|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ผู้ไท,โซ่,ประวัติศาสตร์,พิธีกรรม,สกลนคร |
Author |
สุรัตน์ วรางค์รัตน์ |
Title |
การศึกษาเชิงเปรียบเทียบประเพณีวัฒนธรรมของชาวผู้ไทย - ชาวโซ่ |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ผู้ไท ภูไท,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
หอสมุดกลางมหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตวังท่าพระ |
Total Pages |
113 |
Year |
2524 |
Source |
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์, วิทยาลัยครูสกลนคร โครงการวิจัยสังคมวัฒนธรรมอีสาน |
Abstract |
เนื้อหาสาระคลอบคลุมทั้งประวัติความเป็นมา และพิธีกรรมต่าง ๆ ของทั้งผู้ไทยและโซ่ โดยมีการแบ่งแยกเนื้อหาในส่วนของผู้ไทยและโซ่อย่างชัดเจน และยังมีบทสรุปที่ได้ทำการเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มชนทั้งสองนี้ด้วย |
|
Focus |
การเปรียบเทียบพิธีกรรมระหว่างผู้ไทยและโซ่ |
|
Theoretical Issues |
ผู้เขียนไม่ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนมากนักว่าใช้แนวทฤษฎีใดในการอธิบายเปรียบเทียบโครงสร้างสังคมของผู้ไทยและโซ่ แต่เป็นการชี้ให้เห็นความเหมือนและความแตกต่างระหว่างผู้ไทยและโซ่ |
|
Ethnic Group in the Focus |
ผู้เขียนเรียกกลุ่มชาติพันธุ์ที่ศึกษาว่า "ผู้ไทย" และ "โซ่" ผู้ไทย ทั้งชายและหญิงมีรูปร่างสันทัด สูงประมาณ 140-160 ซม. ผิวขาว-เหลือง ใบหน้ารูปไข่ค่อนข้างแบน จมูกเล็กแต่ไม่โด่ง ริมฝีปากด้านล่างหนากว่าด้านบน มีริ้วรอยย่นเป็นเส้นเล็กๆ เหนือริมฝีปาก ผู้ชายมีขนตามร่างกายสั้นหรือเกือบไม่มีเลย ผมดำดกแต่แข็ง เด็กๆ มีตาสีดำ ส่วนสีขาวในดวงตาออกสีค่อนข้างเหลือง ส่วนวงกลมของดวงตาสีดำสูงกว่าส่วนสีขาวเล็กน้อย (หน้า 7-8)
ส่วนโซ่ ในเอกสารชั้นต้นของไทยมักจะเรียกว่า "ข่ากระโซ่" มากกว่าจะเรียกว่า "โซ่" ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการแตกแขนงของพวกข่า และโซ่ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มของข่า โซ่มีความสูงเฉลี่ยประมาณ 1.40-1.60 ม. ใบหน้ารูปไข่ แบน นัยตาส่วนที่เป็นสีขาวออกเป็นสีเหลืองจมูกเล็กไม่โด่ง ปลายจมูกแบน ริมฝีปากเท่ากันทั้งล่างและบน สีผมค่อนข้างเหลือง ผู้หญิงมีผมเป็นลอนโดยธรรมชาติ ขนตามร่างกายนิ่มสั้นออกสีค่อนข้างเหลือง เด็กเล็กๆ จะมีจุดสีดำตามผิวหนัง แต่จุดนี้จะหายไปเมื่ออายุได้ 31 วันขึ้นไป ผู้ชายนิยมสักจากเหนือเข่าไปจนถึงขาอ่อน ผู้หญิงสักที่ท้องและเอวด้วยลวดลายแบบรวงข้าวหรือลายดอกไม้นานาพันธุ์ (หน้า 21) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ผู้ไทยที่อยู่ในลำน้ำโขง จัดได้ว่าอยู่ในกลุ่มมองโกลอยด์ (Mongoloid) ตอนใต้ของจีนอินโดจีน ในกลุ่มที่พูดภาษาไทยกะได (Tai Kadai) (หน้า 7) โซ่ จัดว่าเป็นกลุ่มมองโกลอยด์ ตระกูลออสโตรเอเชียติค มอญ-เขมร (หน้า 21) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ผู้ไทย ผู้นำผู้ไทยที่ถูกอพยพจากฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงเข้ามาตั้งบ้านเมืองที่อำเภอพรรณนานิคม คือ เจ้าลีหรือโฮงลาง เป็นลูกของพญาก่าผู้เป็นเจ้าเมืองกับภรรยาคนที่ 1 เป็นลูกคนที่ 2 ในจำนวนพี่น้องทั้งหมด 3 คน ส่วนมูลซาภรรยาคนที่ 2 มีบุตร 1 คนชื่อ เจ้าก่ำ เมื่อพญาก่าถึงแก่อนิจกรรมไป นางมูลซาก็ต้องการให้บุตรตนเป็นเจ้าเมือง
แต่ผู้ไทยส่วนใหญ่ต้องการให้เจ้าลีหรือโฮงลางเป็นเจ้าเมือง และในช่วงที่เกิดความขัดแย้งระหว่างผู้ไทย กองทัพไทยได้ยกทัพไปตีเมืองเวียงจันทร์ และเมืองต่าง ๆ ที่ขึ้นกับเวียงจันทร์ ซึ่งก็รวมถึงเมืองวังที่เป็นเมืองของผู้ไทย ผู้ไทยจึงต้องเข้าไปอาศัยในดินแดนญวน เมื่อสงครามสิ้นสุด ผู้ไทยก็ได้กลับมายังเมืองวัง
ต่อมาทางไทยในสมัยรัชกาลที่ 3 มีนโยบายกวาดต้อนผู้คนที่อยู่ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงมาอยู่ในดินแดนฝั่งขวาเพื่อความมั่นคงของไทย โดยมีราชวงศ์ (อิน) เมืองสกลนครเป็นผู้รับอาสาไปทำหน้าที่เกลี้ยกล่อมชาวเมืองต่าง ๆ ทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง จึงได้ตัวเจ้าลีหรือโฮงลางและผู้คนผู้ไทยมาอยู่ในเมืองพรรณานิคม โดยก่อนหน้านี้ก็เคยมีผู้ไทยที่เดือดร้อนจากสงครามได้อพยพข้ามแม่น้ำโขงมาอยู่ในแผ่นดินไทยหลายครั้งแล้วด้วยกัน (หน้า 12-17)
โซ่ ในอำเภอกุสุมาลย์โดนกวาดต้อนมาจากเมืองมหาชัยกองแก้ว เพราะเจ้าเมืองคือ เจ้าจุลนี มีพฤติกรรมคล้ายกบฏและเป็นภัยต่อความมั่นคงของไทย นอกจากนี้ในการอพยพของผู้ไทยกลุ่มเจ้าลี ก็อาจมีโซ่จำนวนไม่น้อยเจ้ามาอยู่ที่อำเภอกุสุมาลย์นี้ด้วย (หน้า 23-25) |
|
Settlement Pattern |
ชุมชนของผู้ไทยและโซ่ มีลักษณะเป็นชุมชนแบบหมู่บ้านชนบท ตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้กันเป็นหมู่บ้าน (หน้า 49) เมืองพรรณนานิคม ทางทิศเหนือมีหนองน้ำใหญ่เรียกว่าหนองท่มหรือหนองทุ่มและห้วยปลาหาง ทิศใต้อยู่ห่างจากภูเขาเล็กๆ พอมีที่ราบทำนา ทิศตะวันออกจรดทิศเหนือเป็นป่า ทิศตะวันตกมีที่ราบและหนองน้ำใหญ่ 3 แห่ง (หน้า 17) |
|
Social Organization |
การแต่งงาน : หนุ่มสาวทั้งผู้ไทยและโซ่นิยมเลือกคู่สมรสในหมู่บ้านเดียวกัน พ่อ-แม่ของหญิงสาวจะไม่กีดกันชายหนุ่มที่มาพูดจาเกี้ยวพาราสี แต่จะเป็นผู้ช่วยในการตัดสินใจของลูกสาว การทาบทามสู่ขอของผู้ไทยนั้นจะมีญาติผู้ใหญ่ของฝ่ายชายมาติดต่อ แต่สำหรับโซ่นั้น หนุ่มโซ่จะเป็นผู้บอกกล่าวกับบิดา-มารดาฝ่ายหญิงด้วยตนเอง
ในวันหมั้นหมายผู้ไทยจะมีของสำคัญสิ่งหนึ่งคือ เทียน 1 คู่ เรียกว่า "เทียนสัจจะ" ส่วนโซ่นั้นสิ่งที่ขาดไม่ได้คือถ้วย 1 คู่ ซึ่งหากฝ่ายหญิงคือเทียน-ถ้วยก็แสดงว่าเลิกร้างกันไป ฝ่ายหญิงที่ยังนับถือผีเรือนทั้งผู้ไทยและโซ่ จะนำหมู ไก่ เหล้า ที่ฝ่ายชายนำมา เอาไปไหว้ผีเรือนเสียก่อน และถ้าหากมีการหมั้นน้องสาวแต่พี่สาวยังไม่มีครอบครัว จะต้องนำเงินจำนวนหนึ่งมาผูกแขนรับขวัญพี่สาวด้วย เพื่อไม่ให้พี่สาวเสียขวัญว่าจะต้องเป็นโสดตลอดไป
ก่อนวันแต่งงานของผู้ไทย ญาติพี่น้องของคู่สมรสจะไปรวมกันยังบ้านที่กำหนดไว้เพื่อเตรียมทำพานบายศรี ด้ายผูกแขน และทำเทียนขอขมาให้พอกับจำนวนญาติผู้ใหญ่
พิธีแต่งงานจะเริ่มขึ้นในเวลากลางวัน เมื่อเจ้าบ่าวมาถึงบ้านที่จัดงาน เจ้าสาวจะส่งคนมารับ ซึ่งมักเป็นหญิงที่แต่งงานแล้วมีความสงบราบรื่นในครอบครัว ก่อนขึ้นบันได จะมีเด็กผู้หญิงคอยตักน้ำให้ล้างเท้า แล้วจึงเหยียบลงบนก้อนหินใหญ่หรือหินลับมีดซึ่งมีใบตองอ่อนปูทับไว้ ส่วนพิธีแต่งงานของโซ่ ไม่มีพิธีบายศรีเพราะกล่าวกันว่าเป็นพิธีของพวกลาว
ในวันแต่งงานจะมีผู้เฒ่ากล่าวให้โอวาทสั่งสอนให้รู้จักการครองเรือน และผูกแขนให้เจ้าบ่าว-เจ้าสาว หลังจากนั้นคู่บ่าว-สาวจะดูดเหล้าไหเพื่อสาบานว่าจะซื่อสัตย์ต่อกัน และในตอนค่ำก็จะมีพิธีลักพาเจ้าสาวหนี โดยเจ้าบ่าวและเพื่อน ๆ จะแอบไปบ้านเจ้าสางอย่างเงียบ ๆ โดยให้เพื่อนอีกส่วนหนึ่งนั้นคอยอยู่ตามป่าหรือข้าง ๆ บ้าน ที่เจ้าบ่าวเพียงคนเดียวที่จะขึ้นไปบนเรือนแล้วนำง้าวหรือดาบที่ติดตัวมาด้วยไปวางไว้บนเรือน โดยต้องหันปลายดาบเข้าหาตัวและหันด้ามดาบเข้าหาเสาเอกของเรือน
จากนั้นเจ้าบ่าวจะจูงมือเจ้าสาวลงเรือน เมื่อคู่บ่าว-สาวลงมาสมทบกับเพื่อนที่รออยู่และออกไปพ้นบริเวณบ้านเจ้าสาวแล้ว จึงจะเริ่มการร้องรำทำเพลงแสดงความดีใจจนถึงบ้านเจ้าบ่าว และเมื่อเจ้าบ่าวพาเจ้าสาวหนีไปจากเรือน มารดาของฝ่ายหญิงจะเข้าไปบอกผีเรือนไม่ให้ห่วงใยไปชิงตัวลูกหลานกลับคืน
หลังจากนั้นฝ่ายชายจึงกลับมาบอกพ่อแม่ของฝ่ายหญิงว่าตนลักพาลูกสาวไป และทำการสู่ขวัญ มิฉะนั้นจะเป็นการผิดฮีตคอง ส่วนเรือนหอของทั้งผู้ไทยและโซ่นั้น โดยทั่วไปแล้วพ่อแม่ของฝ่ายชายหรือฝ่ายหญิง จะแบ่งเรือนส่วนหนึ่งให้เป็นเรือนหอ ที่ผู้ไทยเรียกว่า "ส้วมหรือส่วม" ซึ่งหมายถึงห้องที่กั้นฝาจากห้องโถงในเรือนให้พอมิดชิดเป็นห้องนอน ต่อเมื่อมีฐานะพอจะปลูกบ้านเองได้จึงแยกครัวเรือนออกไป (Stem family) (หน้า 49-64)
การสืบตระกูล โซ่ ยึดถือฝ่ายแม่เป็นหลัก เมื่อแต่งงานแล้วฝ่ายชายจะเป็นสมาชิกตระกูลของฝ่ายหญิง แต่เมื่อมีงานจัดเลี้ยงผีฝ่ายแม่ของฝ่ายชาย ผู้เป็นสามีก็ยังคงต้องไปในพิธีเลี้ยงผีของตนด้วยเช่นเดียวกัน เพียงแต่ห้ามนำภรรยาและลูกๆ ไป (หน้า 45) |
|
Belief System |
ทั้งผู้ไทยและโซ่ มีทั้งความเชื่อที่ผสมผสานทั้งผี พุทธ และพราหมณ์ ความเชื่อตามหลักพุทธศาสนาก็จะเห็นได้จากการทำบุญตามวันสำคัญทางพุทธศาสนาต่างๆ ส่วนคติแบบพราหมณ์ก็เช่นในงานบวช งานแต่งงานหรือการสู่ขวัญ จะมีผู้ประกอบพิธีที่นุ่งขาวห่มขาวและเป็นผู้ที่มีความรู้ในคัมภีร์พระเวท
ส่วนความเชื่อเรื่องผีนั้นจะเห็นได้จากการถือผีและทำพิธีต่างๆ เพื่อบูชาผีในวาระต่างๆ กันไป เช่น โซ่ มีผีที่เป็นที่นับถือมากคือผีที่ประจำต้นไม้ใหญ่ในป่า และปลูกศาลขึ้นในบริเวณนี้ เรียกว่า ศาลมเหสักข์ และถือว่าเป็นผีพิทักษ์รักษาบ้านเมืองกุสุมาลย์ เพื่อเป็นที่สักการะและประกอบพิธีกรรม ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เรียกว่า ปีใหม่โบราณ ในวันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 โดยการอัญเชิญผีมเหสักข์ให้มารับเครื่องสังเวย และมีการทำพิธีผูกแขนด้วยด้ายขวาที่ข้อมือ เรียกว่า "เจาะอตี" (หน้า 36)
ส่วนผีมเหสักข์ของผู้ไทย เรียกว่า "เจ้าปู่" หรือ "เจ้าหาญแดง" มี "พิธีเลี้ยงถลา" จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ในวันขึ้น 9 ค่ำ เดือน 4 พิธีเริ่มด้วยพิธีกร ซึ่งเรียกว่า "จ้ำหรือกวานจ้ำ" นำอาหาร 8 สำรับไปถวาย (กล่าวกันว่าเจ้าปู่โปรดลาบเลือดสด ชาวบ้านจึงนำควายไปฆ่าที่หน้าศาล แล้วทำลาบพร้อมทั้งใช้เลือดสดผสมคลุกข้าว) แล้วจุดเทียนกล่าวเชิญให้เจ้าปู่มารับเครื่องเซ่น (ที่ขาดไม่ได้เลยก็คือเหล้าอุ (เหล้าไหพื้นบ้าน) สุราขาวหรือแดง เรียกว่า "ม้าขาวและม้าแดง") โดยเปลวเทียนจะลุกโพลงผิดปกติเพื่อเป็นการยืนยันว่าเจ้าปู่มารับเครื่องสังเวยแล้ว
หลังจากนั้นชาวบ้านก็รับประทานอาหารและดื่มสุราร่วมกัน แต่ในระยะ 2 ปีที่ผ่านมา (ประมาณปีพ.ศ. 2522) มีการเชิญปู่เจ้าเข้าทรงที่นางเทียม (คนทรง) เพิ่มเติมจากพิธีปกติ พิธีเลี้ยงถลาเริ่มตั้ง 7.00 - 15.00 น. ชาวบ้านจะนำเอาหัวควาย เขา และกระดูกส่วนอื่น ๆ หามรอบศาล 3 รอบ ก็จะมีลมแรงจากทางทิศตะวันออกพัดมายังศาล เป็นการแสดงถึงการอำลาของเจ้าปู่ (หน้า 37 - 38)
ผีเรือนก็เป็นผีอีกชนิดหนึ่งที่ผู้ไทยนับถืออย่างเคร่งครัด ไม่ว่าผู้ไทยและโซ่จะทำการใดๆ ที่ไม่ใช่กิจวัตรประจำวัน จะต้องบอกให้ผีเรือนทราบทุกครั้ง และมีข้อห้ามมากมาย เช่น ห้ามบุคคลที่ไม่ใช่สมาชิกของครอบครัวเข้ามาในห้องนอน และถือว่ามุมหนึ่งของห้องนอนเป็นมุมของผีเรือน (หน้า 46-47)
พิธีกรรมเกี่ยวกับศพ ก่อนที่จะนำศพออกจากบ้าน จะต้องทำพิธีตัดญาติ โดยการนำก้านกล้วยมาวางที่โลงศพ และให้ญาติพี่น้องผู้ตายจับปลายกล้วยอีกด้านหนึ่งไว้โดยหันหลังให้ศพ แล้วพิธีกรก็ท่องบทสวดเป็นภาษาบาลีสันสกฤตแล้วใช้มีดตัดก้านกล้วย เป็นการบ่งบอกถึงการแยกกันอยู่ระหว่างผู้ตายและผู้อยู่ เมื่อนำศพมาถึงป่าช้า จะมีพิธีเสี่ยงไข่ โดยนำไข่สดมาอธิษฐานหน้าโลงศพว่าถ้าชอบอยู่ที่ใดก็ขอให้ไข่แตกตรงนั้น แล้วจึงทำการเผาตามแบบพุทธศาสนา ณ พื้นที่ตรงนั้น ผู้ไทยบางกลุ่มเชื่อว่าก่อนจะเผาศพ บุตรจะต้องแสดงความกตัญญูและการร่ำลาโดยการก้มลงในโลงศพแล้วใช้ปากงับเสื้อผ้าหรือผ้าขาวม้าของผู้ตายออกจากร่างหรือออกจากโลง โดยไม่แสดงการรังเกียจหรือกลัวว่าจะติดโรคร้ายจากผู้ตาย (หน้า 99)
นอกจากนี้ก็มีพิธีกรรมที่เกี่ยวกับข้าวโดยจัดขึ้นเมื่อเริ่มฤดูฝน ทั้งผู้ไทยและโซ่เรียกตรงกันว่า "พิธีเลี้ยงผีตาแฮก" โดยนำข้าวปลาอาหารและเครื่องบูชามาไว้ที่ศาลเล็ก ๆ ในคันนาแล้วเอ่ยคำพูดที่เป็นสิริมงคล ผู้ไทยจะเสี่ยงทายเพื่อหาวันศิริมงคล (วันธรรมสวนะ) แล้วนำกล้ามาปลูกในคันนาหน้าศาลในคันนา โดยนำต้นกล้ามาปลูกวันละ 1 กอ เริ่มจากวันอาทิตย์เวียนไปจนครบ 7 วัน แล้วสังเกตว่ากล้าที่ปลูกในวันใดงอกงามดีที่สุดจึงเลือกเอาวันนั้นเป็นวันดำข้าวกล้าในนาแปลงใหญ่ ส่วนโซ่มักจะเสี่ยงทายในวันอาทิตย์ (หน้า 41-42) |
|
Education and Socialization |
|
Health and Medicine |
หมออาสาหมู่บ้านหรือบุคคลที่ทางภาครัฐส่งมาในพื้นที่นี้ ทำหน้าที่เป็นเพียงผู้ปฐมพยาบาลหรือบรรเทาอาการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น (หน้า 87) แต่ผู้ไทยส่วนมากนิยมใช้สมุนไพรซึ่งปลูกไว้ตามบ้านมารักษา แพทย์แผนโบราณหรือหมอประจำบ้าน หมอไสยศาสตร์ การเจ็บปวดเกี่ยวกับกระดูกจะใช้ทั้งการนวด ทาน้ำมัน สมุนไพร และใช้คาถาอาคมด้วย แม้แต่การเจ็บป่วยเพียงเล็กน้อยก็ยังให้หมอไสยศาสตร์เสกคาถาอาคม และทำน้ำมนต์ให้ด้วย (หน้า 72),
"จ้ำ" ทำหน้าที่รักษาอาการเจ็บไข้ได้ป่วยของคนและสัตว์เลี้ยง ให้พ้นจากโรคร้าย (หน้า 43)
นอกจากนี้ก็ยังมีหมอเยา ที่มักจะมีผีหรือ "เจ้า" มาสิงสถิต แล้วจึงซักถามคนไข้ เมื่อทราบความต้องการของผีที่สิงคนไข้แล้ว ก็จะขอร้องให้ผีออกจากร่างผู้ป่วยโดยการให้สิ่งตอบแทน เช่น การทำบัดพลีเพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์ ถ้าอาการยังไม่ดีขึ้นแสดงผีในร่างกายผู้ป่วยมีอำนาจมากเกินอำนาจผีของตน ผู้ป่วยต้องไปหาหมออื่นที่มีผีที่มีอำนาจมากกว่าตน ไม่เช่นนั้นแล้วหมอเยาก็อาจกลายเป็นผีชนิดนั้นไปด้วย (หน้า 79 -80) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Folklore |
เรื่องเล่าที่กล่าวถึงความเป็นมาของผู้ไทย : เดิมเมืองแถนยังไม่มีคนอยู่อาศัย มีเทพยาที่เป็นพี่น้องกัน 5 องค์อยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ปรึกษากันว่าจะไปเกิดบนโลกมนุษย์ เพื่อจะได้เป็นต้นแบบของมนุษย์ทั้งปวง แล้วจึงได้อธิษฐานจิตเกิดเนรมิตเป็นรูปเต้าปุง ลอยลงมายังภูเขาทางทิศตะวันออกของเมืองแถน เมื่อน้ำเต้าปุงแตกออกมาก็เป็นมนุษย์รูปร่างแปลกๆ เรียงกันออกมาเป็นคู่ชาย-หญิงตามลำดับ คือ 1. ข่าแจะ 2. ผู้ไทยดำ 3. ฮ่อ 4.แกว 5. แซ่ แล้วต่างก็แยกย้ายไปตั้งถิ่นฐานตามที่ต่างๆ แต่ผู้ไทยได้ตั้งตนเป็นเจ้าและอยู่ที่เมืองแถนต่อไป (หน้า 8-9) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
จากเอกสารของผู้ไทย ผู้ไทยคิดว่าตนเองมีความเฉลียวฉลาดเหนือกว่าโซ่หรือข่ากระโซ่ ดังในเรื่องการจับจองที่ทำมาหากิน โดยใช้การยิงหน้าไม้เป็นการตัดสิน และผู้ไทยยังเชื่อว่าผู้ที่อยู่ในที่ลุ่ม (low land) ซึ่งก็คือผู้ไทย มีอารยธรรมสูงกว่าผู้ที่อยู่ที่ดอน (up land) ซึ่งก็คือโซ่นั่นเอง (หน้า 27) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การศึกษาที่สอนให้นักเรียนเชื่อในเหตุและผลตามหลักการทางด้านวิทยาศาสตร์ เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้พิธีเลี้ยงถลาหายไปจากสังคมไม่ว่าจะเป็นผู้ไทยที่อำเภอพรรณานิคม หรือโซ่ที่อำเภอกุสุมาลย์ อีกปัจจัยหนึ่งก็คือ หลักการของพระพุทธศาสนาที่อธิบายการเกิดเหตุการณ์ต่างๆ ว่าเป็นเรื่องของบาปกรรม ไม่ได้ขึ้นอยู่กับผีสางที่เป็นความเชื่อดั้งเดิมก่อนการเข้ามาของพระพุทธศาสนา ตามมุมบ้านซึ่งแต่เดิมเป็นมุมของผีเรือนก็ได้เปลี่ยนเป็นภาพพระสงฆ์หรือพระพุทธรูปมาติดบูชาแทน (หน้า 39-40) |
|
|