|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
วิถีการดำรงชีวิต, กลยุทธ์การต่อรอง, แรงงานอพยพตัดอ้อย, กลุ่มชาติพันธุ์กูย |
Author |
อุบล สวัสดิ์ผล, ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ, ชูพักตร์ สุทธิสา |
Title |
กลุ่มชาติพันธุ์กูย: วิถีการดำรงชีวิตของแรงงานอพยพตัดอ้อยภายใต้อุตสาหกรรมน้ำตาลไทย |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
กูย กุย กวย โกย โก็ย,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, ฐานข้อมูลวารสารอิเล็กทรอนิกส์กลางของประเทศไทย
[เอกสารฉบับเต็ม] |
Total Pages |
36 |
Year |
2558 |
Source |
วารสารวิจัยสังคม ปีที่ 38 ฉบับที่ 2 (ก.ค. – ธ.ค. 2558) หน้า 147-182 |
Abstract |
แรงงานอพยพรับจ้างตัดอ้อยกลุ่มชาติพันธุ์กูย บ้านตูม ตำบลตูม อำเภอศรีรัตนะ จังหวัดศรีสะเกษ มีบทบาทสำคัญเป็นแรงงานระดับล่างสุดของสายพานการผลิตอ้อยและน้ำตาลป้อนสู่ตลาดโลก แต่ในด้านคุณภาพชีวิตกลับสวนทางถดถอยอยู่ในภาวะย่ำแย่ ทั้งการเข้าถึงระบบสาธารณสุข การศึกษา และสภาพความเป็นอยู่ทั่วไป ด้วยระบบการผลิตทางเศรษฐกิจในระดับครอบครัวที่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้กลุ่มชาติพันธุ์กูย บ้านตูม ต้องมีการอพยพออกนอกชุมชน ด้วยรายรับที่ไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายในครอบครัว ต้องไปกู้หนี้ยืมสินจากแหล่งต่าง ๆ รวมถึงการกู้ที่เป็น “การตกเขียวแรงงานตัดอ้อย” โดยวิธีการที่เถ้าแก่ไร่อ้อยนำเงินมาให้แรงงานกู้ก่อนผ่านระบบนายหน้าหรือหัวหน้าสายก่อนถึงฤดูกาลตัดอ้อย แล้วแรงงานจึงค่อยไปรับจ้างตัดอ้อยใช้หนี้ ด้วยวิธีการนี้ทำให้แรงงานตัดอ้อยกลุ่มชาติพันธุ์กูย บ้านตูม ติดกับดักวงจรปัญหาทางเศรษฐกิจ ต้องเป็นหนี้ยากที่จะหลุดพ้นจากวงจรนี้ |
|
Focus |
บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายวิถีการดํารงชีวิตซึ่งหมายถึงการต่อสู้ ต่อรองของแรงงานอพยพตัดอ้อย และอธิบายถึงปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพ คุณภาพชีวิต ปัญหาสังคม ความทุกข์และความเสี่ยงของแรงงานอพยพตัดอ้อยกลุ่มชาติพันธุ์กูย ภายใต้วิธีการและเงื่อนไขของทุนในอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลของประเทศไทย โดยศึกษาจากกลุ่มชาติพันธุ์กูยบ้านตูม ตําบลตูม อําเภอศรีรัตนะ จังหวัดศรีสะเกษ |
|
Theoretical Issues |
แนวคิดความทุกข์เชิงสังคม (social suffering) แนวคิดที่เกิดจากการเกี่ยวข้องกับนโยบายทางสังคมเรื่องสุขภาพ ความเจ็บป่วย การตระหนักถึงวัฒนธรรมที่หลากหลายของโลกในศตวรรษที่ 21 ซึ่งไม่ง่ายที่จะทำความเข้าใจประสบการณ์ความเจ็บปวดทุกข์ทรมานของคนหนุ่มสาว คนที่ไม่มีงานทำ คนที่ถูกกระทำจากการเมือง ทั้งที่เป็นความทุกข์ทางกายและความทุกข์ทางใจ ซึ่งจากแนวคิดดังกล่าวทำให้ผู้ศึกษาเข้าใจความทุกข์ของชาวบ้านที่เป็นแรงงานอพยพตัดอ้อยกลุ่มชาติพันธุ์กูย ที่ไม่ใช่แค่มีความทุกข์ทางร่างกายเท่านั้น แต่เป็นความทุกข์ทางสังคมด้วย เช่น ปัญหาอคติทางชาติพันธุ์ ปัญหาสุขภาพและความเสี่ยงต่าง ๆ
ขณะที่แนวคิดกลยุทธ์การต่อรอง (Tactics of negotiation) ทำความเข้าใจถึงเหตุผลในการต่อสู้ต่อรองของคนชายขอบแรงงานตัดอ้อยที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์กูย จังหวัดศรีสะเกษ ท่ามกลางการสะสมทุนโดยการดูดซับมูลค่าส่วนเกิน การเอาเปรียบที่มีการควบคุมแรงงานตัดอ้อยของทุนในอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล อย่างไรก็ตามการศึกษานี้ได้ชี้ให้เห็นว่า แรงงานตัดอ้อยกลุ่มชาติพันธุ์กูยมีขีดความสามารถในการต่อสู้ต่อรองที่จำกัด เนื่องจากพวกเขาเป็นแรงงานนอกระบบไม่อยู่ภายใต้กฎหมายคุ้มครองแรงงาน |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Study Period (Data Collection) |
ผู้เขียนเก็บข้อมูลระหว่างปี พ.ศ. 2554-2557 |
|
History of the Group and Community |
การเป็นแรงงานอพยพรับจ้างตัดอ้อยกลุ่มชาติพันธุ์กูยบ้านตูม ถูกควบคุมด้วยวีธีการเศรษฐกิจด้วย “การตกเขียวแรงงาน” แรงงานจะต้องมาตัดอ้อยให้กับเถ้าแก่ไร่อ้อยตามสัญญามิเช่นนั้นจะต้องถูกดําเนินคดีตามกฎหมาย จากการทําสัญญาเงินกู้โดยเถ้าแก่ไร่อ้อยทําให้กลุ่มชาติพันธุ์กูยต้องกลายมาเป็นแรงงานอพยพตัดอ้อย การควบคุมด้วยระบบเศรษฐกิจนี้ทําให้แรงงานตัดอ้อยเป็นหนี้ยากที่จะหลุดพ้น เป็นแรงงานระดับล่างสุดของระบบสายพานการผลิตอ้อยและน้ำตาลของไทยเพื่อการส่งออกสู่ตลาดโลก เป็นแรงงานที่คนส่วนใหญ่ไม่อยากทำ เนื่องจากเป็นงานที่มีความเสี่ยง ยากลำบาก
ขณะเดียวกันสามารถแบ่งช่วงการเป็นแรงงานตัดอ้อยตามเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ ได้ 3 ยุค
ยุคแรก จากบ้านตูมเริ่มตัดอ้อยครั้งแรกปี พ.ศ. 2516 เป็นยุคเถ้าแก่โหดจุดเริ่มต้นของโรงเรียนฝึกหัดแรงงานตัดอ้อย เริ่มจากการนั่งรถไฟที่สถานีจังหวัดศรีสะเกษถึงนครราชสีมาเพื่อไปรับจ้างตัดอ้อยที่จังหวัดลพบุรี จากนั้นได้ขยายไปตัดอ้อยพื้นที่จังหวัดชลบุรี กาญจนบุรี นครสวรรค์ และสระแก้ว ขณะที่ระบบนายหน้าถูกนํามาใช้ในหมู่บ้านตูมครั้งแรก ในปี พ.ศ. 2518 ด้วยเครือข่ายของเถ้าแก่ไร่อ้อยและในปี พ.ศ. 2526 ระบบหัวหน้าสายถูกนํามาใช้ครั้งแรกกับแรงงานตัดอ้อยบ้านตูมในพื้นที่จังหวัดชลบุรี การตัดอ้อยในยุคนี้แต่ละพื้นที่มีเหตุการณ์สําคัญแตกต่างกัน เช่น บางพื้นที่เถ้าแก่โหดเป็นนักเลง การตัดอ้อยที่ต้องมีคนถือปืนคุม เหตุการณ์โจรปล้นเงินแรงงานระหว่างเดินทางกลับบ้าน
ยุคที่สอง ช่วงปี พ.ศ. 2542 ถึง พ.ศ. 2552 เป็นยุคของแรงงานอพยพกลุ่มชาติพันธุ์กูยบ้านตูมตัดอ้อยข้ามแดน เพื่อไปรับจ้างตัดอ้อยที่ประเทศมาเลเชีย ด้วยเหตุผลการไปตัดอ้อยที่ไม่ต้องรอคิวตัดอ้อย ในปีแรกมีชาวบ้านตูมเดินทางไปตัดอ้อยจํานวน 4 คน หลักจากนั้น ชาวบ้านตูมกลายมาเป็นหัวหน้าสายและรวมกลุ่มแรงงานตัดอ้อยและเดินทางมากขึ้นเรื่อย ๆ มากสุดถึง 50 ครอบครัว จากการเดินทางโดยรถบรรทุกที่ต้องขนสัมภาระเดินทางไกล ๆ มีความยากลําบากในการเดินทางและการหลบเลี่ยงรอขั้นตอนเกี่ยวข้องกับกฎหมายข้ามแดน ขณะที่แรงงานอพยพตัดอ้อยกลุ่มชาติพันธุ์กูยบ้านตูมกลุ่มใหญ่ก็ยังเดินทางไปตัดอ้อยในจังหวัดอื่น ๆ ของประเทศไทยเหมือนเดิม การเดินทางไปตัดอ้อยที่ประเทศมาเลเชียต้องหยุดลงเพราะหัวหน้าสายมีอายุมากถึง 62 ปี แรงงานอพยพตัดอ้อยคนอื่นไม่สามารถรวบรวมแรงงานไปตัดอ้อยได้เหมือนอย่างเช่นหัวหน้าสายคนที่ผ่านมา
ยุคที่สาม ช่วง พ.ศ. 2553 ถึงปัจจุบัน เป็นยุคที่อุตสาหกรรมน้ำตาลไทยมีความต้องการแรงงานตัดอ้อยเพิ่มขึ้น เนื่องจากรัฐไทยมีมติเห็นชอบนโยบายวาระอ้อยแห่งชาติ โดยให้ความสําคัญของอ้อยในการพัฒนาเป็นพลังงานทดแทน และการผลิตอ้อยอย่างครบวงจร รัฐและทุนมีนโยบายส่งเสริมเพิ่มพื้นที่การปลูกอ้อยในพื้นที่มากขึ้น มีการส่งเสริมการปลูกอ้อยทดแทนพื้นที่ทํานา จะเห็นได้จากขยายการตั้งโรงงาน และพื้นที่ปลูกอ้อยเพิ่มขึ้น (น.163-165) |
|
Economy |
ระบบการผลิตทางเศรษฐกิจของคนกลุ่มชาติพันธุ์กวย บ้านตูม จังหวัดศรีสะเกษ อยู่ในระดับครัวเรือน ประกอบอาชีพทำนาพึ่งพิงระบบนิเวศทางธรรมชาติ เนื่องจากอยู่นอกเขตชลประทานผลผลิตที่ได้จึงน้อย ขณะที่การทำงานรับจ้างก็ไม่สามารถเจือจุนได้มากนัก ส่งผลให้สถานะทางเศรษฐกิจรายรับไม่เพียงพอกับ ค่าใช้จ่ายในครอบครัว หัวหน้าครอบครัวจําเป็นต้องไปกู้หนี้ยืมสินจาก แหล่งเงินกู้ต่างๆ ทั้งในระบบและนอกระบบ จากกองทุนต่าง ๆ ที่มีอยู่ในหมู่บ้าน รวมถึงเงินกู้ที่เป็นการตกเขียวแรงงานตัดอ้อยจากเถ้าแก่ไร่อ้อยเพื่อมาใช้จ่ายในครอบครัว (น.151)
การเป็นแรงงานอพยพตัดอ้อยของชาวบ้านตูม จังหวัด ศรีสะเกษ เกิดขึ้นพร้อม ๆ กับการเจริญเติบโตของอุตสาหกรรมน้ำตาลของไทย โดยกลุ่มชาติพันธุ์กูยต้องกลายมาเป็นแรงงานอพยพตัดอ้อย ไม่ได้เกิดจากความสัมพันธ์แบบอุปถัมภ์ระหว่างเถ้าแก่ไร่อ้อยกับแรงงานตัดอ้อยที่จะค่อยให้การค้ำจุนช่วยเหลือกัน แต่เกิดจากวิธีการของทุนในการสะสมทุนที่หลากหลายซับซ้อน ด้วยวิธีการสะสมทุนโดยการขูดรีดมูลค่าส่วนเกินจากแรงงานตัดอ้อย
ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ เป็นความเสี่ยงที่แรงงานตัดอ้อยไม่อยากพบเจอ คือ มาตัดอ้อยแล้วไม่ได้เงิน หรือได้เงินน้อยกว่าที่เป็นหนี้ ไม่เพียงพอกับการใช้หนี้ที่ตนเองตกเขียวแรงงาน แต่ละพื้นที่ ครอบครัวแรงงาน 2 คน จะมีรายได้เฉลี่ยประมาณ 30,000-40,000 บาท ขึ้นอยู่กับปริมาณอ้อยที่ตัดในแต่ละปี รายได้จะถูกหักล้างหนี้ของเถ้าแก่ก่อน ครอบครัวที่เหลือเงินน้อยจะใช้วิธีการตกเขียวแรงงานรอบใหม่ เพื่อนําเงินไปใช้ชําระหนี้ในระบบและนอกระบบ และ ใช้ในชีวิตประจําวัน (น.173-175) |
|
Social Organization |
บ้านตูมในช่วงแรงงานไปตัดอ้อย บรรยากาศในหมู่บ้านเงียบเหงามาก ไม่คึกคักเหมือนช่วงที่ชาวบ้านไม่ได้เดินทางไปตัดอ้อย บ้านบางหลังไม่มีคนอยู่อาศัย ส่วนเด็กที่เป็นลูกของแรงงานที่ไม่ได้ติดตามไปตัดอ้อย เนื่องจากต้องเรียนหนังสือ หรือบางคนยังเล็กต้องอยู่กับผู้สูงอายุ ปู่ ย่า ตา ยาย จึงมีบทบาทดูแลเด็ก ขณะเดียวกันผู้นำหมู่บ้านบ้านตูมก็เป็นห่วงพฤติกรรมและความเป็นอยู่ของเด็กในหมู่บ้าน เด็กหลายคนมีพฤติกรรมเสี่ยงด้านความรุนแรง ยาเสพติด เพราะขาดคนดูแลใกล้ชิด |
|
Political Organization |
ลักษณะการปกครองในบทความนี้ เป็นการควบคุมทางสังคมที่เกี่ยวพันธ์กับระบบเศรษฐกิจของชุมชนในลักษณะของการตกเขียวแรงงานตัดอ้อย คือ การที่เถ้าแก่ไร่อ้อยนําเงินมาให้แรงงานตัดอ้อยผ่านระบบนายหน้าหรือหัวหน้าสายก่อนถึงฤดูการตัดอ้อย แล้วแรงงานค่อยไปรับจ้างตัดอ้อยใช้หนี้ ในช่วงการเปิดหีบอ้อยในปีถัดไป การหว่านโปรยเงินกู้ผูกมัดสัญญากับแรงงานที่หมู่บ้านตูมเป็นวิธีการของเถ้าแก่ไร่อ้อยที่นํามาใช้กับแรงงานตัดอ้อย นอกจากจะเป็นวิธีการสร้างความมั่นใจให้เถ้าแก่ไร่อ้อยว่าจะมีแรงงานตัดอ้อยในปีต่อไปแล้ว ยังเป็นวิธีการควบคุมแรงงานตัดอ้อยด้วย |
|
Education and Socialization |
คุณภาพชีวิตของแรงงาน เด็กเล็ก และเด็กที่กำลังเรียนหนังสือที่ต้องติดตามแรงงานตัดอ้อยอยู่ในภาวะเสื่อมถอย เนื่องจากต้องใช้ชีวิตอยู่แต่ในพื้นที่ตัดอ้อยตลอดระยะเวลา 4-6 เดือน เด็กบางคนขาดโอกาสในการเรียนหนังสือหรือต้องขาดเรียนเพื่อมาแบกรับภาระที่ต้องรับผิดชอบตัวเอง ดูแลน้อง หาอาหาร หรือบางครั้งพวกเขาก็ต้องเป็นแรงงานตัดอ้อยช่วยพ่อแม่เพื่อให้ได้เงินมากขึ้นด้วย |
|
Health and Medicine |
ด้วยวิถีการดำรงรงชีพที่ต้องดิ้นรนทำมาหากิน คุณภาพชีวิตที่ย่ำแย่จากการเป็นแรงงานตัดอ้อย ต้องอาศัยอยู่รวมกันหลายครอบครัว บางพื้นที่ไม่มีที่พักที่มั่นคง ไม่มีการจัดสุขาภิบาลที่ดี ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีห้องน้ำ ดำรงชีพด้วยการปรุงอาหารแบบง่าย ๆ อีกทั้งพบปัญหาด้านสุขภาพและสิทธิการเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุข เนื่องจากบัตรประกันสุขภาพถ้วยหน้าไม่สามารถใช้ได้นอกพื้นที่ ต้องแบกภาระค่าใช้จ่ายเอง ทั้งเกิดจากอุบัติเหตุ ปัญหาระบบทางเดินอาหาร |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ชาวบ้านตูม ตำบลตูม อำเภอศรีรัตนะ จังหวัดศรีสะเกษ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์กูยหรือกวย คนลาวและคนเขมรในไทยมักเรียกพวกเขาว่า ส่วย ที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มสังคมใหญ่ในจังหวัดศรีสะเกษ ชาวบ้านยังมีการใช้ภาษาเฉพาะของกลุ่มชาติพันธุ์กูยที่คนในหมู่บ้านเรียกว่าภาษาส่วยหรือภาษากูย เป็นภาษาถิ่นในการสื่อสาร |
|
Social Cultural and Identity Change |
กลุ่มชาติพันธุ์กูยบ้านตูม จังหวัดศรีสะเกษ แตกต่างจากกลุ่มชาติพันธุ์กูยเลี้ยงช้างที่จังหวัดสุรินทร์ ที่คนส่วนใหญ่รู้จักกันและแตกต่างจากกลุ่มชาติพันธุ์อื่นที่อาศัยอยู่ในจังหวัดศรีสะเกษ มักจะเรียกพวกเขาที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์กูยว่า ส่วย คนส่วย พวกส่วย พวกเขมรป่าดง หรือแม้แต่ในงานวิชาการและการจัดงานมหกรรมในเชิงการท่องเที่ยววัฒนธรรมในระดับจังหวัดศรีสะเกษ ได้สร้างการรับรู้ในวงกว้าง ในมิติการถูกกําหนดสถานะทางสังคมที่มีนัยประวัติศาสตร์ของการดูถูกเหยียดหยามที่แสดงออกถึงความล้าหลัง ทําให้ด้อยค่า ด้วยการผลิตซ้ำทางความคิดว่า ชาวส่วย เป็นคนป่า เป็นคนเขมรป่าดง ที่มีสถานะที่ต่ำต้อยกว่ากลุ่มชาติพันธุ์อื่น ขณะที่การสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่รัฐ การแสดงออกด้วยสีหน้า การกระทำและคำพูดตอบโต้สร้างการยอมรับน้อยกว่ากลุ่มอื่น ทั้งด้านการเข้าถึงบริการทางการศึกษา ด้านสาธารณสุข หรือแม้แต่กระทั่งชื่อกลุ่มชาติพันธุ์ก็มีนัยยะของการพูดดูถูกในกลุ่มวัยรุ่นในการพูดคุยแบบไม่เป็นทางการ ส่งผลให้คนรุ่นใหม่หลีกเลี่ยงการใช้ภาษาส่วย อย่างไรก็ตามนักวิชาการ ผู้นำทางสังคม ได้พยายามสร้างมิติพยายามสร้างมิติให้กลุ่มชาติพันธุ์กูยมีความภาคภูมิใจในความเป็นตัวตนกลุ่มชาติพันธุ์กูยหรือส่วย และยกสถานะความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์กูยให้เท่าเทียม ไม่ได้แตกต่างจากกลุ่มชาติพันธุ์อื่น (น.162-163) |
|
Critic Issues |
ปัญหาอคติทางชาติพันธุ์ ชาวบ้านและเจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่ตัดอ้อย ที่มองว่าแรงงานเหล่านี้ใช่แรงงานไทยและแรงงานกลุ่มชาติพันธุ์กูยได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับแรงงานข้ามชาติที่มาจากกัมพูชา ปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่มากระทำต่อแรงงานตัดอ้อย ต้องอาศัยความเข้าใจจากเจ้าหน้าที่รัฐหลายภาคส่วน
นอกจากนี้ในด้านกลยุทธ์ต่อรองของแรงงานอพยพตัดอ้อยกลุ่มชาติพันธุ์กูย จังหวัดศรีสะเกษ ที่ไปทำงานรับจ้างตัดอ้อยแต่ละภูมิภาคมีวิถีการดำรงชีวิตที่แตกต่างกัน ทั้งในพื้นที่ภาคอีสาน จังหวัดมหาสารคาม, ภาคตะวันออก จังหวัดสระแก้ว, ภาคกลาง จังหวัดนครสวรรค์ อย่างไรก็ตามทั้ง 3 พื้นที่ มีกลยุทธ์การต่อรองที่คล้ายกัน คือ ประการแรก พวกเขามีกลยุทธ์การต่อรองผ่านการรวมกลุ่ม โดยมีหัวหน้าสายเป็นคนต่อรองกับเถ้าแก่ไร่อ้อย ที่มีนัยยะของการรวมตัวกันทางเศรษฐกิจ การเมืองหรือรวมตัวเพื่อต่อรองทรัพยากรในรูปแบบหนึ่งที่ทําให้ตนเองได้ค่าจ้างเท่ากับพื้นที่อื่น ๆ และได้จํานวนเงินกู้ที่มากขึ้น ประการที่สอง การอาศัยอัตลักษณ์ที่ลื่นไหลในการต่อรองตามบริบทของแต่ละพื้นที่ตัดอ้อย เช่น พวกเขาจะมีตัวตนของความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์กูยเมื่อต้องการเงินกู้ที่มากขึ้น การได้ราคาค่าจ้างที่ไม่แต่ต่างจากพื้นที่อื่น ๆ ขณะที่เมื่อเขาพวกเขาเจอเจ้าหน้าที่รัฐ พวกเขากลับเก็บอัตลักษณ์กลุ่มชาติพันธุ์กูยเอาไว้ แล้วพยายามนําเสนอภาพของความเป็นไทยหรือคนภาคกลางด้วยการแสดงบัตรประจําตัวประชาชนและการใช้ภาษาไทย และ ประการที่สาม การใช้วัฒนธรรมในการเจรจาต่อรองเพื่อให้พวกเขาสามารถกลับบ้านเพื่อประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อ เช่น ช่วงวันสงกรานต์ การหยุดตัดอ้อยตามบุญประเพณี อย่างไรก็ตามการต่อรองของแรงงานสามารถต่อรองได้เพียงบางครั้งเท่านั้น พวกเขาทําได้แค่เพื่อให้ตนเองลดปัญหาอคติทางชาติพันธุ์ แค่ทําให้ตนเองต้องขูดรีดแรงงานของตนเองน้อยลงเท่านั้น (น.176-179) |
|
|