|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
วิถีชีวิต, การดำรงอยู่, พลวัต |
Author |
เภา บุญเยี่ยม |
Title |
ปะคำ: วิถีชีวิตและการดำรงอยู่ของคนเลี้ยงช้างภายใต้พลวัตการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
- |
Ethnic Identity |
ไทยโคราช คนโคราช คนบ้านเอ๋ง หลานย่าโม, ไทเบิ้ง ไทเดิ้ง, กูย กุย กวย โกย โก็ย,
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
มหาวิทยาลัยบูรพา, ฐานข้อมูลวารสารอิเล็กทรอนิกส์กลางของประเทศไทย
[เอกสารฉบับเต็ม] |
Total Pages |
21 |
Year |
2558 |
Source |
วารสารวิชาการมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ปีที่ 23 ฉบับที่ 41 ม.ค.-เม.ย. (2558) หน้า 91-111 |
Abstract |
เมื่อปัจจัยหลายสาเหตุทั้งการปิดป่าของกัมพูชา การลดลงของผืนป่า การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม ล้วนส่งผลต่อวิถีชีวิตของชาวไทยโคราชหรือไทยเบิ้ง บ้านปะคำ อำเภอปะคำ จังหวัดบุรีรัมย์ จากชุมชนเก่าแก่ที่ผูกพันกับการเลี้ยงช้างมานานกว่า 200 ปี ต้องกลายเป็นชุมชนที่ไม่เหลือช้างสักเชือก พิธีกรรมสำคัญเกี่ยวกับช้างกลายเป็นความล้าสมัย การปรับตัวภายใต้พลวัตการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ส่งผลต่อวัฒนธรรมความเชื่อของชุมชน ยิ่งเมื่อเทียบกับอีก 2 พื้นที่ซึ่งปรับตัวได้ดีกว่า นั่นคือ ชาวลาวบ้านค่ายหมื่นแผ้ว จังหวัดชัยภูมิ และชาวส่วยบ้านตากลาง จังหวัดสุรินทร์ ที่ต่างสันนิษฐานว่ามาจากตำราเถื่อนช้างเล่มเดียวกัน |
|
Focus |
ศึกษาวัฒนธรรม ประเพณีการเถื่อนช้างและการเปลี่ยนแปลงบริบทแวดล้อมอย่างรอบด้าน ในพื้นที่บ้านปะคำ ตำบลปะคำ อำเภอปะคำ จังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมทั้งเปรียบเทียบวัฒนธรรม ประเพณีกลุ่มคนเลี้ยงช้างในอีกสองพื้นที่ คือ กลุ่มชาวกูย บ้านตากลาง ตำบลกระโพ อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ และกลุ่มชาวลาว บ้านค่ายหมื่นแผ้ว ตำบลบ้านค่าย อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ |
|
Theoretical Issues |
การศึกษาวิจัยอาศัยการค้นคว้าเกี่ยวกับการเลี้ยงช้างและคนเลี้ยงช้างในแง่มุมต่าง ๆ ผ่านเอกสาร ประกอบกับการศึกษาภาคสนามโดยมีเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล ทั้งจากการสังเกต การสัมภาษณ์ การศึกษาเฉพาะกรณี และการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก เพื่อให้ได้ข้อมูลจากประสบการณ์จริง และนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ถึงวิถีชีวิต การปรับตัว และการดำรงของวัฒนธรรมและประเพณีคนเลี้ยงช้าง ภายใต้พลวัตการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมของชุมชนชาวปะคำ จังหวัดบุรีรัมย์ รวมทั้งการศึกษาเปรียบเทียบกับกลุ่มคนเลี้ยงช้างชาวกูย บ้านตากลาง จังหวัดสุรินทร์ และกลุ่มคนเลี้ยงช้างชาวลาว บ้านค่ายหมื่นแผ้ว จังหวัดชัยภูมิ เพื่อหาจุดร่วมและจุดต่างของวัฒนธรรม รวมทั้งการปรับตัวของทั้งสามกลุ่มชาติพันธุ์ (น.94-96) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มชาติพันธุ์ไทยโคราช/ไทยเบิ้ง, กลุ่มชาติพันธุ์ส่วย กวย กูย, กลุ่มชาติพันธุ์ลาว |
|
History of the Group and Community |
บ้านปะคำ เป็นชุมชนเก่าแก่ที่มีประวัติการตั้งถิ่นฐานมานานกว่า 200ปี บรรพรุษดั้งเดิมอพยพมาจากเมืองนครราชสีมา มีเชื้อสายไทยโคราชหรือไทเบิ้ง นำโดยหลวงอุดมพนาเวช ซึ่งเป็นนายทหารช้าง เพื่อมารับตำแหน่งนายด่านบ้านปะคำแทนหลวงแสงผู้เป็นบิดา ที่ขอลากลับภูมิลำเนาเดิมด้วยปัญหาสุขภาพ หลวงอุดมพนาเวชมีความรู้เกี่ยวกับการคล้องช้าง (เถื่อนช้าง) ได้ถ่ายทอดวิชาให้กับลูกหลานชาวปะคำยึดถือเป็นอาชีพหลักสืบต่อมา ทั้งยังพบว่าบ้านปะคำเป็นแหล่งชุมนุมของเหล่าหมอช้างครูบาช้างจากทั่วประเทศ เป็นแหล่งฝึกช้าง และแหล่งซื้อขายช้างที่รู้จักกันดีในอดีต (น.93)
ในช่วงปี พ.ศ. 2501 เป็นต้นมา ชาวปะคำไม่สามารถเดินทางไปเถื่อนช้างป่าในเขตประเทศกัมพูชาได้อีก เพราะเกิดปัญหาการสู้รบภายในประเทศ ข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา เกี่ยวกับปราสาทเขาพระวิหาร ประกอบกับไม่สามารถหาแหล่งเถื่อนช้างป่าอื่นได้ จึงต้องยุติอาชีพการเถื่อนช้างตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา (น.100) |
|
Economy |
เดิมชาวบ้านปะคำมีอาชีพคล้องช้าง (เถื่อนช้าง) แต่ภายหลังได้ยุติอาชีพนี้ลง ในปี พ.ศ. 2501 เนื่องจากชาวปะคำไม่สามารถเดินทางไปเถื่อนช้างในเขตกัมพูชาได้ สาเหตุจากการเกิดข้อพิพาทระหว่างประเทศ จึงหันไปใช้แรงงานช้างลากซุง รับจ้างแห่งานบุญ กระนั้นเมื่อรัฐออกประกาศปิดป่าทั่วประเทศในปี พ.ศ. 2532 ช้างที่ลากไม้จำนวนมากตกงาน คนเลี้ยงช้างขาดรายได้ จึงนิยมเคลื่อนย้ายแรงงานไปทำงานต่างถิ่นที่มีรายได้ดีกว่า |
|
Political Organization |
ลักษณะสังคมในท้องถิ่นเป็นการแบ่งตำแหน่งทางสังคมที่ใช้ในการควบคุมบังคับบัญชาหรือปกครองกลุ่มคนเลี้ยงช้างบ้านปะคำ แบ่งออกเป็น 5ลำดับ 1.ควาญช้าง (มะ) 2.หมอช้าง 3.ครูบา 4.ครูบาใหญ่ และสูงสุดคือ 5.ปัติยาย การเลื่อนขั้นจากควาญช้างเป็นหมอช้างจะต้องได้รับการ “ประชิ” หรือบวชจากครูบาใหญ่หรือปัติยาย ส่วนลำดับอื่น ๆ จะพิจารณาจากวิชาความรู้ความสามารถในการจับช้าง เป็นต้น ในกรณีหมอช้างสามารถจับช้างที่มีลักษณะพิเศษได้ เช่น ช้างสีดอ ช้างสีประหลาด ได้เลื่อนขั้นสูงขึ้นไปอีก 1ลำดับ ยกเว้นตำแหน่งปัติยาย ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดจะมีคนเดียวเท่านั้น (น.97) |
|
Belief System |
ในการออกไปเถื่อนช้างป่าของชาวปะคำ มีกระบวนการเป็นลำดับขั้นตอนกล่าวคือ เริ่มต้นด้วย 1.การไหว้ศาลปะกำ เสี่ยงทายคางไก่ 2.เปิดป่าเบิกไพร 3.ตั้งชมรม (ที่พัก) ก่อกองไฟศักดิ์สิทธิ์ 4.การไปโบ๊ต (ตามรอยช้าง) 5.เถื่อนช้าง (จับช้าง) 6.การฝึกช้างป่าที่จับได้ 7.ลาไฟ ลาป่า (เดินทางกลับบ้าน) ซึ่งแต่ละขั้นตอนแฝงไปด้วยพิธีกรรม ความเชื่อ ข้อห้าม/ข้อปฏิบัติ ที่ยึดถือกันอย่างเคร่งครัดในหมู่คนเลี้ยงช้าง ภรรยา และครอบครัวทางบ้าน
การนับถือผีบรรพบุรุษหรือผีปะกำเปรียบเสมือนการนับถือเทพเจ้าของคนเลี้ยงช้าง โดยมีการสร้างศาลปะกำที่สิงสถิตของผีปะกำและใช้เป็นที่เก็บอุปกรณ์ในการเถื่อนช้าง รวมทั้งเชือกปะกำที่เชื่อว่ามีดวงวิญญาณของบรรพบุรุษสิงสถิตอยู่ โดยมี “พิธีไหว้ศาลปะกำ” เป็นประจำทุกปี บางครั้งเรียกว่า การเลี้ยงปะกำหรือเลี้ยงโรงปะกำ
พิธีไหว้ศาลปะกำ ให้ความสำคัญแบ่งเป็น 3 ลำดับ คือ 1.การไหว้ผีปะกำประจำปี จัดขึ้นทุกปีในวันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 (ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม) โดยจัดเครื่องเซ่นไหว้ วงมโหรีปี่พาทย์และคนทรงเข้ามาร่วมในพิธี 2.การไหว้ศาลปะกำเมื่อจะออกไปเถื่อนช้าง พิธีกรรมนี้ยกเลิกไปตั้งแต่ชาวปะคำยุติออกไปเถื่อนช้างป่า ตั้งแต่ พ.ศ. 2501 เป็นต้นมา 3.การไหว้ศาลปะกำในชีวิตประจำวัน สามารถทำได้ทุกเวลาที่ครอบครัวมีงานสำคัญ คนเจ็บป่วย เพื่อบอกกล่าวให้ผีปะกำรับรู้ คุ้มครอง และความเป็นสิริมงคล (น.96-97)
โดยการออกไปเถื่อนช้างในแต่ละครั้งต้องมีปัติยายเป็นหัวหน้านำคณะ ก่อนออกเดินทางจะมีพิธีกรรมไหว้ปะกำและเสี่ยงทายคางไก่ เพื่อดูฤกษ์ยามตามความเชื่อ ในบรรดาเครื่องมือที่ใช้ในการเถื่อนช้าง เชือกปะกำนับว่ามีความสำคัญที่สุด เพราะเชื่อว่ามีวิญญาณผีบรรพบุรุษสถิตอยู่ ทำมาจากหนังควาย 3 ตัว ฟั่นเกลียว ถือว่าเชือกนี้เป็นสิ่งของศักดิ์สิทธิ์ ห้ามผู้หญิงจับต้องโดยเด็ดขาด ขณะออกไปเถื่อนช้างทุกคนจะต้องเข้ากรรมคล้ายการถือศีล
นอกจากนี้ในการออกไปเถื่อนช้างยังปรากฏพิธีกรรม เช่น
พิธีเปิดป่าเบิกไพร พิธีบอกกล่าวเทวดาเจ้าที่และขออนุญาตจับช้างป่า
พิธีก่อกองไฟศักดิ์สิทธิ์ ก่อกองไฟรอบที่พัก 3 กอง เรียกว่า กองกำพวด โดยควาญช้างมีหน้าที่ดูแลให้ไฟติดตลอดเวลา โดยมีข้อกำหนดให้ใช้ไฟเพื่อประกอบอาหารและอื่น ๆ จากกองกำพวดด้านหน้า (กำพวดเชิง) ชมรมเพียงกองเดียวเท่านั้น
พิธีปะสะ พิธีล้างมลทินจากการฝ่าฝืนข้อห้ามต่าง ๆ
พิธีลาไฟ หรือลาป่า หลังจับช้างป่าได้พอสมควร หัวหน้าคณะแจ้งวันเดินทางกลับ เลิกการเข้ากรรมและการใช้ภาษาป่าในการสื่อสาร
เมื่อเปรียบเทียบกับวัฒนธรรมคนเลี้ยงช้างอีกสองแห่ง คือ บ้านค่ายหมื่นแผ้วและบ้านตากลางแล้ว พบว่า วัฒนธรรมการคล้องช้างมีความคล้ายคลึงกัน จึงน่าเชื่อว่ามีรากฐานของวิชามาจากแหล่งเดียวกัน แต่การดำรงอยู่ของวัฒนธรรมแต่ละแห่งขึ้นอยู่กับความสามารถในการปรับตัวของชุมชนนั้น ๆ |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ชาวปะคำยังคงดำเนินวิถีชีวิตตามแบบฉบับของชาวไทยโคราชหรือไทยเบิ้งมาอย่างต่อเนื่องทั้งด้านภาษาและวัฒนธรรม โดยเฉพาะวัฒนธรรมการเถื่อนช้างที่ถือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของกลุ่มชน |
|
Social Cultural and Identity Change |
ภายหลังยุติอาชีพการเถื่อนช้าง มีการเปลี่ยนแปลงด้านวัฒนธรรมปรับตัวเพื่อความอยู่รอดใน 3 ลักษณะ คือ 1.นำช้างไปรับจ้างแห่ในงานบุญประเพณีต่าง ๆ เช่น งานบวชนาค 2.นำช้างไปรับจ้างลากซุง ในอุตสาหกรรมทำไม้ตามจังหวัดต่าง ๆ 3.นำช้างไปเข้าสังกัดหมู่บ้านช้างพัทยา จังหวัดชลบุรี ให้บริการแก่นักท่องเที่ยวในลักษณะการแสดงโชว์ บริการนั่งช้างชมธรรมชาติ
จากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมและสภาพแวดล้อมของชุมชนบ้านปะคำ รวมทั้งการบุกรุกพื้นที่ป่าไม้จากกลุ่มคนต่างถิ่น ทั้งชาติพันธุ์ลาว ส่วย และเขมร ที่อพยพมาจากจังหวัดต่าง ๆ ในภาคอีสาน ทำให้ประชากรในพื้นที่เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว ในขณะเดียวกันพื้นที่ป่าก็ลดลงกลายเป็นที่นา ไร้อ้อยและไร่มันสำปะหลัง ทำให้ช้างไม่มีที่อยู่อาศัยและแหล่งอาหาร จึงต้องดิ้นรนอพยพไปหาเลี้ยงชีพในต่างถิ่น จนในปัจจุบันบ้านปะคำไม่มีช้างเหลืออยู่ในหมู่บ้านอีกเลยนับตั้งแต่ พ.ศ. 2531 เป็นต้นมา
เมื่อการอพยพเข้ามาของผู้คนที่หลากหลาย เกิดการผสมผสานทางด้านวัฒนธรรม ส่งผลต่ออิทธิพลด้านความคิด ความเชื่อ และโลกทัศน์ที่เปลี่ยนไป ในปี พ.ศ. 2528 เป็นต้นมา กระแสการบริโภคนิยม เริ่มเข้ามาครอบงำในวิถีชีวิตประจำวันของชาวปะคำ คนรุ่นใหม่เห็นว่าการเลี้ยงช้างไม่ได้ช่วยให้เศรษฐกิจของครอบครัวดีขึ้นเหมือนในอดีตแต่กลับกลายเป็นภาระที่ต้องดูแล นอกจากนั้นเมื่อคนรุ่นใหม่ได้รับการศึกษาที่ดีขึ้นจึงมีทางเลือกช่องทางทำมาหากินอื่น ๆ ที่สร้างรายได้มากกว่า |
|
Map/Illustration |
- แผนภาพกระบวนการเถื่อนช้างป่าของชาวปะคำ (น.100)
- ตารางเปรียบเทียบวัฒนธรรม 3 กลุ่มชาติพันธุ์ (ไทย ส่วย ลาว) (น.103-108) |
|
|