|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
การอนุรักษ์, ชาติพันธุ์, ดนตรี, เทศบาลตำบลบ้านดู่ |
Author |
องอาจ อินทนิเวศ |
Title |
ภูมิปัญญาดนตรีของกลุ่มชาติพันธุ์ ไทเขิน ไทลื้อ และลาหู่ ในพื้นที่เทศบาลตำบลบ้านดู่ จังหวัดเชียงราย |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
- |
Ethnic Identity |
ไทลื้อ ลื้อ ไตลื้อ, ลาหู่ ลาหู่ ละหู่ ลาฮู, ไทขึน ไตขึน ขึน,
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.), ฐานข้อมูลวารสารอิเล็กทรอนิกส์กลางของประเทศไทย
[เอกสารฉบับเต็ม] |
Total Pages |
16 |
Year |
2557 |
Source |
วารสารวิจัยเพื่อการพัฒนาเชิงพื้นที่. ปีที่ 6 ฉบับที่ 3 (ม.ค.-ก.พ.) 2557 หน้า 107-122 |
Abstract |
ผู้วิจัยศึกษาภูมิปัญญาทางดนตรีของกลุ่มชาติพันธุ์ไทเขิน ไทลื้อ และลาหู่ ที่เทศบาลตำบลบ้านดู่ จังหวัดเชียงราย โดยในการวิจัยครั้งนี้มีผู้ร่วมกระบวนการวิจัย ได้แก่ นักดนตรี นักวิชาการท้องถิ่น และผู้นำชุมชนมีเครื่องมือและอุปกรณ์บันทึกภาพและเสียงในการเก็บข้อมูลภาคสนาม รวมทั้งมีการสัมภาษณ์ และนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ สังเคราะห์ ซึ่งผลการวิจัยพบว่า กลุ่มชาติพันธุ์ไทเขินมีการฟ้อนหลายชนิด กลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อมีการขับร้องที่เรียกว่า การขับลื้อ และกลุ่มชาติพันธุ์ลาหู่ มีเครื่องดนตรีที่หลากหลายชนิด ในด้านการอนุรักษ์ภูมิปัญญาดนตรี พบว่า มีการถ่ายทอดแนวคิดที่เกี่ยวกับประเพณีวัฒนธรรมออกมาในรูปแบบของดนตรี และยังมีการแต่งกายพื้นเมืองในการแสดงด้วย รวมถึงเรื่องของภาษาที่อยู่ในเนื้อร้องก็ยังคงอนุรักษ์ไว้ดังเดิม ส่วนในเรื่องของแนวทางการอนุรักษ์ คือ ควรทำให้เป็นรูปธรรม เช่น การจัดทำเอกสารให้ความรู้ จัดตั้งชมรมอนุรักษ์ภายในท้องถิ่น รวมถึงควรจัดการเรียนการสอนเกี่ยวกับดนตรีชาติพันธุ์ภายในโรงเรียนด้วย (น.107) |
|
Focus |
ศึกษาและอนุรักษ์ภูมิปัญญาทางดนตรีเชิงสังคมของกลุ่มชาติพันธุ์ ได้แก่ ไทเขิน ไทลื้อ และลาหู่ ที่เทศบาลตำบลบ้านดู่ จังหวัดเชียงราย ศึกษาถึงปัจจัยที่ช่วยสร้างสรรค์ภูมิปัญญาทางด้านดนตรี บทบาทและสภาพของ นักดนตรีกลุ่มชาติพันธุ์ รวมไปถึงอุปสรรคปัญหาของการสืบทอดดนตรีชาติพันธุ์และแนวทางการอนุรักษ์ดนตรี ชาติพันธุ์ที่เห็นผลเป็นรูปธรรม |
|
Theoretical Issues |
ผู้วิจัยได้ศึกษาแนวคิดทางดนตรีชาติพันธุ์วิทยา แนวคิดทางด้านภูมิปัญญา และเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยผู้วิจัยกำหนดพื้นที่วิจัย คือ ที่เทศบาลตำบลบ้านดู่ จังหวัดเชียงราย และได้เลือกกลุ่มเป้าหมายของผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ นักดนตรีกลุ่มชาติพันธุ์ นักวิชาการดนตรีท้องถิ่น และผู้นำชุมชนท้องถิ่น และผู้วิจัยมีเครื่องมือและการเก็บข้อมูล ดังนี้ ข้อมูลด้านเอกสาร เช่น สิ่งพิมพ์ ข้อมูลด้านบุคคล เช่น ผลจากการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูล และการเก็บข้อมูลภาคสนาม โดยการเดินทางร่วมกับนักดนตรีกลุ่มชาติพันธุ์เพื่อสังเกต และมีการจัดเสวนาในชุมชน ผู้วิจัยมีการศึกษาหาข้อมูลก่อนลงภาคสนาม โดยการศึกษาจากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ ขั้นต่อมาได้ศึกษาภูมิปัญญาดนตรีโดยการเก็บข้อมูลภาคสนามแบบมีส่วนร่วม คือ การสัมภาษณ์ การสนทนากลุ่ม เป็นต้น และสุดท้ายจึงนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ ซึ่งเป็นการวิเคราะห์เชิงพรรณนาและสรุปข้อมูล (น.110-111) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ไทเขิน หรือ ไทขึน เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในประเทศพม่า จีน และลาวเป็นส่วนใหญ่ คำว่า ขึน มีความหมายว่า ฝืน เพราะแม่น้ำขึนไหลลงทางเหนือ ไม่ไหลลงทางใต้ ชาวไทที่อยู่แถวนั้นจึงถูกเรียกว่าชาวไทขึน แต่คนไทยเรียกเพี้ยนเป็น ไทเขิน (น.111-112)
ไทลื้อ เป็นกลุ่มชาติพันธุ์มาจากสิบสองปันนา อพยพมาที่ประเทศไทยเมื่อ 300 ปีมาแล้ว ชาวไทลื้อในปัจจุบันกระจายตัวอยู่ในหลายจังหวัดในทางภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย (น.112)
ลาหู่ มีถิ่นฐานเดิมอยู่ในธิเบต อพยพย้ายเข้ามาอยู่ทั้งที่พม่าและไทย และมีบางส่วนอพยพไปอยู่ที่ลาวและเวียดนาม ลาหู่มีชนเผ่าย่อยจำนวนมาก เช่น ลาหู่แดง ลาหู่ดำ ลาหู่เหลือง เป็นต้น มีการนับถือผีและนอกจากนี้ยังมีการนับถือศาสนาด้วย คือ ศาสนาคริสต์ (น.112) |
|
Study Period (Data Collection) |
เดือนตุลาคม พ.ศ. 2555 ถึง เดือนกันยายน พ.ศ. 2556 |
|
History of the Group and Community |
กลุ่มชาติพันธุ์ไทเขิน เดิมทีเคยอาศัยอยู่บริเวณเมืองเชียงตุง รัฐฉาน ประเทศพม่า ต่อมาได้อพยพเข้ามาในประเทศไทยทางอำเภอแม่สาย (น.111-112)
กลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อ อาศัยอยู่ที่แค้วนสิบสองจุหรือสิบสองปันนา มณฑลยูนาน ประเทศจีน ได้เดินทาง เข้ามาในประเทศไทยเมื่อ 300 ปีมาแล้ว กลุ่มไทลื้ออพยพเข้ามาพร้อมกับกลุ่มไทเขิน และเดินทางเข้ามาทางอำเภอแม่สายเช่นเดียวกัน (น.112)
กลุ่มชาติพันธุ์ลาหู่ มีถิ่นฐานเดิมอยู่ในธิเบตและอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของจีน ชาวลาหู่ที่อพยพมี 2กลุ่มได้แก่ กลุ่มที่อพยพไปอยู่ในแคว้นเชียงตุง ประเทศพม่า เมื่อปีพ.ศ. 2383และอพยพเข้ามาอยู่ทางตอนบนของประเทศไทยที่อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อปีพ.ศ. 2423และอีกกลุ่มที่อพยพไปอยู่ที่ประเทศลาวและเวียดนาม (น.112) |
|
Demography |
กลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อ กระจายอยู่ในหลายจังหวัดของประเทศไทย เช่น เชียงราย เชียงใหม่ และน่าน ส่วนกลุ่มชาติพันธุ์ลาหู่ในประเทศไทยมีอยู่ราว ๆ 1.5 แสนคน มี 800 หมู่บ้าน และเป็นชาวลาหู่ชนเผ่าลาหู่แดงมากที่สุด โดยพื้นที่ที่มีชาวลาหู่อาศัยมากที่สุดคือ ในจังหวัดเชียงราย แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ และลำปาง (น.112) |
|
Social Organization |
มีการจัดตั้งกลุ่มไทเขินในหมู่บ้าน และมีการรวมตัวกันเพื่อดำเนินกิจกรรมทางวัฒนธรรมของชาวไทเขิน นอกจากนี้ชาวไทเขินยังมีการรวมกลุ่มกับชาวไทลื้อเพื่อทำกิจกรรมร่วมกันอีกด้วย ในส่วนของชาวลาหู่ ไม่ว่าชาว ลาหู่จะย้ายไปทำงานที่ใด แต่เมื่อถึงช่วงปีใหม่ชาวลาหู่จะต้องกลับมาที่บ้านเพื่อร่วมกิจกรรมทุกปี และเมื่อมีงานแสดงที่เกี่ยวกับดนตรี กลุ่มชาติพันธุ์ในเทศบาลตำบลบ้านดู่จะมีการรวมกลุ่มกันในตอนเย็นเพื่อฝึกซ้อมดนตรีก่อนวันแสดงหรือก่อนวันเทศกาลที่ต้องมีการบรรเลงดนตรี (น.112,115) |
|
Political Organization |
เมื่อปี พ.ศ. 2537 กระทรวงมหาดไทยได้จัดทำทะเบียนประวัติและบัตรประจำตัวให้กับกลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อ จากแต่เดิมที่เป็นทะเบียนประวัติจัดอยู่ในกลุ่มผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่าหรือกลุ่มบุคคลพื้นที่สูง (น. 112) นอกจากนี้ กลุ่มชาติพันธุ์ไทเขินยังมีการดำเนินกิจกรรมทางวัฒนธรรมร่วมกับหน่วยงานราชการอย่างต่อเนื่องอีกด้วย เพื่อเป็นการอนุรักษ์และการแสดงออกทางวัฒนธรรมที่ชัดเจนของชาวไทเขิน (น.113) |
|
Belief System |
ชาวไทเขินมีความเชื่อเกี่ยวกับการนับถือกบและนาคว่าเป็นสัญลักษณ์ของความสมบูรณ์ และยังเคยมีการทำพิธีปั้นกบขอฝนในช่วงสงกรานต์ นอกจากนี้ประเพณีของชาวไทเขินยังถูกใส่ไว้ในเนื้อหาของเพลงที่ใช้ประกอบการรำวงไทเขิน คือ เพลงรำวงประเพณี 12 เดือน โดยในแต่ละเดือนจะมีประเพณีต่าง ๆ เกิดขึ้น เช่น เดือนหกของไทเขินหรือเดือนเมษายนของสากล จะมีประเพณีแขวนกลองและขอฝน เดือนแปดของไทเขินหรือเดือนมิถุนายนสากล จะมีประเพณีสืบชะตาเมือง เป็นต้น และชาวไทเขินยังมีพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันด้วย เช่น การแต่งการ การบวช และการขึ้นบ้านใหม่ (น.112-114)
ในส่วนของชาวลาหู่ มีการนับถือผีและนับถือศาสนาคริสต์ และชาวลาหู่ยังมองว่าดนตรีเป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อพิธีกรรมมาก เพราะชาวลาหู่เชื่อว่าเสียงดนตรีที่บรรเลงนั้นจะสามารถสื่อถึงเทพเจ้าของชาวลาหู่ได้ และจะมีเครื่องดนตรีเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่ใช้บรรเลงแค่ในเฉพาะพิธีกรรม เรียกว่า กลองจะโก (น.112, 114) |
|
Education and Socialization |
ภูมิปัญญาทางดนตรีของกลุ่มชาติพันธุ์จะสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ เป็นการสืบทอดแบบมุขปาฐะ ซึ่งจะต้องได้รับการปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก ๆ ถึงจะสามารถรับรู้เกี่ยวกับดนตรีได้อย่างดี ซึ่งในปัจจุบันการส่งผ่านความรู้ด้านดนตรีเริ่มลดน้อยถอยลง เนื่องจากผู้ใหญ่กับเยาวชนมีช่องว่างระหว่างกันอยู่มาก ผู้ใหญ่ต้องทำมาหากิน ส่วนเด็กก็ต้องไปศึกษาเล่าเรียนที่โรงเรียน ทำให้การเรียนรู้ด้านดนตรีของเด็กนั่นเริ่มเลือนหายไป จากเดิมที่อาศัยการเรียนรู้และส่งผ่านความรู้แบบครูพักลักจำ คือเห็นและฝึกซ้อมปฏิบัติตาม ฉะนั้น จึงเห็นว่าควรมีการจัดการเรียนการสอนเกี่ยวกับดนตรีชาติพันธุ์ให้กับเยาวชน เพื่อให้ได้เรียนรู้ถึงภูมิปัญญาด้านตรีของตน (น.116, 118) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ภูมิปัญญาทางดนตรีของชาวไทเขิน มี 2 ลักษณะ ได้แก่ ดนตรีประกอบการแสดงและดนตรีประกอบการขับร้อง โดยดนตรีประกอบการแสดงจะแบ่งออกเป็นอีก 3 ประเภท ได้แก่
ฟ้อนรำนกหรือฟ้อนกินรีกินรา เป็นการฟ้อนเลียนแบบการเคลื่อนไหวของกินนร ดนตรีประกอบการฟ้อนชนิดนี้จะใช้วงกลองก้นยาว โดยเครื่องดนตรีในวงนี้ จะมีเทคนิคในการตีให้เกิดเสียงที่แตกต่างกัน ทั้งใช้ฝ่ามือตี ใช้นิ้วมือตี เป็นต้น
ฟ้อนมองเซิ้ง ใช้แสดงในงานฉลองสมโภชต่าง ๆ หรือขบวนแห่ต่าง ๆ ในการฟ้อนจะมีผู้หญิงแต่งกายแบบชาวไทเขินดั้งเดิม การฟ้อนชนิดนี้จะใช้วงกลองมองเซิงบรรเลงประกอบ ส่วนคำว่า มองเซิ้ง นั่นหมายถึง ฆ้องชุด
รำวงไทเขิน มีลักษณะคล้ายรำวงของไทย สามารถแสดงได้ทุกเพศทุกวัยและเป็นที่นิยมมากของชาวไทเขิน เครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบการรำวงไทเขิน ได้แก่ ซึง กลอง และเกราะไม้ไผ่ ส่วนเพลงที่ใช้บรรเลงประกอบการรำวง คือเพลงรำวงประเพณี 12 เดือน
ดนตรีประกอบการขับร้องของชาวไทเขิน คือ การขับเสิน มีลักษณะคล้ายการขับซอของล้านนา และมีเครื่องดนตรีประกอบคือ ซึง โดยผู้ที่ขับเสินจะเป็นหญิงหรือชายก็ได้ จะขับเดี่ยวหรือคู่ก็ได้เช่นกัน เนื้อหาในการขับเสินจะเกี่ยวกับประเพณีและวัฒนธรรม
ภูมิปัญญาทางดนตรีของชาวไทลื้อที่โดดเด่น คือ การขับลื้อ ผู้ที่ขับลื้อสามารถเปลี่ยนเนื้อร้องไปได้เรื่อย ๆ ไม่มีข้อจำกัดตายตัว แต่มักจะมีการสัมผัสทางภาษาในคำลงท้าย เครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบการขับลื้อ คือ ปี่ลื้อ เป็นเครื่องเป่าประเภทเดียวกับปี่จุม เนื้อหาของการขับลื้อสามารถบอกความเป็นมาของลื้อได้อย่างชัดเจน
ภูมิปัญญาทางดนตรีของชาวลาหู่ ดนตรีของชาวลาหู่มักใช้ประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ และเครื่องดนตรีของชาวลาหู่ยังสามารถทำให้คนเข้ามามีส่วนร่วมในการเต้นจะคึได้อีกด้วย โดยเครื่องดนตรีที่ปรากฏในปัจจุบันมีดังนี้
- แคน หรือ หน่อ แบ่งออกเป็น 3 ชนิด ได้แก่ แคนใหญ่หรือหน่อโกมา แคนกลางหรือหน่อซื่อ และแคนเล็กหรือหน่อแกแหละ
- เต๋อซือโก๋ย หรือกีตาร์ลาหู่ ตัวเครื่องทำจากไม้แข็ง ใช้นิ้วมือในการดีด และสามารถเล่นได้ตลอด ไม่เกี่ยวกับพิธีหรือประเพณีใด ๆ
- แล้กาชุ่ย หรือขลุ่ยไม้ไผ่ ใช้เป่าเล่นได้ทุกโอกาสเช่นกัน ไม่จำเป็นต้องเล่นในงานเทศกาล
- กลองจะโก มีลักษณะคล้ายกลองยาว จะใช้ตีในพิธีกรรมเท่านั้น (น.113-115) |
|
Folklore |
ดนตรีของกลุ่มชาติพันธุ์ จะไม่มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจน แต่จะใช้เป็นการบอกเล่าแบบมุขปาฐะ ทำให้เห็นว่า ผู้ใดที่สนใจในเรื่องดนตรีจะต้องอาศัยการจดจำเอา เนื่องจากเป็นการบอกเล่าโดยปากต่อปาก |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
กลุ่มชาติพันธุ์ไทเขิน มีความสามารถในการสานภาชนะที่ทำจากไม้ไผ่และนำมาเคลือบด้วยยางไม้สีแดง เรียกว่า เครื่องขึน และชาวไทเขินยังมีการนับถือกบและนาค เชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์ของความสมบูรณ์ กลุ่มชาติพันธุ์ไทเขินและไทลื้อมักมีการจัดกิจกรรมร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ ส่วนกลุ่มชาติพันธุ์ลาหู่ มีสิ่งที่แสดงถึงอัตลักษณ์ของชาติพันธุ์คือ การที่มีชนเผ่าย่อยออกมาอีกจำนวนมาก และชาวลาหู่ยังมีความภูมิใจในอาชีพการล่าสัตว์ของตนเอง แม้หลังการอพยพย้ายมาจากถิ่นเดิมจะมีการเปลี่ยนอาชีพแล้วก็ตาม และชาวลาหู่ยังมีความเคร่งครัดในกฎระเบียบและความถูกผิดอีกด้วย (น.112)
นอกจากนี้ในการแสดงดนตรีประกอบ กลุ่มชาติพันธุ์มักจะแต่งกายด้วยชุดพื้นเมืองเดิม และใช้ภาษาของตนเองการขับร้องเนื้อหา แสดงให้เห็นถึงการอนุรักษ์วัฒนธรรมอันเป็นอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ไว้ได้เป็นอย่างดี |
|
Social Cultural and Identity Change |
เนื่องจากในปัจจุบันกลุ่มชาติพันธุ์ขาดแคลนเครื่องดนตรีและนักดนตรี เพราะผู้คนมีการปรับตัวเข้าหาวัฒนธรรมใหม่ที่เป็นสังคมเมือง กลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนอาชีพเพื่อทำมาหากินเลี้ยงตนเองและครอบครัว ทำให้การถ่ายทอดหรือการร่วมกิจกรรมทางดนตรีกันนั้นมีน้อยลง และพื้นที่ที่ศึกษาวิจัย คือ ที่เทศบาลตำบลบ้านดู่ ถือเป็นศูนย์กลางความหลากหลายทางวัฒนธรรม เนื่องจาก มีผู้คนกลุ่มชาติพันธุ์อื่นเข้ามาพักอาศัยและตั้งรกรากอยู่เป็นจำนวนมาก และด้วยความหลากหลายทางวัฒนธรรมและกลุ่มชาติพันธุ์นี้ อาจจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรมเดิมหรือภูมิปัญญาได้ และการเปลี่ยนแปลงทางสังคมของกลุ่มชาติพันธุ์อีกประการหนึ่ง คือเรื่องของการดำเนินชีวิตที่ต่างไปจากแต่ก่อน จากเด็ก ๆ ที่เคยอยู่ใกล้ชิดผู้ใหญ่ กลับต้องแยกย้ายกันไปปฏิบัติหน้าที่ของตนเองตามยุคสมัยและสังคมที่เปลี่ยนไป คือ เด็กจะต้องไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนและผู้ใหญ่จะต้องออกไปทำงาน ช่องว่างตรงนี้ทำให้เกิดการเลือนหายของวัฒนธรรมและภูมิปัญญาทางดนตรีของชาติพันธุ์ที่ถือเป็นอัตลักษณ์สำคัญของกลุ่มชาตพันธุ์ คือ เด็กจะเริ่มมีความสนใจในดนตรีชาติพันธุ์ของตนเองน้อยลง (น.109, 116) |
|
Other Issues |
แนวทางในการอนุรักษ์ภูมิปัญญาทางดนตรี ซึ่งในงานวิจัยสรุปไว้ดังนี้
1) จัดตั้งกลุ่มอนุรักษ์วัฒนธรรมของแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์ โดยให้เยาวชนเป็นแกนนำ และมีผู้ใหญ่ในชุมชนเป็นที่ปรึกษา เพื่อเป็นการเผยแพร่วัฒนธรรมให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น
2) ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐ คือ ให้มีการสนับสนุนกลุ่มชาติพันธุ์ให้ได้มีพื้นที่ในการเผยแพร่ความรู้และวัฒนธรรมของแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์
นอกจากนี้ผู้วิจัยเห็นว่าควรดำเนินการเพิ่มเติมดังนี้
- ควรมีการรณรงค์ให้ความรู้ เช่น การจัดแสดงบอร์ดให้ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมของแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์
- ควรมีการส่งเสริมการแสดงทางวัฒนธรรม
- ควรมีการบันทึกบทเพลงและทำเอกสารให้ความรู้ประกอบ
- ควรเสริมสร้างความรู้ด้านวัฒนธรรมที่ถูกต้อง เช่น การจัดอบรม
- ควรมีการจัดชั่วโมงเรียนเกี่ยวกับดนตรีชาติพันธุ์ให้กับนักเรียนในโรงเรียนที่มีเด็กกลุ่มชาติพันธุ์ศึกษาอยู่
การนำไปใช้ประโยชน์
- ขยายผลการศึกษาสู่สาธารณะ คือ หน่วยงานต่าง ๆ เช่น กระทรวงวัฒนธรรม เครือข่ายชาติพันธุ์ในประเทศไทย เป็นต้น สามารถนำข้อค้นพบจากการศึกษานี้ไปขยายผลต่อได้
- นำผลวิจัยจากการศึกษาครั้งนี้มาบันทึกเป็นรูปแบบเสียงและวีดีทัศน์ เพื่อเก็บเป็นทรัพย์สินทางภูมิปัญญาของชาติ และสามารถนำไปขยายการศึกษาเกี่ยวกับดนตรีชาติพันธุ์ได้ต่อไป
- การอนุรักษ์ภูมิปัญญาทางดนตรี จะช่วยให้ชุมชมมีความตื่นตัว เยาวชนจะหันมาสนใจในดนตรีชาติพันธุ์ของตน และอนุรักษ์ไว้สืบไป (น.116-117) |
|
Map/Illustration |
- การแสดงรำวงไทเขิน (น.109)
- นักดนตรีลาหู่กำลังเป่านอ เครื่องดนตรีลาหู่ในงานปีใหม่ (น.111)
- พี่น้องชาวไทเขิน บ้านเหล่าพัฒนา ตำบลบ้านดู่ อำเภอเมือง กับชาวไทเขิน อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย (น.113)
- เต๋อซือโก่ย กีตาร์ลาหู่ (น.115)
- เครื่องดนตรีประเภทกลองของลาหู่ (น.116)
- ช่างขับลื้อและปี่ กำลังแสดงการขับลื้อในงานไหว้ครูสำนักสงฆ์ อำเภอแม่สาย (น.117) |
|
|