|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ชาวซิกข์, ชาวไทยซิกข์, ศาสนาซิกข์, อินเดียศึกษา, ภารตะศึกษา, ชาวไทยอินเดีย, การค้าผ้า |
Author |
อภิรัฐ คำวัง |
Title |
ชาวซิกข์ในสยามและล้านนาว่าด้วยเรื่องประวัติศาสตร์การตั้งชุมชน ศาสนาและการค้า |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
-
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
มหาวิทยาลัยขอนแก่น, ฐานข้อมูลวารสารอิเล็กทรอนิกส์กลางของประเทศไทย
[เอกสารฉบับเต็ม] |
Total Pages |
28 |
Year |
2554 |
Source |
วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 28 (2) พ.ค. – ส.ค. 2554 |
Abstract |
บทความนี้เป็นผลสืบเนื่องจากการศึกษาวิจัยในโครงการ “อินเดียในประเทศไทย : พลวัตรในการขับเคลื่อนสังคมไทยสู่ประชาคมอาเซียนและเอเชีย” (น.68) คนทั่วไปเมื่อกล่าวถึง “แขก” มักจะนึกถึง “แขกขายผ้า” จึงทําให้ชาวกรุงนึกถึง “พาหุรัด” และคนเมืองจะนึกถึง “ตลาดวโรรส” ซึ่งได้กลายเป็นภาพที่คุ้นตา โดยชาวซิกข์ถือเป็นชาวอินเดียกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งในสังคมไทย เดินทางเข้ามาค้าขายตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เริ่มตั้งถิ่นฐานมีลักษณะเด่นหลายประการ เช่น ชุมชนค้าผ้า ใช้ภาษาปัญจาบีในการสื่อสาร ปัจจุบันลูกหลานชาวไทยซิกข์ส่วนใหญ่มีการศึกษาที่สูงขึ้นและสนใจประกอบธุรกิจอื่นมากกว่าค้าผ้า ทำให้สามารถคาดการณ์ได้ว่าชาวไทยซิกข์จะสืบทอดกิจการดังกล่าวลดลง |
|
Focus |
นำเสนอเรื่องราวความเป็นมาและพัฒนาการของชาวซิกข์ในสยามและล้านนาควบคู่กัน ตั้งแต่พัฒนาการการเดินทางเข้ามาค้าขายและการตั้งถิ่นฐานอย่างต่อเนื่องกระทั่งปัจจุบัน ซึ่งสังคมของชาวซิกข์ในเชียงใหม่เป็นสังคมที่เก่าแก่ ขณะเดียวกันในกรุงเทพมหานครก็เป็นศูนย์กลางของชาวไทยซิกข์ โดยบทความนี้มุ่งเน้นในประเด็นมิติทางประวัติศาสตร์การตั้งชุมชน ศาสนาและการค้าเป็นสำคัญ |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ชาวปัญจาบี เป็นผู้ที่พูดภาษาปัญจาบีเป็นภาษาแม่หรือเป็นผู้ที่มีถิ่นกำเนิดในปัญจาบ แต่ชาวปัญจาบีทั้งหมดไม่ได้นับถือศาสนาซิกข์ (น.69) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ชาวซิกข์มีหลักฐานบ่งบอกว่าเข้ามาในสมัยรัชกาลที่ 5 เห็นได้จากวาระคราวฉลองศาสนสถานคุรุดวาเชียงใหม่ครบ 102 ปี ในปี 2552 และสันนิษฐานว่าชาวอินเดียซิกข์น่าจะเข้ามาในเมืองเชียงใหม่ราวปี 2400 ขณะเดียวกันตามประวัติของสมาคมศรีคุรุสิงห์สภาบันทึกไว้ว่า ชาวซิกข์คนแรกที่เดินทางจากปัญจาบเข้ามายังลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา กรุงเทพมหานคร คือ นายกิรปาราม มาดาม เป็นพ่อค้าที่เข้ามาค้าขายในปี 2429 แต่เป็นการเดินทางไปมาเพื่อค้าขายก่อนการตั้งถิ่นฐานในเวลาต่อมา สำรับชาวซิกข์ที่เข้ามาค้าขายและตั้งถิ่นฐานที่ลุ่มแม่น้ำปิง เชียงใหม่ คือ นายอีเซอร์ ซิงห์ พร้อมพี่น้องคือ นายยากัต วิงห์ และนายดาลีป ซิงห์ ซึ่งเข้ามาในปี 2473 (น.70)
ปัจจัยที่ส่งผลให้พ่อค้าชาวซิกข์ออกจากปัญจาบแล้วมาตั้งถิ่นฐานอยู่ในสยามและล้านนา มีปัจจัยหลัก 2 ประเด็นหลัก ประเด็นแรก สืบเนื่องจากสภาพการเมืองภายในปัญจาบและอินเดียภายใต้อาณานิคมอังกฤษ ประเด็นที่สอง สยามและล้านนาเป็นแหล่งเศรษฐกิจที่ชาวต่างประเทศสามารถเข้ามาอาศัยอยู่และทำการค้า (น.72) |
|
Settlement Pattern |
พ่อค้าชาวซิกข์เดินทางจากปัญจาบมาสู่สยามและล้านนาโดยใช้เส้นทาง 3 เส้นทางหลัก คือ เส้นทางแรกเป็นเส้นทางที่นายอีเชอร์ ชิงห์ เดินทางออกจากอินเดียแล้วเข้าพม่า (ย่างกุ้ง/เมาะละแหม่ง) เนื่องจากพม่ามีพรมแดนติดต่อกับอินเดีย (อัสสัม มณีปุระ) ขณะนั้นพม่าเป็นอาณานิคมอังกฤษ จากพม่าเดินทางต่อมาจนถึงด่านแม่สอดแล้วขึ้นไปทางล้านนา หรือจากพม่าเข้าทางด่านแม่สายแล้วลงมาเชียงใหม่
เส้นทางที่สอง เส้นทางเรือจากเบงกอลมาขึ้นฝั่งที่มะละกา
เส้นทางที่สาม เส้นทางที่ลงเรือจากเชนไนมาขึ้นฝั่งที่มะละกา เส้นทางที่สองและสามเป็นเส้นทางติดต่อค้าขายโบราณ เมื่อมาขึ้นท่าที่มะละกาแล้วก็เดินทางเข้ามายังภาคใต้ของสยามและขึ้นมายังพระนครศูนย์กลางของสยาม (น.74-75)
ชาวซิกข์รุ่นแรกๆ ที่เข้ามาพระนคร ในช่วงแรกกระจายอยู่ในหลายพื้นที่ เช่น บริเวณสําเพ็งบ้านหม้อราชวงศ์สุขุมวิท จนเมื่อมีการสร้างตึกแถวริมถนนพาหุรัดขึ้นในปี 2441 ทําให้ชาวซิกข์เข้าไปจับจองเพื่อเป็ดร้านขายผ้าและสินค้านําเข้าจากอินเดียจนกลายเป็นย่านการค้าผ้าในพระนครจนถึงปัจจุบัน (น.82) |
|
Demography |
พบว่าชาวซิกข์อาศัยกระจายอยู่ในเมืองต่างๆ ทุกภูมิภาคของไทย จากรายงานของ UNHCRปี 2551 มีผู้นับถือศาสนาซิกข์ 70,000 คน ส่วนใหญ่อาศัยอยู๋ในกรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ นครราชสีมา เมืองพัทยา เกาะสมุยและภูเก็ต |
|
Economy |
จากการศึกษาลักษณะการตั้งถิ่นฐานและการค้าขายของชาวซิกข์พบว่าชาวซิกข์รุ่นแรกที่เข้ามาค้าขายในสยามและล้านนาถือได้ว่าเป็นรุ่นบุกเบิกโดยส่วนใหญ่จะเริ่มต้นจากการค้าขายลักษณะหาบเร่ แจวเรือ (ในพระนคร) และส่วนใหญ่เป็นการขายผ้าบางส่วนเริ่มต้นจากการเป็นลูกจ้างไปก่อนจนเมื่อสามารถเก็บหอบรอบริบได้บ้างแล้ว ทําให้ชาวซิกข์รุ่นแรกหรือรุ่นที่สองเริ่มเช่าหรือซื้อร้านค้าในเขตตลาดเปิดเป็นร้านขายผ้า
ภายหลังจากที่ชาวซิกข์กลุ่มแรกเข้ามาอยู่ได้สักระยะหนึ่งกลุ่มสมทบก็เริ่มเข้ามา เนื่องจากชาวซิกข์ในกลุ่มแรกเริ่มได้ส่งข่าวเล่าเรื่องกลับไปยังปัญจาบพร้อมกับเชิญชวนหรือต้องการคนมาช่วยค้าขายซึ่งมักจะเป็นเครือญาติกัน
ชาวซิกข์ในกลุ่มแรกเริ่มมักเป็นผู้ชายทั้งที่มีครอบครัวแล้วและโสด ซึ่งมักมาแต่งงานหลังจากที่เข้ามาอยู่ในสยาม ส่วนในกลุ่มสมทบครอบกลุ่มในทุกช่วงอายุ ล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีถิ่นกําเนิดมาจากเมืองเดียวกันการเดินทางเข้ามาสมทบ ความเป็นครอบครัวของชาวซิกข์ในสยามและล้านนาเกิดถือว่าเป็นการย้ายถิ่นฐานอย่างชัดเจน (น.78-79) |
|
Social Organization |
อัตลักษณ์ชาวปัญจาบีหรือชาวอินเดียในสยามและล้านนาชาวอินเดียที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานและค้าขายอยู่ในสยามและล้านนามีหลายกลุ่มทั้งกลุ่มศาสนาและกลุ่มถิ่นกําเนิดซึ่งมาจากรัฐต่างๆ แต่ไม่ว่าจะเป็นชาวอินเดียที่นับถือศาสนาซิกข์หรือฮินดูต่างก็มีวัฒนธรรมบางประการร่วมกัน ทั้งนี้เนื่องจากชาวอินเดียที่เข้ามาอาศัยอยู่มีจํานวนไม่มากนักหรือเรียกได้ว่าเป็นชนกลุ่มน้อยในสังคมไทยการรวมกลุ่มโดยอาศัยบริบทของความเป็นชาวอินเดียทําให้กลุ่มสามารถช่วยเหลือเกื้อกูลกันได้อาจจะทั้งเพื่อความอยู่รอดและเพื่อความสามารถทางการค้า (น.87) เฉพาะในเชียงใหม่และลําปางชาวอินเดียที่เป็นชาวปัญจาบีมี 2 กลุ่มศาสนาคือชาวซิกข์กับชาวฮินดูจุดร่วมทั้งสองกลุ่ม ได้แก่ ภาษา อาหาร การแต่งกาย บุคลิกภาพ (น.87)
จากการเก็บข้อมูลสนามในปี 2553 ที่เชียงใหม่และลําปางพบว่าในการปฏิบัติศาสนกิจของชาวซิกข์นั้นส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่และผู้สูงอายุสตรีแต่งกายแบบชาวปัญจาบีมีการทําอาหารแบบปัญจาบเฉพาะที่ลําปางซึ่งสังคมชาวอินเดียมีขนาดเล็กทําให้จุดร่วมของกลุ่มคนสองศาสนาคือความเป็นอินเดียและปัญจาบีชาวซิกข์เข้าร่วมพิธีที่เทวสถานพระแม่ศรีมหาอุมาเทวีของชาวฮินดูซึ่งชี้ให้เห็นว่ามีการอาศัยเกื้อกูลระหว่างกัน (น.87) |
|
Political Organization |
โดยชาวซิกข์ในรุ่นแรกๆ ที่เข้ามายังสยามนั้นเป็นผู้ถือ “หนังสือเดินทางของอังกฤษ” (British Passport) เมื่อเข้ามาพํานักอยู่ในพระนครจะต้องขึ้นทะเบียนต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐคือสํานักงานตรวจคนเข้าเมืองโดยจะได้รับ “ใบแทนใบสําคัญถิ่นที่อยู่” (Duplicate of Certificate of Residence) และจะสามารถเดินขายในพระนครได้ต้องมีใบอนุญาต “บัตรเร่ขาย”
การถือเอกสารต่างๆ เหล่านี้แสดงให้เห็นว่าชาวซิกข์ปฏิบัติตนตามระเบียบของทางราชการจากกรณีศึกษาพบว่าเอกสารสําคัญทั้งสามฉบับมีข้อมูลอันเป็นสาระที่น่าสนใจหลายประการได้แก่ (น.82)
ประเด็นแรก การถือหนังสือเดินทางของอังกฤษเนื่องด้วยอินเดียอยู่ในอาณานิคมอังกฤษ ชาวซิกข์จึงเป็นคนในบังคับอังกฤษที่สามารถเดินทางเข้ามาอาศัยอยู่และค้าขายในสยามและล้านนาได้อย่างเสรีเป็นไปตามสนธิสัญญาเบาว์ริ่งหนังสือเดินทางชี้ให้เห็นว่าชาวซิกข์เดินทางเข้ามาอาศัยอยู่อย่างถูกต้อง (น.83)
ประเด็นที่สอง “ใบแทนใบสําคัญถิ่นที่อยู่” ในเอกสารฉบับนี้ได้แสดงข้อมูลประวัติของผู้ถือใบฯ เช่น สถานที่เกิด การเข้ามาประเทศไทย ลักษณะการเดินทาง ที่อยู่ในพระนครและสถานภาพการสมรส (น.83)
ประเด็นที่สามใบอนุญาต “บัตรเร่ขาย” ลงนามโดยนายกเทศมนตรีกรุงเทพมหานคร (ในสมัยนั้น) ชาวซิกข์จะต้องพกบัตรนี้อยู่เสมอตามข้อความที่ปรากฏในหน้าบัตร |
|
Belief System |
คุรุดวาราที่เก่าแก่ที่สุดในไทยคือคุรุดวาราเชียงใหม่ก่อตั้งในปี 2450 หรือหลังจากที่มีชาวซิกข์เข้ามาอยู่รวมกัน 5 ครอบครัว ซึ่งตามหลักศาสนาซิกข์แล้วจะสามารถตั้งคุรุดวาราเพื่อปฏิบัติศาสนกิจได้จึงทําให้มีการจัดตั้งคุรุดวาราที่ริมถนนเจริญราษฎร์ในตําบลวัดเกตพื้นที่อยู่ติดกับวัดเกตการาม (หลังวัด) ใกล้ฝั่งแม่นํ้ําปิงปัจจุบัน เป็นที่สำหรับประกอบพิธีเจริญธรรมและสวดมนต์ (น.80)
คุรุดวารา ได้รับการบูรณะอยู่หลายครั้งในปี 2452 และในปี 2518 ได้ทําการบูรณะใหม่โดยสร้างเป็นอาคารถาวร กระทั่งในปี 2552 ชาวไทยซิกข์ในเชียงใหม่ได้จัดงานเฉลิมฉลองคุรุดวาราเชียงใหม่ครบ 102 ปี ปัจจุบันมีการปฏิบัติศาสนกิจสัปดาห์ละครั้งจัดขึ้นในตอนเช้าวันเสาร์ (น.80)
สำหรับชาวซิกข์เข้ามาอาศัยอยู่ในพระนครได้ระยะหนึ่ง ได้รวมกลุ่มกันสร้างคุรุดวาราขึ้น ในปี 2455 ได้สร้างคุรุดวาราชั่วคราวขึ้นที่บริเวณบ้านหม้อโดยขอเช่าบ้านเรือนไม้ 1 คูหา แล้วสร้างที่ประดิษฐานพระศาสดาศรีคุรุครันถ์ซาฮิบ 19 (น.85) ในปีถัดมา 2456 มีชาวซิกข์เข้ามาอาศัยในพระนครมากขึ้นจึงได้ย้ายคุรุดวารามาอยู่ที่บริเวณหัวมุมถนนพาหุรัดและถนนจักรเพชร ต่อมาในปี 2475 ชาวซิกข์ได้รวบรวมทุนทรัพย์ซื้อที่ดินแปลงหนึ่งเป็นกรรมสิทธิ์และก่อสร้างเป็นตึกสามชั้น (พื้นที่ปัจจุบัน) โดยใช้ชื่อว่า “ศาสนสถานสมาคมศรีคุรุสิงห์สภา” (น.85)
ในปี 2506 รัฐบาลได้จัดรูปแบบขององค์การทางศาสนาขึ้นใหม่โดยออกเป็นกฎของกระทรวงศึกษาธิการที่ต้องไปจดทะเบียนกับกรมศาสนาทําให้สมาคมศรีคุรุสิงห์สภาได้รับการรับรองจากรัฐบาล ศาสนาซิกข์จึงถือเป็นศาสนาหนึ่งในสังคมไทย (น.86)
คุรุดวารากรุงเทพมหานครในปัจจุบันถือเป็นศาสนสถานของชาวซิกข์ที่ใหญ่ที่สุดของไทยมีการปฏิบัติศาสนกิจทุกวันนอกจากชาวไทยซิกข์แล้วยังมีชาวซิกข์จากอินเดียและนานาประเทศมาร่วมปฏิบัติศาสนกิจด้วย (น.86)
นอกจากนี้ยังพบ คุรุดวารา ในจังหวัดลําปาง ซึ่งตั้งหลังจากที่ทางพระนครได้จัดตั้งศาสนสถานสมาคมศรีคุรุสิงห์สภาขึ้นในปีถัดมา (น.82) |
|
Education and Socialization |
ชาวซิกข์ได้ให้ความสําคัญต่อการศึกษาของลูกหลานเป็นอย่างมากสมาคมศรีคุรุสิงห์สภาได้จัดตั้ง “โรงเรียนซิกข์วิทยาลัย” ในปี 2494 เน้นการสอนหลายภาษา ได้แก่ ภาษาไทยอังกฤษ ฮินดี ปัญจาบีและเน้นสอนเกี่ยวกับศาสนาศึกษาแรกเริ่มโรงเรียนตั้งอยู่ในคุรุดวารากรุงเทพมหานครต่อมามีนักเรียนมากขึ้นจึงย้ายไปสร้างโรงเรียนที่สมุทรปราการโดยที่ได้รับการรับรองวิทยฐานะเทียบเท่าโรงเรียนรัฐบาลต่อมาสมาคมฯ ได้จัดตั้ง “โรงเรียนไทยซิกข์นานาชาติ” ที่สมุทรปราการเป็ดสอนตามระบบโรงเรียนอินเตอร์เนชั่นแนล (น.89)
บางส่วนถูกส่งไปเรียนที่อินเดียโดยมักจะเริ่มเรียนในโรงเรียนไทยก่อนแล้วจึงส่งไปเรียนต่อในระดับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษาที่ประเทศอินเดีย ทําให้ได้เรียนรู้ทั้งภาษาและวัฒนธรรมของบรรพบุรุษโดยตรง |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ชาวซิกข์ (Sikh) หมายถึง ผู้นับถือศาสนาซิกข์ (Sikh/Sikhism) โดยศาสนาซิกข์มีถิ่นกำเนิดในปัญจาบ ชาวซิกข์จึงเป็นชาวปัญจาบหรือปัญจาบี ปัจจุบันอยู่ในอินเดียและปากีสถาน (น.69) แต่เมื่อชาวซิกข์มาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย มีลูกหลานถือกำเนิดในไทยจึงถือเป็นชาวไทย ทว่ายังคงนับถือศาสนาซิกข์ตามบรรพบุรุษ จึงเรียกว่า ชาวไทยซิกข์ (น.69)
อัตลักษณ์ชาวซิกข์มาจากศาสนวินัยในศาสนาซิกข์กล่าวคือการเป็นชาวซิกข์ที่สมบูรณ์ต้องปฏิบัติตามศาสนวินัยและต้องรักษาศาสนสัญลักษณ์ 5 ประการหรือเรียกว่า “5ก” (น.87) การรักษาศาสนสัญลักษณ์และการตั้งคุรุดวาราขึ้นในตามเมืองต่างๆ ที่มีชาวซิกข์อาศัยอยู่ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนของการแสดงอัตลักษณ์ชาวซิกข์นอกถิ่นปัญจาบ จนกระทั่งในปัจจุบันการแสดงอัตลักษณ์ด้วยศาสนสัญลักษณ์ของชาวไทยซิกข์ซึ่งเป็นช่วงรุ่นที่ 3-5 ก็ยังคงปฏิบัติตามอย่างบรรพบุรุษแต่อาจจะไม่เข้มข้นเท่ากับความชาวซิกข์รุ่นแรกๆ กล่าวคือลูกหลานชาวไทยซิกข์บางส่วนจะตัดผมโกนหนวดเคราและไม่โพกผ้าที่ศีรษะ (น.87)
|
|
Social Cultural and Identity Change |
การปรับตัวของชาวซิกข์ในสยามและล้านนาในตลาดผ้าในศตวรรษที่ผ่านมานั้นบรรดากลุ่มพ่อค้ามีทั้งชาวไทยชาวจีนและชาวอินเดียเมื่อการทําการค้าร่วมกันจึงจําเป็นที่จะต้องสื่อสารระหว่างกันพ่อค้าชาวซิกข์ต้องเรียนรู้ทั้งภาษาวัฒนธรรมไทยและท้องถิ่นและของกลุ่มชนอื่นๆ รอบข้างโดยเฉพาะชาวจีนทําให้สามารถพูดได้หลายภาษาการคบค้าสมาคมกันก็ทําให้เกิดความเป็นมิตรและมีความรับผิดชอบร่วมกัน (น.88)
แขกขายผ้ากลายเป็นภาพที่คุ้นตาในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา หากแต่ในทศวรรษปัจจุบันลูกหลานชาวไทยซิกข์รุ่นที่ 3-5 ได้รับการศึกษาที่สูงขึ้น ในสาขาวิชาต่างๆ ที่หลากหลายทําให้ชาวไทยซิกข์รุ่นปัจจุบันหันไปประกอบอาชีพอื่นๆ มากขึ้น เช่น ธุรกิจการท่องเที่ยว ธุรกิจเทคโนโลยีและการสื่อสารหรือเป็นลูกจ้างในบริษัทข้ามชาติเพราะมีความสามารถทางภาษาและความรู้เฉพาะด้าน |
|
Map/Illustration |
- แผนที่อินเดียและอุษาคเนย์ แสดงเส้นทางการเดินทางจากปัญจาบ (ยุคอาณานิคมอังกฤษ) สู่สยามและล้านนา (น.75)
- ภาพหนังสือเดินทางของชาวซิกข์ในรุ่นแรกๆ ที่เข้ามาสยาม เป็นหนังสือเดินทางของอังกฤษ “British Passport” (น.83)
- ภาพใบแทนใบสำคัญถิ่นที่อยู่ของชาวซิกข์ในรุ่นแรกๆ ในพระนคร (น.83-84)
- ภาพบัตรเร่ขาย (สำหรับชาวซิกข์ในรุ่นแรกๆ ที่เร่ขายในพระนคร) (น.85) |
|
|