สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject เมล็ดพันธุ์พืช, ชุมชนอาข่า, วิถีการดำเนินชีวิต, พืชท้องถิ่น, ผลกระทบ
Author ทรงวุฒิ แลเชอะ และคณะ
Title โครงการศึกษาวิจัยองค์ความรู้การเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์พืชของชนเผ่าอาข่า
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity อ่าข่า, Language and Linguistic Affiliations -
Location of
Documents
- ฐานข้อมูลงานวิจัย ศมส.: [เอกสารฉบับเต็ม]
- ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
Total Pages 25 Year 2556
Source ทรงวุฒิ แลเชอะ และคณะ. (2556). การศึกษาวิจัยองค์ความรู้การเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์พืชของชนเผ่าอาข่า. กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
Abstract

โครงการศึกษาวิจัยองค์ความรู้การเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ของชาติพันธุ์อาข่าได้ตระหนักถึงปัญหาและคำนึงความสำคัญของการจัดเก็บองค์ความรู้ของเมล็ดพันธุ์พืชผัก และผลไม้ต่างๆที่มีความสำคัญต่อวิถีชีวิต ซึ่งเป็นสิ่งที่มีคุณค่า เป็นความมั่นคงทางอาหารของชุมชน เนื่องจากเกี่ยวข้องกับวิถีการดำรงชีพที่เรียบง่ายพอเพียง ชุมชนอาข่าตั้งแต่อดีตมีการปลูกพืชผักสวนครัวจากการพึ่งพิงธรรมชาติไว้บริโภค แบ่งปัน พึ่งพาอาศัยกันของคนในชุมชน  สิ่งที่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นของชุมชน เริ่มเกิดจากการสูญเสียละทิ้งวิถีการดำรงชีพแบบเดิมไป เนื่องจากผลกระทบจากมาตรการรัฐ การจำกัดพื้นที่ มีการส่งเสริมการเกษตรเชิงพาณิชย์ ที่เบี่ยงเบนวิถีชีวิตให้หันไปสู่ปลูกพืชที่สร้างเงิน แม้ว่าจะส่งผลทำให้ชุมชนมีรายได้มากขึ้น เงินที่ได้นำมาสู่สิ่งอำนวยความสะดวกสบายในชีวิตประจำวัน   แต่ก็ทำให้คนในชุมชนห่างเหินกันขึ้นเรื่อยๆ มีใช้ชีวิตแบบต่างคนต่างอยู่มากขึ้น เพราะแต่ละครัวเรือนใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับทำการเกษตรเพื่อรายได้ ความเป็นชุมชนถูกลดทอน ชุมชนยังต้องพึ่งพาอาศัยเมล็ดพันธุ์จากภายนอกที่มีราคาที่สูงขึ้นเรื่อยๆทุกวันตามกระแสเศรษฐกิจ รวมทั้งไม่สามารถขยายพันธุ์เมล็ดมาใช้เองได้เนื่องจากเป็นพืชเชิงเดี่ยว มีการใช้ปุ๋ยเคมีบำรุงดินเนื่องจากพื้นที่จำกัดและสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่ต้องใช้ปริมาณสูงเนื่องจากปลูกพืชเชิงพาณิชย์ อีกทั้งความแปรปรวนทางสภาพอากาศที่ไม่แน่นอนยังส่งผลโดยตรงต่อผลผลิต ทำให้รายได้ของคนในชุมชนไม่พอใช้ในชีวิตประจำวัน โดยโครงการได้มีการวางแผน เก็บรวบรวมข้อมูลเมล็ดพันธุ์พืชท้องถิ่นของชุมชนให้มาอยู่ในรูปแบบคู่มือองค์ความรู้ของชุมชน สร้างความตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงอาชีพการเกษตรที่มีผลกระทบต่อเมล็ดพันธุ์ท้องถิ่น รวมถึงจัดตั้งศูนย์เมล็ดพันธุ์พืชชุมชน ส่งเสริมพัฒนาศักยภาพขององค์กรในชุมชน จากการประชุม เปิดโอกาสให้แลกเปลี่ยนพูดคุยกัน โดยให้คนชุมชนมาร่วมวิจัยเชิงปฏิบัติการ โดยได้รับความร่วมมือจากชุมชนทุกระดับ กระทั่งชุมชนสามารถวิเคราะห์ปัญหาและจัดเก็บองค์ความรู้ มาประยุกต์ใช้แก้ปัญหาเองได้ โดยผลการดำเนินของโครงการส่งผลทำให้เมล็ดพันธุ์พืชท้องถิ่นฟื้นฟูกลับมาสร้างความหลากหลายทางชีวภาพในสภาพแวดล้อมอีกครั้ง ส่งผลให้ชุมชนกลับมามีความมั่นคงทางอาหารอีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าปัญหาการเกษตรเชิงพาณิชย์หรือการใช้สารเคมีจะยังมีอยู่  (น.4-5)

Focus

การศึกษาวิจัยครั้งนี้เพื่อศึกษารวบรวมองค์ความรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่นเกี่ยวกับพืช ผัก และผลไม้ท้องถิ่น พัฒนาการด้านการเกษตรของชุมชนชาวไทยภูเขาเผ่าอาข่า บ้านอาแย ตำบลป่าไหน่ อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ ในภาวะการณ์เปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ และการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ และเพื่อพัฒนาศักยภาพองค์กรชาวบ้าน ในการคิดวิเคราะห์ปัญหา กำหนดทางเลือกในการแก้ไข ในรูปแบบของการวิจัยเชิงปฏิบัติการโดยองค์กรชาวบ้าน 

Theoretical Issues

ชุมชนอาข่าบ้านอาแย ในเดิมทีแล้ววิถีชีวิตของชาวอาข่ามีวิถีชีวิตพอเพียง ทำไร่หมุนเวียนเป็นระบบเพาะปลูกที่มีการพักฟื้นที่ดินเป็นวงจร รวมทั้งมีการปลูกพืชผักแบบผสม ที่ประกอบไปด้วยพืชผักหลายชนิดรวมทั้งเลี้ยงสัตว์และบริโภคสัตว์ขาย (น.7)  แต่ด้วยในภายหลังชุมชนเกิดการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากมาตรการควบคุมใช้พื้นที่ของภาครัฐที่เข้ามา ได้เปลี่ยนแปลงพื้นที่ของชุมชน ให้กลายเป็นพื้นที่การทำงานของสถานีเกษตรดอยม่อนล้าน เมื่อการใช้พื้นที่ไร่หมุนเวียนถูกจำกัด ส่งผลต่อวิถีชีวิตการดำรงชีพแบบเกษตรที่เรียบง่ายถูกให้ความสำคัญน้อยลง การทำเกษตรที่ให้เม็ดเงินถูกให้ความสำคัญส่งผลให้ผู้คนเริ่มปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตจากภาคการเกษตรเพื่อดำรงชีพอาศัยกันและกันในชุมชนสู่การทำการเกษตรเพื่อขาย การพี่งพากันและกันน้อยลง เพราะใช้ชีวิตแบบต่างคนต่างอยู่ในการปลูกพืชเพื่อขาย การปลูกผักครัวเรือนแบบในอดีตค่อยๆถูกแทนที่สูญหายไปตามรุ่นสู่รุ่น และผลกระทบของเศรษฐกิจ และภัยพิบัติธรรมชาติ โรคระบาด ที่ส่งผลกระทบต่อผลผลิตโดยตรง ทำให้ชุมชนตกอยู่สภาวะขาดความมั่นคงทางด้านอาหาร วิถีชีวิตแบบในอดีตค่อยๆเลือนหายไป (น.8) ดังนั้นเพื่อรื้อฟื้น ภูมิปัญญาวิถีชีวิตชุมชนในอดีตที่สั่งสมกันมายาวนานให้กลับมา จึงต้องมีการประชุมกันหาทางออกของชุมชนเพื่อหาทางสร้างความมั่นคงทางด้านอาหารให้กลับสู่ชุมชนอีกครั้ง โดยการทำงานร่วมกันยังได้สร้างความเข้มแข็งสานสัมพันธ์ให้กับคนในชุมชน โดยวิเคราะห์ถึงปัญหาและผลกระทบที่เกิดขึ้น จากสภาวะการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ และรวบรวมข้อมูลการประกอบอาชีพของคนในชุมชน ศึกษารวบรวมองค์ความรู้เมล็ดพันธุ์ในท้องถิ่น เพื่อนำมาสู่แนวทางในการใช้ประโยชน์ เช่น การฟื้นฟู การเพาะปลูก การขยายผลการปลูกพืช นำไปสู่การดำเนินโครงการ ที่สามารถรวบรวมองค์ความรู้การเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์พืชของชาติพันธุ์อาข่าเก็บไว้ในศูนย์เมล็ดพืชพันธุ์ของชุมชน รวมทั้งกระตุ้นให้สมาชิกในชุมชนทุกระดับ ได้ตระหนักถึงความสำคัญของพืชและผลไม้ท้องถิ่นและเข้าใจถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น รวมทั้งได้ทักษะการแก้ปัญหา นำความรู้จากการเข้าร่วมโครงการไปใช้ประโยชน์ ได้คิดหาทางออกร่วมกันเกิดการสันทนาการที่สานสัมพันธ์ คนรุ่นใหม่กับคนรุ่นเก่า เยาวชน ผู้ปกครอง ผู้รู้ ทำงานร่วมกันสู่การอนุรักษ์ภูมิปัญญาพืชท้องถิ่น (น.9)  

Ethnic Group in the Focus

ชุมชาวอาข่า บ้านอาแย ตำบลป่าไหน อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ เป็นชุมชนที่อยู่พื้นที่สูง ลาดชันและชาวอาข่าได้มาตั้งชุมชนอยู่บริเวณนี้มานานกว่า 30 ปี โดยเป็นพื้นที่ชุมชนเดิมของชาติพันธุ์ลีซูที่อพยพออกไป (น.7)

History of the Group and Community

ชาติพันธุ์อาข่า คือชาติพันธุ์กลุ่มหนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่บนภูเขาสูงทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และตะวันตกเฉียงใต้ของมณฑลยูนนานในประเทศจีน นอกจากนี้ยังอาศัยอยู่ตามประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ ลาว พม่า ไทย ชาวอาข่าย้ายเข้ามาในประเทศไทยเมื่อประมาณ 120 กว่าปีที่แล้ว กระจายอยู่ตามภาคเหนือของประเทศไทย โดยเฉพาะจังหวัด อาศัยอยู่มากที่สุดในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ และจังหวัดอื่นๆ พระเยา ลำปาง แพร่ ตาก และเพชรบูรณ์ ชาวอาข่าประกอบไปด้วย 8 กลุ่ม คือ อู่โล้ (Uq Lor) ลอมี้ (Law mir) อู่ บยา (Uq byaq) หน่าคะ (Naq Kavr) อาเคอะ (A ker) อาจ้อ (A Jawr) อู่พี (Uq Piq) และเปียะ (Pyavq)  (น.7)

Settlement Pattern

ชาวอาข่าชอบตั้งหมู่บ้านบนพื้นที่สูงเป็นสังคมใหญ่ ภายในหมู่บ้านอาข่าจะมีองค์ประกอบ หลายอย่างตามศาสนาดั้งเดิม และสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนชาติพันธุ์อื่นเลยก็คือ ล่อข่อง(ประตูศักดิ์สิทธิ์) และหล่ะเฉ่อ (เสาชิงช้า) ซึ่งถ้าเห็นสองอย่างนี้ก็สามารถเดาได้เลยว่าเป็นหมู่บ้านของอาข่า (น.7)

Demography

ชาวอาข่าแบ่งออกเป็น 8 กลุ่ม มีประชากรอยู่ประมาณ 70,000 คน (น.7) 

Economy

ระบบเศรษฐกิจของชาวอาข่าในบ้านอาแย เป็นระบบเศรษฐกิจแบบเรียบง่ายพึ่งพาอาศัยกันในชุมชน ปลูกพืชผักสวนครัวเรือน ในการบริโภคหากเหลือจะแบ่งให้เพื่อนบ้าน แต่ด้วยมาตรการจัดการพื้นที่ของรัฐ การจัดตั้งกรมส่งเสริมการเกษตร ได้มีการส่งเสริมการเพาะปลูกเชิงพาณิชย์เข้ามาแทนวิถีชีวิตการเพาะปลูกผักสวนครัวแบบดั้งเดิม (น.4) เช่น บ๊วย ท้อ เชอรี่ ชา และ กาแฟ (น.18)

พืชท้องถิ่นของชาวอาข่าที่เพาะปลูกกัน จากการศึกษารวบรวมเมล็ดพืชพบว่า มีการเพาะปลูกเมล็ด พันธุ์ พืช ผัก และผลไม้ท้องถิ่นมากถึง 177 ชนิดพันธุ์ (น.14)

Social Organization

ในโครงการแสดงให้เห็นถึงความสำคัญในการตระหนักถึงปัญหาที่กระทบมาสู่ชุมชน ชาวอาข่าในบ้านอาแยมีการรวมกลุ่มพูดคุย มีส่วนร่วมในการวิจัยเชิงปฏิบัติและรวมตัวกันประชุมกันจากในทุกระดับ คณะทั้งงาน ทั้งผู้รู้ เยาวชน ผ่านการประชุมตามประสงค์ของโครงการส่งเสริมศึกษาวิจัยองค์ความรู้การเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์พืชท้องถิ่น เกิดบรรยากาศการที่สร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างในชุมชน (น.9-10)  

โครงการมีการจัดการประชุม สร้างความเข้าใจ ได้มีการรวบรวมผู้รู้ในชุมชน วิทยากร ที่สามารถให้ความรู้ต่อเด็กและเยาวชน ที่ส่งเสริมให้ตระหนักต่อการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยและผลกระทบต่อชุมชน ทรัพยากรธรรมชาติและสัตว์ป่า   อีกทั้งมีการร่วมงานกันระหว่างผู้รู้ ผู้อาวุโส ผู้ปกครองและเด็กเยาวชน และให้ความสำคัญต่อการรวบรวมความรู้เมล็ดพืชท้องถิ่น ได้เข้าใจถึงทิศทางในอดีต สิ่งที่ตามมาในอนาคต (น.13) 
 

Political Organization

ชาวอาข่านับถือและให้เกียรติผู้อาวุโสมาก แม้ว่าจะมีแนวคิดการปกครองจากทางราชการเข้ามา การปกครองแบบดั้งเดิมยังคงมีอยู่และใช้ควบคู่กันกับโครงสร้างแบบเดิม (น.7)

Education and Socialization

การถอดองค์ความรู้เกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์พืชของชาวอาข่าจากผู้อาวุโสสู่คนรุ่นหลังนั้นไม่มีความสืบทอดและต่อเนื่อง (น.20) เรียกได้องค์ความรู้เกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์พืชท้องถิ่นนั้นกระจุกตัวอยู่กับคนรุ่นก่อน และไม่มีการถ่ายทอดไปสู่คนรุ่นหลังอย่างเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน โดยพบว่าคนรุ่นหลังไม่มีความรู้เกี่ยวกับการเพาะปลูกและใช้ประโยชน์จากเมล็ดพันธุ์พืชท้องถิ่น (น.21)
 
โครงการจัดการองค์ความรู้ได้เข้ามาทำหน้าที่รวบรวมองค์ความรู้เกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์ท้องถิ่น จึงทำให้เกิดการเกิดคณะทำงานที่สร้างการเรียนรู้แก้ปัญหาร่วมกันระหว่าง คนรุ่นเก่า ผู้รู้ ผู้ปกครอง และเด็กเยาวชน คนรุ่นใหม่ โดยได้รับความร่วมมือจากทุกระดับของชุมชน
1.ประชุมชี้แจงทำความเข้าใจในรายละเอียดของโครงการในระดับชุมชน
การดำเนินงาน : คณะทำงานโดยประสานงาน จัดประชุมผู้เข้าร่วมกิจกรรม อันได้แก่ ผู้รู้ แกนนำ สตรีและเยาวชนโดยชี้แจงให้เห็นถึง ความสำคัญของประเด็นของโครงการ จนได้รับความเข้าใจ เปิดเวทีการแลกเปลี่ยน กำหนดแนวทางร่วมกัน     
ผลลัพธ์ที่ได้ : พบว่าผู้เข้าร่วมกันการยินดีให้ความร่วมมือและเห็นด้วยกับการศึกษาเพื่อให้มีการเผยแพร่และสืบทอดต่อคนรุ่นต่อไป  (น.10)
 
2.ประชุมประจำเดือน คณะทำงานรายงาน ผลการทำงานต่อที่ประชุมหมู่บ้าน 
การดำเนินงาน : คณะทำงานนัดการประชุม ตามสถานที่ที่ความเหมาะสมได้แก่ โรงเรียน ศาลา และในบ้านต่างๆตามความเหมาะสม โดยเป็นการทำความใจร่วมกัน เกี่ยวกับแผนการและงบประมาณเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติการในขั้นต่อไป โดยเชิญ ผู้รู้ และเยาวชน โดยมีการทบทวนกำหนดทิศทางของปฏิบัติงานรายเดือนระหว่างคณะทำงานร่วมกัน เพื่อหาแนวทางและพูดคุยถึงอุปสรรคของการทำงานในชุมชน
ผลลัพธ์ที่ได้ : เกิดการประชุมทั้งหมด 6 ครั้ง ผู้รู้และเยาวชน ได้ทบทวนและกำหนดแผนปฏิบัติงานร่วมกัน มีการแลกเปลี่ยน แก้ไขอุปสรรคไปพร้อมกัน ทำให้มีความเข้าใจแผนการไปในทิศทางเดียวกัน   (น.10-11) 
 
3.ประชุมเชิงปฏิบัติการ เพื่อออกแบบการสำรวจและฝึกทักษะ 
การดำเนินงาน : ผู้รับผิดชอบโครงการยกร่าง และออกแบบฟอร์มในการสำรวจเก็บข้อมูล เมล็ดพันธุ์พืชท้องถิ่นขึ้นมา 1 ชุด โดยได้รับความร่วมมือจากหลายส่วน โดยคณะทำงานจัดเตรียมสถานที่ มีการจัดเวทีแสดงความคิดเห็น ปรับร่างแก้ไข โดยมีที่ปรึกษาจาก วิทยาการ ผู้เชี่ยวชาญ ออกมาให้ความรู้ประกอบกัน และเปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็น ร่วมกันวิเคราะห์กรอบเนื้อหา 
ผลลัพธ์ที่ได้ : ได้กรอบเก็บข้อมูลที่ชัดเจน คณะทำงานและผู้เข้าร่วมทุกคน เข้าใจเนื้อหาอย่างถ่องแท้ สามารถจัดเก็บข้อมูลเมล็ดพันธุ์พืชได้  โดยมีส่วนร่วมในการวางแผนในการเก็บข้อมูลเมล็ดพันธุ์พืชอย่างดี
 
4.เก็บข้อมูลพัฒนาการการประกอบอาชีพ การเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล ภัยพิบัติที่เคยเกิดขึ้นที่ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของพืชท้องถิ่น
การดำเนินงาน : คณะทำงานทำการจัดประชุม เตรียมร่างประเด็นและหัวข้อในการจัดเก็บข้อมูลชุดต่างๆ โดยมีที่ปรึกษาของโครงการ วิทยากร และผู้เชี่ยวชาญจากภายนอก และประสานงานกับผู้รู้ในชุมชน เพื่อทำความใจให้ความรู้กับเยาวชน  มีการจัดเก็บข้อมูลด้านการพัฒนาการประกอบอาชีพ และการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล และภัยพิบัติที่เกิดขึ้น และผลกระทบต่อพืชท้องถิ่น (น.12)
 
5.จัดเวทีเปลี่ยนเรียนรู้ให้เด็กและเยาวชนเข้ามาร่วมแลกเปลี่ยนการเรียนรู้ พัฒนาการประกอบอาชีพและการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลและผลกระทบต่อพืชท้องถิ่น 
การดำเนินงาน : เป็นกิจกรรมสันทนาการ เป็นการให้ความรู้แก่เด็กเยาวชน ได้เรียนรู้สันทนาการและมีการสอดแทรกประเด็นที่มาจากปัญหาในการวิจัย เช่น อาชีพของคนในหมู่บ้านอาแยในอดีตและปัจจุบัน  เมล็ดพันธุ์พืชท้องถิ่น เหตุการณ์ภัยพิบัติ ผลกระทบ เกิดการเรียนรู้ เข้าใจสภาพบริบทของชุมชน ผ่านกิจกรรม สิ่งแวดล้อมและพันธุ์พืชต่างๆ ที่มีอยู่ในชุมชนว่ามีความสัมพันธ์กับวิถีชีวิตอย่างไร (น.13-14)
ผลลัพธ์ : เด็กและเยาวชนนอกจากจะได้เรียนรู้สภาพบริบทและสิ่งแวดล้อมรวมทั้งพันธุ์พืชต่างๆแล้วนั้น  ยังได้สร้างความสัมพันธ์ที่ดี ให้สามารถเรียนรู้ท่ามกลางความแตกต่างที่หลากหลายมิติ ได้แสดงความคิดเห็นและบอกเล่าความใฝ่ฝันที่อยากให้ชุมชนเป็นในแบบที่ต้องการ เกิดความตระหนักในเหตุการณ์ และผลกระทบที่ตามมา 
 
6.การสำรวจข้อมูลพืช ผัก และผลไม้ท้องถิ่นและวิเคราะห์ร่วมกับผู้รู้เยาวชน
การดำเนินงาน : จัดเวทีสำหรับผู้รู้ด้านเมล็ดพันธุ์ต่างๆ เข้ามาแลกเปลี่ยน ตรวจสอบข้อมูลตามที่แต่ละคนมี เพื่อเก็บข้อมูล ได้มีการเพิ่มเติมข้อมูลให้ถูกต้องสำหรับการจัดทำคู่มือชุดองค์ความรู้
ผลลัพธ์ : ได้รับข้อมูลจากผู้รู้ด้านเมล็ดพันธุ์พืชเป็นอย่างดี ได้รับองค์ความรู้การเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์พืช รวมทั้งคณะทำงานและเยาวชนได้ร่วมกันสำรวจข้อมูลเมล็ดพันธุ์ และได้ปรับแก้ข้อมูลให้ละเอียดยิ่งขึ้น  (น.14-15)
 
7.จัดทำข้อมูลเมล็ดพันธุ์พืชท้องถิ่น และเทคนิค การปลูก การดูแล
การดำเนินงาน : มีการถ่ายรูปเมล็ดพันธุ์พืชต่างๆ ประกอบข้อมูลโดยมีผู้รู้คอยให้คำแนะนำ แล้วช่วยกันจัดทำเป็นข้อมูลเป็นคู่มือ โดยให้ผู้ที่มีเทคนิคช่วยกันออกแบบตัวเล่ม จากนั้นจัดพิมพ์คู่มือ
ผลลัพธ์ : ได้จัดเก็บรูปภาพเมล็ดพันธุ์มากกว่า 100 ชนิดพันธุ์ และได้ออกแบบคู่มือการใช้ประโยชน์ของเมล็ดพันธุ์พืชท้องถิ่นของบ้านอาแย 1 ชุด  และได้จัดพิมพ์ออกมาจำนวน 100 เล่ม (น.15)
 
8.สรุปผลการทำงานและวางแผน สำหรับระยะที่สอง
การดำเนินงาน : จัดเวทีประชุมชาวบ้าน ทบทวนผลการดำเนินงานที่ผ่านมาทั้งหมด คณะทำงานนำเสนอผลงานที่เกิดขึ้นต่อผู้เข้าร่วม แลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวทางในการดำเนินการในอนาคตต่อไป
ผลลัพธ์ : ได้นำเสนอผลที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงาน ให้ผู้รู้ เด็กและเยาวชน คณะทำงาน เล็งเห็นคุณค่าและความสำคัญ และเห็นพ้องร่วมกันว่าจะช่วยกัน รักษาเมล็ดพันธุ์พืชท้องถิ่น ที่มีผลต่อการดำเนินชีวิต และพร้อมที่จะถ่ายทอดความรู้ให้กับคนในท้องถิ่น และใช้ประโยชน์จากเมล็ดพันธุ์พืชของตนเองอย่างจริงจัง และสุดท้ายคณะทำงานโครงการนั้นได้เรียนรู้ทักษะต่างๆจากการดำเนินโครงกา
 

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ชาวอาข่าส่วนใหญ่ทำอาชีพ การเกษตร แบบไร่หมุนเวียน การเกษตรของอาข่าจะเป็นแบบผสมผสาน โดยปลูกทุกอย่างเข้าไปด้วยกัน โดยในไร่จะปลูกข้าว ข้าวโพด และมีการเพาะปลูกไว้ใช้ในพิธีกรรม มีการเลี้ยงสัตว์ไว้บริโภคถ้าเหลือก็ส่งขาย บริโภคกันในครอบครัว ถ้าเหลือก็จะแบ่งปันแก่ญาติ เพื่อนบ้าน หลังบ้านของอาข่าก็จะมีการปลูกพืชผักสวนครัวไว้รับประทานเอง แสดงให้เห็นถึงความมั่นคงทางอาหารของชาวอาข่า (น.7)

Social Cultural and Identity Change

นโยบายการจัดการพื้นที่และการเปลี่ยนที่ทำกินของชุมชนให้กลายเป็นพื้นที่ของการทำงานของสถานีเกษตรที่สูงดอยม่อนล้าน และมีการสนับสนุนชาวบ้านให้หันมาปลูกพืชที่เป็นเงินสด (น.4) ได้แก่ บ๊วย ท้อ เชอรี่ ชา กาแฟ และพืชผักผลไม้เมืองหนาวที่สามารถทำเงินได้ และถือว่าเป็นการปรับเปลี่ยนพืชหลักที่ปลูกของชาวบ้านในชุมชนทำให้เกิดผลกระทบทั้งด้านบวกและด้านลบต่อชุมชน
 
ผลกระทบด้านบวก ชาวบ้านมีรายได้เพิ่มขึ้น สามารถนำเงินไปใช้จ่ายหาสิ่งอำนวยความสะดวกในการดำรงชีพได้ เช่น รถยนต์ รถมอเตอร์ไซต์ โทรศัพท์ (น.7) การติดต่อสื่อสารเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายมากขึ้น (น.21)
 
ผลกระทบด้านลบ คือวิถีการชีวิตแบบดั้งเดิม การพึ่งพาธรรมชาติทำได้น้อยลง วิถีชีวิตการดำรงชีวิตแบบต่างคนต่างอยู่เพิ่มมากขึ้น เพราะแต่ละครัวเรือนใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการทำเกษตรเพื่อขาย ส่งผลให้วิถีชีวิตปลูกผักสวนครัวในอดีตค่อยๆสูญหาย เนื่องจากการพึ่งพาการเกษตรแบบพาณิชย์ (น.4) เมล็ดพันธุ์เหล่านี้ไม่สามารถเก็บเมล็ดเพื่อขยายพันธุ์ต่อไปได้  ทำให้ชาวบ้านต้องพึ่งพิง เมล็ดพืชจากภายนอกที่เป็นพืชเชิงเดี่ยวพันธุ์ใหม่ๆ เช่น ผักคะน้า ผักกวางตุ้ง และกะหล่ำดอก และมีการพึ่งพิงสารเคมีในการบำรุงดิน เช่น ข้าวโพดต้องใช้พื้นที่ปลูกเยอะ ไม่สามารถควบคุมปัจจัยวัชพืชได้ จึงแก้ปัญหาโดยใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช ในข้อจำกัดของพื้นที่ดินที่เสื่อมสภาพ ประกอบกับปัจจัยทางด้านสภาพอากาศที่แปรปรวนตลอดเวลา เช่น เกิดภัยพิบัติ ฝนไม่ตกตามฤดูกาล โรคชนิดต่างๆ (น.21) สิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบ สร้างความเสียหายโดยตรงต่อผลผลิต ชุมชนผู้คนตกอยู่ในสภาวะความไม่มั่นคงทางอาหาร (น.4) 
 
องค์ความรู้การรู้จักเมล็ดพันธุ์พืชแบบในอดีต ลดหายไปตามรุ่นสู่รุ่น ทำให้คนรุ่นหลังไม่มีความรู้ทางการเกษตรที่ได้รับสืบทอดจากรุ่นก่อน ทั้งการจัดเก็บรักษา การใช้ประโยชน์จากพืชและผัก ผลไม้ในท้องถิ่น ที่กระจุกตัวอยู่ที่ผู้อาวุโสคนรุ่นหลัง (น.20-21)
 
การศึกษาพบว่าผู้อาวุโสและผู้รู้ มีความรู้การเพาะปลูกเมล็ดพันธุ์พืชท้องถิ่น มากถึง 60 ชนิดพันธุ์ และในครัวเรือนที่วัยกลางคน อายุ 30-50 ปีนั้นมีการเพาะปลูกเพียง 30-40 ชนิดพันธุ์ ในขณะที่รุ่นใหม่ที่อายุ 30 ปีลงมาแล้วนั้นมีความรู้การเพาะปลูกเพียง 10-20 ชนิดพันธุ์เท่านั้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นปัญหาของกระบวนการถ่ายทอดจากคนรุ่นก่อนมาสู่คนรุ่นใหม่ ที่ไม่ต่อเนื่องและไม่ยั่งยืน (น.20)
 

Text Analyst สิทธิศักดิ์ โลเกตุ Date of Report 05 ม.ค. 2566
TAG เมล็ดพันธุ์พืช, ชุมชนอาข่า, วิถีการดำเนินชีวิต, พืชท้องถิ่น, ผลกระทบ, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง