|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
มิติทางวัฒนธรรม, การปรับตัว, กลุ่มชาติพันธุ์ชอง, จังหวัดจันทบุรี |
Author |
โสวัตรี ณ ถลาง, กนิษฐา แย้มโพธิ์ใช้, สุดารัตน์ รอดบุญส่ง |
Title |
มิติทางวัฒนธรรมและการปรับตัวของกลุ่มชาติพันธุ์ชองในจังหวัดจันทบุรี |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
- |
Ethnic Identity |
ชอง ตัมเร็จ สำแร,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic) |
Location of
Documents |
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, ฐานข้อมูลวารสารอิเล็กทรอนิกส์กลางของประเทศไทย
[เอกสารฉบับเต็ม] |
Total Pages |
19 |
Year |
2556 |
Source |
วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ปีที่ 39 ฉบับที่ 1 (ม.ค.-มิ.ย.) 2556 หน้า 37-55 |
Abstract |
ชอง กลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมมีวิถีการดำรงชีพผูกพันอยู่กับป่า โดยเฉพาะการรวมกลุ่มกันทางสังคมในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี บริเวณทิวเขาสอยดาวและเขาคิชฌกูฎ อัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์จึงปรากฏในลักษณะของการพึ่งพิงธรรมชาติ เห็นได้จากการเลี้ยงชีพด้วยการปลูกข้าวไร่ เก็บของป่า ความเชื่อเกี่ยวกับภูติผีและการแสดงออกทางภูมิปัญญาในการใช้สมุนไพรรักษา กระทั่งการเข้ามาของยุคสมัยใหม่ได้เปลี่ยนโฉมหน้าวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ ที่จำต้องรับเอาวัฒนธรรมภายนอกเข้ามาผสมผสาน ปรับให้เข้ากับวิถีชีวิตของตนเอง แนวโน้มการปรับตัวของกลุ่มชาติพันธุ์ชองในอนาคต จึงมีลักษณะของการพยายามสร้างพื้นที่ทางสังคม สร้างความร่วมมือจากทุกระดับ ทั้งจากคนในและคนนอก ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อให้ภูมิปัญญาในด้านต่าง ๆ รวมถึงประเพณีและภาษา ได้รับการอนุรักษณ์และถ่ายทอดสู่รุนหลังและเป็นที่ยอมรับในสังคมได้ |
|
Theoretical Issues |
การศึกษามิติทางวัฒนธรรมและการปรับตัวของกลุ่มชาติพันธุ์ชองในจังหวัดจันทบุรี เป็นการศึกษาปรากฏการณ์ทางสังคมวัฒนธรรมที่สะท้อนผ่านความเป็นชาติพันธุ์ตามบริบทแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นสำคัญ โดยมีอัตลักษณ์เป็นตัวบ่งบอกถึงความเป็นตัวตน รวมถึงการเชื่อมโยงตนเองออกสู่สังคมภายนอกที่นำไปสู่การถกเถียงอภิปรายในมิติเชิงอำนาจและสิทธิของชุมชนชาติพันธุ์ หากสังคมใดหรือชุมชนใดไม่สามารถสะท้อนความเป็นตัวตนของตนเองให้เด่นชัด อาจถูกเบียดขับทางวัฒนธรรมจนกลายเป็นวัฒนธรรมชายขอบ การถูกผสมผสาน กลืนกลายและสูญสลายเช่นเดียวกับกลุ่มชาติพันธุ์ชองที่กำลังเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ (น.39) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาชองจัดอยู่ในกลุ่มตระกูล ออสโตร-เอเชียติค ภาษาชองเป็นภาษาที่ไม่มีตัวอักษร สำหรับภาษาชองนี้ ผู้ที่ไม่รู้ภาษาเขมร เมื่อได้ยินชาวชองพูดกันมักจะเข้าใจว่าเป็นภาษาเขมร เพราะมีเสียงคล้ายกัน ทั้งนี้ภาษาชองเป็นการนำภาษาไทยกับภาษาเขมรมารวมกันเป็นภาษาชอง สังเกตได้ชัดจากการเรียกสิ่งของบางอย่างตรงกับภาษาไทย |
|
Study Period (Data Collection) |
พ.ศ. 2553 โดยใช้เวลาศึกษา 12 เดือน |
|
History of the Group and Community |
กลุ่มชาติพันธุ์ชองเป็นกลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมของจังหวัดภาคตะวันออกของประเทศไทย จากหลักฐานทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์ พบบริเวณจังหวัดระยอง ตราด และจันทบุรี ซึ่งปัจจุบันไม่ปรากฏว่ามีขาวชองในบริเวณจังหวัดระยองแล้ว ส่วนในจังหวัดตราดคงเหลืออยู่น้อยมาก สำหรับในจังหวัดจันทบุรีกลุ่มชาติพันธุ์ชองเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ 1 ในจำนวน 5 กลุ่มชาติพันธุ์ ที่อาศัยอยู่ในจังหวัดจันทบุรี (ชาติพันธุ์ชอง ชาติพันธุ์จีน ชาติพันธุ์ญวน ชาติพันธุ์กุหล่า และชาติพันธุ์เขมร) มีวิถีชีวิตสัมพันธ์กับป่าเขาธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะบริเวณเทือกเขาสอยดาว เทือกเขาคิชฌกูฏ ประวัติศาสตร์ของกลุ่มชาติพันธุ์ชองนั้น ได้ปรากฏหลักฐานเป็นลายลักษณอักษรในตำนานแห่งเมืองจันทบูร ซึ่ง “จัทรบูร” เป็นชื่อเมืองดั้งเดิมของเมืองจันทบุรี หมายถึง เมืองแห่งพระจันทร์ มีนัยยะความหมาย คือ ความสงบร่มเย็นเป็นสุข เมืองจันทบูรเป็นเมืองโบราณปรากฏอยู่ในพงศาวดารสมัยสร้างกรุงศรีอยุธยา แต่เริ่มสร้างเมื่อใดไม่ปรากฎหลักฐานที่แน่ชัด หากแต่มีหลักฐานใน หนังสือฝรั่งเศสชื่อ “แคมโบช” ว่ามีบาทหลวงได้พบศิลาจารึกภาษาสันสกฤตที่ตำบลสระบาป โดยมีข้อความว่า เมื่อ 1,000 ปีล่วงมาแล้ว มีเมืองหนึ่งชื่อว่า “คอนคราบุรี” (หรือที่เราเชื่อกันว่าคือ เมืองจันทบูร หรือจันทบุรีในปัจจุบัน) เป็นเมืองที่ มีอาณาเขตกว้างขวาง ตั้งอยู่ที่เชิงเขาสระบาป ชาวพื้นเมืองเดิมมีเชื้อชาติ “ชอง” (น.39-41) |
|
Settlement Pattern |
จากตำนานทางประวัติศาสตร์ที่ตั้งถิ่นฐานของชาวชองไม่ซับซ้อน เป็นไปแบบเรียบง่าย ภายใต้เงื่อนไขของป่าธรรมชาติ บริเวณเขาคิชฌกูฏและเขาสอยดาว ในอดีตสามารถเดินเท้าข้ามไปหากันได้ ทำให้มีการถ่ายโอนสมาชิกชาวชองระหว่างสองฝั่งของเทือกเขาจนเกิดการรวบรวมเชิงชาติพันธุ์เป็นระบบเครือญาติ ปัจจุบันเทือกเขาดังกล่าวเป็นเทือกเขาที่ถูกทำให้กลายเป็นของหน่วยงานราชการและบางส่วนเป็นของนายทุนรายใหญ่ ดังนั้นระบบเครือญาติที่เชื่อมต่อกันโดยทางเท้าผ่านข้ามเทือกเขานี้จึงถูกตัดขาดจากกัน มีเพียงการคมนาคมทางถนนเท่านั้นที่เป็นเส้นทางใหม่ในการติดต่อถึงกัน
การตั้งถิ่นฐานของชาวชองในจังหวัดจันทบุรี มีการปรับตัวเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เมื่อมีคนภายนอกเข้ามาอยู่อาศัยร่วมด้วย โดยในระยะแรกคนภายนอกที่ย้ายเข้ามาอยู่เป็นข้าราชการหรือผู้ที่มีฐานะทำให้เกิดภาวะของอำนาจที่นำไปสู่การสร้างอัตลักษณ์ใหม่ของชาวชอง ผนวกกับวิถีชีวิตบนวิถีแห่งเทือกเขาและการเป็น “ชาวป่า” ที่ต้องเปลี่ยนไปเมื่อได้รับการผลักดันจากส่วนราชการ ไม่ว่าจะโดยปัจจัยทางด้านกฎหมาย ข้อบังคับที่ทำให้ชาวชอง ซึ่งเป็นประชาชนคนไทยตามกฎหมายต้องปฏิบัติตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และไม่พยายามที่จะปฏิเสธสภาวะเหล่านั้นด้วย
เดิมการแบ่งจัดสรรประโยชน์ที่ดิน ชาวชองมักใช้แนวเนินดินหรือแนวต้นไม้เป็นตัวแบ่งเขตแดน ส่วนใหญ่เป็นป่าทึบร้าง กระทั่งเข้าสู่ยุคการพัฒนา นายทุนเริ่มมาในพื้นที่ส่งผลให้เกิดการตั้งถิ่นฐานใหม่ ๆ ชาวจีนและไทยเข้าไปจับจองที่ดินทำสวนปลูกผลไม้ ยางพารา จึงเริ่มประสบปัญหาสิทธิ์ในที่ดิน ปัจจุบันชาวชองย้ายครัวเรือนมาสร้างชุมชนเป็นหมู่บ้านต่าง ๆ ในอำเภอโป่งน้ำร้อนและยังมีความพยายามที่จะอยู่ติดกับต้นแม่น้ำของเทือกเขาสอยดาวให้มากที่สุด เนื่องจากยังสามารถเข้าป่าไปดูแลป่ากระวานและสมุนไพรในป่าตามที่เคยปฏิบัติมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษได้ (น.42)
สถาปัตยกรรมบ้านเรือนเมื่อครั้งยังตั้งถิ่นฐานอยู่กลางเทือกเขานั้น ลักษณะเรือนยกพื้นสูงจากพื้นดินประมาณ 1.5 – 2.0 เมตร จะใช้บันได 3 ขั้น หรือ 5 ขั้น เพื่อกันสัตว์ร้ายในยามค่ำคืน ตัวบ้านจะสร้างเป็น 3 ระดับ ส่วนชานบ้าน กลางบ้าน และส่วนในบ้านที่กั้นเป็นห้องนอน ส่วนใหญ่จะกั้นเพียงห้องเดียวใช้ไม้ไผ่สับแตกๆ ที่เรียกว่า ฟาก เป็นอุปกรณ์กั้นห้อง รูปบ้านจะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า วัสดุในการก่อสร้างบ้านที่สำคัญ คือ ไม้ไผ่ และไม้อื่นๆ จากป่าเท่าที่จะหาได้ เรือนชาวชองมีลักษณะเป็นเรือน “เครื่องผูก” เพราะทุกส่วนของบ้านที่ต่อกันจะใช้วิธี ผูกมัดด้วยหวาย หรือเชือกที่ได้จากการทุบเปลือกของต้นไม้ที่มีความเหนียวและยาวพอ เช่น เปลือกของต้นชงโค เป็นต้น สภาพสถาปัตยกรรมแบบของชองปัจจุบันมีการปรับปรุงให้เป็นไปตามสมัยนิยม (น.43) |
|
Economy |
ระบบเศรษฐกิจของครอบครัวชาวชองย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามระบบเศรษฐกิจในระดับสังคม เมื่อรูปแบบการทำงานหรืออาชีพเปลี่ยนแปลงไป ระบบสังคมที่สร้างภาระรายจ่ายสูงขึ้นต่อครัวเรือนทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม ในระดับชุมชนยังมีการนำของไปแบ่งปันกัน แต่มิได้แลกเปลี่ยนกัน (โดยการชั่ง ตวง วัด) บางครั้งอาจมีของติดไปขอแลกเปลี่ยนบ้าง แต่ไม่ได้ใส่ใจในสาระของการแลกเปลี่ยนแบบของแลกของ เนื่องจากชาวชองเริ่มปรับเปลี่ยนวิถีการใช้เงินมากขึ้น ได้รับเงินค่าจ้างเป็นรายเดือน รายสัปดาห์ รายวัน ขึ้นอยู่กับประเภทของงาน (น.45) |
|
Social Organization |
ด้วยลักษณะภูมิประเทศที่ประกอบประกอบด้วยเทือกเขาสองลูก พื้นที่ถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่ง คือ ฝั่งอำเภอคิชฌกูฏ และอำเภอโป่งน้ำร้อน อดีตเดินเท้าข้ามไปมาหาสู่กันได้ จึงเกิดการถ่ายโอนสมาชิกชาวชองระหว่างสองฝั่งของเทือกเขาจนเกิดการรวบรวมเชิงชาติพันธุ์เป็นระบบเครือญาติ ปัจจุบันแม้ระบบเครือญาติไม่ได้ไม่ได้เชื่อมต่อกันโดยทางเท้าผ่านเส้นทางเทือกเขานี้แล้ว การรักษาสายสัมพันธ์ทางครือญาติยังคงอยูในบริเวณเดียวกันเป็นส่วนมาก หากมิได้แต่งงานย้ายถิ่นไปอำเภออื่นในๆ |
|
Belief System |
สำหรับประเพณีบางประเพณีที่มีอยู่ก็เปลี่ยนแปลงและถูกกลืนกลายโดยวัฒนธรรมหลักของ สังคมไทย ซึ่งประเพณีที่ยังคงเหลือเด่นชัด มีดังนี้
เดือนยี่ถึงเดือนห้า (ประมาณเดือนธันวาคมถึงเดือนเมษายน) ประเพณีเผาข้าวหลาม ซึ่งประเพณีนี้จะกระทำหลังจากเกี่ยวข้าวในนาเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ละครัวเรือนจะสลับกันเผาข้าวหลาม เมื่อเผาแล้วก็จะนำไปแจกจ่ายเพื่อแบ่งปันกันกินในหมู่บ้าน ทำให้ประเพณีเผาข้าวหลามมีระยะเวลาหลายเดือน
เดือนสี่ เดือนห้า เดือนหก (เดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม) จะเป็นประเพณีการเล่นผีหิ้ง และผีโรง ซึ่งปีหนึ่งจะทำพิธีเพียงครั้งเดียว
เดือนเจ็ด เดือนแปด เดือนเก้า เดือนสิบ เดือนสิบเอ็ด (นับแต่กลางเดือนพฤษภาคมถึง ตุลาคม) เป็นช่วงฤดูกาลทำนา และหาของป่าให้มากที่สุดและนำไปขายในเมือง จึงไม่มีการละเล่น และประเพณีต่างๆ
เดือนสิบเอ็ด เดือนสิบสอง (ประมาณเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม) ประเพณีตำข้าวเม่า ซึ่งเป็นประเพณีเอาแรงกัน ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่หนุ่มสาวจะจีบหรือชอบพอกันและจะมีการสู่ขอถึงขั้นแต่งงานกัน (น.47) |
|
Health and Medicine |
ภูมิปัญญาสมุนไพรของชาวชอง ถูกใช้ในการรักษาอาการเจ็บไข้เป็นเบื้องต้น หากอาการไม่ทุเลาลงจำเป็นต้องให้หมอบูรณ์หรือหมอผีประจำชุมชนทำพิธีบนบานศาลกล่าว จุดธูป ขอขมาลาโทษ เพื่อทำการบูรณ์ทำพิธีเรียกหาสาเหตุที่ทำให้เกิดการเจ็บป่วยและจะต้องแก้ไขอย่างไรหากไม่แน่ใจสามารถทำการบูรณ์อีกครั้งได้ สำหรับหมอบูรณ์บางคนสามารถรักษาได้โดยไม่ต้องนำคนไข้มา เพียงแต่ให้ตั้งขันครูมาเท่านั้น
ปัจจุบันภูมิปัญญาด้านการรักษาโรคยังคงปรากฏอยู่ แต่เปรียบเสมือนการปฐมพยาบาลเบื้องต้น สมุนไพรรักษายังคงสามารถหาเก็บได้จากป่าเขา แต่ต้องเป็นคนที่มีความรู้เรื่องการผสมตัวยา ผู้ที่มีองค์ความรู้ในเรื่องนี้อยู่ในวงจำกัด
รูปแบบการรักษาอีกรูปแบบหนึ่งคือ การนวด ซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะคือ การนวดจับเส้นหรือนวดสลักเส้น เพื่อแก้อาการเจ็บปวดเส้น หรืออาการเส้นยึดต่าง ๆ (น.46) |
|
Folklore |
ตำนานเมืองจันทรบูร
ในหนังสือฝรั่งเศสชื่อ “แคมโบช” ว่ามีบาทหลวงได้พบศิลาจารึกภาษาสันสกฤตที่ตำบลสระบาป โดยมีข้อความ เมื่อ 1,000 ปีล่วงมาแล้ว มีเมืองหนึ่งชื่อว่า “คอนคราบุรี” (หรือที่เราเชื่อกันว่าคือ เมืองจันทบูร หรือจันทบุรีในปัจจุบัน) เป็นเมืองที่มีอาณาเขตกว้างขวาง ตั้งอยู่ที่เชิงเขาสระบาป ชาวพื้นเมืองเดิมมีเชื้อชาติ “ชอง” โดยมีเรื่องเล่าว่า เคยมี กษัตริย์ผู้ครองนครโบราณ (ชื่อนครไม่ปรากฏแต่เป็นเมืองเชิงเขาสระบาป) มีกษัตริย์พระนามว่า พระเจ้าพรหมทัต (หรือพระเจ้าบริพงศ์วงศ์สุริยฆาต) มีพระโอรส 2 พระองค์ พระนามว่า พระไวยทัต และพระ เกตุทัตแต่พระเอกอัครมเหสีได้สิ้นพระชนม์ลง พระเจ้าพรหมทัตได้อภิเษกพระมเหสีพระองค์ใหม่พระนามว่า “พระนางกาไว” (ทรงมีพระสิริโฉมงดงาม และทรงมีเชื้อสายชอง จนบางครั้งอาจกล่าวได้ว่าเป็นต้นเชื้อสายชองในจังหวัดจันทบุรี) และเป็นที่โปรดปรานยิ่งนัก จนกระทั่งมีพระโอรสด้วยกัน 1 พระองค์ พระนางจึงมีพระประสงค์ให้พระโอรสของตนขึ้นครองราชย์ จึงทูลขอให้พระเจ้าพรหมทัตให้ส่งพระโอรส ทั้ง 2 ไปสร้างบ้านเมืองใหม่ในท้องที่ทุรกันดาร ทางเหนือแดนต่อแดน (เขตอำเภอโป่งน้ำร้อนในปัจจุบัน ซึ่งมีชาวชองอยู่จำนวนมาก) เมื่อพระเจ้าพรหมทัตสวรรคต พระนางจึงนำบุตรของตนขึ้นครองราชย์ ด้วยยังทรงพระเยาว์อยู่ นครแห่งนี้จึงถูกเรียกขานตามชื่อของพระมารดาว่า “เมืองกาไว” เมื่อเรื่องราวรู้ถึง พระโอรสทั้ง 2 พระองค์ของพระเจ้าพรหมทัตจึงยกทัพมาตีหวังเอาเมืองคืน แต่สู้กำลังไม่ได้ จึงไปทูลขอกำลังจากกษัตริย์ขอมที่นครธมให้มาช่วยรบและสัญญาว่าจะแบ่งเมืองให้ กษัตริย์ขอมจึงรีบส่งไพร่พลมา กองทัพครั้งนี้ได้ยกทัพมาตั้งพลับพลาพักพลอยู่นอกเมือง ตำบลที่พักพลนี้จึงชื่อว่า “ตำบลพลับพลา” ครั้ง นี้เริ่มศึกสงครามโดยการส่งคนเข้าไปเจรจา แต่ไม่สำเร็จจึงเกิดการสู้รบกัน พระนางกาไวเห็นท่าไม่ดีจึงหนี โดยขนทรัพย์สินขึ้นหลังช้างที่เพนียต (ปัจจุบันเป็นวัดเพนียตที่มีสภาพร้าง) แล้วเปิดประตูทางตอนใต้หนี ไป แต่ก็ถูกติดตามจนพระนางเห็นว่าจวนตัวจึงนำเอาเพชร พลอย ทองออกมาหว่านจนทั่วบริเวณ เพื่อล่อให้ทหารข้าศึกมัวพะวงกับการเก็บทรัพย์นั้น แล้วรีบหนีลงเรือไปสถานที่พระนางหว่านทรัพย์สินนั้น ปัจจุบันนี้ชื่อว่า “วัดทองทั่ว” (น.40-41) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
กลุ่มชาติพันธุ์ชองมีลักษณะทางกายภาพรูปร่างสันทัด สูงประมาณ 5-5.5 ฟุต เมื่อเทียบกับชนชาติอื่นถือว่ามี รูปร่างไม่ค่อยสูง โดยเฉพาะเพศชายนั้นถือได้ว่าตัวเล็ก ผมหยิกขอดติดหนังศีรษะ ใบหน้าเหลี่ยม คางเหลี่ยม ขากรรไกรกว้าง สีผิวเข้มออกดำแดง ทั้งผู้หญิงและผู้ชายชาวชองจะมีลักษณะของโครงกระดูกด้านหลังยกขึ้นสูงไม่ต่ำราบ (ดูจากไหล่และสะบัก) เมื่อเทียบกับคนทั่วไป ลักษณะกล้ามเนื้อตั้งแต่สะบักถึงเอวจะมีกล้ามเนื้อที่นูนแผ่กว้างเต็มทั้งแผ่นหลัง ร่องกระดูก สันหลังลึก ด้วยลักษณะทางกายภาพนี้เองทำให้นักมานุษยวิทยาจัดให้กลุ่มชาติพันธุ์ชองอยู่ในกลุ่ม ชาติพันธุ์ตระกูลเขมรและมอญ (Mon Khmer) ซึ่งถูกบรรจุเป็นสาขาย่อยของกลุ่มชาติพันธุ์ตระกูล ออสโตร-เอเชียติค (Austro-Asiatic) (น.41)
ในอดีตอาชีพหลักของชาวชอง คือ การหาของป่าล่าสัตว์และการล่องแพลากซุงมาลงแม่น้ำ (แม่น้ำจันทบุรี) เพื่อนำไม้ในป่าไปขายในเมือง รวมถึงประเภทไม้หอมซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาด เช่น ไม้จันทน์ ไม้กฤษณา ที่มีมากบริเวณเทือกเขาสอยดาว เครื่องเทศและสมุนไพรต่าง ๆ เช่น กานพลู เร่ว สมอ พลูสี เครื่องยาต่าง ๆ รวมทั้งน้ำมันยาง หวาย ชัน หนังสัตว์ ซึ่งในปีหนึ่งจะล่องแพและนำสิ่งของไปขายในเมืองเพียงครั้งเดียว ประมาณเดือนกันยายน-เมษายน เนื่องจากเป็นช่วงที่น้ำในแม่น้ำมีเพียงพอสำหรับล่องแพ หากน้ำในแม่น้ำแห้งต้องเดินทางด้วยเกวียนซึ่งเป็นหนทางยากลำบากและใช้เวลาเดินทางมากกว่า อาหารของชาวชองมีรูปแบบเรียบง่าย ปรุงขึ้นแค่พอกับการรับประทานในแต่ละมื้อเท่านั้น อาหารหลัก คือ ข้าวเจ้า ทานคู่กับ น้ำพริก (มีลักษณะเป็นพริกโขลกรวมกับเกลือ เคียงกับผักชนิดต่าง ๆ เท่าที่จะหาเก็บได้บริเวณบ้านหรือในป่า เช่น ผักกูด ผักปรัง เป็นต้น ส่วนอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ขึ้นอยู่กับว่าจะได้เนื้อสัตว์ประเภทใด ปัจจุบันอาชีพที่กล่าวมาได้เลือนหายไปจากสังคมชาวชองแล้ว เหลือไว้เพียงหลักฐานบางชนิด อาทิ ขวานปูลู อุปกรณ์ดักสัตว์ เป็นต้น ทำให้ชาวชองหันมาประกอบอาชีพรับจ้างเป็นคนสวน หรือรับจ้างเป็นเด็กวางลูกกอล์ฟของสนามกอล์ฟสอยดาว ลูกจ้างของหน่วยราชการใกล้ ๆ ชุมชน หรือแม้แต่เป็นผู้นำระดับท้องถิ่น (ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน) เนื่องจากสภาพแวดล้อมของสังคมได้เปลี่ยนแปลงไป ภูมิปัญญาด้านการประกอบอาชีพดั้งเดิมส่วนใหญ่จึงอยู่ในคำบอกเล่าและเกิดภูมิปัญญาในอาชีพอื่นๆ ก็ขึ้นมาแทนที่ ขณะเดียวกันอาหารของชาวชองก็เริ่มมีความซับซ้อนตามหลักโภชนาการมากขึ้น ปรับเปลี่ยนตามความนิยมในการรับประทานอาหารที่เห็นกันได้ทั่วไปของจังหวัดจันทบุรี (น.43-45) |
|
Social Cultural and Identity Change |
กลุ่มชาติพันธุ์ชองเป็นกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยมาเป็นระยะเวลายาวนานตามหลักฐานและตำนานที่ปรากฏ ชองเป็นชนพื้นเมืองดั้งเดิมที่มีการเรียนรู้ขนบธรรมเนียมประเพณี ตลอดจนการกลืนกลายผสมผสานกับวัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์อื่น โดยเฉพาะวัฒนธรรมเมืองจันทบุรีผ่านกระบวนการจัดการศึกษา เทคโนโลยีการสื่อสาร ศาสนา เป็นต้น แม้ชาวชองมีสิทธิและหน้าที่พึงปฏิบัติในฐานะพลเมืองเช่นเดียวกับคนทั่วไป ชาวชองยังเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ได้รับที่ดินเพื่อเป็นทุนในการพัฒนาเศรษฐกิจน้อยมาก ถูกจำกัดพื้นที่ไม้ให้มีการขยายพื้นที่ป่ากระวานเพิ่มขึ้น อัตลักษณ์บางอย่างไม่สามารถคงเอกลักษณ์เฉพาะเอาไว้ได้ สถานะทางสังคมที่ไม่สูงเป็นเหตุให้ชาวชองไม่มีอำนาจในการต่อรองทางเศรษฐกิจ เมื่อไม่มีที่ดิน จึงไม่มีเงินทุน เป็นแรงงานรับจ้างในไร่ ธุรกิจภาคเอกชนหรือตามส่วนราชการ แต่ก็ไม่ได้อยู่ในฐานะที่พอจะทำให้สถานะทางสังคมที่ดีขึ้นได้ ภายหลัง พ.ศ. 2540 ประเทศไทยก้าวเข้าสู่การพัฒนาตามกระแสทุนนิยมโลกาภิวัฒน์ กระแสการพัฒนาพลิกวิกฤตเป็นโอกาส ได้ทำให้นักวิชาการ นักพัฒนาหันกลับมาทบทวนบทบาทของตนเอง หันกลับมาสร้างคุณค่าให้กับชุมชนท้องถิ่น ส่งผลให้ชาวชองเริ่มที่จะมองตัวตนและรื้อฟื้นคุณค่าเดิมของชุมชนทางชาติพันธุ์ให้มากขึ้น พยายามรื้อฟื้น อนุรักษ์ความเป็นชาติพันธุ์ชอง แม้ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงจาการพัฒนา (น.49-51) |
|
Map/Illustration |
- ตารางแสดงปฏิทินประเพณีชาวชองโดยทั่วไป (น.47) |
|
|