|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
เรือนพื้นถิ่น, ไทยอีสาน, ไทยโคราช, แบบผสม, ความสัมพันธ์ |
Author |
ศุภชัย ถนอมพันธ์, ชินศักดิ์ ตัณฑิกุล |
Title |
แบบแผนและความสัมพันธ์ของเรือนพื้นถิ่นระหว่างกลุ่มคนไทย-อีสานและไทย-โคราช พื้นที่กรณีศึกษาตำบลบ้านค่าย อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ |
Document Type |
- |
Original Language of Text |
- |
Ethnic Identity |
ไทยโคราช คนโคราช คนบ้านเอ๋ง หลานย่าโม, ไทเบิ้ง ไทเดิ้ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
มหาวิทยาลัยศิลปากร, ฐานข้อมูลวารสารอิเล็กทรอนิกส์กลางของประเทศไทย
[เอกสารฉบับเต็ม] |
Total Pages |
28 |
Year |
2557 |
Source |
วารสารหน้าจั่ว: ว่าด้วยสถาปัตยกรรม การออกแบบ และสภาพแวดล้อม ปีที่ 28 (2557) หน้า 237-264 |
Abstract |
กลุ่มคนไทย-อีสานและไทย-โคราช ณ บ้านค่ายหมื่นแผ้ว มีการสร้างบ้านเรือนที่ยังคงยึดถือแบบแผนของผังพื้นเรือนดั้งเดิมเอาไว้อย่างเหนียวแน่น แต่มีการปรับรูปลักษณ์ภายนอกตามการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิต ทั้งนี้พบว่า รูปแบบของเรือนไทย-โคราช มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เช่น มีการปรับจากหลังคาทรงจั่วสูงมาเป็นทรงจั่วเตี้ย ส่วนเรือนไทย – อีสานยังคงทำตามแบบเรือนดั้งเดิมไว้ อย่างไรก็ตาม การอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างยาวนานร่วม 2 ศตวรรษของคน 2 กลุ่ม ย่อมเกิดการหยิบยืมองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมระหว่างกัน ดังเช่น ชาวไทย-อีสาน นำรูปแบบของผังเรือนชาวไทยโคราชมาใช้ทั้งทางตรงและทางอ้อมโดยผ่านการแต่งงานระหว่างกันรวมถึงการนำเข้าโดยกลุ่มช่างในพื้นที่ |
|
Focus |
บ้านค่ายหมื่นแผ้ว เป็นชุมชนที่มีกลุ่มชาติพันธุ์ไทย–อีสานและไทย–โคราช อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานยาวนานกว่า 200 ปี การอาศัยอยู่ร่วมกันก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนผสมกลืนกลายทางวัฒนธรรม ซึ่งรวมไปถึงรูปแบบทางสถาปัตยกรรมที่มีการปรับเปลี่ยนไปตามวิถีชีวิต ดังนั้น จึงสมควรเป็นอย่างยิ่งที่จะใช้แบบแผนทางความเชื่อ ประเพณี การตั้งถิ่นฐานและที่อยู่อาศัยมาศึกษาเรือนพื้นถิ่นเพื่อแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนสองกลุ่ม |
|
Theoretical Issues |
รูปแบบของเรือนพื้นถิ่นเป็นสิ่งหนึ่งที่แสดงถึงเอกลักษณ์ของคนแต่ละกลุ่ม เช่นเดียวกับพื้นที่บ้านค่ายหมื่นแผ้ว อันเป็นที่อยู่อาศัยร่วมกันของคน 2 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มคนไทย-อีสานและไทย-โคราช ซึ่งต่างสร้างบ้านเรือนตามแบบบรรพบุรุษของตน แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปการอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างยาวนานทำให้เกิดการหลอมรวมรูปแบบของวัฒนธรรมของสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นผ่านการแต่งงานข้ามกลุ่ม ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการแต่งเขยเข้าบ้าน โดยฝ่ายชายมักนำแบบแผนของเรือนที่เคยอยู่อาศัยเข้ามาในพื้นที่จึงเกิดการหยิบยืมองค์ประกอบระหว่างกัน พบว่า มีการหยิบยืมผังพื้นเรือนโคราชมาใช้ในทางตรง เช่น ความกว้างของเรือนนอน มีส่วน “พะ” ที่ต่อจากเรือนนอนออกไป 1 ช่วงเสา ถัดมาจึงเป็นระเบียงและนอกชาน เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีการนำมาใช้โดยปรับเปลี่ยนและดัดแปลง โดยการตัดส่วน “พะ” ออกไป หรือการนำมาปรับใช้ให้เข้ากัน โดยนำรูปแบบเรือนนอนของกลุ่มคนไทย-อีสานที่มีส่วน “พะ” ต่อจากเรือนนอนออกมาอีก 1 ช่วงเสากับระเบียงและม้ารองตีน สำหรับก้าวขึ้นเรือนนอนซึ่งเป็นรูปแบบเรือนของกลุ่มคนไทย-โคราช เป็นต้น |
|
Ethnic Group in the Focus |
“ลาว” เป็นชื่อสมมติที่สันนิษฐานว่า เรียกตามตระกูลภาษาอย่างกว้าง ๆ ซึ่งมีความหมายว่า คนหรือผู้เป็นใหญ่ ต่างจากคำว่า ไท - ไต ที่หมายถึง คนทั่วไป ทั้งนี้เชื่อว่า ลาว มาจากกลุ่มคนเมืองแถนลุ่มแม่น้ำแดง - ดำ ในสมัยต่อมาจึงเข้ามาตั้งหลักแหล่งใหม่บริเวณริมฝั่งโขงเรียกว่า เชียงดง เชียงทอง จนเติบโตเป็นอาณาจักรล้านช้าง (น. 239)
“คนอีสาน” ไม่ใช่ชื่อของกลุ่มชาติพันธุ์ แต่เป็นชื่อทางวัฒนธรรมตามภูมิศาสตร์ ที่ใช้เรียกชื่อทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ทั้งนี้ในพื้นที่ภาคอีสานประกอบไปด้วยกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ แม้กระทั่งคนลาวที่ถูกเหมารวมว่าเป็นคนอีสาน ก็ยังมีความแตกต่างกันในหลายแง่มุม เช่น สำเนียงภาษา (น. 239) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
“ไทย - โคราช” มีภาษาพูด ประเพณี พิธีกรรรม อักษรศาสตร์ เป็นแบบไทยภาคกลาง โดยมีสำเนียงการพูดที่ออกเสียงเหน่อ เรียกกันว่า สำเนียงโคราช จึงเรียกตนเองว่า ไทย – โคราช, ไทย - เกิ้ง, ไทย – เบิ้ง (น. 240) |
|
History of the Group and Community |
ชุมชนบ้านค่ายหมื่นแผ้ว มีชื่อเดิมว่า “บ้านค่าย” เกิดจากท้าวแลซึ่งอพยพมาจากเวียงจันมีดำริให้ใช้พื้นที่แห่งนี้ตั้งค่ายทหาร เพื่อฝึกช้างสำหรับการสู้รบ โดยมีหัวหน้าผู้ดูแลคือนายหมื่นแผ้ว ต่อมาได้ขยายตัวกลายเป็นชุมชนขนาดใหญ่และเปลี่ยนชื่อเป็น “บ้านค่ายหมื่นแผ้ว” มีกลุ่มคน 2 กลุ่มใหญ่ ๆ อาศัยอยู่ร่วมกัน คือ กลุ่มไทย-อีสานและไทย-โคราช โดยกลุ่มไทย-อีสานมีจำนวนมากที่สุด ตามประวัติศาสตร์กล่าวว่า ชาวไทย-อีสาน อพยพเข้ามาในช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ส่วนกลุ่มคนไทย-โคราช อาศัยอยู่มาตั้งแต่สมัยอยุธยา |
|
Settlement Pattern |
กลุ่มคนไทย-อีสานและไทย-โคราช บ้านค่ายหมื่นแผ้ว นิยมตั้งบ้านเรือนอยู่บนที่ดอนซึ่งมีทุ่งนาล้อมรอบ รูปแบบของชุมชนขยายตัวเป็นแนวยาว (linear village) คือไล่ตามแนวถนนและแม่น้ำชี โดยมีลักษณะของเรือนปลูกสร้างอยู่กันเป็นกลุ่มก้อนและหนาแน่นบริเวณใจกลางชุมชน ส่วนบริเวณรอบนอกเป็นลักษณะของการแยกออกมาหาทำเลใหม่จึงมีการตั้งบ้านเรือนที่เบาบางกว่าแต่อยู่ในระยะทางที่สามารถเดินทางไปหาเครือญาติได้สะดวก โดยกลุ่มคนไทย-อีสาน จะตั้งบ้านเรือนอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของหมู่บ้านติดริมแม่น้ำชี สำหรับกลุ่มคนไทย-โคราชนั้นจะตั้งบ้านเรือนอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของหมู่บ้านติดริมแม่น้ำชีและเกาะตามแนวถนนของหมู่บ้าน มีการแบ่งแยกกันอย่างชัดเจนระหว่างแต่ละครอบครัว |
|
Demography |
บ้านค่ายหมื่นแผ้ว อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ มีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 5,355 คน แยกเป็นชาย 2,613 คน หญิง 2,742 คน มีจำนวนครัวเรือน 1,537 หลังคาเรือน ความหนาแน่นของประชากรเฉลี่ย 1,003 คน/ตารางกิโลเมตร (น. 240) |
|
Economy |
บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำชีถือเป็นแหล่งทรัพยากรหลักของชุมชนเพราะมีความสำคัญต่อการเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำนาที่เริ่มเพาะปลูกตั้งแต่เดือนมิถุนายนและเก็บเกี่ยวในช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนมกราคม หลังจากทำนาชาวบ้านจึงจะเริ่มเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจชนิดอื่น เช่น ข้าวโพดหรือพืชที่ใช้น้ำน้อย ในขณะที่บางคนออกไปรับจ้างทำงานทั่วไปทั้งในและนอกพื้นที่ หรือออกจับปลายังแหล่งน้ำต่าง ๆ เช่น แม่น้ำชี คลอง หนองน้ำ เป็นต้น สำหรับคนไทย-อีสาน จะมีอีกอาชีพหนึ่ง นั่นคือ อาชีพเลี้ยงช้าง ซึ่งปัจจุบันนิยมเลี้ยงสำหรับแสดงโชว์ทั้งในและนอกประเทศ มีการจัดตั้งเป็นคณะแสดงจำนวน 14 คณะ แต่ละคณะจะมีช้าง 2-3 เชือก รอนแรมแสดงไปตามที่ต่าง ๆ เมื่อถึงฤดูกาลทำนาจึงจะสลับกันกลับมาทำนาที่บ้าน (น.243-244) |
|
Social Organization |
บ้านค่ายหมื่นแผ้ว ตั้งอยู่ใกล้กับที่ราบลุ่มแม่น้ำชี มีกลุ่มคน 2 กลุ่มใหญ่อาศัยอยู่ร่วมกัน คือ กลุ่มคนไทย-อีสานและไทย-โคราช โดยกลุ่มคนไทย-อีสานจะแบ่งการปกครองออกเป็นหมู่ ควบคู่ไปกับการแบ่งออกเป็นคุ้มบ้าน โดยคุ้มบ้านดั้งเดิมนั้นจะมีชื่อเรียกว่า “คุ้มบ้านใหญ่” คุ้มบ้านรอบนอกมีชื่อเรียกว่า คุ้มบ้านน้อย, คุ้มบ้านโซ่ง, คุ้มบ้านโซ้งมะเกลือและคุ้มตลาด แต่ละคุ้มนั้นจะเชื่อมกันด้วยถนน มีศาลากลางบ้านและสิ่งก่อสร้างเกี่ยวกับความเชื่อได้แก่ ศาลปู่ตา, ศาลโฮงปะกำหรือศาลปะกำที่ใช้ร่วมกันตามข้อตกลงของแต่ละคุ้มบ้าน มีวัด 2 แห่ง ได้แก่ “วัดใหญ่” หรือวัดกลางหมื่นแผ้ว เป็นวัดเก่าแก่ของชุมชน ต่อมาเมื่อชุมชนขยายตัวและการตัดถนนชัยภูมิ-สีคิ้วผ่ากลางชุมชน ทำให้ผู้เฒ่าผู้แก่ไม่สะดวกเดินทางไปทำบุญที่วัด จึงก่อตั้งวัดใหม่ขึ้นมาอีกแห่ง ได้แก่ “วัดน้อย” หรือวัดนาคาวาสวิหาร ตั้งอยู่ริมถนนชัยภูมิ-สีคิ้วติดทุ่งนาของหมู่บ้าน ส่วนกลุ่มคนไทย-โคราช อยู่รวมกันเป็นระบบเครือญาติเช่นเดียวกันแต่ไม่ใหญ่มากนักและแบ่งแยกกันอย่างชัดเจนระหว่างแต่ละครอบครัว และไม่แบ่งออกเป็นคุ้มแต่จะใช้สถานที่สำคัญเป็นที่ตั้งเช่น วัด, โรงเรียน, โรงพยาบาลประจำตำบล (สถานีอนามัย) แล้วเรียกว่า บ้านหน้าวัด. บ้านท้ายวัด, บ้านหน้าโรงเรียน และบ้านท้ายโรงเรียน เป็นต้น เพื่อให้ง่ายต่อการจดจำและเข้าใจ มีศาลากลางบ้านประจำชุมชนและศาลปู่ตา มีวัด 1 แห่ง คือ “วัดบ้านท่าหว้า” หรือวัดชุมพลสวรรค์ |
|
Political Organization |
บ้านค่ายหมื่นแผ้ว อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ ในอดีตเคยอยู่ภายใต้การปกครองของนครราชสีมา ปัจจุบันอยู่ในเขตการปกครองของเทศบาลตำบลบ้านค่ายหมื่นแผ้ว มีหมู่บ้านภายใต้การปกครองจำนวน 6 หมู่บ้าน (น. 240) |
|
Belief System |
ความเชื่อและประเพณีของกลุ่มคนไทย-อีสานและไทย-โคราช บ้านค่ายหมื่นแผ้ว มีฐานมาจากวัฒนธรรมอีสาน ซึ่งมีความเชื่อเรื่องผีปู่ตาและการนับถือศาสนาพุทธ รวมถึงประเพณีสำคัญคือ “ฮีตสิบสอง คลองสิบสี่” ซึ่งเป็นความเชื่อร่วมของคนทั้งสองกลุ่มที่ต่างยึดถือปฏิบัติ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีความเชื่อและประเพณีที่เหมือนกัน ดังเช่น พิธีกรรมเลี้ยงผีปู่ตา ที่ทั้ง 2 กลุ่มจะจัดขึ้นในเดือน 6 ของทุกปีและต้องเป็นวันพุธเท่านั้น ซึ่งถือปฏิบัติเหมือนกัน แต่ในรายละเอียดแล้วกลุ่มคนไทย-อีสานจะทำบุญเลี้ยงผีปู่ตาก่อน จากนั้น 3-4 วันจึงจะทำบุญบ้าน ส่วนกลุ่มคนไทย-โคราช จะเลี้ยงผีปู่ตา พร้อมกับทำบุญบ้านในวันเดียวกัน สาเหตุดังกล่าว เป็นเพราะชาวไทย-โคราชมีขั้นตอนและวิธีปฏิบัติเรียบง่ายกว่าคนไทย-อีสานที่ยึดถือแบบแผนปฏิบัติอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อที่ต่างกันออกไป คือ ผีโฮงปะกำ อันเป็นความเชื่อเฉพาะคนเลี้ยงช้างที่อยู่ในกลุ่มคนไทย-อีสาน ทั้งนี้ในรอบ 1 ปี กลุ่มควาญช้างของคนไทย-อีสานทั้งหมดจะรวมตัวกันกลับบ้านในงานพาแลงของหมู่บ้าน เพื่อพบปะพูดคุยกับญาติพี่น้องและผู้คนในชุมชน รวมถึงเข้าร่วมงานสมโภชน์พระยาแลซึ่งจะจัดขึ้นในเดือนมกราคมของทุกปี (น.244-245) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
รูปแบบของเรือนพื้นถิ่น ส่วนมากจะเป็นเรือนยกใต้ถุนสูง โดยตัวเรือนจะวางตัวตามตะวัน ยกเว้นเรือนสมัยใหม่ที่หันหน้าเรือนเข้าถนน รูปแบบของเรือนที่พบในบ้านค่ายหมื่นแผ้วของกลุ่มคนไทย-อีสานมีเรือนเกย เรือนโข่ง และเรือนสมัยใหม่ ทั้งนี้องค์ประกอบของเรือนพื้นถิ่น ประกอบด้วย เรือนนอน (เรือนใหญ่) แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ห้องเปิง ซึ่งเป็นห้องนอนลูกชาย มักไม่มีการกั้นห้อง ห้องพ่อ-แม่ อาจกั้นห้องหรือปล่อยโล่ง และส่วนที่สามห้องนอนลูกสาว หรือเรียกว่าห้องส่วม มีประตูและฝากั้นมิดชิด ส่วนถัดมาคือ เกย คือบริเวณลานโล่งที่มีหลังคาคลุม เรือนโข่ง เรือนครัว (เรือนไฟ) และชานแดด สำหรับกลุ่มคนไทย-โคราช พบรูปแบบเรือน 2 ห้อง เรือน 2 ห้องแบบจั่วแฝด และเรือนสมัยใหม่ ทั้งนี้ องค์ประกอบของเรือนพื้นถิ่น ประกอบด้วย เรือนนอน เป็นที่นอนของพ่อ แม่ และลูกเล็ก เรือน 2 ห้อง เทียบได้กับเรือนเกยของกลุ่มคนไทย-อีสาน เรือน 2 ห้องแบบจั่วแฝด เทียบได้กับเรือนโข่งกลุ่มคนไทย-อีสาน ส่วนต่อมาคือ ระเบียงหรือพะระเบียง พะ ซึ่งเป็นที่นอนของลูกสาวและลูกเขย นอกชาน ชาน พักบน และพักต่ำ (น.247-249) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
แรกเริ่มเดิมทีคนสองฝั่งโขงทั้งอีสานและลาวสมัยโบราณมีการเดินทางไปมาหาสู่กันอยู่เป็นปกติ โดยมีกลุ่มคนลาวที่เคลื่อนย้ายมายุคแรก ๆ เป็นกลุ่มลาวล้านช้างกับลาวเวียงจัน (อ้างอิงใช้ “เวียงจัน” ตามที่เขียนในบทความ) แต่เมื่อมีการแก่งแย่งอำนาจเกิดขึ้นจนลาวต้องแยกออกเป็น 3 อาณาจักรได้แก่ หลวงพระบาง เวียงจัน และจำปาสัก จึงทำให้เกิดการอพยพโยกย้ายครั้งยิ่งใหญ่ โดยมีกลุ่มพระตาและพระวอ, กลุ่มเจ้าผ้าขาวและท้าวโสมพะมิตร เป็นต้น รวมถึงการทำสงครามระหว่างธนบุรีกับลาว เป็นเหตุให้ชาวลาวถูกกวาดต้อนมาเป็นจำนวนมาก ต่อมาภายหลังปฏิรูปการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 5ได้มีการประกาศให้ชาวลาวอีสานทั้งหมดเป็นคนไทยซึ่งอยู่ในบังคับของสยาม ส่งผลให้ “คนลาวอีสาน” ถูกทำให้เป็นคนไทยมาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อย่างไรก็ตาม ทั้งกลุ่มคนไทย-อีสานและไทย-โคราช ได้นำความเชื่อที่ยึดถือกันตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษติดตัวมาด้วยและก่อสร้างเป็นศาลปู่ตา เฉพาะคนไทย-อีสานจะมีศาลโฮงปะกำหรือศาลปะกำที่ใช้ร่วมกันตามข้อตกลงของแต่ละคุ้มบ้าน |
|
Map/Illustration |
- ภาพที่ 1 แสดงเส้นทางการอพยพของ 3 กลุ่ม สำคัญที่หนีภัยสงครามจากเวียงจันทร์เข้าสู่ภาคอีสาน ได้แก่ กลุ่มท้าวแล (ชัยภูมิ) กลุ่มเจ้าผ้าขาว, ท้าวโสมพะมิตร (กาฬสินธุ์) และกลุ่มพระวอ, พระตา (อุบลราชธานีและยโสธร) (น.241)
- ภาพที่ 2 แสดงเส้นทางการอพยพของกลุ่มขุนนางเข้าสู่เมืองโคราชเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาแตกและเส้นทางการเดินทางของกรมหมื่นเทพพิพิธเพื่อที่จะแก้ไขกรุงศรีอยุธยา แต่ถูกตีแตกจึงไปตั้งหลักที่เมืองโคราช (น.241)
- ภาพที่ 3 (ซ้ายมือ) แสดงตำแหน่งที่ตั้งของพื้นที่กรณีศึกษาในจังหวัดชัยภูมิ (กลาง) แสดงอาณาเขตของบ้านค่ายหมื่นแผ้วและตำแหน่งของพื้นที่วิจัย (ขวามือ) แสดงขอบเขตของพื้นที่วิจัยและตำแหน่งที่อยู่อาศัยของกลุ่มคนไทย-อีสานและกลุ่มคนไทย-โคราช (น.242)
- ภาพที่ 4แสดงผังและรูปตัดการตั้งถิ่นฐานของกลุ่มคนไทย-อีสานและกลุ่มคนไทย-โคราช (น.244)
- ภาพที่ 5แผนที่ตำแหน่งเรือนพื้นถิ่นจำนวน 32หลัง ที่สำรวจพบในชุมชนบ้านค่ายหมื่นแผ้ว (น.246)
- ภาพที่ 6แสดงตัวอย่างรูปแบบเรือนพื้นถิ่นของกลุ่มคนไทย-อีสานและกลุ่มคนไทย-โคราช ในชุมชนบ้านค่ายหมื่นแผ้ว (น.249)
- ภาพที่ 7ภาพถ่ายส่วนต่าง ๆ ของเรือนพื้นถิ่นกลุ่มคนไทย-อีสานและกลุ่มคนไทย-โคราช (น.252)
- ภาพที่ 8แสดงการเปรียบเทียบองค์ประกอบของผังพื้นเรือนอีสานแบบดั้งเดิมกับเรือนพื้นถิ่นของกลุ่มคนไทย-อีสาน และผังพื้นเรือนโคราชแบบดั้งเดิมกับเรือนพื้นถิ่นของกลุ่มคนไทย-โคราช ในชุมชนบ้านค่าย (น.255)
- ภาพที่ 9แสดงการเปรียบเทียบรูปลักษณ์ของเรือนอีสานแบบดั้งเดิมกับเรือนพื้นถิ่นของกลุ่มคนไทย-อีสาน และรูปลักษณ์เรือนโคราชแบบดั้งเดิมกับเรือนพื้นถิ่นของกลุ่มคนไทย-โคราช ในชุมชนบ้านค่าย (น.256)
- ภาพที่ 10ภาพสามมิติแสดงตัวอย่างและรูปลักษณ์และผังเรือนของกลุ่มคนไทย-อีสานและกลุ่มคนไทย-โคราช ในชุมชนบ้านค่ายหมื่นแผ้ว (น.267)
- ภาพที่ 11แสดงตัวอย่างเรือนกรณีศึกษาที่นำรูปแบบและองค์ประกอบของผังพื้นเรือนระหว่างกันมาใช้และภาพสามมิติที่แสดงตัวอย่างของการนำมาใช้แบบที่ 3(นำมาใช้โดยปรับให้เข้ากัน) (น.259)
- ตารางที่ 1 แสดงสถานภาพของประเพณีฮีตสิบสองที่ยังคงถือปฏิบัติของกลุ่มคนไทย-อีสานและกลุ่มคนไทย-โคราช ในชุมชนบ้านค่ายหมื่นแผ้ว (น.246)
- ตารางที่ 2แสดงจำนวนและรูปแบบเรื่อนพื้นถิ่นของกลุ่มคนไทย-อีสานและกลุ่มคนไทย-โคราช ที่สำรวจพบในชุมชนบ้านค่ายหมื่นแผ้ว (247) |
|
|