สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject วิถีการดำรงชีวิต, กลยุทธ์การต่อรอง, แรงงานอพยพตัดอ้อย, กลุ่มชาติพันธุ์กูย
Author อุบล สวัสดิ์ผล, ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ, ชูพักตร์ สุทธิสา
Title กลุ่มชาติพันธุ์กูย: วิถีการดำรงชีวิตของแรงงานอพยพตัดอ้อยภายใต้อุตสาหกรรมน้ำตาลไทย
Document Type บทความ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity กูย กุย กวย โกย โก็ย, Language and Linguistic Affiliations ไท(Tai)
Location of
Documents
มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, ฐานข้อมูลวารสารอิเล็กทรอนิกส์กลางของประเทศไทย
[เอกสารฉบับเต็ม]
Total Pages 36 Year 2558
Source วารสารวิจัยสังคม ปีที่ 38 ฉบับที่ 2 (ก.ค. – ธ.ค. 2558) หน้า 147-182
Abstract

แรงงานอพยพรับจ้างตัดอ้อยกลุ่มชาติพันธุ์กูย บ้านตูม ตำบลตูม อำเภอศรีรัตนะ จังหวัดศรีสะเกษ มีบทบาทสำคัญเป็นแรงงานระดับล่างสุดของสายพานการผลิตอ้อยและน้ำตาลป้อนสู่ตลาดโลก แต่ในด้านคุณภาพชีวิตกลับสวนทางถดถอยอยู่ในภาวะย่ำแย่ ทั้งการเข้าถึงระบบสาธารณสุข การศึกษา และสภาพความเป็นอยู่ทั่วไป ด้วยระบบการผลิตทางเศรษฐกิจในระดับครอบครัวที่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้กลุ่มชาติพันธุ์กูย บ้านตูม ต้องมีการอพยพออกนอกชุมชน ด้วยรายรับที่ไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายในครอบครัว ต้องไปกู้หนี้ยืมสินจากแหล่งต่าง ๆ รวมถึงการกู้ที่เป็น “การตกเขียวแรงงานตัดอ้อย” โดยวิธีการที่เถ้าแก่ไร่อ้อยนำเงินมาให้แรงงานกู้ก่อนผ่านระบบนายหน้าหรือหัวหน้าสายก่อนถึงฤดูกาลตัดอ้อย แล้วแรงงานจึงค่อยไปรับจ้างตัดอ้อยใช้หนี้ ด้วยวิธีการนี้ทำให้แรงงานตัดอ้อยกลุ่มชาติพันธุ์กูย บ้านตูม ติดกับดักวงจรปัญหาทางเศรษฐกิจ ต้องเป็นหนี้ยากที่จะหลุดพ้นจากวงจรนี้

Focus

บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายวิถีการดํารงชีวิตซึ่งหมายถึงการต่อสู้ ต่อรองของแรงงานอพยพตัดอ้อย และอธิบายถึงปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพ คุณภาพชีวิต ปัญหาสังคม ความทุกข์และความเสี่ยงของแรงงานอพยพตัดอ้อยกลุ่มชาติพันธุ์กูย ภายใต้วิธีการและเงื่อนไขของทุนในอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลของประเทศไทย โดยศึกษาจากกลุ่มชาติพันธุ์กูยบ้านตูม ตําบลตูม อําเภอศรีรัตนะ จังหวัดศรีสะเกษ 

Theoretical Issues

แนวคิดความทุกข์เชิงสังคม (social suffering) แนวคิดที่เกิดจากการเกี่ยวข้องกับนโยบายทางสังคมเรื่องสุขภาพ ความเจ็บป่วย การตระหนักถึงวัฒนธรรมที่หลากหลายของโลกในศตวรรษที่ 21 ซึ่งไม่ง่ายที่จะทำความเข้าใจประสบการณ์ความเจ็บปวดทุกข์ทรมานของคนหนุ่มสาว คนที่ไม่มีงานทำ คนที่ถูกกระทำจากการเมือง ทั้งที่เป็นความทุกข์ทางกายและความทุกข์ทางใจ ซึ่งจากแนวคิดดังกล่าวทำให้ผู้ศึกษาเข้าใจความทุกข์ของชาวบ้านที่เป็นแรงงานอพยพตัดอ้อยกลุ่มชาติพันธุ์กูย ที่ไม่ใช่แค่มีความทุกข์ทางร่างกายเท่านั้น แต่เป็นความทุกข์ทางสังคมด้วย เช่น ปัญหาอคติทางชาติพันธุ์ ปัญหาสุขภาพและความเสี่ยงต่าง ๆ

ขณะที่แนวคิดกลยุทธ์การต่อรอง (Tactics of negotiation) ทำความเข้าใจถึงเหตุผลในการต่อสู้ต่อรองของคนชายขอบแรงงานตัดอ้อยที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์กูย จังหวัดศรีสะเกษ ท่ามกลางการสะสมทุนโดยการดูดซับมูลค่าส่วนเกิน การเอาเปรียบที่มีการควบคุมแรงงานตัดอ้อยของทุนในอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล อย่างไรก็ตามการศึกษานี้ได้ชี้ให้เห็นว่า แรงงานตัดอ้อยกลุ่มชาติพันธุ์กูยมีขีดความสามารถในการต่อสู้ต่อรองที่จำกัด เนื่องจากพวกเขาเป็นแรงงานนอกระบบไม่อยู่ภายใต้กฎหมายคุ้มครองแรงงาน

Ethnic Group in the Focus

กลุ่มชาติพันธุ์กูย

Study Period (Data Collection)

ผู้เขียนเก็บข้อมูลระหว่างปี พ.ศ. 2554-2557

History of the Group and Community

การเป็นแรงงานอพยพรับจ้างตัดอ้อยกลุ่มชาติพันธุ์กูยบ้านตูม ถูกควบคุมด้วยวีธีการเศรษฐกิจด้วย “การตกเขียวแรงงาน” แรงงานจะต้องมาตัดอ้อยให้กับเถ้าแก่ไร่อ้อยตามสัญญามิเช่นนั้นจะต้องถูกดําเนินคดีตามกฎหมาย จากการทําสัญญาเงินกู้โดยเถ้าแก่ไร่อ้อยทําให้กลุ่มชาติพันธุ์กูยต้องกลายมาเป็นแรงงานอพยพตัดอ้อย การควบคุมด้วยระบบเศรษฐกิจนี้ทําให้แรงงานตัดอ้อยเป็นหนี้ยากที่จะหลุดพ้น เป็นแรงงานระดับล่างสุดของระบบสายพานการผลิตอ้อยและน้ำตาลของไทยเพื่อการส่งออกสู่ตลาดโลก เป็นแรงงานที่คนส่วนใหญ่ไม่อยากทำ เนื่องจากเป็นงานที่มีความเสี่ยง ยากลำบาก

ขณะเดียวกันสามารถแบ่งช่วงการเป็นแรงงานตัดอ้อยตามเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ ได้ 3 ยุค
ยุคแรก จากบ้านตูมเริ่มตัดอ้อยครั้งแรกปี พ.ศ. 2516 เป็นยุคเถ้าแก่โหดจุดเริ่มต้นของโรงเรียนฝึกหัดแรงงานตัดอ้อย เริ่มจากการนั่งรถไฟที่สถานีจังหวัดศรีสะเกษถึงนครราชสีมาเพื่อไปรับจ้างตัดอ้อยที่จังหวัดลพบุรี จากนั้นได้ขยายไปตัดอ้อยพื้นที่จังหวัดชลบุรี กาญจนบุรี นครสวรรค์ และสระแก้ว ขณะที่ระบบนายหน้าถูกนํามาใช้ในหมู่บ้านตูมครั้งแรก ในปี พ.ศ. 2518 ด้วยเครือข่ายของเถ้าแก่ไร่อ้อยและในปี พ.ศ. 2526 ระบบหัวหน้าสายถูกนํามาใช้ครั้งแรกกับแรงงานตัดอ้อยบ้านตูมในพื้นที่จังหวัดชลบุรี การตัดอ้อยในยุคนี้แต่ละพื้นที่มีเหตุการณ์สําคัญแตกต่างกัน เช่น บางพื้นที่เถ้าแก่โหดเป็นนักเลง การตัดอ้อยที่ต้องมีคนถือปืนคุม เหตุการณ์โจรปล้นเงินแรงงานระหว่างเดินทางกลับบ้าน

ยุคที่สอง ช่วงปี พ.ศ. 2542 ถึง พ.ศ. 2552 เป็นยุคของแรงงานอพยพกลุ่มชาติพันธุ์กูยบ้านตูมตัดอ้อยข้ามแดน เพื่อไปรับจ้างตัดอ้อยที่ประเทศมาเลเชีย ด้วยเหตุผลการไปตัดอ้อยที่ไม่ต้องรอคิวตัดอ้อย ในปีแรกมีชาวบ้านตูมเดินทางไปตัดอ้อยจํานวน 4 คน หลักจากนั้น ชาวบ้านตูมกลายมาเป็นหัวหน้าสายและรวมกลุ่มแรงงานตัดอ้อยและเดินทางมากขึ้นเรื่อย ๆ มากสุดถึง 50 ครอบครัว จากการเดินทางโดยรถบรรทุกที่ต้องขนสัมภาระเดินทางไกล ๆ มีความยากลําบากในการเดินทางและการหลบเลี่ยงรอขั้นตอนเกี่ยวข้องกับกฎหมายข้ามแดน ขณะที่แรงงานอพยพตัดอ้อยกลุ่มชาติพันธุ์กูยบ้านตูมกลุ่มใหญ่ก็ยังเดินทางไปตัดอ้อยในจังหวัดอื่น ๆ ของประเทศไทยเหมือนเดิม การเดินทางไปตัดอ้อยที่ประเทศมาเลเชียต้องหยุดลงเพราะหัวหน้าสายมีอายุมากถึง 62 ปี แรงงานอพยพตัดอ้อยคนอื่นไม่สามารถรวบรวมแรงงานไปตัดอ้อยได้เหมือนอย่างเช่นหัวหน้าสายคนที่ผ่านมา

ยุคที่สาม ช่วง พ.ศ. 2553 ถึงปัจจุบัน เป็นยุคที่อุตสาหกรรมน้ำตาลไทยมีความต้องการแรงงานตัดอ้อยเพิ่มขึ้น เนื่องจากรัฐไทยมีมติเห็นชอบนโยบายวาระอ้อยแห่งชาติ โดยให้ความสําคัญของอ้อยในการพัฒนาเป็นพลังงานทดแทน และการผลิตอ้อยอย่างครบวงจร รัฐและทุนมีนโยบายส่งเสริมเพิ่มพื้นที่การปลูกอ้อยในพื้นที่มากขึ้น มีการส่งเสริมการปลูกอ้อยทดแทนพื้นที่ทํานา จะเห็นได้จากขยายการตั้งโรงงาน และพื้นที่ปลูกอ้อยเพิ่มขึ้น (น.163-165)

Economy

ระบบการผลิตทางเศรษฐกิจของคนกลุ่มชาติพันธุ์กวย บ้านตูม จังหวัดศรีสะเกษ อยู่ในระดับครัวเรือน ประกอบอาชีพทำนาพึ่งพิงระบบนิเวศทางธรรมชาติ เนื่องจากอยู่นอกเขตชลประทานผลผลิตที่ได้จึงน้อย ขณะที่การทำงานรับจ้างก็ไม่สามารถเจือจุนได้มากนัก ส่งผลให้สถานะทางเศรษฐกิจรายรับไม่เพียงพอกับ ค่าใช้จ่ายในครอบครัว หัวหน้าครอบครัวจําเป็นต้องไปกู้หนี้ยืมสินจาก แหล่งเงินกู้ต่างๆ ทั้งในระบบและนอกระบบ จากกองทุนต่าง ๆ ที่มีอยู่ในหมู่บ้าน รวมถึงเงินกู้ที่เป็นการตกเขียวแรงงานตัดอ้อยจากเถ้าแก่ไร่อ้อยเพื่อมาใช้จ่ายในครอบครัว (น.151)

การเป็นแรงงานอพยพตัดอ้อยของชาวบ้านตูม จังหวัด ศรีสะเกษ เกิดขึ้นพร้อม ๆ กับการเจริญเติบโตของอุตสาหกรรมน้ำตาลของไทย โดยกลุ่มชาติพันธุ์กูยต้องกลายมาเป็นแรงงานอพยพตัดอ้อย ไม่ได้เกิดจากความสัมพันธ์แบบอุปถัมภ์ระหว่างเถ้าแก่ไร่อ้อยกับแรงงานตัดอ้อยที่จะค่อยให้การค้ำจุนช่วยเหลือกัน แต่เกิดจากวิธีการของทุนในการสะสมทุนที่หลากหลายซับซ้อน ด้วยวิธีการสะสมทุนโดยการขูดรีดมูลค่าส่วนเกินจากแรงงานตัดอ้อย

ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ เป็นความเสี่ยงที่แรงงานตัดอ้อยไม่อยากพบเจอ คือ มาตัดอ้อยแล้วไม่ได้เงิน หรือได้เงินน้อยกว่าที่เป็นหนี้ ไม่เพียงพอกับการใช้หนี้ที่ตนเองตกเขียวแรงงาน แต่ละพื้นที่ ครอบครัวแรงงาน 2 คน จะมีรายได้เฉลี่ยประมาณ 30,000-40,000 บาท ขึ้นอยู่กับปริมาณอ้อยที่ตัดในแต่ละปี รายได้จะถูกหักล้างหนี้ของเถ้าแก่ก่อน ครอบครัวที่เหลือเงินน้อยจะใช้วิธีการตกเขียวแรงงานรอบใหม่ เพื่อนําเงินไปใช้ชําระหนี้ในระบบและนอกระบบ และ ใช้ในชีวิตประจําวัน (น.173-175)

Social Organization

บ้านตูมในช่วงแรงงานไปตัดอ้อย บรรยากาศในหมู่บ้านเงียบเหงามาก ไม่คึกคักเหมือนช่วงที่ชาวบ้านไม่ได้เดินทางไปตัดอ้อย บ้านบางหลังไม่มีคนอยู่อาศัย ส่วนเด็กที่เป็นลูกของแรงงานที่ไม่ได้ติดตามไปตัดอ้อย เนื่องจากต้องเรียนหนังสือ หรือบางคนยังเล็กต้องอยู่กับผู้สูงอายุ ปู่ ย่า ตา ยาย จึงมีบทบาทดูแลเด็ก ขณะเดียวกันผู้นำหมู่บ้านบ้านตูมก็เป็นห่วงพฤติกรรมและความเป็นอยู่ของเด็กในหมู่บ้าน เด็กหลายคนมีพฤติกรรมเสี่ยงด้านความรุนแรง ยาเสพติด เพราะขาดคนดูแลใกล้ชิด

Political Organization

ลักษณะการปกครองในบทความนี้ เป็นการควบคุมทางสังคมที่เกี่ยวพันธ์กับระบบเศรษฐกิจของชุมชนในลักษณะของการตกเขียวแรงงานตัดอ้อย คือ การที่เถ้าแก่ไร่อ้อยนําเงินมาให้แรงงานตัดอ้อยผ่านระบบนายหน้าหรือหัวหน้าสายก่อนถึงฤดูการตัดอ้อย แล้วแรงงานค่อยไปรับจ้างตัดอ้อยใช้หนี้ ในช่วงการเปิดหีบอ้อยในปีถัดไป การหว่านโปรยเงินกู้ผูกมัดสัญญากับแรงงานที่หมู่บ้านตูมเป็นวิธีการของเถ้าแก่ไร่อ้อยที่นํามาใช้กับแรงงานตัดอ้อย นอกจากจะเป็นวิธีการสร้างความมั่นใจให้เถ้าแก่ไร่อ้อยว่าจะมีแรงงานตัดอ้อยในปีต่อไปแล้ว ยังเป็นวิธีการควบคุมแรงงานตัดอ้อยด้วย

Education and Socialization

คุณภาพชีวิตของแรงงาน เด็กเล็ก และเด็กที่กำลังเรียนหนังสือที่ต้องติดตามแรงงานตัดอ้อยอยู่ในภาวะเสื่อมถอย เนื่องจากต้องใช้ชีวิตอยู่แต่ในพื้นที่ตัดอ้อยตลอดระยะเวลา 4-6 เดือน เด็กบางคนขาดโอกาสในการเรียนหนังสือหรือต้องขาดเรียนเพื่อมาแบกรับภาระที่ต้องรับผิดชอบตัวเอง ดูแลน้อง หาอาหาร หรือบางครั้งพวกเขาก็ต้องเป็นแรงงานตัดอ้อยช่วยพ่อแม่เพื่อให้ได้เงินมากขึ้นด้วย 

Health and Medicine

ด้วยวิถีการดำรงรงชีพที่ต้องดิ้นรนทำมาหากิน คุณภาพชีวิตที่ย่ำแย่จากการเป็นแรงงานตัดอ้อย ต้องอาศัยอยู่รวมกันหลายครอบครัว บางพื้นที่ไม่มีที่พักที่มั่นคง ไม่มีการจัดสุขาภิบาลที่ดี ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีห้องน้ำ ดำรงชีพด้วยการปรุงอาหารแบบง่าย ๆ อีกทั้งพบปัญหาด้านสุขภาพและสิทธิการเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุข เนื่องจากบัตรประกันสุขภาพถ้วยหน้าไม่สามารถใช้ได้นอกพื้นที่ ต้องแบกภาระค่าใช้จ่ายเอง ทั้งเกิดจากอุบัติเหตุ ปัญหาระบบทางเดินอาหาร

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ชาวบ้านตูม ตำบลตูม อำเภอศรีรัตนะ จังหวัดศรีสะเกษ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์กูยหรือกวย คนลาวและคนเขมรในไทยมักเรียกพวกเขาว่า ส่วย ที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มสังคมใหญ่ในจังหวัดศรีสะเกษ ชาวบ้านยังมีการใช้ภาษาเฉพาะของกลุ่มชาติพันธุ์กูยที่คนในหมู่บ้านเรียกว่าภาษาส่วยหรือภาษากูย เป็นภาษาถิ่นในการสื่อสาร

Social Cultural and Identity Change

กลุ่มชาติพันธุ์กูยบ้านตูม จังหวัดศรีสะเกษ แตกต่างจากกลุ่มชาติพันธุ์กูยเลี้ยงช้างที่จังหวัดสุรินทร์ ที่คนส่วนใหญ่รู้จักกันและแตกต่างจากกลุ่มชาติพันธุ์อื่นที่อาศัยอยู่ในจังหวัดศรีสะเกษ มักจะเรียกพวกเขาที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์กูยว่า ส่วย คนส่วย พวกส่วย พวกเขมรป่าดง หรือแม้แต่ในงานวิชาการและการจัดงานมหกรรมในเชิงการท่องเที่ยววัฒนธรรมในระดับจังหวัดศรีสะเกษ ได้สร้างการรับรู้ในวงกว้าง ในมิติการถูกกําหนดสถานะทางสังคมที่มีนัยประวัติศาสตร์ของการดูถูกเหยียดหยามที่แสดงออกถึงความล้าหลัง ทําให้ด้อยค่า ด้วยการผลิตซ้ำทางความคิดว่า ชาวส่วย เป็นคนป่า เป็นคนเขมรป่าดง ที่มีสถานะที่ต่ำต้อยกว่ากลุ่มชาติพันธุ์อื่น ขณะที่การสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่รัฐ การแสดงออกด้วยสีหน้า การกระทำและคำพูดตอบโต้สร้างการยอมรับน้อยกว่ากลุ่มอื่น ทั้งด้านการเข้าถึงบริการทางการศึกษา ด้านสาธารณสุข หรือแม้แต่กระทั่งชื่อกลุ่มชาติพันธุ์ก็มีนัยยะของการพูดดูถูกในกลุ่มวัยรุ่นในการพูดคุยแบบไม่เป็นทางการ ส่งผลให้คนรุ่นใหม่หลีกเลี่ยงการใช้ภาษาส่วย อย่างไรก็ตามนักวิชาการ ผู้นำทางสังคม ได้พยายามสร้างมิติพยายามสร้างมิติให้กลุ่มชาติพันธุ์กูยมีความภาคภูมิใจในความเป็นตัวตนกลุ่มชาติพันธุ์กูยหรือส่วย และยกสถานะความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์กูยให้เท่าเทียม ไม่ได้แตกต่างจากกลุ่มชาติพันธุ์อื่น (น.162-163)

Critic Issues

ปัญหาอคติทางชาติพันธุ์ ชาวบ้านและเจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่ตัดอ้อย ที่มองว่าแรงงานเหล่านี้ใช่แรงงานไทยและแรงงานกลุ่มชาติพันธุ์กูยได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับแรงงานข้ามชาติที่มาจากกัมพูชา ปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่มากระทำต่อแรงงานตัดอ้อย ต้องอาศัยความเข้าใจจากเจ้าหน้าที่รัฐหลายภาคส่วน   

นอกจากนี้ในด้านกลยุทธ์ต่อรองของแรงงานอพยพตัดอ้อยกลุ่มชาติพันธุ์กูย จังหวัดศรีสะเกษ ที่ไปทำงานรับจ้างตัดอ้อยแต่ละภูมิภาคมีวิถีการดำรงชีวิตที่แตกต่างกัน ทั้งในพื้นที่ภาคอีสาน จังหวัดมหาสารคาม, ภาคตะวันออก จังหวัดสระแก้ว,  ภาคกลาง จังหวัดนครสวรรค์ อย่างไรก็ตามทั้ง 3 พื้นที่ มีกลยุทธ์การต่อรองที่คล้ายกัน คือ ประการแรก พวกเขามีกลยุทธ์การต่อรองผ่านการรวมกลุ่ม โดยมีหัวหน้าสายเป็นคนต่อรองกับเถ้าแก่ไร่อ้อย ที่มีนัยยะของการรวมตัวกันทางเศรษฐกิจ การเมืองหรือรวมตัวเพื่อต่อรองทรัพยากรในรูปแบบหนึ่งที่ทําให้ตนเองได้ค่าจ้างเท่ากับพื้นที่อื่น ๆ และได้จํานวนเงินกู้ที่มากขึ้น ประการที่สอง การอาศัยอัตลักษณ์ที่ลื่นไหลในการต่อรองตามบริบทของแต่ละพื้นที่ตัดอ้อย เช่น พวกเขาจะมีตัวตนของความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์กูยเมื่อต้องการเงินกู้ที่มากขึ้น การได้ราคาค่าจ้างที่ไม่แต่ต่างจากพื้นที่อื่น ๆ ขณะที่เมื่อเขาพวกเขาเจอเจ้าหน้าที่รัฐ พวกเขากลับเก็บอัตลักษณ์กลุ่มชาติพันธุ์กูยเอาไว้ แล้วพยายามนําเสนอภาพของความเป็นไทยหรือคนภาคกลางด้วยการแสดงบัตรประจําตัวประชาชนและการใช้ภาษาไทย และ ประการที่สาม การใช้วัฒนธรรมในการเจรจาต่อรองเพื่อให้พวกเขาสามารถกลับบ้านเพื่อประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อ เช่น ช่วงวันสงกรานต์ การหยุดตัดอ้อยตามบุญประเพณี อย่างไรก็ตามการต่อรองของแรงงานสามารถต่อรองได้เพียงบางครั้งเท่านั้น พวกเขาทําได้แค่เพื่อให้ตนเองลดปัญหาอคติทางชาติพันธุ์ แค่ทําให้ตนเองต้องขูดรีดแรงงานของตนเองน้อยลงเท่านั้น (น.176-179)

Text Analyst สุธาสินี บุญเกิด Date of Report 04 ส.ค. 2564
TAG วิถีการดำรงชีวิต, กลยุทธ์การต่อรอง, แรงงานอพยพตัดอ้อย, กลุ่มชาติพันธุ์กูย, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง