บ้านพักเบ็ธเลเฮมซึ่งอยู่ในบริเวณโบสถ์พระหฤทัย ภายใต้การดูแลของพระสังฆราชบาทหลวงยอแซพ สังวาล ศุระรางค์ มุขนายกมิสซังคาทอลิกเชียงใหม่ และช่วงค่ำศึกษาที่โรงเรียนผู้ใหญ่พระหฤทัย ตั้งอยู่ที่ 225 ถนนเจริญประเทศ ตำบลช้างคลาน อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 3, 5, 63) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ใช้ภาษาปกาเกอะญอและมีการนำอักษรภาษาอังกฤษมาใช้เขียนและพิมพ์เป็นภาษาปกาเกอะญอ |
|
Study Period (Data Collection) |
ระยะเวลาการศึกษาระหว่าง ปี พ.ศ. 2544-2545 (หน้า 26-27) |
|
History of the Group and Community |
ไม่ได้กล่าวถึงประวัติหมู่บ้านของเยาวชน แต่กล่าวถึงประวัติการเผยแพร่วัฒนธรรมศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก ว่าก่อนที่มิชชันนารีจะเข้าไปเผยแพร่ศาสนา ชาวบ้านมีสภาพความเป็นอยู่ยากจน บ้านเรือนทำด้วยไม้ไผ่ ในปี พ.ศ. 2497 มีบาทหลวงคณะเบธารามสององค์ ได้ไปตรวจสอบหมู่บ้านปกาเกอะญอ 2 แห่งและได้เช่าบ้านอยู่ที่อำเภอจอมทอง มีการเปิดสอนคำสอนและสอนภาษาไทย ออกไปเยี่ยมเยือนหมู่บ้านต่าง ๆ แถบอำเภอจอมทองและแม่แจ่ม จึงมีชาวปกาเกอะญอเข้าพิธีรับศีลล้างบาปเป็นกลุ่มแรก ต่อมาจึงมีการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ได้มากขึ้น มีการตั้งศูนย์เผยแพร่ศาสนาคาทอลิกใกล้กับหมู่บ้าน ต่อมามีการสร้างศูนย์อบรมเยาวชนชาวไทยภูเขาที่แม่ปอน ตำบลบ้านหลวง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ตั้งแต่นั้นมามีเด็กปกาเกอะญอไปเข้ารับการอบรมคำสอนมากขึ้น การเผยแพร่ธรรมจึงแพร่ขยายไปอย่างรวดเร็ว ในปี พ.ศ. 2499 มีการจัดตั้งศูนย์ย่อยที่อำเภอแม่สะเรียง แม่โถในเขตอำเภอแม่ลาน้อย และที่บ้านห้วยบง อำเภอไชยปราการ จังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ. 2500 และอีกหลายแห่งในอำเภอต่าง ๆ ของจังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 55-59) |
|
Settlement Pattern |
มีขนาดเฉลี่ยประมาณ 25-60 หลังคาเรือน ปกติหมู่บ้านจะตั้งอยู่ในพื้นที่ลุ่มก้นกะทะ ล้อมรอบด้วยเนินเขาหรือที่ราบระหว่างหุบเขาที่สามารถไปสู่แหล่งน้ำลำธารได้สะดวก ระหว่างบ้านแต่ละหลังจะมีสวนขนาดเล็ก ๆ ปลูกมะละกอ มะม่วง และพืชอื่น ๆ กระจัดกระจาย ตัวบ้านไม่แข็งแรง สร้างด้วยไม้ไผ่และแฝก ยกพื้นด้วยเสาไม้ สูงจากพื้นดินหลายฟุต แต่ละบ้านมียุ้งข้าวต่างหากจากตัวบ้าน บางบ้านมีที่สำหรับปศุสัตว์อยู่ในตอนกลางคืน บริเวณบ้านไม่มีรั้ว สัตว์เลี้ยงจะถูกปล่อยให้เที่ยวหากินเองในหมู่บ้าน (หน้า 18-19) |
|
Demography |
กลุ่มเยาวชนกะเหรี่ยงที่เป็นกลุ่มที่ถูกศึกษาอายุระหว่าง 15-22 ปี เป็นกลุ่มที่ถูกสุ่มตัวอย่างมาจากเยาวชนกะเหรี่ยงที่เข้ามาอาศัยในเมืองจำนวน 128 คน (หน้า 3) |
|
Economy |
กะเหรี่ยงโดยทั่วไปปลูกพืชข้าวเป็นหลัก การปลูกข้าวมี 2 ประเภท คือ ปลูกข้าวไร่บนภูเขา และทำนาแบบขั้นบันได และจะถือครองที่ดินได้แต่เฉพาะอาณาเขตของหมู่บ้านเท่านั้น (หน้า 19) การผลิตของครอบครัวเยาวชนที่เข้ามาอาศัยอยู่ในเมือง แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มครอบครัวที่มีฐานะพอกินพอใช้ ส่วนใหญ่มาจากเขตจังหวัดแม่ฮ่องสอน มีที่นาและที่ดินสำหรับทำเกษตรเป็นของตัวเอง ในช่วงฤดูฝนจะปลูกข้าวสำหรับบริโภคในครัวเรือน ได้ผลผลิตเฉลี่ย 300-400 ถังต่อปี หลังฤดูทำนาจะปลูกพืชเศรษฐกิจเช่น ถั่วเหลือง กระเทียม งา มีรายได้เฉลี่ยประมาณ 15,000-20,000 บาท ต่อปี และมีการเลี้ยงสัตว์ไว้สำหรับบริโภคในงานสำคัญและเพื่อขาย (หน้า 32-33) กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มที่ส่วนใหญ่อพยพเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านทีหลัง ทำให้มีที่นาบ้างเล็กน้อย ต้องอาศัยที่ไร่ปลูกข้าวไร่ แต่ก็ยังได้ผลผลิตไม่พอเพียงต่อการบริโภค ได้ผลผลิตเฉลี่ย 100-150 ถังต่อปี มีการปลูกพืชเศรษฐกิจบ้าง เช่น ถั่วเหลือง พืชผักเมืองหนาว กะหล่ำปลีและมะเขือเทศ ไม่ค่อยนิยมเลี้ยงสัตว์เพราะสิ้นเปลืองค่าอาหาร (หน้า 33-34) กลุ่มที่ 3 เป็นกลุ่มที่ไม่มีที่นาเป็นของตัวเอง มีแต่ที่ไร่ ต้องรับจ้างทำนา ได้ค่าแรงเป็นข้าวเปลือกวันละ 1 ถัง หากมีแรงงานในครอบครัวมาก อาจได้ข้าวเปลือกมาก แต่ไม่มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ในกลุ่มนี้จะมีสมาชิกออกไปทำงานรับจ้างนอกหมู่บ้านมากกว่ากลุ่มอื่น (หน้า 34) การผลิตข้าวเพื่อบริโภคยังคงใช้แรงงานจากเครือญาติ เมื่อได้ผลผลิตออกมาแล้ว จึงมีการแบ่งตามความยุติธรรมและความเหมาะสม ส่วนการปลูกพืชเศรษฐกิจจะมีลักษณะแยกต่างคนต่างครอบครัวทำ เพราะถือว่าเป็นเรื่องธุรกิจส่วนตัวของแต่ละคน (หน้า 36) โดยจะมีการรวบรวมผลผลิตแล้วส่งต่อให้พ่อค้าคนกลาง (หน้า 37) นิยมการใช้รถไถสำหรับการทำนามากกว่าควาย ด้วยเหตุผลความสะดวกรวดเร็ว และมีการแบ่งบทบาทหน้าที่ระหว่างชายกับหญิง คือ ผู้หญิงจะเป็นผู้ดูแลภายในบ้านเกือบทั้งหมด ตั้งแต่เรื่องความสะอาด หาอาหาร การทอผ้า และเป็นผู้ถางหญ้า และปลูกข้าว ส่วนผู้ชายจะทำงานหนักเช่น ฟันไร่ ไถนา สร้างบ้าน ขุดดิน หรือทำเครื่องจักรสาน (หน้า 37-38) การบริโภคโดยรวม ยังคงพึ่งพาอาหารจากธรรมชาติเป็นหลัก ปลูกพืชผักสำหรับบริโภค เช่นกะหล่ำปลี มะเขือ ฟักทอง มีการซื้ออาหารจากภายนอกบ้างที่ไม่สามารถผลิตได้เอง เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง เกลือ ส่วนการล่าสัตว์เป็นหน้าที่ของผู้ชาย ยังมีการทอผ้าใส่เองอยู่ แต่เริ่มเปลี่ยนมาใช้เครื่องแต่งกายเหมือนคนพื้นราบมากขึ้น (หน้า 35-36) |
|
Social Organization |
ลักษณะพื้นฐานของครอบครัวเยาวชนชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง มีลักษณะครอบครัวเดี่ยว หลังจากแต่งงานแล้ว ฝ่ายชายจะไปอยู่บ้านฝ่ายหญิง แล้วจึงแยกครอบครัวออกไปสร้างบ้านใหม่ ระบบการสืบสกุลจะถือฝ่ายพ่อเป็นหลัก (หน้า 28-29) สำหรับการแบ่งมรดกมักจะแบ่งเฉลี่ยกัน แต่ก็ดูความพร้อมของลูกแต่ละคนด้วย การแต่งงานมีทั้งการแต่งระหว่างคนในชุมชนและกับคนนอกชุมชน ระยะหลังส่วนใหญ่จะแต่งงานกับคนนอกชุมชนมากกว่า เพราะคนในชุมชนส่วนใหญ่เป็นญาติกัน ตามประเพณีฝ่ายหญิงจะเป็นฝ่ายไปสู่ขอ แล้วฝ่ายชายจะเป็นผู้ตกลงนัดหมายวันอีกที ปัจจุบันจะทำพิธีแต่งงานในโบสถ์ (หน้า 29) วิธีการจัดการกับปัญหาครอบครัว ส่วนใหญ่มีญาติพี่น้อง หรือผู้อาวุโสเป็นผู้ให้คำปรึกษาแนะนำ แต่ถ้าเป็นเรื่องครอบครัวอื่น หรือไม่สามารถแก้ปัญหากันเองในครอบครัวไม่ได้ ก็จะมีผู้อาวุโสของหมู่บ้านเป็นผู้ให้คำแนะนำในการแก้ปัญหานั้น ๆ (หน้า 29) การแบ่งบทบาทในครอบครัวจะมีการแบ่งหน้าที่ชัดเจนระหว่างพ่อกับแม่ โดยฝ่ายพ่อจะมีบทบาทเป็นหัวหน้าครอบครัวโดยเฉพาะกิจกรรมนอกบ้านและภาระงานที่หนักกว่า เช่นการตัดสินใจในเรื่องใหญ่ ๆ ของครอบครัว หรือการประกอบอาชีพ เช่นการทำไร่จะให้ฝ่ายชายเป็นผู้ตัดสินใจเลือกพื้นที่ และรวมไปถึงการทำไร่ ทำนา สร้างบ้าน จักรสาน ล่าสัตว์ ส่วนแม่มีบทบาทในครัวเรือนเช่นเรื่องการเลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่ ของกินของใช้ในบ้าน รวมทั้งการทอผ้า หุงหาอาหาร (หน้า 30) สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างเครือญาติ จะมีพิธีผูกข้อมือระหว่างสายเลือดเดียวกันปีละครั้ง ดังนั้นต้องถือกฎเกณฑ์อย่างเคร่งครัด ห้ามมีการทะเลาะเบาะแว้งกันในหมู่เครือญาติเดียวกัน แต่ปัจจุบันพิธีกรรมเริ่มเปลี่ยนไป เหลือเพียงพิธีรดน้ำดำหัวและผูกข้อมือบายศรีสู่ขวัญ (หน้า 31) จะมีข้อห้ามการแต่งงานในเครือญาติเดียวกัน ตั้งแต่ญาติลำดับที่ 1 คือ เป็นพี่น้องกัน ญาติลำดับที่ 2 พ่อแม่เป็นพี่น้องกัน ลำดับที่ 3 ปู่ย่าตายายเป็นพี่น้องกัน แต่ญาติลำดับที่ 4 คือทวดเป็นพี่น้องกันสามารถแต่งานกันได้ (หน้า 31-32) การออกไปโดยลำพังของหนุ่มสาวที่ไม่ใช่ญาติลำดับ 3 ขึ้นไป จะทำไม่ได้ แม้ว่าจะไม่มีเจตนาเชิงชู้สาว หากเกิดอาเพทขึ้นในหมู่บ้าน เช่น ความเจ็บป่วย การตาย หนุ่มสาวคู่นั้นจะถูกลงโทษ โดยกลุ่มผู้อาวุโส แม้ว่าครอบครัวนั้นเปลี่ยนความเชื่อไปถือคริสต์หรือพุทธแล้วก็ตาม (หน้า 32) ประเพณีเกี้ยวสาวของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง ฝ่ายชายจะไปเยี่ยมบ้านของฝ่ายหญิงและดื่มน้ำชา ถือว่าเป็นการให้เกียรติและอยู่ในสายตาของผู้ใหญ่ เล่นซอต่อกลอน หากฝ่ายหญิงชอบพอด้วยอาจทอย่ามให้ฝ่ายชาย (หน้า 46-47) งานแต่งงาน จะประกอบพิธีที่บ้านฝ่ายหญิง โดยต้องไปค้างคืนที่บ้านฝ่ายหญิงก่อน 1 คืนวันรุ่งขึ้นจึงจัดพิธีทางศาสนา หลังจากนั้นจะกลับไปจัดงานต่อที่บ้านของฝ่ายชาย (หน้า 47) |
|
Belief System |
สำหรับกะเหรี่ยงที่ยังนับถือความเชื่อแบบดั้งเดิม มีประเพณีพิธีกรรมเกี่ยวข้องกับการเลี้ยงผี ซึ่งมีทั้ง ผีบ้าน มีหน้าที่ดูแลรักษาหมู่บ้าน และผีเรือนคือผีบรรพบุรุษ ปู่ย่า ตายาย จะมีการบวงสรวงบูชาผีเรือนอยู่อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เพื่อคุ้มครองให้ลูกหลานสุขสบาย (หน้า 45) นอกจากการนับถือผี ยังมีการนับถือศาสนาคริสต์ และพุทธศาสนา ก่อให้เกิดประเพณีและวัฒนธรรมในเผ่า เช่น ประเพณีปีใหม่ เดิมจัดในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี มีการหมักเหล้า นำเหล้ามาบวงสรวงต่อผีและวิญญาณ ทำพิธีผูกข้อมือผู้อาวุโสให้พรระหว่างกัน แต่ปัจจุบันถือเอาวันปีใหม่สากลแทน มีการดัดแปลงพิธีกรรมทางศาสนา วันนั้นทุกคนจะหยุดงาน หากเป็นคาทอลิกจะเข้าร่วมพิธีมิสซาสวดมนต์ภาวนาขอบคุณพระเจ้าและขอพรปีใหม่ (หน้า 46) ประเพณีขึ้นบ้านใหม่ จะทำเมื่อสร้างบ้านใหม่ ให้ผู้อยู่อาศัยอยู่อย่างมีความสุข มีการจัดเลี้ยงสุราอาหาร แต่ปัจจุบันจะนิมนต์พระสงฆ์ไปประกอบพิธีกรรมในกรณีศาสนาพุทธ และเชิญญาติพี่น้องผู้ใหญ่มาร่วมสวดภาวนาขอพรจากพระเจ้า (หน้า 46) งานศพ หากยังมีความเชื่อแบบดั้งเดิม จะเก็บศพไว้ที่บ้านของผู้ตาย 3 หรือ 7 วัน พอถึงเวลากลางคืนที่จะนำศพไปฝังป่าช้า จะมีการเดินร้องเพลงรอบกองไฟใกล้บ้านผู้ตาย หากผู้ตายเป็นภรรยา สิ่งของ สัตว์เลี้ยงเสื้อผ้าของผู้ตายจะถูกกำจัดเพราะถือว่าเป็นสมบัติของฝ่ายหญิง (หน้า 47-48) นอกจากนี้ ยังมีประเพณีเสียผี เมื่อชายหญิงในชุมชนได้เสียกันก่อนแต่งงานจะต้องขอขมาลาโทษทั้งผี พ่อแม่และชาวบ้านทั้งหมด โดยให้จูงควายไปรอบบ้าน คนจะตะโกนว่าอย่าเอาอย่าง สุดท้ายชายหญิงคู่นั้นต้องเอาน้ำส้มป่อยรดน้ำดำหัวควาย และถูกฆ่าบูชา (หน้า 48) |
|
Education and Socialization |
จะมีการสอนภายในครอบครัว เช่น แม่สอนลูกสาวให้รู้จักทอผ้า หรือพ่อก็จะสอนให้ลูกรู้จักทำไร่ เวลาพักมีการเรียนการเหลาตอกทำจักรสานจากพ่ออีกด้วย แต่ปัจจุบันการเรียนรู้วิธีนี้เริ่มลดความสำคัญลง (หน้า 38) ส่วนการศึกษาในระบบ พ่อแม่นิยมให้ค่านิยมเรื่องการศึกษา เมื่อจบการศึกษาระดับประถมในหมู่บ้านแล้วจะส่งลูกเข้าไปเรียนในเมือง อยู่ตามหอพักของโบสถ์ไปอยู่กับซิสเตอร์และบาทหลวง เมื่อเด็กได้รับการศึกษาแล้วส่วนมากไม่กลับไปในท้องถิ่น เรียนจบแล้วจะหางานทำในเมือง เช่นตัดเย็บเสื้อผ้า หรือเป็นผู้ช่วงพยาบาล ส่วนใหญ่ให้เหตุผลว่าทำงานเพื่อเก็บเงินระยะหนึ่งก่อนแล้วค่อยกลับหมู่บ้านทีหลัง (หน้า 43) |
|
Health and Medicine |
สมัยก่อนจะรักษาด้วยสมุนไพรและพิธีกรรมทางศาสนาแบบดั้งเดิม เช่น ใช้เปลือกควินินต้มสำหรับแก้ไข้ ต้มใบฝรั่งแก้ท้องเสีย มีการจับเส้นและทำคลอดอยู่บ้าง แต่ปัจจุบันการบริการในชุมชนมีมากขึ้น ไม่มีความเชื่อเรื่องพิธีกรรมมาเกี่ยวข้องเพราะส่วนใหญ่หันไปนับถือศาสนาคาทอลิก (หน้า 44) หลายหมู่บ้านมีสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ซึ่งได้รับการบริการจากทางการเป็นอย่างดี ทำให้สุขภาพของคนในหมู่บ้านดีขึ้นกว่าเดิมมาก (หน้า 41) มีบริการหยอดวัคซีน และหน่วยแพทย์เคลื่อนที่เป็นระยะ ๆ (หน้า 39) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
เดิมผู้หญิงกะเหรี่ยงจะทอผ้าใช้เอง เริ่มตั้งแต่การผลิตโดยเก็บฝ้ายเอามาปั่นเป็นเส้นด้ายแล้วเอามาย้อมสีที่ได้จากเปลือกไม้ รากไม้จึงเอามาทอเป็นเสื้อผ้า ถ้าเป็นเสื้อของผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงานไม่ต้องย้อมเพราะใช้เป็นสีขาว ผู้เป็นแม่จะคอยสอนลูกสาวให้รู้จักการทอผ้า ส่วนผู้ชายเมื่อว่างเว้นจากงานจะมีการเหลาตอกเพื่อทำจักรสาน แต่ปัจจุบันมีฝ้ายสำเร็จรูปจากในเมือง และเสื้อผ้าสำเร็จรูป จึงก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านเครื่องแต่งกายที่ใกล้เคียงคนเมืองมากขึ้น (หน้า38) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
เยาวชนชาวเขาจะแต่งชุดประจำเผ่า ผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงานจะใส่ชุดฝ้ายทอยาวสีขาว หากเป็นเด็กผู้ชายจะใส่ชุดทอฝ้ายสีแดง ซึ่งจะใส่ในช่วงโอกาสพิเศษเช่นงานฉลองโรงเรียน หรืองานพิธีกรรมของหมู่บ้าน (หน้า 38, 77, 97) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของเยาวชนชาวเขาในหลายด้าน เช่น ระบบความสัมพันธ์เพื่อความอยู่รอดด้าน อาชีพ การศึกษาและการงาน ความสัมพันธ์แบบเครือญาติเริ่มห่างเหิน เมื่อเข้ามาอยู่ในเมือง ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนกลับมีมากขึ้น เปลี่ยนแปลงการรับรู้ความคิด และการปฏิบัติจากเดิมเป็นครอบครัวแบบขยายมาสู่ครอบครัวเดี่ยว (หน้า 85) ระบบการแลกเปลี่ยน นำมาซึ่งความอยู่รอดด้านอาชีพ การศึกษาและการงาน เมื่อเข้ามาอยู่ในเมือง มีโอกาสทางเลือกด้านการศึกษาและอาชีพมากกว่า ทำให้สามารถแสวงหาฐานะที่ดีกว่า ต้องการค่าจ้างแรงงานที่มีรายได้ดีกว่าทำงานในหมู่บ้าน ลักษณะงานในเมืองเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมหรือเป็นลูกจ้าง มีรายได้เป็นรายวันหรือเดือน เปลี่ยนระบบความคิดจากการแลกเปลี่ยนร่วมแรงงานเป็นการเรียกร้องเงินค่าตอบแทน (หน้า 85-86) นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงด้านสังคม ส่วนใหญ่พูดภาษาไทยชัดขึ้น มีเครื่องอำนวยความสะดวก และสาธารณูปโภค ส่วนด้านประเพณีบางอย่างยังคงรักษาไว้เช่นการแต่งกายตามประเพณี จะแต่งเฉพาะวันสำคัญ ๆ ทางศาสนา เช่น พิธีมิสซา หรือพิธีกรรมต่าง ๆ (หน้า 97) |
|
Other Issues |
การปรับตัว สภาพความเป็นอยู่หลังการอพยพเข้ามาในเมือง เยาวชนชาวเขาต้องมาอยู่ร่วมกันกับเพื่อนที่มาจากต่างถิ่นต่างหมู่บ้าน พวกเขาต้องปรับตัวหลาย ๆ อย่างกับกฎระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ เพื่อให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขแบบพี่น้อง โดยมีบาทหลวงเป็นเสมือนพ่อผู้ปกครอง และมีซิสเตอร์ทำหน้าที่เหมือนแม่หรือพี่ และศิษย์เก่าที่คอยช่วยเหลือให้คำแนะนำอบรมบ่มนิสัย ฝึกความเป็นระเบียบเรียบร้อย ระเบียบวินัย ความสะอาด รับผิดชอบต่อตนเองและส่วนรวม ขณะเดียวกันก็ต้องเรียนรู้การใช้ชีวิตในรูปแบบใหม่ ที่มีเครื่องอำนวยความสะดวกต่าง ๆ (หน้า 76-77) ในด้านการแต่งตัว เยาวชนแต่งตัวแบบเรียบง่าย บางครั้งใส่ชุดประจำเผ่า เช่นหญิงสาวที่ยังไม่แต่งานจะใส่เสื้อทอยาวสีขาว ผู้ชายใส่เสื้อทอสีแดง แต่เมื่อเข้ามาอยู่ในเมืองเยาวชนจะแต่งตัวตามสมัยนิยม เริ่มกลมกลืนกับเยาวชนพื้นราบมากขึ้น นอกจากในโอกาสพิเศษวันฉลองของโบสถ์หรือโรงเรียน จะใส่ชุดประจำเผ่า (หน้า 77-78) ในด้านความสัมพันธ์กับครอบครัว จะมีการติดต่อกับทางบ้านโดยใช้โทรศัพท์ ทางโรงเรียนและหอพักส่งเสริมให้กลับบ้านในช่วงปิดเทอม หรือในช่วงเปิดเทอม บางครั้งพ่อแม่จะเข้ามาเยี่ยมในเมือง (หน้า 79) หากเยาวชนมีปัญหามักจะเลือกปรึกษาเพื่อนหรือบาทหลวงและซิสเตอร์ ปัญหาส่วนใหญ่ที่พบคือเรื่องภาษา การพูดไม่ชัด ฟังไม่ค่อยทัน รวมถึงปัญหาด้านการเรียน เยาวชนจึงต้องมีการปรับตัว และอดทนมากขึ้น ทางโรงเรียนและหอพักส่งเสริมให้เยาวชนฝึกกล้าแสดงออก รับผิดชอบกิจกรรมต่าง ๆ (หน้า 79) |
|
|