|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
โส้ โซร ซี,ผู้ไท ภูไท,วิถีชีวิต,ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ |
Author |
Erik Seidenfaden |
Title |
The So and The Phuthai |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
ผู้ไท ภูไท, โส้ โทรฺ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
39 |
Year |
2486 |
Source |
J.T.R.S. Vol XXXIV Pt. 2, p.143-181 |
Abstract |
โส้ อพยพมาจากฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงเข้ามาอาศัยอยู่ในบริเวณเทือกเขาภูพาน ประเทศไทย วิถีการดำรงชีวิตเป็นการล่าสัตว์ และการทำเกษตรกรรม และมีประเพณีการปฏิบัติที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง โดยเฉพาะรูปแบบการแต่งงาน ที่จะมีการนำของฝากไปให้กับฝ่ายหญิงและจัดพิธีแต่งงานตามธรรมเนียมแบบดั้งเดิม
สำหรับภูไทในดินแดนทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย วิถีการดำรงชีวิตเป็นการล่าสัตว์ และการทำเกษตรกรรมเช่นเดียวกันกับโซ่ นับถือศาสนาพุทธ และนับถือผีบรรพบุรุษมีธรรมเนียมในการแต่งงานที่เป็นเอกลักษณ์ และมีพิธีต่อหลังจากการแต่งงานอีกหลายครั้งเพื่อเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษ และแสดงความเคารพครอบครัวฝ่ายหญิง (หน้า 145-161) |
|
Focus |
ศึกษาวิถีชีวิตของโส้และภูไท ในแง่มุมของลักษณะทางภายภาพและทางวัฒนธรรม โดยเน้นเรื่องการแต่งงาน และการดำรงชีวิตที่มีลักษณะแตกต่างไปจากสังคมตะวันตก |
|
Ethnic Group in the Focus |
ชาติพันธุ์ โส้ และ ชาติพันธุ์ ภูไท ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาของโส้อยู่ในตระกูลมอญ-เขมร หรือที่เรียกว่าออสโตรเอเชียติค ผู้เขียนยกตัวอย่างคำในภาษาโซ่ ภูไท และเปรียบเทียบความหมายใน ภาษาอังกฤษ และภาษาไทย (หน้า 163-181) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ถิ่นฐานดั้งเดิมของโส้อยู่ในบริเวณเทือกเขาในประเทศลาว ช่วงสงครามระหว่างอันนัมและไทย เมื่อประมาณ 100 ปีที่ผ่านมา (จากปีที่เขียน) โส้ได้อพยพข้ามแม่น้ำโขงมายังฝั่งขวาหรือประเทศไทย และตั้งถิ่นฐานส่วนใหญ่อยู่ในเขตจังหวัด นครพนม สกลนคร (หน้า 151) สำหรับชาวภูไทไม่ปรากฏข้อมูล |
|
Settlement Pattern |
พวกโส้อาศัยอยู่ในป่าดงดิบ บริเวณสันเขาและแนวเขา บ้านเรือนสร้างอยู่ใกล้เคียงกันแต่ละบ้านมีรั้วไม้กั้น การสร้างบ้านสร้างด้วยไม้ ยกพื้นภายในแบ่งเป็นห้องเล็ก ๆ สำหรับใช้นอน และทำอาหาร (หน้า 146)
ส่วนภูไทนิยมสร้างบ้านบริเวณโคก ยกพื้น ภายในมีห้องเล็ก ๆ และมีรั้วไม้กันบริเวณบ้าน (หน้า 153 - 154) |
|
Demography |
จำนวนประชากรโส้นั้นยังไม่ทราบแน่ชัดแต่เมื่อ 30 ปีที่ผ่านมามีการสำรวจพบว่ามีโส้ประมาณ 70,000 คน ใน สองจังหวัดคือ สกลนครและนครพนม (หน้า 151) สำหรับชาวภูไทไม่ปรากฏข้อมูล |
|
Economy |
โส้ดำรงชีวิตด้วยการล่าสัตว์และทำเกษตรกรรม ผู้ชายจะเป็นคนล่าสัตว์และหาปลา โดยใช้ปืน ธนู หน้าไม้ และใช้แห อวน ในการจับปลา ในการทำไร่ ที่ปลูก เช่น น้ำเต้า แตง ข้าวโพด ถั่ว พริกไทย และมะเขือเทศ การทำนา จะใช้แรงงานจากควายในการเตรียมพื้นที่ ภายในหมู่บ้านมีตลาด การซื้อขายสินค้ามีเพียงเล็กน้อย แต่มีการทำทั้งในภายในหมู่บ้านและกับกลุ่มคนภายนอกในส่วนของใช้ที่ไม่สามารถผลิตได้เอง (หน้า 148)
ภูไทดำรงชีวิตด้วยการล่าสัตว์และทำเกษตรกรรม เช่นเดียวกันกับโซ่ ใช้ปืน หน้าไม้ และ ใช้สวิง อวน แห ในการหาปลา อาหารหลักคือ ข้าว พริกไทยและผักต่าง ๆ พวกเขาดื่มเหล้า สูบยาสูบ สูบฝิ่น และกินหมาก การทำนา ทำไร่ จะใช้แรงงานควาย พืชที่ปลูก เช่น แตง พริกไทย มะเขือเทศ ฝ้าย และมัน เป็นต้น (หน้า 155) |
|
Social Organization |
การแต่งงานของโส้ เกิดจากการชอบพอกันระหว่างหนุ่มสาว และเมื่อตัดสินใจที่จะแต่งงานกัน ฝ่ายชายจะมอบของให้กับหญิงที่ตนรัก เรียกว่า ของฝาก และฝ่ายชายสามารถไปหาฝ่ายหญิงในกลางคืนและมีเพศสัมพันธ์ระหว่างกันได้ วันต่อมาฝ่ายหญิงจะเอาของฝากที่ได้รับไปบอกกับครอบครัวให้รับรู้ และถ้าครอบครัวทั้งสองฝ่ายตกลง การแต่งงานก็จะเกิดขึ้น แต่ถ้าหากฝ่ายใดเกิดไม่ตกลงฝ่ายหญิงจะต้องคืนของฝาก หากไม่คืนก็จะไม่สามารถแต่งงานกับผู้ชายอื่นได้ ในวันแต่งงานเจ้าบ่าวจะส่งเทียนและเงิน 5 บาท และข้อความไปยังบ้านฝ่ายหญิง เมื่อสารได้รับการตอบรับจะมีข้อความตอบกลับจากฝ่ายหญิงไปยังบ้านเจ้าบ่าวและส่งตัวเจ้าสาวไปอยู่กินกับเจ้าบ่าว ถือว่าเป็นสามีภรรยากัน หลังจากนี้ไม่เกิน 3 เดือนฝ่ายชายจะต้องส่งหมาก พลูและไปเยี่ยมครอบครัวฝ่ายหญิงเพื่อแสดงความเคารพ นับถือครอบครัวฝ่ายหญิง ฝ่ายหญิงกระทำเช่นเดียวกับครอบครัวฝ่ายชายเช่นเดียวกัน ภายหลังการแต่งงาน ภรรยาจะต้องเคารพสามีและผู้อาวุโสภายในบ้าน ในขณะเดียวกัน สามีจะต้องประพฤติตนดีและไม่ทุบตีหรือใช้วาจาที่รุนแรงกับคนในครอบครัว การหย่าร้างจะเกิดขึ้นหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ต้องการอยู่ด้วยกัน ผู้ที่ต้องการแยกทางจะต้องให้เงิน 20 บาทเป็นการทดแทน การรับเลี้ยงบุตรบุญธรรม ครอบครัวจะต้องรักและดูแลเหมือนลูกของตัวเอง และเด็กจะต้องนับถือพ่อแม่บุญธรรมมากกว่าพ่อแม่บังเกิดเกล้า การรับบุตรบุญธรรมส่วนใหญ่มี 3 กรณี คือ แม่ของเด็กตายเมื่อคลอด แม่ของเด็กเจ็บป่วยและไม่สามารถดูแลเด็กได้ พ่อแม่ยากจน หรือเด็กต้องการให้อีกครอบครัวเลี้ยงดู แต่อย่างไรก็ตามการรับลี้ยงบุตรบุญธรรมจะต้องได้รับความยินยอมจากครอบครัวทั้งสองฝ่าย เด็ก ๆ จะได้รับการดูแลด้านสุขภาพ อาหารการกินอย่างเพียงพอ การเลี้ยงดูเด็กเป็นสิทธิ์โดยตรงของพ่อแม่ สำหรับเด็กผู้หญิงจะไปอยู่ที่อื่นไม่ได้ถ้ายังไม่ได้แต่งงาน ถ้ามีการกระทำผิด ทุกคนในครอบครัวมีหน้าที่ตักเตือนผู้ทำผิด การรับมรดกจะยกให้กับลูกชายเนื่องจากถือว่าลูกสาวแต่งงานและไปอยู่กับครอบครัวสามี (หน้า 148-150) การแต่งงานของภูไท จะเกิดขึ้นโดยฝ่ายชายไปตกลงกับฝ่ายหญิงและฝ่ายชายจะนำของหมั้นมาให้มีค่ามากกว่าสามบาทขึ้นไป เมื่อฝ่ายหญิงรับของหมั้นจะไม่มีสิทธิ์ไปแต่งงานกับชายอื่นอีก ถ้าต้องการแต่งกับชายอื่นจะต้องคืนของหมั้นภายใน 1 ปี ที่ฝ่ายหญิงรับของหมั้นจากฝ่ายชาย ถ้ามีคนในครอบครัวเจ็บป่วย หมอผีจะถูกเชิญมายังบ้านและถ้าสาเหตุของโรคเกิดจากจะมีการแต่งงาน จะต้องทำพิธีขับไล่ผี โดยฝ่ายชายจะต้องส่งของตามที่ฝ่ายหญิงเรียกร้องสำหรับช่วยงาน เมื่อเสร็จพิธีครอบครัวฝ่ายชายจะถามถึงฝ่ายหญิงสำหรับไปเป็นลูกสะไภ้ของครอบครัวตน และจะมีการจัดเตรียมการแต่งงานขึ้น ในการแต่งงานจะมีการจัดเตรียม ตระกร้าใส่ข้าวสุก หมาก ใบไม้มงคลนำมายังบ้านฝ่ายหญิง เรียกว่า เครื่องโอม เมื่อฝ่ายหญิงรับเครื่องโอมจะส่งกลับ ฝ่ายชายจะส่งมาอีกครั้ง หลังจากรับเครื่องโอมครั้งนี้จะต้องนำตัวเจ้าสาวส่งให้เจ้าบ่าว ในขณะเดียวกันฝ่ายเจ้าบ่าวจะคอยจัดเตรียมเรือนหอไว้ให้พร้อม ฝ่ายหญิงจะช่วยในการจัดเตรียมเครื่องเรือน เมื่ออยู่ด้วยกัน 10-30 วันแล้ว จะมีการจัดเตรียมพิธีไหว้ผีของครอบครัวฝ่ายหญิง เรียกพิธีแปลงออก เป็นการแยกหญิงออกจากครอบครัวเดิม และต่อไปฝ่ายหญิงจะนับถือผีบรรพบุรุษของฝ่ายชาย นอกจากนี้ยังมีพิธีต่อเนื่องจากการแต่งงานอีก 7 ครั้ง ซึ่งหากฝ่ายชายไม่ต้องการทำจะขอให้รวบพิธีทั้งหมดทำพร้อมกันในพิธีแต่งงาน โดยแต่ละพิธีมีชื่อเรียกว่า "ฟะซู" กินกาว กินดอง กินชวด หมูถมรอย ชาปกนกชาฮม และ ควายฝูกถุน รวมแล้วใช้เวลาหลายสิบปีกว่าจะเสร็จสิ้นงานทั้งหมด ถ้าคู่สามีภรรยาตายลูกหลานจะต้องรับทำพิธีสืบทอดต่อไป มีการยกเว้นได้ถ้าไม่มีลูกหลานสืบต่อ (หน้า 155-159) |
|
Belief System |
โส้นับถือศาสนาพุทธ แต่ไม่มีพระในหมู่บ้านแต่ในทุกบ้านจะมีภาพ หรือพระพุทธรูปตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก ช่วงเดือน 3-4 ของทุกปีจะมีการเดินทางไปนมัสการพระธาตุพนม ไม่มีการนับถือผี ไสยศาสตร์ (หน้า 148 -150)
ภูไทนับถือศาสนาพุทธมีวัดเล็ก ๆ ใกล้หมู่บ้าน ในช่วงเวลาเย็นพระสงฆ์จะเข้าทำพิธีในโบสถ์ นอกจากนี้ยังมีการนับถือผีบรรพบุรุษโดยสืบทอดทางฝ่ายบิดา จะมีพิธีในการเลี้ยงผีบรรพบุรุษ โดยฆ่าควายหรือ หมู มาเซ่นไหว้ (หน้า 160) |
|
Education and Socialization |
|
Health and Medicine |
โส้เมื่อมีการเจ็บป่วยจะรักษาโดยการใช้สมุนไพรและรากไม้ (หน้า 150) ไม่มีข้อมูลของภูไท |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
โส้มีการผลิตงานหัตถกรรม เช่น การทอเสื่อ และจักสานเครื่องมือเครื่องใช้ภายในครัวเรือน สำหรับงานทอผ้า เครื่องปั้นดินเผา ช่างไม้ ทำเกลือ โซ่ไม่สามารถผลิตได้ การแต่งกายผู้ชายจะใส่เสื้อสีดำ กางเกงขายาว ทำด้วยฝ้าย ผู้หญิงจะใส่เสื้อสีดำ และนุ่งผ้าซิ่น ในงานเทศกาลสำคัญจะใส่ผ้าที่ทำด้วยไหม และผู้หญิงจะใส่เครื่องประดับ เช่น กำไล ต่างหู ทำงาน เงิน ทองแดง ทองเหลือง เป็นต้น (หน้า 147-148)
การแต่งกายของภูไท ชายนุ่งผ้าขาวม้า และเสื้อสีดำ ผู้หญิงนุ่งผ้าซิ่น เสื้อ และห่มผ้าแถบ ทำจากฝ้าย ชายนิยมสักตามขาเหนือเข่าขึ้นมาจนถึงลำตัว ผู้หญิงนิยมสักเป็นรูปดอกไม้และรวงข้าว บริเวณท้อง (หน้า 153 - 154) มีเครื่องดนตรีทำจากไม้ไผ่ เช่น แคน ปี่ และมีการร้องรำ เรียกว่า ลำลาว (หน้า 159) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Other Issues |
ลักษณะทางกายภาพของโส้ จะมีรูปร่างสันทัด สูงประมาณ 140-160 เซนติเมตร ใบหน้ารูปไข่ จมูกเล็กแบน ปากสีเข้ม ริมฝีปากบนและล่างเท่ากัน ตาสีน้ำตาลเข้มและตาขาวมีสีออกเหลือง ผิวแดงคล้ำ ผู้ชายตัดผมสั้นเกรียน และนิยมสักตั้งแต่เข่าขึ้นมา สำหรับผู้หญิงนิยมสักเฉพาะลายดอกไม้ รวงข้าว ที่บริเวณท้อง
ลักษณะทางกายภาพของภูไทย ส่วนใหญ่มีรูปร่างดี และมีผิวสีดำแดง สูงประมาณ 140-160 เซนติเมตร ริมฝีปากล่างหนากว่าริมฝีปากด้านบน ตัดผมสั้น ผมมีสีดำแดง บางคนมีผมหยิกธรรมชาติ ตาสีดำ ตาขาวเป็นสีเหลือง (หน้า 152) |
|
Map/Illustration |
รูปหญิงสาวภูไท (หน้า 144) |
|
|