สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ชาติพันธุ์วิทยา, การวิจัย, ไท, ม้ง, เวียดนาม
Author พิเชฐ สายพันธ์
Title โครงการสำรวจองค์ความรู้ชาติพันธุ์วิทยาในเวียดนาม
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ไทดำ ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ไทยทรงดำ ไทดำ ไตดำ โซ่ง, ม้ง, Language and Linguistic Affiliations ไท(Tai)
Location of
Documents
- ฐานข้อมูลงานวิจัย ศมส.: [เอกสารฉบับเต็ม]
- ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
Total Pages 50 Year 2546
Source พิเชฐ สายพันธ์. (2546). การสำรวจองค์ความรู้ชาติพันธุ์วิทยาในเวียดนาม. กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร.
Abstract

การสำรวจองค์ความรู้ชาติพันธุ์วิทยางานชิ้นนี้ มุ่งศึกษาองค์ความรู้กลุ่มชาติพันธุ์ “ไท” และ ”ม้ง” ในประเทศเวียดนาม ผู้วิจัยได้แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ  ประวัติการศึกษาชาติพันธุ์วิทยาในเวียดนาม, การศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ “ไท” ในเวียดนาม และการศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ “ม้ง” ในเวียดนาม นอกจากนี้ผู้วิจัยได้รวบรวมเอกสารที่น่าสนใจพร้อมรายการบรรณานุกรมและบทวิเคราะห์ที่สำคัญไว้ เพื่อประโยชน์ต่อการทำการศึกษาค้นคว้าวิจัย

Focus

มุ่งสำรวจองค์ความรู้ทางชาติพันธุ์วิทยาของกลุ่มชาติพันธุ์ “ไท” และ “ม้ง”ในประเทศเวียดนามเพื่อทำความเข้าใจถึงองค์ความรู้ทางชาติพันธุ์วิทยาในประเทศเวียดนาม ทั้งยังสามารถนำข้อมูลจากการวิจัยนี้ไปเปรียบเทียบในกลุ่มชาติพันธุ์ “ไท” และ “ม้ง” ที่ตั้งถิ่นฐานในพื้นที่อื่นๆ ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อันจะนำไปสู่การสร้างความเข้าใจต่อกลุ่มชาติพันธุ์มากยิ่งขึ้น โดยในงานจะแสดงถึงรายละเอียดทั้งในเรื่องของประวัติและภูมิหลังของการศึกษาชาติพันธุ์วิทยาในเวียดนาม การศึกษากลุ่ม “ไท” ในเวียดนาม และการศึกษากลุ่ม “ม้ง” ในเวียดนาม รวมถึงยังมีเอกสาร บทวิเคราะห์และบรรณานุกรม จัดเป็นสาระสังเขปเพื่อประโยชน์ต่อการค้นคว้าและศึกษาวิจัยต่อไปในอนาคต (น.1)

Theoretical Issues

ประวัติการศึกษาชาติพันธุ์วิทยาในเวียดนาม  
แต่เดิมการศึกษาทางชาติพันธุ์วิทยาในเวียดนามเป็นผลงานของชาวตะวันตกเสียส่วนใหญ่ จนกระทั่งภายหลังการปลดปล่อยประเทศจากอาณานิคมฝรั่งเศส ก่อเกิดจุดเริ่มต้นของการศึกษาชาติพันธุ์วิทยาโดยนักวิชาการเวียดนามเอง สถาบันชาติพันธุ์วิทยาเวียดนามก่อเกิดขึ้นมาในปี ค.ศ. 1968 (น.4) ซึ่งอยู่ในช่วงที่กำลังรวมและสร้างประเทศ โดยมีภารกิจคือการกำหนดกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีอยู่ทั้งหมดในประเทศภายใต้การสนับสนุนโดยตรงจากรัฐ ชาติพันธุ์วิทยาได้รับการเสนอว่าเป็นทางออกในการสร้างความเป็นหนึ่งเดียวของคนในชาติ และนำเสนอในงาน “What is Ethnology?” (น.6) ประกอบกับการนำแนวคิดว่าชาตินั้นประกอบด้วยองค์ประกอบทางชาติพันธุ์ กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ จึงมีความสำคัญยิ่ง (อ้างจาก Le Van Hao, 1972) โดยความพยายามกำหนดกลุ่มชาติพันธุ์ในเวียดนามนั้น เสร็จสิ้นในปี ค.ศ. 1979 ประกาศออกเป็นทางการว่ามีกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งหมด 54 กลุ่ม (อ้างจาก Dang Nghiem Van, 2000) (น.7)
 
การศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ไทในเวียดนาม 
ใช้เกณฑ์การจำแนกตามตระกูลพูดไท-กะได (อ้างจาก Li Fang Kuei, 1977) พบว่าการกระจายตัวของกลุ่มไทในเวียดนามปรากฏให้เห็นในทุกกลุ่มย่อยที่พูดภาษาตระกูลไท-กะได แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ “ไท” “ไต” และ “กะได” ซึ่งแต่ละกลุ่มก็จะมีการเรียกชื่อตนเองตามกลุ่มย่อยออกไป ปัจจุบันพบว่า กลุ่มชนที่ใช้ภาษาตระกูลไท-กะได เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีจำนวนมากที่สุดในบรรดาชนชาติส่วนน้อยในประเทศ (อ้างจาก Khong Dien, 2002) (น.13)
 
การศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ม้งในเวียดนาม 
งานศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ม้งในช่วงแรกให้ความสนใจกับวัฒนธรรมพื้นบ้าน (อ้างจาก La Van Lo, 1957) ที่นำเสนอถึงภาพรวมของกลุ่มชาติพันธุ์ (อ้างจาก Doan Thanh, 1967) เป็นการศึกษาเพลงพื้นบ้าน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นประเด็นของปัญหาการพัฒนา (อ้างจาก Tran Nam, Tran Huu Son, 1989) ในเรื่องปัญหาการพัฒนาวัฒนธรรมและงานตั้งถิ่นฐานเพื่อการเกษตรแบบถาวรในเขตชาวม้งจังหวัดฮว่างเลียนเซิน เป็นการศึกษาที่แสดงให้เห็นถึงผลกระทบและปัญหาต่อวิถีชีวิตชาวม้งกับนโยบายของรัฐมากขึ้น ปัญหาเรื่องการเพิ่มจำนวนประชากรที่ขาดการควบคุม (อ้างจาก Tran Thuy Duong, 1997) ในการศึกษาลักษณะพิเศษทางวัฒนธรรมของชนเผ่าม้งและจารีตการวางแผนครอบครัวประชากร และปัญหาสิ่งแวดล้อม (อ้างจาก Nguyen Van Minh, 1994) เรื่องต้นฝิ่นในชีวิตของชาวม้ง ที่เป็นการสะท้อนถึงความสนใจต่อปัญหาเรื่องฝิ่นที่พบในกลุ่มประชากรที่อาศัยบนพื้นที่สูง (น.22)
 

Ethnic Group in the Focus

กลุ่มชาติพันธุ์ “ไท” ในเวียดนาม เป็นกลุ่มที่พูดภาษาตระกูลไทในสาขาตะวันตกเฉียงใต้ มีถิ่นฐานตั้งอยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนาม ในเขตจังหวัดหล่าวกาย ลายเจิว เดี่ยนเบียนฝู่ เซินลา ฮว่าบิ่งห์ แทงห์หัว เหงะอาน (น.15) กลุ่มไทในเวียดนามมีชื่อเรียกตามกลุ่มย่อยแต่ละท้องที่ เช่น ไทขาว ไทดำ ไทแดง ไทเมือย ไทแถง ไทห่างต่ง เป็นต้น แต่ปัจจุบันได้มีการพยายามจัดระบบให้อยู่เพียง 2 กลุ่มหลัก นั่นคือ ไทขาวและไทดำ (น.17)
 
กลุ่มชาติพันธุ์ “ม้ง” ในเวียดนาม เป็นกลุ่มที่พูดภาษาตระกูลม้ง-เย้า ตั้งถิ่นฐานหลักในบริเวณภาคเหนือของเวียดนาม โดยเฉพาะจังหวัดที่มีชายแดนติดต่อกับประเทศจีน ได้แก่ กาวบั่ง ห่าซาง หล่าวกาย ลายเจิว และบางส่วนในพื้นที่ที่มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศลาว ได้แก่ เดี่ยนเบียนฝู่ ฮว่าบิ่งห์ เหงะอาน รวมทั้งบางจังหวัดในภาคเหนือ ได้แก่ เอียนบ๋าย บั๊กก่าน และถายเหงวียน (น.19) ชื่อเรียกของกลุ่มม้งในเวียดนามมีความแตกต่างไปแต่ละท้องถิ่น เช่น ม้งฮวาหรือม้งเหล่ง ม้งดำหรือม้งดู๋ ม้งน้ำเงินหรือม้งจั๋ว เป็นต้น ปัจจุบันทางการเวียดนามใช้คำว่า “ม้ง” เป็นคำเรียกชื่อกลุ่มชาติพันธุ์อย่างเป็นทางการ แทนการเรียก “แม้ว” โดยถือว่าชื่อดังกล่าวเป็นชื่อที่ชาวม้งใช้เรียกตัวเอง (น.21)
 

Language and Linguistic Affiliations

การจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ของเวียดนาม เป็นการจำแนกตามโครงสร้างของผังตระกูลภาษา ประกอบด้วย 5 ตระกูลภาษาใหญ่ ได้แก่ ออสโตรเอเชียติก (Austro-Asiatic), ออสโตรนีเซียน (Austronesian), จีน-ทิเบต (Sino-Tibetan), ไท-กะได (Thai-Kadai), ม้ง-เย้า (Hmong-Yao) (น.11)

Study Period (Data Collection)

ระยะเวลาดำเนินงาน 1 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2546-2547

History of the Group and Community

รายงานการศึกษาในเอกสารเวียดนาม พบว่า กลุ่มชาติพันธุ์ม้งเป็นกลุ่มที่เคลื่อนย้ายจากประเทศจีนเข้ามาในเขตภาคเหนือของเวียดนามราวคริสต์วรรษที่ 18 มีการตั้งถิ่นฐานบนพื้นที่สูงในขณะที่ลุ่มริมน้ำห้วยเป็นที่ตั้งของกลุ่มที่ใช้ภาษาตระกูลไทมาก่อน โดยมีประเด็นสำคัญสามช่วง คือ ครั้งที่หนึ่ง ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 ม้งจากมณฑลกวี๋เจิว ได้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในอำเภอซีมากาย ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของจังหวัดหล่าวกายและขยายออกไปตั้งถิ่นฐานในซาปา ครั้งที่สอง กลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 เกิดเหตุการณ์กบฏไต้ผิงทางตอนใต้ของจีน ส่งผลให้ชาวม้งได้อพยพมาในเขตหล่าวกายและเป็นการอพยพเข้าเวียดนามที่ใหญ่ที่สุด โดยเข้ามาตั้งถิ่นฐานในเมืองเคือง ซีมากาย บั๊กห่า ในจังหวัดหล่าวกาย และได้ขยับขยายไปทางบริเวณภาคเหนือเช่นกัน และครั้งที่สาม ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ชาวม้งได้มาตั้งถิ่นฐานที่บ่าวเอียน บ่าวถัง บ้าดซ้าด ทานเอวียน ของจังหวัดหล่าวกาย (น.20)

Settlement Pattern

กลุ่มชาติพันธุ์ “ไท” ในเวียดนาม เป็นกลุ่มที่พูดภาษาตระกูลไทในสาขาตะวันตกเฉียงใต้ มีถิ่นฐานตั้งอยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนาม ในเขตจังหวัดหล่าวกาย ลายเจิว เดี่ยนเบียนฝู่ เซินลา ฮว่าบิ่งห์ แทงห์หัว เหงะอาน (น.15) จากการศึกษาพบว่ากลุ่มไทในเวียดนามต่างก็มีกลุ่มย่อยและชื่อเรียกที่แตกต่างออกไปตามพื้นที่ เช่น ไทขาว ไทดำ ไทแดง ไทเมือย ไทแถง เป็นต้น และต่อมาได้ถูกจัดระบบให้เหลือเพียง ไทขาว และไทดำ โดยเป็นการพิจารณาจากถิ่นที่อยู่อาศัย กล่าวคือ ไทขาวและไทดำอยู่อาศัยในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนาม จังหวัดลายเจิว เตียนเบียนฝู่และเซินลาตามแนวแม่น้ำดำ (น.19)
 
กลุ่มชาติพันธุ์ “ม้ง” ในเวียดนาม เป็นกลุ่มที่พูดภาษาตระกูลม้ง-เย้า ตั้งถิ่นฐานหลักในบริเวณภาคเหนือของเวียดนาม โดยเฉพาะจังหวัดที่มีชายแดนติดต่อกับประเทศจีน ได้แก่ กาวบั่ง ห่าซาง หล่าวกาย ลายเจิว และบางส่วนในพื้นที่ที่มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศลาว ได้แก่ เดี่ยนเบียนฝู่ ฮว่าบิ่งห์ เหงะอาน รวมทั้งบางจังหวัดในภาคเหนือ ได้แก่ เอียนบ๋าย บั๊กก่าน และถายเหงวียน (น.19) จากการศึกษาพบว่ากลุ่มม้งในเวียดนามมีชื่อเรียกแตกต่างไปแต่ละท้องถิ่น เช่น ม้งฮวาหรือม้งเหล่ง ม้งดำหรือม้งดู๋ ม้งน้ำเงินหรือม้งจั๋ว เป็นต้น นอกเหนือจากความสนใจด้านวัฒนธรรมพื้นบ้านของกลุ้มม้งแล้ว หลังจากนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ในพื้นที่ภูเขาได้เริ่มขึ้น ทำให้รัฐเล็งเห็นประเด็นปัญหาการพัฒนาในกลุ่มม้งที่แตกต่างจากกลุ่มอื่น อันเนื่องมาจากจารีตและวัฒนธรรมการตั้งถิ่นฐานรวมถึงการเพาะปลูกในการทำไร่เลื่อนลอยนั้น ในเวลาต่อมาจึงได้มีนโยบายด้านเกษตรและการตั้งถิ่นฐานถาวรเกิดขึ้น ปัญหาเรื่องการวางแผนครอบครัวและการเพิ่มของจำนวนประชากร ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะในเขตป่าไม้ ก่อเกิดนโยบายด้านการจัดการพื้นที่สูงโดยมุ่งเน้นไปที่ชาวม้งเป็นหลัก (น.28)
 

Demography

กลุ่มไทในเวียดนาม 
จำแนกประชากรกลุ่มที่ใช้ภาษาตระกูลไท-กะไดในประเทศเวียดนาม ซึ่งประกอบด้วย 12 กลุ่มย่อย มีจำนวน 3,896,413 คน คิดเป็นสัดส่วน 37.16% ของจำนวนประชากรชนชาติส่วนน้อยของประเทศ โดยใน 12 กลุ่มแบ่งเป็น 2 ชื่อกลุ่มใหญ่ คือ กลุ่ม ไต-ไท และ กลุ่ม กะได (น.14) (อ้างจาก Khong Dien, 2002)
 
กลุ่มม้งในเวียดนาม
กลุ่มชาติพันธุ์ม้งจัดให้อยู่ในกลุ่มตระกูลภาษาม้ง-เย้า (อ้างจาก Khong Dien, 2002) มีจำนวน 1,413,711 คน กลุ่มชาติพันธุ์ม้งในเวียดนามประกอบด้วย 3 กลุ่ม คือ ม้ง เย้า และป่าแถ่น โดยที่กลุ่มม้งมีประชากรมากที่สุด คิดเป็นสัดส่วน 55.11% ของจำนวนกลุ่มที่พูดภาษาตระกูลม้ง-เย้า (น.20)
 

Political Organization

จากการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ก่อให้เกิดการศึกษาผลที่เกิดขึ้นจากนโยบายปฏิรูปสังคมของรัฐมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะนโยบายการเคลื่อนย้ายประชากรจากที่ราบสู่เขตภูเขาเพื่อพัฒนาแหล่งทำกิน ซึ่งมีผลกระทบต่อการจัดระเบียบชุมชน สังคม และเศรษฐกิจของชนกลุ่มน้อยในภาคเหนือของเวียดนาม
 
งานศึกษากลุ่มไทในเวียดนามมีเป็นจำนวนมาก เนื่องจากได้รับความสนใจจากรัฐบาลอันเนื่องมาจากการมีส่วนร่วมต่อขบวนการปลดปล่อยประเทศ โดยเฉพาะสงครามเดียนเบียนฟูที่ซึ่งกลุ่มไทซึ่งมีอิทธิพลในบริเวณนั้น กลุ่มชาติพันธุ์ไทจึงได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสร้างชาติเวียดนาม ภาพของกลุ่มไทจึงถูกนำเสนอเป็นสังคมจารีตสู่การพัฒนาสังคมตามนโยบายของรัฐในที่สุด โดยปรากฏชัดหลังจากนโยบายของรัฐ การเคลื่อนย้ายประชากรเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ในพื้นที่ภูเขา ปี ค.ศ. 1958 เป็นต้นมา หลังจากรัฐได้เปิดประเทศและรับเอาทุนนิยมเข้ามาใช้ในนโยบาย ทำให้การตระหนักถึงบทบาทการอนุรักษ์วัฒนธรรม ในประเด็นด้านศาสนา ความเชื่อได้รับการศึกษามากขึ้น (น.27)
 
จากการศึกษาเรื่องฝิ่นกับม้ง ทำให้เห็นประเด็นเรื้องม้งกับฝิ่นที่ไม่ได้ผูกอยู่กับม้งเพียงกลุ่มเดียว แต่ทำให้เห็นความสัมพันธ์กับกลุ่มใกล้เคียง อาทิ เย้า ไท และขมุ ที่อยู่ในบริเวณทางเหนือของเวียดนาม ซึ่งได้นำไปสู่ประเด็นตัวแปรทางเศรษฐกิจและการเมืองในช่วงสงครามอินโดจีน โดยเฉพาะการเข้ามาเป็นตัวแปรร่วมในกลุ่มเวียดและเป็นตัวแปรต่อต้านฝรั่งเศส ปัญหาเรื่องฝิ่นในเวียดนามยังคงเป็นปัญหาที่เกี่ยวโยงกับปัญหาความยากจนและยาเสพติด ที่ยังคงได้รับความสนใจจากหน่วยงานในระดับนานาชาติเช่นกัน (น.26)
 

Education and Socialization

จารีตงานเขียนทางชาติพันธุ์วิทยายังคงสืบทอดอิทธิพลของการนำเสนอประวัติศาสตร์กับการสร้างชาติ ขาดการวิพากษ์วิจารณ์เชิงแนวคิดในวงกว้าง ทำให้การเขียนงานชาติพันธุ์วรรณาไม่หลุดพ้นกรอบของประวัติศาสตร์การสร้าง ที่กรอบความคิดดังกล่าวมีบทบาทมาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1950 แล้ว แม้กระทั่งปัจจุบันแนวทางดังกล่าว ยังมีการผลิตซ้ำเพื่อประชาสัมพันธ์การสืบทอดนโยบายทางการเมืองของเวียดนามที่มีต่อกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ (น.12)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

เนื่องจากปัญหาที่ผูกโยงด้านประวัติศาสตร์ อัตลักษณ์ รวมถึงเงื่อนไขทางการเมืองของเวียดนาม มีส่วนสำคัญทำให้เกิดประเด็นการสร้างนิยามของความเป็นกลุ่มย่อยต่างๆ เพื่อเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มชาติพันธุ์ที่ถูกจำแนกอย่างเป็นทางการ โดยเฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์ที่พูดภาษาตระกูลไท และมีการจำแนกเพียง 2 กลุ่ม ใหญ่ คือ ไท และ ไต แต่ในขณะเดียวกันกลับพบว่ามีกลุ่มย่อยที่เรียกชื่อตนเองแตกต่างไปอีกมากมาย แม้ผลงานวิชาการช่วงหลังจะพยายามเสนอแนวคิดเกี่ยวกับอัตลักษณ์กลุ่มแต่ยังขาดการวิพากษ์วิจารณ์เชิงทฤษฎี ซึ่งมีผลต่อจารีตการเขียนงานชาติพันธุ์วรรณาทำให้ไม่สามารถหลุดพ้นกรอบของประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์และการสร้างชาติไปได้ (น.12)
 
ความเป็นไท ถูกจำแนกตามอัตลักษณ์ทางภาษาตระกูลไท-กะไดร่วมกัน ซึ่งการพูดตามตระกูลภาษานี้ก็ถูกจำแนกออกเป็น 3 กลุ่ม นั่นคือ ไท (ถาย) ไต (ไต่) และกะได อัตลักษณ์ในการรับรู้เรื่องอาณาเขตที่มีร่วมกัน ในกรณีของ “สิบสองจุไท” ยังคงเป็นที่สนใจในบริบทพื้นที่ในการกลายเป็นตัวแทนของสังคมและวัฒนธรรมในอดีต โดยเดิมเป็นที่รู้จักในนาม “สิบหกเจิวไท” (อ้างจาก Cam Trong, 1978) ซึ่งมีเจิว (เมือง) จำนวน 16 เจิว ซึ่งการรับรู้ของคนไทในท้องถิ่นมีความสัมพันธ์โดยตรงกับการจัดการปกครองซึ่งมีความสัมพันธ์กับระบบสิบหกเจิว ในขณะที่ชาวสยามต่างรับรู้และเรียกว่าสิบสองจุไท ลักษณะของสังคมและวัฒนธรรมถูกนำเสนอออกมาในแนวสังคมที่มีการพัฒนาจากสังคมจารีตสู่การพัฒนาตามนโยบายของรัฐ (น.17)
 
ความเป็นม้ง ถูกจำแนกตามอัตลักษณ์ทางภาษาตระกูลม้ง-เย้าร่วมกัน และถูกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ ม้ง เย้า และป่าแถ่น ภาพความเป็นม้งในยุคแรกถูกนำเสนอทางวัฒนธรรมพื้นบ้าน วิถีชีวิตและจารีตประเพณี ที่ส่งผ่านความเป็นดนตรี เพลงพื้นบ้าน และพิธีกรรมต่างๆ และต่อมาจารีตประเพณีบางประการได้เป็นอุปสรรคของการพัฒนาประเทศในเวลาต่อมา เช่น การตั้งถิ่นฐานในพื้นที่สูง การทำไร่เลื่อนลอย อุปนิสัยการปลูกฝิ่น หากจะมองถึงอัตลักษณ์ความเป็นม้งคงมองข้ามการปรับตัวและการดำรงอยู่ร่วมกับธรรมชาติไปไม่ได้ สิ่งเหล่านี้ได้แสดงถึงอัตลักษณ์การปรับตัวโดยแสดงผ่านประเพณีและวัฒนธรรม การพัฒนาความรู้พื้นบ้านกับการจัดการสิ่งแวดล้อม การใช้ทรัพยากรที่มีในการดำรงชีวิตแบบดั้งเดิม เช่น ความรู้เรื่องสมุนไพร อาหาร และการจัดการสิ่งแวดล้อมด้วยประเพณี (น.24)

Other Issues

การรวบรวมเอกสารเพื่อจัดเป็นสาระสังเขป พร้อมรายการบรรณานุกรม โดยมีเอกสารเกี่ยวกับกลุ่มไท จำนวน 70 เรื่อง และเอกสารเกี่ยวกับกลุ่มม้ง จำนวน 50 เรื่อง ในท้ายเล่ม

Text Analyst ภัทรวดี อบอาย Date of Report 05 ม.ค. 2566
TAG ชาติพันธุ์วิทยา, การวิจัย, ไท, ม้ง, เวียดนาม, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง