|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ชาติพันธุ์วิทยา, การวิจัย, ไท, ม้ง, เวียดนาม |
Author |
พิเชฐ สายพันธ์ |
Title |
โครงการสำรวจองค์ความรู้ชาติพันธุ์วิทยาในเวียดนาม |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ไทดำ ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ไทยทรงดำ ไทดำ ไตดำ โซ่ง, ม้ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
- ฐานข้อมูลงานวิจัย ศมส.: [เอกสารฉบับเต็ม]
- ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
50 |
Year |
2546 |
Source |
พิเชฐ สายพันธ์. (2546). การสำรวจองค์ความรู้ชาติพันธุ์วิทยาในเวียดนาม. กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร. |
Abstract |
การสำรวจองค์ความรู้ชาติพันธุ์วิทยางานชิ้นนี้ มุ่งศึกษาองค์ความรู้กลุ่มชาติพันธุ์ “ไท” และ ”ม้ง” ในประเทศเวียดนาม ผู้วิจัยได้แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ประวัติการศึกษาชาติพันธุ์วิทยาในเวียดนาม, การศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ “ไท” ในเวียดนาม และการศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ “ม้ง” ในเวียดนาม นอกจากนี้ผู้วิจัยได้รวบรวมเอกสารที่น่าสนใจพร้อมรายการบรรณานุกรมและบทวิเคราะห์ที่สำคัญไว้ เพื่อประโยชน์ต่อการทำการศึกษาค้นคว้าวิจัย |
|
Focus |
มุ่งสำรวจองค์ความรู้ทางชาติพันธุ์วิทยาของกลุ่มชาติพันธุ์ “ไท” และ “ม้ง”ในประเทศเวียดนามเพื่อทำความเข้าใจถึงองค์ความรู้ทางชาติพันธุ์วิทยาในประเทศเวียดนาม ทั้งยังสามารถนำข้อมูลจากการวิจัยนี้ไปเปรียบเทียบในกลุ่มชาติพันธุ์ “ไท” และ “ม้ง” ที่ตั้งถิ่นฐานในพื้นที่อื่นๆ ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อันจะนำไปสู่การสร้างความเข้าใจต่อกลุ่มชาติพันธุ์มากยิ่งขึ้น โดยในงานจะแสดงถึงรายละเอียดทั้งในเรื่องของประวัติและภูมิหลังของการศึกษาชาติพันธุ์วิทยาในเวียดนาม การศึกษากลุ่ม “ไท” ในเวียดนาม และการศึกษากลุ่ม “ม้ง” ในเวียดนาม รวมถึงยังมีเอกสาร บทวิเคราะห์และบรรณานุกรม จัดเป็นสาระสังเขปเพื่อประโยชน์ต่อการค้นคว้าและศึกษาวิจัยต่อไปในอนาคต (น.1) |
|
Theoretical Issues |
ประวัติการศึกษาชาติพันธุ์วิทยาในเวียดนาม
แต่เดิมการศึกษาทางชาติพันธุ์วิทยาในเวียดนามเป็นผลงานของชาวตะวันตกเสียส่วนใหญ่ จนกระทั่งภายหลังการปลดปล่อยประเทศจากอาณานิคมฝรั่งเศส ก่อเกิดจุดเริ่มต้นของการศึกษาชาติพันธุ์วิทยาโดยนักวิชาการเวียดนามเอง สถาบันชาติพันธุ์วิทยาเวียดนามก่อเกิดขึ้นมาในปี ค.ศ. 1968 (น.4) ซึ่งอยู่ในช่วงที่กำลังรวมและสร้างประเทศ โดยมีภารกิจคือการกำหนดกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีอยู่ทั้งหมดในประเทศภายใต้การสนับสนุนโดยตรงจากรัฐ ชาติพันธุ์วิทยาได้รับการเสนอว่าเป็นทางออกในการสร้างความเป็นหนึ่งเดียวของคนในชาติ และนำเสนอในงาน “What is Ethnology?” (น.6) ประกอบกับการนำแนวคิดว่าชาตินั้นประกอบด้วยองค์ประกอบทางชาติพันธุ์ กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ จึงมีความสำคัญยิ่ง (อ้างจาก Le Van Hao, 1972) โดยความพยายามกำหนดกลุ่มชาติพันธุ์ในเวียดนามนั้น เสร็จสิ้นในปี ค.ศ. 1979 ประกาศออกเป็นทางการว่ามีกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งหมด 54 กลุ่ม (อ้างจาก Dang Nghiem Van, 2000) (น.7)
การศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ไทในเวียดนาม
ใช้เกณฑ์การจำแนกตามตระกูลพูดไท-กะได (อ้างจาก Li Fang Kuei, 1977) พบว่าการกระจายตัวของกลุ่มไทในเวียดนามปรากฏให้เห็นในทุกกลุ่มย่อยที่พูดภาษาตระกูลไท-กะได แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ “ไท” “ไต” และ “กะได” ซึ่งแต่ละกลุ่มก็จะมีการเรียกชื่อตนเองตามกลุ่มย่อยออกไป ปัจจุบันพบว่า กลุ่มชนที่ใช้ภาษาตระกูลไท-กะได เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีจำนวนมากที่สุดในบรรดาชนชาติส่วนน้อยในประเทศ (อ้างจาก Khong Dien, 2002) (น.13)
การศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ม้งในเวียดนาม
งานศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ม้งในช่วงแรกให้ความสนใจกับวัฒนธรรมพื้นบ้าน (อ้างจาก La Van Lo, 1957) ที่นำเสนอถึงภาพรวมของกลุ่มชาติพันธุ์ (อ้างจาก Doan Thanh, 1967) เป็นการศึกษาเพลงพื้นบ้าน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นประเด็นของปัญหาการพัฒนา (อ้างจาก Tran Nam, Tran Huu Son, 1989) ในเรื่องปัญหาการพัฒนาวัฒนธรรมและงานตั้งถิ่นฐานเพื่อการเกษตรแบบถาวรในเขตชาวม้งจังหวัดฮว่างเลียนเซิน เป็นการศึกษาที่แสดงให้เห็นถึงผลกระทบและปัญหาต่อวิถีชีวิตชาวม้งกับนโยบายของรัฐมากขึ้น ปัญหาเรื่องการเพิ่มจำนวนประชากรที่ขาดการควบคุม (อ้างจาก Tran Thuy Duong, 1997) ในการศึกษาลักษณะพิเศษทางวัฒนธรรมของชนเผ่าม้งและจารีตการวางแผนครอบครัวประชากร และปัญหาสิ่งแวดล้อม (อ้างจาก Nguyen Van Minh, 1994) เรื่องต้นฝิ่นในชีวิตของชาวม้ง ที่เป็นการสะท้อนถึงความสนใจต่อปัญหาเรื่องฝิ่นที่พบในกลุ่มประชากรที่อาศัยบนพื้นที่สูง (น.22)
|
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มชาติพันธุ์ “ไท” ในเวียดนาม เป็นกลุ่มที่พูดภาษาตระกูลไทในสาขาตะวันตกเฉียงใต้ มีถิ่นฐานตั้งอยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนาม ในเขตจังหวัดหล่าวกาย ลายเจิว เดี่ยนเบียนฝู่ เซินลา ฮว่าบิ่งห์ แทงห์หัว เหงะอาน (น.15) กลุ่มไทในเวียดนามมีชื่อเรียกตามกลุ่มย่อยแต่ละท้องที่ เช่น ไทขาว ไทดำ ไทแดง ไทเมือย ไทแถง ไทห่างต่ง เป็นต้น แต่ปัจจุบันได้มีการพยายามจัดระบบให้อยู่เพียง 2 กลุ่มหลัก นั่นคือ ไทขาวและไทดำ (น.17)
กลุ่มชาติพันธุ์ “ม้ง” ในเวียดนาม เป็นกลุ่มที่พูดภาษาตระกูลม้ง-เย้า ตั้งถิ่นฐานหลักในบริเวณภาคเหนือของเวียดนาม โดยเฉพาะจังหวัดที่มีชายแดนติดต่อกับประเทศจีน ได้แก่ กาวบั่ง ห่าซาง หล่าวกาย ลายเจิว และบางส่วนในพื้นที่ที่มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศลาว ได้แก่ เดี่ยนเบียนฝู่ ฮว่าบิ่งห์ เหงะอาน รวมทั้งบางจังหวัดในภาคเหนือ ได้แก่ เอียนบ๋าย บั๊กก่าน และถายเหงวียน (น.19) ชื่อเรียกของกลุ่มม้งในเวียดนามมีความแตกต่างไปแต่ละท้องถิ่น เช่น ม้งฮวาหรือม้งเหล่ง ม้งดำหรือม้งดู๋ ม้งน้ำเงินหรือม้งจั๋ว เป็นต้น ปัจจุบันทางการเวียดนามใช้คำว่า “ม้ง” เป็นคำเรียกชื่อกลุ่มชาติพันธุ์อย่างเป็นทางการ แทนการเรียก “แม้ว” โดยถือว่าชื่อดังกล่าวเป็นชื่อที่ชาวม้งใช้เรียกตัวเอง (น.21)
|
|
Language and Linguistic Affiliations |
การจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ของเวียดนาม เป็นการจำแนกตามโครงสร้างของผังตระกูลภาษา ประกอบด้วย 5 ตระกูลภาษาใหญ่ ได้แก่ ออสโตรเอเชียติก (Austro-Asiatic), ออสโตรนีเซียน (Austronesian), จีน-ทิเบต (Sino-Tibetan), ไท-กะได (Thai-Kadai), ม้ง-เย้า (Hmong-Yao) (น.11) |
|
Study Period (Data Collection) |
ระยะเวลาดำเนินงาน 1 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2546-2547 |
|
History of the Group and Community |
รายงานการศึกษาในเอกสารเวียดนาม พบว่า กลุ่มชาติพันธุ์ม้งเป็นกลุ่มที่เคลื่อนย้ายจากประเทศจีนเข้ามาในเขตภาคเหนือของเวียดนามราวคริสต์วรรษที่ 18 มีการตั้งถิ่นฐานบนพื้นที่สูงในขณะที่ลุ่มริมน้ำห้วยเป็นที่ตั้งของกลุ่มที่ใช้ภาษาตระกูลไทมาก่อน โดยมีประเด็นสำคัญสามช่วง คือ ครั้งที่หนึ่ง ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 ม้งจากมณฑลกวี๋เจิว ได้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในอำเภอซีมากาย ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของจังหวัดหล่าวกายและขยายออกไปตั้งถิ่นฐานในซาปา ครั้งที่สอง กลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 เกิดเหตุการณ์กบฏไต้ผิงทางตอนใต้ของจีน ส่งผลให้ชาวม้งได้อพยพมาในเขตหล่าวกายและเป็นการอพยพเข้าเวียดนามที่ใหญ่ที่สุด โดยเข้ามาตั้งถิ่นฐานในเมืองเคือง ซีมากาย บั๊กห่า ในจังหวัดหล่าวกาย และได้ขยับขยายไปทางบริเวณภาคเหนือเช่นกัน และครั้งที่สาม ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ชาวม้งได้มาตั้งถิ่นฐานที่บ่าวเอียน บ่าวถัง บ้าดซ้าด ทานเอวียน ของจังหวัดหล่าวกาย (น.20) |
|
Settlement Pattern |
กลุ่มชาติพันธุ์ “ไท” ในเวียดนาม เป็นกลุ่มที่พูดภาษาตระกูลไทในสาขาตะวันตกเฉียงใต้ มีถิ่นฐานตั้งอยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนาม ในเขตจังหวัดหล่าวกาย ลายเจิว เดี่ยนเบียนฝู่ เซินลา ฮว่าบิ่งห์ แทงห์หัว เหงะอาน (น.15) จากการศึกษาพบว่ากลุ่มไทในเวียดนามต่างก็มีกลุ่มย่อยและชื่อเรียกที่แตกต่างออกไปตามพื้นที่ เช่น ไทขาว ไทดำ ไทแดง ไทเมือย ไทแถง เป็นต้น และต่อมาได้ถูกจัดระบบให้เหลือเพียง ไทขาว และไทดำ โดยเป็นการพิจารณาจากถิ่นที่อยู่อาศัย กล่าวคือ ไทขาวและไทดำอยู่อาศัยในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนาม จังหวัดลายเจิว เตียนเบียนฝู่และเซินลาตามแนวแม่น้ำดำ (น.19)
กลุ่มชาติพันธุ์ “ม้ง” ในเวียดนาม เป็นกลุ่มที่พูดภาษาตระกูลม้ง-เย้า ตั้งถิ่นฐานหลักในบริเวณภาคเหนือของเวียดนาม โดยเฉพาะจังหวัดที่มีชายแดนติดต่อกับประเทศจีน ได้แก่ กาวบั่ง ห่าซาง หล่าวกาย ลายเจิว และบางส่วนในพื้นที่ที่มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศลาว ได้แก่ เดี่ยนเบียนฝู่ ฮว่าบิ่งห์ เหงะอาน รวมทั้งบางจังหวัดในภาคเหนือ ได้แก่ เอียนบ๋าย บั๊กก่าน และถายเหงวียน (น.19) จากการศึกษาพบว่ากลุ่มม้งในเวียดนามมีชื่อเรียกแตกต่างไปแต่ละท้องถิ่น เช่น ม้งฮวาหรือม้งเหล่ง ม้งดำหรือม้งดู๋ ม้งน้ำเงินหรือม้งจั๋ว เป็นต้น นอกเหนือจากความสนใจด้านวัฒนธรรมพื้นบ้านของกลุ้มม้งแล้ว หลังจากนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ในพื้นที่ภูเขาได้เริ่มขึ้น ทำให้รัฐเล็งเห็นประเด็นปัญหาการพัฒนาในกลุ่มม้งที่แตกต่างจากกลุ่มอื่น อันเนื่องมาจากจารีตและวัฒนธรรมการตั้งถิ่นฐานรวมถึงการเพาะปลูกในการทำไร่เลื่อนลอยนั้น ในเวลาต่อมาจึงได้มีนโยบายด้านเกษตรและการตั้งถิ่นฐานถาวรเกิดขึ้น ปัญหาเรื่องการวางแผนครอบครัวและการเพิ่มของจำนวนประชากร ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะในเขตป่าไม้ ก่อเกิดนโยบายด้านการจัดการพื้นที่สูงโดยมุ่งเน้นไปที่ชาวม้งเป็นหลัก (น.28)
|
|
Demography |
กลุ่มไทในเวียดนาม
จำแนกประชากรกลุ่มที่ใช้ภาษาตระกูลไท-กะไดในประเทศเวียดนาม ซึ่งประกอบด้วย 12 กลุ่มย่อย มีจำนวน 3,896,413 คน คิดเป็นสัดส่วน 37.16% ของจำนวนประชากรชนชาติส่วนน้อยของประเทศ โดยใน 12 กลุ่มแบ่งเป็น 2 ชื่อกลุ่มใหญ่ คือ กลุ่ม ไต-ไท และ กลุ่ม กะได (น.14) (อ้างจาก Khong Dien, 2002)
กลุ่มม้งในเวียดนาม
กลุ่มชาติพันธุ์ม้งจัดให้อยู่ในกลุ่มตระกูลภาษาม้ง-เย้า (อ้างจาก Khong Dien, 2002) มีจำนวน 1,413,711 คน กลุ่มชาติพันธุ์ม้งในเวียดนามประกอบด้วย 3 กลุ่ม คือ ม้ง เย้า และป่าแถ่น โดยที่กลุ่มม้งมีประชากรมากที่สุด คิดเป็นสัดส่วน 55.11% ของจำนวนกลุ่มที่พูดภาษาตระกูลม้ง-เย้า (น.20)
|
|
Political Organization |
จากการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ก่อให้เกิดการศึกษาผลที่เกิดขึ้นจากนโยบายปฏิรูปสังคมของรัฐมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะนโยบายการเคลื่อนย้ายประชากรจากที่ราบสู่เขตภูเขาเพื่อพัฒนาแหล่งทำกิน ซึ่งมีผลกระทบต่อการจัดระเบียบชุมชน สังคม และเศรษฐกิจของชนกลุ่มน้อยในภาคเหนือของเวียดนาม
งานศึกษากลุ่มไทในเวียดนามมีเป็นจำนวนมาก เนื่องจากได้รับความสนใจจากรัฐบาลอันเนื่องมาจากการมีส่วนร่วมต่อขบวนการปลดปล่อยประเทศ โดยเฉพาะสงครามเดียนเบียนฟูที่ซึ่งกลุ่มไทซึ่งมีอิทธิพลในบริเวณนั้น กลุ่มชาติพันธุ์ไทจึงได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสร้างชาติเวียดนาม ภาพของกลุ่มไทจึงถูกนำเสนอเป็นสังคมจารีตสู่การพัฒนาสังคมตามนโยบายของรัฐในที่สุด โดยปรากฏชัดหลังจากนโยบายของรัฐ การเคลื่อนย้ายประชากรเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ในพื้นที่ภูเขา ปี ค.ศ. 1958 เป็นต้นมา หลังจากรัฐได้เปิดประเทศและรับเอาทุนนิยมเข้ามาใช้ในนโยบาย ทำให้การตระหนักถึงบทบาทการอนุรักษ์วัฒนธรรม ในประเด็นด้านศาสนา ความเชื่อได้รับการศึกษามากขึ้น (น.27)
จากการศึกษาเรื่องฝิ่นกับม้ง ทำให้เห็นประเด็นเรื้องม้งกับฝิ่นที่ไม่ได้ผูกอยู่กับม้งเพียงกลุ่มเดียว แต่ทำให้เห็นความสัมพันธ์กับกลุ่มใกล้เคียง อาทิ เย้า ไท และขมุ ที่อยู่ในบริเวณทางเหนือของเวียดนาม ซึ่งได้นำไปสู่ประเด็นตัวแปรทางเศรษฐกิจและการเมืองในช่วงสงครามอินโดจีน โดยเฉพาะการเข้ามาเป็นตัวแปรร่วมในกลุ่มเวียดและเป็นตัวแปรต่อต้านฝรั่งเศส ปัญหาเรื่องฝิ่นในเวียดนามยังคงเป็นปัญหาที่เกี่ยวโยงกับปัญหาความยากจนและยาเสพติด ที่ยังคงได้รับความสนใจจากหน่วยงานในระดับนานาชาติเช่นกัน (น.26)
|
|
Education and Socialization |
จารีตงานเขียนทางชาติพันธุ์วิทยายังคงสืบทอดอิทธิพลของการนำเสนอประวัติศาสตร์กับการสร้างชาติ ขาดการวิพากษ์วิจารณ์เชิงแนวคิดในวงกว้าง ทำให้การเขียนงานชาติพันธุ์วรรณาไม่หลุดพ้นกรอบของประวัติศาสตร์การสร้าง ที่กรอบความคิดดังกล่าวมีบทบาทมาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1950 แล้ว แม้กระทั่งปัจจุบันแนวทางดังกล่าว ยังมีการผลิตซ้ำเพื่อประชาสัมพันธ์การสืบทอดนโยบายทางการเมืองของเวียดนามที่มีต่อกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ (น.12) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
เนื่องจากปัญหาที่ผูกโยงด้านประวัติศาสตร์ อัตลักษณ์ รวมถึงเงื่อนไขทางการเมืองของเวียดนาม มีส่วนสำคัญทำให้เกิดประเด็นการสร้างนิยามของความเป็นกลุ่มย่อยต่างๆ เพื่อเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มชาติพันธุ์ที่ถูกจำแนกอย่างเป็นทางการ โดยเฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์ที่พูดภาษาตระกูลไท และมีการจำแนกเพียง 2 กลุ่ม ใหญ่ คือ ไท และ ไต แต่ในขณะเดียวกันกลับพบว่ามีกลุ่มย่อยที่เรียกชื่อตนเองแตกต่างไปอีกมากมาย แม้ผลงานวิชาการช่วงหลังจะพยายามเสนอแนวคิดเกี่ยวกับอัตลักษณ์กลุ่มแต่ยังขาดการวิพากษ์วิจารณ์เชิงทฤษฎี ซึ่งมีผลต่อจารีตการเขียนงานชาติพันธุ์วรรณาทำให้ไม่สามารถหลุดพ้นกรอบของประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์และการสร้างชาติไปได้ (น.12)
ความเป็นไท ถูกจำแนกตามอัตลักษณ์ทางภาษาตระกูลไท-กะไดร่วมกัน ซึ่งการพูดตามตระกูลภาษานี้ก็ถูกจำแนกออกเป็น 3 กลุ่ม นั่นคือ ไท (ถาย) ไต (ไต่) และกะได อัตลักษณ์ในการรับรู้เรื่องอาณาเขตที่มีร่วมกัน ในกรณีของ “สิบสองจุไท” ยังคงเป็นที่สนใจในบริบทพื้นที่ในการกลายเป็นตัวแทนของสังคมและวัฒนธรรมในอดีต โดยเดิมเป็นที่รู้จักในนาม “สิบหกเจิวไท” (อ้างจาก Cam Trong, 1978) ซึ่งมีเจิว (เมือง) จำนวน 16 เจิว ซึ่งการรับรู้ของคนไทในท้องถิ่นมีความสัมพันธ์โดยตรงกับการจัดการปกครองซึ่งมีความสัมพันธ์กับระบบสิบหกเจิว ในขณะที่ชาวสยามต่างรับรู้และเรียกว่าสิบสองจุไท ลักษณะของสังคมและวัฒนธรรมถูกนำเสนอออกมาในแนวสังคมที่มีการพัฒนาจากสังคมจารีตสู่การพัฒนาตามนโยบายของรัฐ (น.17)
ความเป็นม้ง ถูกจำแนกตามอัตลักษณ์ทางภาษาตระกูลม้ง-เย้าร่วมกัน และถูกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ ม้ง เย้า และป่าแถ่น ภาพความเป็นม้งในยุคแรกถูกนำเสนอทางวัฒนธรรมพื้นบ้าน วิถีชีวิตและจารีตประเพณี ที่ส่งผ่านความเป็นดนตรี เพลงพื้นบ้าน และพิธีกรรมต่างๆ และต่อมาจารีตประเพณีบางประการได้เป็นอุปสรรคของการพัฒนาประเทศในเวลาต่อมา เช่น การตั้งถิ่นฐานในพื้นที่สูง การทำไร่เลื่อนลอย อุปนิสัยการปลูกฝิ่น หากจะมองถึงอัตลักษณ์ความเป็นม้งคงมองข้ามการปรับตัวและการดำรงอยู่ร่วมกับธรรมชาติไปไม่ได้ สิ่งเหล่านี้ได้แสดงถึงอัตลักษณ์การปรับตัวโดยแสดงผ่านประเพณีและวัฒนธรรม การพัฒนาความรู้พื้นบ้านกับการจัดการสิ่งแวดล้อม การใช้ทรัพยากรที่มีในการดำรงชีวิตแบบดั้งเดิม เช่น ความรู้เรื่องสมุนไพร อาหาร และการจัดการสิ่งแวดล้อมด้วยประเพณี (น.24)
|
|
Other Issues |
การรวบรวมเอกสารเพื่อจัดเป็นสาระสังเขป พร้อมรายการบรรณานุกรม โดยมีเอกสารเกี่ยวกับกลุ่มไท จำนวน 70 เรื่อง และเอกสารเกี่ยวกับกลุ่มม้ง จำนวน 50 เรื่อง ในท้ายเล่ม |
|
|