สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ชาวซิกข์, ชาวไทยซิกข์, ศาสนาซิกข์, อินเดียศึกษา, ภารตะศึกษา, ชาวไทยอินเดีย, การค้าผ้า
Author อภิรัฐ คำวัง
Title ชาวซิกข์ในสยามและล้านนาว่าด้วยเรื่องประวัติศาสตร์การตั้งชุมชน ศาสนาและการค้า
Document Type บทความ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity - Language and Linguistic Affiliations -
Location of
Documents
มหาวิทยาลัยขอนแก่น, ฐานข้อมูลวารสารอิเล็กทรอนิกส์กลางของประเทศไทย
[เอกสารฉบับเต็ม]
Total Pages 28 Year 2554
Source วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 28 (2) พ.ค. – ส.ค. 2554
Abstract

บทความนี้เป็นผลสืบเนื่องจากการศึกษาวิจัยในโครงการ “อินเดียในประเทศไทย : พลวัตรในการขับเคลื่อนสังคมไทยสู่ประชาคมอาเซียนและเอเชีย” (น.68) คนทั่วไปเมื่อกล่าวถึง “แขก” มักจะนึกถึง “แขกขายผ้า” จึงทําให้ชาวกรุงนึกถึง “พาหุรัด” และคนเมืองจะนึกถึง “ตลาดวโรรส” ซึ่งได้กลายเป็นภาพที่คุ้นตา โดยชาวซิกข์ถือเป็นชาวอินเดียกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งในสังคมไทย เดินทางเข้ามาค้าขายตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เริ่มตั้งถิ่นฐานมีลักษณะเด่นหลายประการ เช่น ชุมชนค้าผ้า ใช้ภาษาปัญจาบีในการสื่อสาร ปัจจุบันลูกหลานชาวไทยซิกข์ส่วนใหญ่มีการศึกษาที่สูงขึ้นและสนใจประกอบธุรกิจอื่นมากกว่าค้าผ้า ทำให้สามารถคาดการณ์ได้ว่าชาวไทยซิกข์จะสืบทอดกิจการดังกล่าวลดลง

Focus

นำเสนอเรื่องราวความเป็นมาและพัฒนาการของชาวซิกข์ในสยามและล้านนาควบคู่กัน ตั้งแต่พัฒนาการการเดินทางเข้ามาค้าขายและการตั้งถิ่นฐานอย่างต่อเนื่องกระทั่งปัจจุบัน ซึ่งสังคมของชาวซิกข์ในเชียงใหม่เป็นสังคมที่เก่าแก่ ขณะเดียวกันในกรุงเทพมหานครก็เป็นศูนย์กลางของชาวไทยซิกข์ โดยบทความนี้มุ่งเน้นในประเด็นมิติทางประวัติศาสตร์การตั้งชุมชน ศาสนาและการค้าเป็นสำคัญ

Language and Linguistic Affiliations

ชาวปัญจาบี เป็นผู้ที่พูดภาษาปัญจาบีเป็นภาษาแม่หรือเป็นผู้ที่มีถิ่นกำเนิดในปัญจาบ แต่ชาวปัญจาบีทั้งหมดไม่ได้นับถือศาสนาซิกข์ (น.69)

Study Period (Data Collection)

2552-2553

History of the Group and Community

ชาวซิกข์มีหลักฐานบ่งบอกว่าเข้ามาในสมัยรัชกาลที่ 5 เห็นได้จากวาระคราวฉลองศาสนสถานคุรุดวาเชียงใหม่ครบ 102 ปี ในปี 2552 และสันนิษฐานว่าชาวอินเดียซิกข์น่าจะเข้ามาในเมืองเชียงใหม่ราวปี 2400 ขณะเดียวกันตามประวัติของสมาคมศรีคุรุสิงห์สภาบันทึกไว้ว่า ชาวซิกข์คนแรกที่เดินทางจากปัญจาบเข้ามายังลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา กรุงเทพมหานคร คือ นายกิรปาราม มาดาม เป็นพ่อค้าที่เข้ามาค้าขายในปี 2429 แต่เป็นการเดินทางไปมาเพื่อค้าขายก่อนการตั้งถิ่นฐานในเวลาต่อมา สำรับชาวซิกข์ที่เข้ามาค้าขายและตั้งถิ่นฐานที่ลุ่มแม่น้ำปิง เชียงใหม่ คือ นายอีเซอร์ ซิงห์ พร้อมพี่น้องคือ นายยากัต วิงห์ และนายดาลีป ซิงห์ ซึ่งเข้ามาในปี 2473 (น.70)
ปัจจัยที่ส่งผลให้พ่อค้าชาวซิกข์ออกจากปัญจาบแล้วมาตั้งถิ่นฐานอยู่ในสยามและล้านนา มีปัจจัยหลัก 2 ประเด็นหลัก ประเด็นแรก สืบเนื่องจากสภาพการเมืองภายในปัญจาบและอินเดียภายใต้อาณานิคมอังกฤษ ประเด็นที่สอง สยามและล้านนาเป็นแหล่งเศรษฐกิจที่ชาวต่างประเทศสามารถเข้ามาอาศัยอยู่และทำการค้า (น.72)

Settlement Pattern

พ่อค้าชาวซิกข์เดินทางจากปัญจาบมาสู่สยามและล้านนาโดยใช้เส้นทาง 3 เส้นทางหลัก คือ เส้นทางแรกเป็นเส้นทางที่นายอีเชอร์ ชิงห์ เดินทางออกจากอินเดียแล้วเข้าพม่า (ย่างกุ้ง/เมาะละแหม่ง) เนื่องจากพม่ามีพรมแดนติดต่อกับอินเดีย (อัสสัม มณีปุระ) ขณะนั้นพม่าเป็นอาณานิคมอังกฤษ จากพม่าเดินทางต่อมาจนถึงด่านแม่สอดแล้วขึ้นไปทางล้านนา หรือจากพม่าเข้าทางด่านแม่สายแล้วลงมาเชียงใหม่
เส้นทางที่สอง เส้นทางเรือจากเบงกอลมาขึ้นฝั่งที่มะละกา
เส้นทางที่สาม เส้นทางที่ลงเรือจากเชนไนมาขึ้นฝั่งที่มะละกา เส้นทางที่สองและสามเป็นเส้นทางติดต่อค้าขายโบราณ เมื่อมาขึ้นท่าที่มะละกาแล้วก็เดินทางเข้ามายังภาคใต้ของสยามและขึ้นมายังพระนครศูนย์กลางของสยาม (น.74-75)
ชาวซิกข์รุ่นแรกๆ ที่เข้ามาพระนคร ในช่วงแรกกระจายอยู่ในหลายพื้นที่ เช่น บริเวณสําเพ็งบ้านหม้อราชวงศ์สุขุมวิท จนเมื่อมีการสร้างตึกแถวริมถนนพาหุรัดขึ้นในปี 2441 ทําให้ชาวซิกข์เข้าไปจับจองเพื่อเป็ดร้านขายผ้าและสินค้านําเข้าจากอินเดียจนกลายเป็นย่านการค้าผ้าในพระนครจนถึงปัจจุบัน (น.82)

Demography

พบว่าชาวซิกข์อาศัยกระจายอยู่ในเมืองต่างๆ ทุกภูมิภาคของไทย จากรายงานของ UNHCRปี 2551 มีผู้นับถือศาสนาซิกข์ 70,000 คน ส่วนใหญ่อาศัยอยู๋ในกรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ นครราชสีมา เมืองพัทยา เกาะสมุยและภูเก็ต

Economy

จากการศึกษาลักษณะการตั้งถิ่นฐานและการค้าขายของชาวซิกข์พบว่าชาวซิกข์รุ่นแรกที่เข้ามาค้าขายในสยามและล้านนาถือได้ว่าเป็นรุ่นบุกเบิกโดยส่วนใหญ่จะเริ่มต้นจากการค้าขายลักษณะหาบเร่ แจวเรือ (ในพระนคร) และส่วนใหญ่เป็นการขายผ้าบางส่วนเริ่มต้นจากการเป็นลูกจ้างไปก่อนจนเมื่อสามารถเก็บหอบรอบริบได้บ้างแล้ว ทําให้ชาวซิกข์รุ่นแรกหรือรุ่นที่สองเริ่มเช่าหรือซื้อร้านค้าในเขตตลาดเปิดเป็นร้านขายผ้า
ภายหลังจากที่ชาวซิกข์กลุ่มแรกเข้ามาอยู่ได้สักระยะหนึ่งกลุ่มสมทบก็เริ่มเข้ามา เนื่องจากชาวซิกข์ในกลุ่มแรกเริ่มได้ส่งข่าวเล่าเรื่องกลับไปยังปัญจาบพร้อมกับเชิญชวนหรือต้องการคนมาช่วยค้าขายซึ่งมักจะเป็นเครือญาติกัน
ชาวซิกข์ในกลุ่มแรกเริ่มมักเป็นผู้ชายทั้งที่มีครอบครัวแล้วและโสด ซึ่งมักมาแต่งงานหลังจากที่เข้ามาอยู่ในสยาม ส่วนในกลุ่มสมทบครอบกลุ่มในทุกช่วงอายุ ล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีถิ่นกําเนิดมาจากเมืองเดียวกันการเดินทางเข้ามาสมทบ ความเป็นครอบครัวของชาวซิกข์ในสยามและล้านนาเกิดถือว่าเป็นการย้ายถิ่นฐานอย่างชัดเจน (น.78-79)

Social Organization

อัตลักษณ์ชาวปัญจาบีหรือชาวอินเดียในสยามและล้านนาชาวอินเดียที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานและค้าขายอยู่ในสยามและล้านนามีหลายกลุ่มทั้งกลุ่มศาสนาและกลุ่มถิ่นกําเนิดซึ่งมาจากรัฐต่างๆ แต่ไม่ว่าจะเป็นชาวอินเดียที่นับถือศาสนาซิกข์หรือฮินดูต่างก็มีวัฒนธรรมบางประการร่วมกัน ทั้งนี้เนื่องจากชาวอินเดียที่เข้ามาอาศัยอยู่มีจํานวนไม่มากนักหรือเรียกได้ว่าเป็นชนกลุ่มน้อยในสังคมไทยการรวมกลุ่มโดยอาศัยบริบทของความเป็นชาวอินเดียทําให้กลุ่มสามารถช่วยเหลือเกื้อกูลกันได้อาจจะทั้งเพื่อความอยู่รอดและเพื่อความสามารถทางการค้า (น.87) เฉพาะในเชียงใหม่และลําปางชาวอินเดียที่เป็นชาวปัญจาบีมี 2 กลุ่มศาสนาคือชาวซิกข์กับชาวฮินดูจุดร่วมทั้งสองกลุ่ม ได้แก่ ภาษา อาหาร การแต่งกาย บุคลิกภาพ (น.87)
จากการเก็บข้อมูลสนามในปี 2553 ที่เชียงใหม่และลําปางพบว่าในการปฏิบัติศาสนกิจของชาวซิกข์นั้นส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่และผู้สูงอายุสตรีแต่งกายแบบชาวปัญจาบีมีการทําอาหารแบบปัญจาบเฉพาะที่ลําปางซึ่งสังคมชาวอินเดียมีขนาดเล็กทําให้จุดร่วมของกลุ่มคนสองศาสนาคือความเป็นอินเดียและปัญจาบีชาวซิกข์เข้าร่วมพิธีที่เทวสถานพระแม่ศรีมหาอุมาเทวีของชาวฮินดูซึ่งชี้ให้เห็นว่ามีการอาศัยเกื้อกูลระหว่างกัน (น.87)

Political Organization

โดยชาวซิกข์ในรุ่นแรกๆ ที่เข้ามายังสยามนั้นเป็นผู้ถือ “หนังสือเดินทางของอังกฤษ” (British Passport) เมื่อเข้ามาพํานักอยู่ในพระนครจะต้องขึ้นทะเบียนต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐคือสํานักงานตรวจคนเข้าเมืองโดยจะได้รับ “ใบแทนใบสําคัญถิ่นที่อยู่” (Duplicate of Certificate of Residence) และจะสามารถเดินขายในพระนครได้ต้องมีใบอนุญาต “บัตรเร่ขาย”
การถือเอกสารต่างๆ เหล่านี้แสดงให้เห็นว่าชาวซิกข์ปฏิบัติตนตามระเบียบของทางราชการจากกรณีศึกษาพบว่าเอกสารสําคัญทั้งสามฉบับมีข้อมูลอันเป็นสาระที่น่าสนใจหลายประการได้แก่ (น.82)
ประเด็นแรก การถือหนังสือเดินทางของอังกฤษเนื่องด้วยอินเดียอยู่ในอาณานิคมอังกฤษ ชาวซิกข์จึงเป็นคนในบังคับอังกฤษที่สามารถเดินทางเข้ามาอาศัยอยู่และค้าขายในสยามและล้านนาได้อย่างเสรีเป็นไปตามสนธิสัญญาเบาว์ริ่งหนังสือเดินทางชี้ให้เห็นว่าชาวซิกข์เดินทางเข้ามาอาศัยอยู่อย่างถูกต้อง (น.83)
ประเด็นที่สอง “ใบแทนใบสําคัญถิ่นที่อยู่” ในเอกสารฉบับนี้ได้แสดงข้อมูลประวัติของผู้ถือใบฯ เช่น สถานที่เกิด การเข้ามาประเทศไทย ลักษณะการเดินทาง ที่อยู่ในพระนครและสถานภาพการสมรส (น.83)
ประเด็นที่สามใบอนุญาต “บัตรเร่ขาย” ลงนามโดยนายกเทศมนตรีกรุงเทพมหานคร (ในสมัยนั้น) ชาวซิกข์จะต้องพกบัตรนี้อยู่เสมอตามข้อความที่ปรากฏในหน้าบัตร 

Belief System

คุรุดวาราที่เก่าแก่ที่สุดในไทยคือคุรุดวาราเชียงใหม่ก่อตั้งในปี 2450 หรือหลังจากที่มีชาวซิกข์เข้ามาอยู่รวมกัน  5 ครอบครัว ซึ่งตามหลักศาสนาซิกข์แล้วจะสามารถตั้งคุรุดวาราเพื่อปฏิบัติศาสนกิจได้จึงทําให้มีการจัดตั้งคุรุดวาราที่ริมถนนเจริญราษฎร์ในตําบลวัดเกตพื้นที่อยู่ติดกับวัดเกตการาม (หลังวัด) ใกล้ฝั่งแม่นํ้ําปิงปัจจุบัน เป็นที่สำหรับประกอบพิธีเจริญธรรมและสวดมนต์ (น.80)
คุรุดวารา ได้รับการบูรณะอยู่หลายครั้งในปี 2452 และในปี 2518 ได้ทําการบูรณะใหม่โดยสร้างเป็นอาคารถาวร กระทั่งในปี 2552 ชาวไทยซิกข์ในเชียงใหม่ได้จัดงานเฉลิมฉลองคุรุดวาราเชียงใหม่ครบ 102 ปี ปัจจุบันมีการปฏิบัติศาสนกิจสัปดาห์ละครั้งจัดขึ้นในตอนเช้าวันเสาร์ (น.80)
สำหรับชาวซิกข์เข้ามาอาศัยอยู่ในพระนครได้ระยะหนึ่ง ได้รวมกลุ่มกันสร้างคุรุดวาราขึ้น ในปี 2455 ได้สร้างคุรุดวาราชั่วคราวขึ้นที่บริเวณบ้านหม้อโดยขอเช่าบ้านเรือนไม้ 1 คูหา แล้วสร้างที่ประดิษฐานพระศาสดาศรีคุรุครันถ์ซาฮิบ 19 (น.85) ในปีถัดมา 2456 มีชาวซิกข์เข้ามาอาศัยในพระนครมากขึ้นจึงได้ย้ายคุรุดวารามาอยู่ที่บริเวณหัวมุมถนนพาหุรัดและถนนจักรเพชร ต่อมาในปี 2475 ชาวซิกข์ได้รวบรวมทุนทรัพย์ซื้อที่ดินแปลงหนึ่งเป็นกรรมสิทธิ์และก่อสร้างเป็นตึกสามชั้น (พื้นที่ปัจจุบัน) โดยใช้ชื่อว่า “ศาสนสถานสมาคมศรีคุรุสิงห์สภา” (น.85)
ในปี 2506 รัฐบาลได้จัดรูปแบบขององค์การทางศาสนาขึ้นใหม่โดยออกเป็นกฎของกระทรวงศึกษาธิการที่ต้องไปจดทะเบียนกับกรมศาสนาทําให้สมาคมศรีคุรุสิงห์สภาได้รับการรับรองจากรัฐบาล ศาสนาซิกข์จึงถือเป็นศาสนาหนึ่งในสังคมไทย (น.86)
คุรุดวารากรุงเทพมหานครในปัจจุบันถือเป็นศาสนสถานของชาวซิกข์ที่ใหญ่ที่สุดของไทยมีการปฏิบัติศาสนกิจทุกวันนอกจากชาวไทยซิกข์แล้วยังมีชาวซิกข์จากอินเดียและนานาประเทศมาร่วมปฏิบัติศาสนกิจด้วย (น.86)
นอกจากนี้ยังพบ คุรุดวารา ในจังหวัดลําปาง ซึ่งตั้งหลังจากที่ทางพระนครได้จัดตั้งศาสนสถานสมาคมศรีคุรุสิงห์สภาขึ้นในปีถัดมา (น.82)

Education and Socialization

ชาวซิกข์ได้ให้ความสําคัญต่อการศึกษาของลูกหลานเป็นอย่างมากสมาคมศรีคุรุสิงห์สภาได้จัดตั้ง “โรงเรียนซิกข์วิทยาลัย” ในปี 2494 เน้นการสอนหลายภาษา ได้แก่ ภาษาไทยอังกฤษ ฮินดี ปัญจาบีและเน้นสอนเกี่ยวกับศาสนาศึกษาแรกเริ่มโรงเรียนตั้งอยู่ในคุรุดวารากรุงเทพมหานครต่อมามีนักเรียนมากขึ้นจึงย้ายไปสร้างโรงเรียนที่สมุทรปราการโดยที่ได้รับการรับรองวิทยฐานะเทียบเท่าโรงเรียนรัฐบาลต่อมาสมาคมฯ ได้จัดตั้ง “โรงเรียนไทยซิกข์นานาชาติ” ที่สมุทรปราการเป็ดสอนตามระบบโรงเรียนอินเตอร์เนชั่นแนล (น.89)
บางส่วนถูกส่งไปเรียนที่อินเดียโดยมักจะเริ่มเรียนในโรงเรียนไทยก่อนแล้วจึงส่งไปเรียนต่อในระดับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษาที่ประเทศอินเดีย ทําให้ได้เรียนรู้ทั้งภาษาและวัฒนธรรมของบรรพบุรุษโดยตรง

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ชาวซิกข์ (Sikh) หมายถึง ผู้นับถือศาสนาซิกข์ (Sikh/Sikhism) โดยศาสนาซิกข์มีถิ่นกำเนิดในปัญจาบ ชาวซิกข์จึงเป็นชาวปัญจาบหรือปัญจาบี ปัจจุบันอยู่ในอินเดียและปากีสถาน (น.69) แต่เมื่อชาวซิกข์มาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย มีลูกหลานถือกำเนิดในไทยจึงถือเป็นชาวไทย ทว่ายังคงนับถือศาสนาซิกข์ตามบรรพบุรุษ จึงเรียกว่า ชาวไทยซิกข์ (น.69)
อัตลักษณ์ชาวซิกข์มาจากศาสนวินัยในศาสนาซิกข์กล่าวคือการเป็นชาวซิกข์ที่สมบูรณ์ต้องปฏิบัติตามศาสนวินัยและต้องรักษาศาสนสัญลักษณ์ 5 ประการหรือเรียกว่า “5ก” (น.87) การรักษาศาสนสัญลักษณ์และการตั้งคุรุดวาราขึ้นในตามเมืองต่างๆ ที่มีชาวซิกข์อาศัยอยู่ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนของการแสดงอัตลักษณ์ชาวซิกข์นอกถิ่นปัญจาบ จนกระทั่งในปัจจุบันการแสดงอัตลักษณ์ด้วยศาสนสัญลักษณ์ของชาวไทยซิกข์ซึ่งเป็นช่วงรุ่นที่ 3-5 ก็ยังคงปฏิบัติตามอย่างบรรพบุรุษแต่อาจจะไม่เข้มข้นเท่ากับความชาวซิกข์รุ่นแรกๆ กล่าวคือลูกหลานชาวไทยซิกข์บางส่วนจะตัดผมโกนหนวดเคราและไม่โพกผ้าที่ศีรษะ (น.87)

Social Cultural and Identity Change

การปรับตัวของชาวซิกข์ในสยามและล้านนาในตลาดผ้าในศตวรรษที่ผ่านมานั้นบรรดากลุ่มพ่อค้ามีทั้งชาวไทยชาวจีนและชาวอินเดียเมื่อการทําการค้าร่วมกันจึงจําเป็นที่จะต้องสื่อสารระหว่างกันพ่อค้าชาวซิกข์ต้องเรียนรู้ทั้งภาษาวัฒนธรรมไทยและท้องถิ่นและของกลุ่มชนอื่นๆ รอบข้างโดยเฉพาะชาวจีนทําให้สามารถพูดได้หลายภาษาการคบค้าสมาคมกันก็ทําให้เกิดความเป็นมิตรและมีความรับผิดชอบร่วมกัน (น.88)
แขกขายผ้ากลายเป็นภาพที่คุ้นตาในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา หากแต่ในทศวรรษปัจจุบันลูกหลานชาวไทยซิกข์รุ่นที่ 3-5 ได้รับการศึกษาที่สูงขึ้น ในสาขาวิชาต่างๆ ที่หลากหลายทําให้ชาวไทยซิกข์รุ่นปัจจุบันหันไปประกอบอาชีพอื่นๆ มากขึ้น เช่น ธุรกิจการท่องเที่ยว ธุรกิจเทคโนโลยีและการสื่อสารหรือเป็นลูกจ้างในบริษัทข้ามชาติเพราะมีความสามารถทางภาษาและความรู้เฉพาะด้าน 

Map/Illustration

- แผนที่อินเดียและอุษาคเนย์ แสดงเส้นทางการเดินทางจากปัญจาบ (ยุคอาณานิคมอังกฤษ) สู่สยามและล้านนา (น.75)
- ภาพหนังสือเดินทางของชาวซิกข์ในรุ่นแรกๆ ที่เข้ามาสยาม เป็นหนังสือเดินทางของอังกฤษ “British Passport” (น.83)
- ภาพใบแทนใบสำคัญถิ่นที่อยู่ของชาวซิกข์ในรุ่นแรกๆ ในพระนคร (น.83-84)
- ภาพบัตรเร่ขาย (สำหรับชาวซิกข์ในรุ่นแรกๆ ที่เร่ขายในพระนคร) (น.85)

Text Analyst สุธาสินี บุญเกิด Date of Report 05 ม.ค. 2566
TAG ชาวซิกข์, ชาวไทยซิกข์, ศาสนาซิกข์, อินเดียศึกษา, ภารตะศึกษา, ชาวไทยอินเดีย, การค้าผ้า, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง