|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ญัฮกุร, ชาติพันธุ์, นิทาน, อัตลักษณ์ |
Author |
พิพัฒน์ กระแจะจันทร์, พนม จิตร์จำนงค์, ประยูร มองทองหลาง, สวิท วงษ์ศรี, เปลี่ยน เย็นจัตุรัส |
Title |
จาก “มะนิ่ฮ ญัฮกุร” (ชาวญัฮกุร) สู่การเป็นมอญทวารวดี และกระบวนการคืนความรู้สู่ชุมชนบ้านไร่ |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
- |
Ethnic Identity |
ญัฮกุร เนียะกุร,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic) |
Location of
Documents |
มหาวิทยาลัยนเรศวร, ฐานข้อมูลวารสารอิเล็กทรอนิกส์กลางของประเทศไทย
[เอกสารฉบับเต็ม] |
Total Pages |
11 |
Year |
2557 |
Source |
วารสารอารยธรรมศึกษาโขง-สาละวิน ปีที่ 5 ฉบับที่ 1 ม.ค.-มิ.ย. (2557) หน้า 77-87 |
Abstract |
ค.ศ. 1984 นับเป็นการเริ่มต้นศักราชการเชื่อมโยงภาษาของชาวญัฮกุรเข้ากับชาวมอญโบราณสมัยทวาราวดี โดย เจอราร์ด ดิฟฟอล์ธ (Gerard Diffloth) นักภาษาศาสตร์ชาวอเมริกัน ซึ่งต่อมาได้รับความสนใจจากกลุ่มชาวมอญกู้ชาติ ในฐานะหลักฐานยืนยันเชื้อสายที่เก่าแก่กว่าชาวพม่าหรือกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ กระทั่งเมื่อกาลสมัยแปรเปลี่ยน อันเป็นผลพวงจากการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวส่งผลให้คำอธิบายเกี่ยวกับชาวญัฮกุรในฐานะชาวมอญโบราณเริ่มชัดเจนมากขึ้น ซึ่งนับเป็นการทำให้ชื่อของชาวญัฮกุรถูกกลืนหายไป อย่างไรก็ตาม ชาวญัฮกุรแห่งบ้านไร่ อำเภอเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ ได้เริ่มเข้าสู่กระบวนการวิจัย ซึ่งช่วยก่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับชาติพันธุ์ของตน จนนายอนันต์ ลิมปคุปตถาวร ให้ทุนสนับสนุนสำหรับจัดพิมพ์หนังสือเรื่อง “ญัฮกุร มอญโบราณแห่งเทพสถิต” เพื่อให้ความรู้แก่บุคคลทั่วไปและส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมร่วมด้วย |
|
Focus |
จัดทำประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ และนำความรู้ไปสู่การฟื้นฟูอัตลักษณ์และคืนความรู้สู่ชุมชน |
|
Theoretical Issues |
ใช้แนวทางในการทำวิจัยแบบมีส่วนร่วม เพื่อเป็นการสร้างและสานต่อความรู้ให้คนท้องถิ่นเข้ามาเรียนรู้และพัฒนาในทิศทางที่ตนเองต้องการ โดยใช้กระบวนการเก็บข้อมูลภาคสนาม จัดทำกิจกรรมเพื่อเผยแพร่ความรู้ทางประวัติศาสตร์โบราณคดี และแปลเนื้อหาเป็นภาษาญัฮกุรเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการอนุรักษ์ภาษาและเคารพต่อสิทธิทางภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์ |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ตระกูลภาษาออสโตรเอเชียติก (Austroasiatic) |
|
History of the Group and Community |
บ้านไร่ เรียกชื่อในภาษาญัฮกุรว่า “โดง คะม่า” บ้านเดิมอยู่ที่ช่องตับเต่า บ้านปรกใหญ่ (โนนสําราญ) และบ้านวังแล่ แต่เมื่อ 80 ปีก่อนเกิดโรคฝีดาษระบาดจึงอพยพมารวมกันที่บ้านไร่ (บ้าน=โดง, คะม่ะ=ไร่) เพราะธรรมชาติอุดมสมบูรณ์อยู่ใกล้กับแหล่งน้ำ ห้วยซับหวาย บ่อนํ้าพระ และนํ้าซับ ภายหลังราว 50-60 ปีที่ผ่านมา มีชาวไทยอีสานอพยพเข้ามา พื้นที่ตั้งอยู่บนเส้นทางคมนาคม คือ ทางเกวียนและช่องเขาที่สามารถติดต่อยังเขตลพบุรีได้ง่าย มีการแลกเปลี่ยนสินค้านำของป่าไปแลกกับเกลือ สินค้าจำเป็นต่าง ๆ ในเขตอำเภอบำเหน็จณรงค์ และยังมีการใช้ช่องชิดเป็นเส้นทางไปยังลำสนธิ ซึ่งภายหลังจากถนนตัดเข้ามาเส้นทางโบราณนี้หมดความสำคัญลง นับตั้งแต่ทศวรรษ 2510 กลุ่มนายทุนภายนอกได้เข้ามาดำเนินกิจการโรงเลื่อยจากการได้รับสัมปทานป่าไม้ ตั้งแต่นั้นมาก็เริ่มมีถนนลูกรังผ่านเข้ามาในหมู่บ้านเพื่อใช้เป็นเส้นทางชักลากไม้ |
|
Settlement Pattern |
บ้านไร่ ตั้งอยู่บนเส้นทางโบราณคดีที่ชาวบ้านใช้สำหรับเดินทางผ่านช่องเขาจากเขตจังหวัดชัยภูมิลงไปสู่เขตจังหวัดลพบุรี พื้นที่ดังกล่าวพบหลักฐานทางโบราณคดีโดยเฉพาะเศษภาชนะดินเผาที่มีอายุเก่าไปถึงพุทธศตวรรษที่ 16-18 เป็นข้อมูลสำคัญต่อการอธิบายการปรากฏตัวขึ้นของชาวญัฮกุรบนพื้นที่ชายขอบที่ราบสูงโคราช และอาจเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์โบราณคดีรัฐทวารวดีกับรัฐเขมร |
|
Economy |
ในทางเศรษฐกิจพบปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำอยู่บ้าง เพราะเป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่บนเส้นทางการท่องเที่ยว และผู้คนที่อพยพเข้ามาภายหลังพัฒนาเศรษฐกิจของตนเองอย่างรวดเร็วทำให้ชาวญัฮกุรมีฐานะทางเศรษฐกิจที่ต่ำกว่า บางครั้งจึงอาจรู้สึกถูกเอารัดเอาเปรียบทางเศรษฐกิจอยู่บ้าง
กระนั้นระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเริ่มเข้ามาในหมู่บ้านในช่วงทศวรรษ 2510 โดยเข้ามาสัมปทานป่าไม้ ชาวญัฮกุรจำนวนมากหันไปเป็นลูกจ้าง ใช้แรงงาน ขณะที่ช่วงเวลาไล่เรี่ยกัน พ.ศ. 2512 ชาวบ้านเริ่มทำการบุกเบิกที่ดินกันมากขึ้น ปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น ข้าวโพด อ้อย ยาสูบ ปัจจุบันหันมาปลูกมันสำปะหลังมากที่สุด การบุกเบิกพื้นที่ป่าจึงขยายขอบเขตมากขึ้น ทศวรรษ 2530 หน่วยงานราชการเริ่มมีการจำกัดควบคุมพื้นที่ป่า ประกอบกับค่าใช้จ่ายครัวเรือนสูงขึ้นไม่เพียงพอจึงต้องออกไปทำงานขายแรงงานนอกพื้นที่ |
|
Social Organization |
หมู่บ้านไร่ มีลักษณะเป็นชุมชนเปิด เป็นพื้นที่ที่ชาวบ้านคุ้นเคยกับระบบการวิจัยมาพอสมควร เนื่องด้วยมีหน่วยงานหรือสถาบันการศึกษาได้เข้ามาศึกษาวิจัยในพื้นที่ ซึ่งเป็นการศึกษาอย่างมีส่วนร่วมมาในระดับหนึ่งแล้ว ตั้งแต่ราว พ.ศ. 2540 เป็นต้นมา และชุมชนเองเป็นชุมชนที่ค่อนข้างมีความเข้มแข็งภายใน มีความเป็นกลุ่มก้อน อีกทั้งให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรมเป็นอย่างดี |
|
Belief System |
ศาลเจ้าพ่อขุนหมื่นขุนพล เป็นศูนย์รวมจิตใจของชุมชน |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
นิทานเรื่องชาวญัฮกุรแยงปราสาทกับชาวเขมร, นิทานเรื่องชาวญัฮกุรรวมรบกับยาโม |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ในอดีตชาวญัฮกุรถูกเรียกว่า “ชาวบน” “คนดง” และ “ชาวละวา” (Lawa) ในปี ค.ศ. 1918-1919อีริค ไซเดนฟาเดน ได้เขียนบทความสำรวจหมู่บ้านชาวญัฮกุรที่อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดชัยภูมิ บันทึกไว้ว่า “ชาวบน” ที่คนไทยเรียกนั้น พวกเขาเรียกตัวเองว่า “เนียะกุล” (Nia-koul) อาศัยอยู่ในปลายเขตเทือกเขาพนมดงเร็ก สาเหตุที่เรียกว่าชาวบนเพราะอาศัยอยู่บนที่สูง ในเรื่องภาษาได้ให้ข้อสังเกตว่าภาษาเนียะกุลมีความใกล้เคียงกับภาษามอญมากกว่าเขมร
นอกจากนั้นในช่วง 50-100 ปีที่แล้ว งานศึกษาหลายชิ้นระบุถึงคนไทยและนักวิชาการโดยทั่วไปรับรู้ว่าชาวญัฮกุรเป็นกลุ่มชาวลัวะ และเริ่มมีการเรียกว่า “ชาวบน” อย่างเป็นทางการปรากฏชัดเมื่อราวทศวรรษ 2500ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับเหตุการณ์คอมมิวนิสต์ในประเทศไทย โดยมีความหมายเทียบเคียงเท่ากับชาวเขา เพื่อแบ่งแยกออกจากนโยบายที่ใช้กับคนไทยพื้นราบ แต่กระนั้นก็เป็นคำในเชิงถูกเปรียบเทียบ รวมถึงคำว่า “คนดง” ที่คนพื้นราบใช้เรียกในเชิงเหยียดหยาม จนเมื่อไม่เกิน 10ปีที่ผ่านมา เริ่มมีการเรียกตัวเองว่า “ญัฮกุร” ด้วยเกิดความตระหนักในเรื่องสิทธิทางชาติพันธุ์และการส่งเสริมจากนักวิชาการภายนอก หน่วยงานภาครัฐ (น.79-80)
จุดเริ่มต้นของการอธิบายว่าชาวญัฮกุรมีความเชื่อมโยงทางภาษากับชาวมอญสมัยทวารวดีเริ่มต้นขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1984 เจอราร์ด ดิฟฟอล์ธ นักภาษาศาสตร์ชาวอเมริกันได้วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างภาษาญัฮกุรกับภาษามอญสมัยใหม่และภาษามอญโบราณที่พบในเขตประเทศไทย และประเทศพม่า ทำให้พบว่าภาษาญัฮกุรมีความใกล้เคียงกันมากกับภาษามอญโบราณที่ปรากฏอยู่ในจารึกสมัยทวารวดี โดยภาษาญัฮกุรได้แยกออกจากภาษามอญสมัยใหม่ราวหนึ่งพันปีหรือหลังจากนั้น นอกจากนี้ยังพบว่าภาษาญัฮกุรมีการยืมคำศัพท์ภาษาเขมรปะปนอยู่ด้วย ซึ่งบ่งบอกว่าเป็นกลุ่มที่เคยมีความสัมพันธ์มาก่อน หลังจากนั้นงานของดิฟฟอล์ธได้ถูกนำไปใช้อธิบายให้ชาวญัฮกุรเปรียบได้กับตัวแทนของชาวทวารวดีเพราะมีภาษาที่เชื่อมโยงกัน
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา การอธิบายว่าชาวญัฮกุรเป็น “ชาวมอญโบราณ” เริ่มเด่นชัดขึ้น เป็นผลมาจากอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เห็นได้จากคำโปรยหัวข้อบทความต่าง ๆ เช่น “ญัฮกุร ชุมชนมอญโบราณแห่งเทพสถิต” นัยยะหนึ่งอาจเป็นการสร้างการรับรู้และความทรงจำใหม่ให้กับทั้งคนในชุมชนและภายนอก ทำให้เกิดความสับสนถึงตัวตนของชาวญัฮกุร พวกเขาจึงชอบใช้ชื่อ “ญัฮกุร” มากกว่าที่จะให้เรียกว่า “มอญโบราณ” (น.80) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การพัฒนาทางเศรฐกิจแบบยังชีพไปสู่เศรษฐกิจแบบตลาดนั้นเป็นสาเหตุหนึ่งที่นำไปสู่ภาวะการดำรงชีพแบบรีบเร่ง คนหนุ่มสาวจำต้องออกไปใช้แรงงานต่างถิ่น การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเป็นผลให้อัตลักษณ์ชาวญัฮกุรค่อย ๆ เลือนหาย ทั้งงานหัตถกรรม งานฝีมือ การสานเสื่อ การตัดเสื้อพ็อกและประเพณีการแห่หอดอกผึ้ง |
|
|