สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ชาติพันธุ์, นโยบายภูมิบุตรา, มาเลเซีย, ชนพื้นเมือง
Author เฉลิมชัย โชติสุทธิ์
Title ภูมิบุตรา : นโยบายเชื้อชาตินิยมในมาเลเซีย
Document Type บทความ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม, Language and Linguistic Affiliations -
Location of
Documents
หอสมุดมหาวิทยาลัยทักษิณ, ฐานข้อมูลวารสารอิเล็กทรอนิกส์กลางของประเทศไทย
[เอกสารฉบับเต็ม]
Total Pages 20 Year 2557
Source วารสารปาริชาต มหาวิทยาลัยทักษิณ ปีที่ 27 ฉบับที่ 1 เมษายน – กันยายน 2557 หน้า 78-97
Abstract

ในยุคอาณานิคมมาเลเซียภายใต้การปกครองของอังกฤษได้ใช้วิธีการปกครองโดยพยายามแบ่งแยกเชื้อชาติ เหตุจากความสะดวกในการปกครองและไม่ให้เกิดการรวมตัวกันต่อต้านเจ้าอาณานิคมนั้น ยังเป็นผลมรดกตกทอดส่งผลกระทบถึงปัจจุบัน ภายใต้พรรคแนวร่วมแห่งชาติในนามของพรรคอัมโน ที่ยังคงให้การสนับสนุนนโยบายภูมิบุตรา ซึ่งมีลักษณะของการให้สิทธิพิเศษบางประการกับชาวมลายูและชนพื้นเมืองเดิม โดยนโยบายดังกล่าวมีนัยสำคัญต่อการครองตำแหน่งในการบริหารประเทศ (น.79) ด้วยสังคมประเทศมาเลเซียมีลักษณะแบบพหุสังคม เป็นสังคมที่แยกส่วนไม่กลมกลืน แต่ละเชื้อชาติแยกกันอยู่โดยมีวัฒนธรรม ประเพณี และภาษาต่างกัน (น.81) ซึ่งนโยบายนี้ได้แบ่งสังคมมาเลเซียออกเป็น 2 กลุ่ม คือ ชนพื้นเมืองกับกลุ่มที่ไม่ใช่ชนพื้นเมืองซึ่งก็ได้แก่ชาวจีนและชาวอินเดีย
รัฐบาลพรรคแนวร่วมแห่งชาติปกครองมาเลเซียด้วยคะแนนเลือกตั้งท่วมท้น ครองเสียงข้างมากมาอย่างยาวนานกว่า 50 ปี แต่ในระยะภายหลังผลจากการเลือกตั้งในปี 2008 และ 2013 คะแนนเสียงกลับมีแนวโน้มลดน้อยลงจนไม่สามารถครอบครองที่นั่งส่วนใหญ่ในสภาได้อย่างที่เคยเป็นมา สะท้อนให้เห็นถึงความนิยมที่ลดลงต่อพรรคแนวร่วมแห่งชาติอย่างต่อเนื่อง (น.79) สาเหตุหนึ่งมาจากปัจจัยความไม่พอใจต่อการดำเนินนโยบายภูมิบุตรา เพราะเป็นการเอื้อประโยชน์อย่างไม่เป็นธรรมและไม่สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตย จึงเริ่มมีกระแสเอียงไปในทางสนับสนุนพรรคการเมืองที่ชูนโยบายที่ไม่คำนึงถึงเชื้อชาติ

Focus

แม้ว่าในสังคมมาเลเซียปัจจุบัน “นโยบายภูมิบุตรา” จะถูกตั้งคำถามถึงความชอบธรรมบนพื้นฐานของประชาธิปไตยอย่างไร ก็ไม่อาจทัดทานต่อคะแนนนิยมที่ส่งผลกระทบต่อรัฐบาลพรรคแนวร่วมแห่งชาติในนามของพรรคอัมโนผ่านนโยบายดังกล่าวได้ ความพยายามในการสร้างเอกภาพระหว่างชาติพันธุ์ที่ปรากฎในนโยบายต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคมแลเศรฐกิจ โดยที่ผ่านมาได้สร้างความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหลายประการ แต่กระนั้นก็เป็นเพียงการประสานผลประโยชน์ระหว่างเชื้อชาติมากกว่าการมุ่งแก้ปัญหาเชื้อชาติโดยตรง

Theoretical Issues

ผู้เขียนบทความได้เชื่อมโยงปรากฏการณ์ในการศึกษานโยบายภูมิบุตรากับการเมืองมาเลเซียในปัจจุบันพบว่ามีความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหลายประการ ที่น่าสนใจ
1.การก้าวข้ามการแบ่งแยกด้านเชื้อชาติ ในมาเลเซียมีพรรคการเมืองที่แตกต่างทั้งชาติพันธุ์และอุดมการณ์ทางการเมือง แต่เพื่อเป้าหมายในการชนะการเลือกตั้งเพื่อให้ได้มาซึ่งการเป็นรัฐบาลจำเป็นต้องทำให้มีการร่วมมือกันในทางการเมือง จากผลการเลือกตั้งในระยะหลังมานี้สะท้อนว่าการเมืองมาเลเซียยังคง ตั้งอยู่บนพื้นฐานด้านเชื้อชาติและศาสนาโดยชาวมาเลเซียเชื้อสายมลายูภูมิบุตรในชนบทและชาวมาเลเซียเชื้อสายอินเดียบางส่วนให้การสนับสนุนพรรคแนวร่วมแห่งชาติ ขณะที่ชาวมาเลเซียเชื้อสายจีนและเยาวชนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ให้การสนับสนุนพรรคร่วมฝ่ายค้าน ทำให้การเมืองมาเลเซียมีแนวโน้มพัฒนาสู่ระบบสองพรรคการเมืองระหว่างพรรคร่วมฝ่ายค้านกับ พรรคแนวร่วมแห่งชาติมากขึ้น (น.95)
2.การเคลื่อนไหวทางการเมือง มาเลเซียมีกฎหมายที่ควบคุมการชุมนุมและแสดงออกทางการเมืองที่เคร่งครัด แต่ในปัจจุบันเริ่มมีการเรียกร้องทางการเมืองมากขึ้น เช่น การประท้วงของประชาชน เชื้อสายอินเดียที่เรียกว่า ฮินดราฟ (HINDRAF: Hindu Rights Action Force) เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมระหว่างเชื้อชาติ รวมทั้งการการเกิดขึ้นของสื่อสังคม (น.96)
3.นโยบายภูมิบุตราที่ยังคงหยั่งรากลึก ไม่ว่ารัฐบาลมาเลเซียจะสามารถสร้างเอกภาพท่ามกลางความหลากหลายให้เกิดขึ้นได้หรือไม่ รัฐบาลเองก็จะยังคงไม่ยอมเลิกนโยบายภูมิบุตราอย่างทันที เพราะอันที่จริงแล้วความแตกแยกของพลเมืองเชื้อสายต่างๆ ยังคงมีอยู่ ปัญหาความไม่เท่าเทียมทางเชื้อชาติยังเป็นประเด็นที่สังคมถกเถียงอยู่ตลอดมา ทางออกที่เหมาะสมคือพรรคการเมืองนอกจากมีบทบาทเป็นตัวแทนกลุ่มผล ประโยชน์แล้ว ยังต้องเน้นบทบาทเผยแพร่ให้ความรู้ทางการเมืองแก่สมาชิกของตน คำนึงถึง ประโยชน์ของสังคมโดยรวม เพื่อสร้างประเทศที่น่าอยู่สำหรับทุกคนทุกกลุ่มผลประโยชน์ และ เมื่อนั้นประชาชนทุกเชื้อสายในมาเลเซียจะอยู่ด้วยความเข้าใจระหว่างกันมากขึ้น (น.96)

Ethnic Group in the Focus

พลเมืองมาเลเซียประกอบขึ้นจากหลากหลายเชื้อชาติ ชาวมลายูถือได้ว่าเป็นชนพื้นเมืองบนคาบสมุทรมลายู  ส่วนชาวจีนและชาวอินเดียเป็นผู้อพยพเข้ามาภายหลัง (น.81)

History of the Group and Community

ลักษณะสังคมหลากหลายเชื้อชาติของมาเลเซียเริ่มปรากฏเด่นชัดในช่วงคริสตศตวรรษที่ 19 หลังจากที่บริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษเข้ามามีบทบาทในคาบสมุทรมลายูทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมือง การเปลี่ยนแปลงทางสังคมบนคาบสมุทรมลายูจึงเป็นผลมาจากการพัฒนาทางเศรษฐกิจและการปกครองของอาณานิคมอังกฤษ มีชาวต่างชาติโดยเฉพาะชาวจีนและชาวอินเดียอพยพหลั่งไหลเข้ามายังคาบสมุทรมลายูเพิ่มมากขึ้น
ชาวมลายูและชนพื้นเมืองเป็นกลุ่มประชากรหลัก บนคาบสมุทรมลายูอาศัยอยู่ทั้งในเมืองและชนบท มีอำนาจในทางการเมืองและมีอิทธิพลต่อระบบสังคมของประเทศ ชาวมลายูและชนพื้นเมืองเชื่อว่าเขาเป็นผู้มีสิทธิใน ความเป็นเจ้าของประเทศที่เรียกว่า “ภูมิบุตรา” และเรียกร้องที่จะมีส่วนร่วมในการปกครอง มากกว่าเชื้อชาติอื่น ๆ
สำหรับเชื้อชาติจีนนั้นอพยพเข้ามาสู่คาบสมุทรอยู่เป็นระยะเวลานานแล้วและอาศัย อยู่ทั่วไปตามรัฐมลายูต่าง ๆ ส่วนมากจะอพยพมาจากมณฑลทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศจีน เช่น กวางตุ้ง ฟูเกียน และกวางสี ชาวจีนได้เข้ามาทำการค้ากับชนพื้นเมืองมาเป็นเวลานานแล้ว มีทั้งเข้ามาทำการค้าขายและตั้งหลักแหล่งภายในคาบสมุทรมลายูตามเมืองท่า และเกาะต่าง ๆ แถบช่องแคบมะละกา (น.83)
ในศริสต์ศตวรรษที่ 19 ชาวจีนอพยพเข้ามาระลอกใหญ่อันเนื่องมาจากความต้องการแรงงานในเหมืองแร่ เพราะว่าชาวมลายูไม่นิยมเป็นกรรมกรเหมืองจึงมีความจำเป็นที่จะต้องนำเข้าแรงงานจีนเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ ชาวจีนก็ยังประกอบอาชีพที่หลากหลาย เช่น พ่อค้าปลีกและเจ้าของร้านค้า โดยชาวจีนมักอาศัยอยู่รวมกันภายในกลุ่มภาษาเดียวกัน ซึ่งแต่ละกลุ่มจะมีหัวหน้าเรียกว่า “กัปปิตัน ไชน่า” (Kapitans China) ทำหน้าที่ดูแลชาวจีนในกลุ่มของตน ในระยะต่อมาเปลี่ยนเป็นการรวมตัวกันในรูปแบบสมาคมลับ (secret society) โดยชาวจีนที่อพยพมาใหม่จะต้องเข้าร่วมสมาคมใดสมาคมหนึ่ง ชาวจีนบนคาบสมุทรมลายูมักจะตั้งหลักแหล่งทำมาหากินอยู่ในเขต “สเตรทส์ เซ็ทเทิลเมนท์” (Straits Settlements) และรัฐใน “สหพันธ์รัฐมลายา” (Federated Malay States FMS) 
ในส่วนของกลุ่มเชื้อชาติอินเดีย ซึ่งส่วนใหญ่อพยพมาจากอินเดียตอนใต้ โดยมากมักเข้ามาทำงานเป็นแรงงานในไร่การเกษตรขนาดใหญ่ กรรมกรในสวนยางพารา กรรมกรเหมืองแร่ เพราะเกิดการขยายตัวทางการเกษตรที่ต้องอาศัยแรงงานจำนวนมาก ชาวอินเดียจำนวนหนึ่งยังได้รับตำแหน่งข้าราชการประจำอาณานิคมของอังกฤษในรัฐมลายูต่าง ๆ ที่เป็น สหพันธ์ โดยเฉพาะที่มาจากศรีลังกาและชาวทมิฬจากเมืองท่าจัฟนา (Jaffna Tamils) ซึ่งพูด ภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่วและเคยชินกับการทำงานตามระบบของอังกฤษ นอกจากนี้ ชาวอินเดียยังเป็นแรงงานสำคัญในการสร้างสาธารณูปโภคต่าง ๆ ของอาณานิคมบนคาบสมุทร มลายู เช่น การสร้างถนน ทางรถไฟ และเป็นลูกจ้างที่ทำงานในกระทรวงโยธาธิการของรัฐบาล อังกฤษ จะเห็นได้ว่าชาวอินเดียเข้ามาสู่คาบสมุทรมลายูในลักษณะที่แตกต่างจากชาวจีน เพราะ มาจากดินแดนภายใต้การปกครองของอังกฤษ จึงคุ้นเคยกับกฎหมายตะวันตกและระเบียบ เป็นอย่างดี (น.84)

Settlement Pattern

อังกฤษได้แบ่งการปกครองบนคาบสมุทรมลายูออกเป็น 3 เขต คือ
1.สเตรทส์ เซตเทิลเมนต์ (The Straits Settlements)
2.สหพันธ์รัฐมลายา (The Federated Malay States)
3.สมาพันธ์รัฐหรือรัฐนอกสหพันธ์รัฐมลายา (The Unfederated Malay States)
ซึ่งชาวจีนบนคาบสมุทรมลายูมักจะตั้งหลักแหล่งทำมาหากินอยู่ในเขต “สเตรทส์ เซ็ทเทิลเมนท์” (Straits Settlements) และรัฐใน “สหพันธ์รัฐมลายา” (Federated Malay States FMS) เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและเป็นแหล่งเหมืองแร่ โดยเฉพาะในรัฐมะละกา เประ และสลังงอร์ (น.84)

Economy

ภายหลังเหตุการณ์กระทบกระทั่งกันระหว่างชาวมลายูและชาวจีนที่มีสาเหตุมาจากอคติทางเชื้อชาตินั้นเหตุการณ์ได้บานปลายนำมาซึ่งความสูญเสีย ในเวลาต่อมาพรรคอัมโนในนามของรัฐบาลมาเลเซีย ได้ประกาศใช้นโยบายเศรษฐกิจใหม่ (New Economic Policy - NEP) เพื่อปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจระหว่างเชื้อชาติต่าง ๆ ในมาเลเซียให้มีความเสมอภาคและมุ่งแก้ไขความยากจน แต่เป้าหมายดังกล่าวกลับย้อนแย้งกันเองอันเนื่องมาจากนโยบายแต่เดิมได้แบ่งกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ไว้อย่างชัดเจน แต่นโยบายเศรษฐกิจใหม่ได้ถูกประกาศใช้เพื่อลดช่องว่างทางเศรษฐกิจระหว่างชาวมลายูกับชาวจีน ด้วยการส่งเสริมและให้สิทธิพิเศษแก่ชาวมลายู
นโยบายเศรษฐกิจใหม่มุ่งหวังให้ชาวมลายูและกลุ่มภูมิบุตราเข้าร่วมในอุตสาหกรรมและการค้าขายมากขึ้น วิธีการที่รัฐบาลใช้ในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจระหว่างเชื้อชาติ คือ การเข้าไปแทรกแซงทางเศรษฐกิจโดยตรง โดยการใช้ระบบทุนนิยมโดยรัฐและการตั้งหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจของชาวมลายู เช่น ความพยายามที่จะทำให้ชาวมลายูได้เข้าถือหุ้นในบริษัทของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ การใช้เงินของกองทุนที่รัฐตั้งขึ้นมาจ่ายให้พรรคพวกตนที่เป็นชาวภูมิบุตร (pork-barrel funds) การให้ชาวภูมิบุตรเช่าที่ดินทำกินในราคาถูก ๆ ตามโครงการปฏิรูปที่ดินขององค์การพัฒนาที่ดินแห่งสหพันธ์ การตั้งองค์กร MARA (Majlis Amanah Rakyat) หรือคณะกรรมการพิทักษ์ชาวพื้นเมืองดั้งเดิม และการจัดตั้งธนาคารภูมิบุตรมาเลเซีย (Bank Bumiputra Malaysia) เพื่อช่วยเหลือด้านเงินทุนแก่ชาวมลายูรวมทั้งขายหุ้นที่เป็นกิจการของรัฐให้กับชาวมลายูในราคาที่ถูกเพื่อต้องการให้ชาวมลายูเข้าสู่ภาคธุรกิจมากขึ้น
แม้ว่าผลจากนโยบายเศรษฐกิจใหม่จะทำให้อัตราความยากจนลดน้อยลง แต่ก็เป็นผลมาจากปัจจัยอื่นและด้วยความไม่โปร่งใสในการนำนโยบายไปปฏิบัติ การตอบสนองไม่ตรงตามกลุ่มเป้าหมาย พฤติกรรมการแทรกแซงของรัฐจากนโยบายเศรษฐกิจใหม่ยังได้สร้างระบบอุปถัมภ์และการคอรัปชันขึ้นในสังคม (น.90)
นโยบายเศรษฐกิจใหม่จึงไม่ประสบความสำเร็จ นโยบายนี้จำกัดอยู่เพียงแค่ชาวมลายูชนระดับบนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนักการเมืองพรรครัฐบาลและข้าราชการระดับกลางขึ้นไป ไม่ใช่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลมาเลเซียยังมีจุดยืนที่ชัดเจนในการให้สิทธิพิเศษแก่ชาวมลายู (น.91)

Social Organization

นับตั้งแต่คริสต์ศควรรษที่ 19 เป็นต้นมา การเข้ามาของชาวจีนและอินเดียได้เปลี่ยนลักษณะสังคมของประชากรคาบสมุทรในมลายู ภายใต้การปกครองของอังกฤษเกิดการแบ่งชนออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ตามเชื้อชาติ กล่าวคือ
กลุ่มแรก ชนพื้นเมืองมลายูและชนพื้นเมือง รัฐบาลได้ให้สิทธิแก่คนกลุ่มนี้ในการเข้ารับราชการและยอมให้สุลต่านปกครองประชาชนในรัฐของตน ทำให้ชาวมลายูมีบทบาททางการเมืองและอยู่ในฐานะเจ้าของแผ่นดิน
กลุ่มที่สอง กลุ่มที่ไม่ใช่ชนพื้นเมือง ชาวจีนและอินเดีย อังกฤษได้ให้การสนันสนุนให้มีบทบาททางเศรษฐกิจ ด้วยเหตุนี้ประชากรทั้งสองกลุ่มจึงมีความต่างกันตามหน้าที่ทางเศรษฐกิจ การปกครอง ตลอดจนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษโดยแทบจะไม่ได้มีความสัมพันธ์กัน ทั้งนี้ นโยบายการแบ่งแยกอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจตามเชื้อชาติมีเหตุผลมาจากอคติของเจ้าอาณานิคมอังกฤษที่มองว่าของชาวมลายูและชนพื้นเมืองมีความเกียจคร้าน ในขณะที่ชาวจีนและอินเดียมีความขยันสู้งานหนัก เป็นปัจจัยหนึ่งที่เป็นฐานคิดของการแบ่งงานกันทำอันก่อให้เกิดช่องว่างระหว่างกลุ่ม ต่างฝ่ายต่างก็พยายามรักษาอำนาจและผลประโยชน์ให้กับกลุ่มของตน ซึ่งเป็นการสร้างเงื่อนไขอันนำไปสู่ความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ (น.85)

Political Organization

ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19เจ้าอาณานิคมอังกฤษใช้วิธีการปกครองโดยการแบ่งแยกเชื้อชาติ ทำให้ชาวมลายู จีนและอินเดีย ต่างก็มีกิจกรรมทางการเมืองโดยให้ความสัมพันธ์กลับกลุ่มเชื้อชาติตนเองเป็นหลัก ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กลับเข้ามามีอำนาจหลายครั้ง พร้อมกับนโยบายการปกครองรูปแบบใหม่ สหภาพมลายัน (Malayan Union)กำหนดให้รัฐทุกรัฐปกครองแบบเดียวกันโดยมีรัฐบาลกลางบริหารและปกครองประเทศ โดยข้าหลวงอังกฤษปกครองมีอำนาจสูงสุดในการออกกฎหมายต่าง ๆ และสามารถบังคับใช้ได้ทันที ลักษณะการปกครองดังกล่าวส่งผลให้ฐานะของสุลต่านถูกลดลงมาเป็นเพียงที่ปรึกษาของรัฐบาลกลางเท่านั้น นอกจากนี้ยังได้กำหนดสิทธิการเป็นพลเมืองแก่ผู้ที่อาศัยอยู่ ในสหภาพมลายัน โดยเปิดกว้างสำหรับทุกเชื้อชาติที่อาศัยอยู่ในคาบสมุทรมลายูให้ได้รับสิทธิเท่าเทียมกันในฐานะพลเมืองของประเทศ สร้างความไม่พอใจให้กับชาวมลายูนำไปสู่การรวมตัวและการก่อตั้งพรรคองค์การแห่งชาติเอกภาพชาวมลายู หรือ อัมโน (The United Malays National Organization - UMNO) เพื่อเป็นตัวแทนของชาวมลายูในการคัดค้านและการต่อต้านสหภาพมลายันผลงานของพรรคอัมโนในการต่อต้านสหภาพมลายัน โดยการร่วมมือกับบรรดาสุลต่าน ขุนนาง และข้าราชการเชื้อสายมลายู จนอังกฤษไม่สามารถดำเนินการจัดตั้งสหภาพมลายันได้สำเร็จ (น.84-85)
หลังจากที่อังกฤษต้องประกาศยกเลิกสหภาพมลายันไป อังกฤษก็ได้เจรจากับตัวแทนพรรคอัมโนเพื่อพิจารณารูปแบบของการปกครองใหม่และมีผลให้เกิดการจัดตั้ง “สหพันธรัฐ มลายา” (Federation of Malaya) รูปแบบการปกครองนี้ได้รับการต่อต้านอย่างรุนแรงจากกลุ่มที่ไม่ใช่ชนพื้นเมืองโดยเฉพาะชาวจีน ความไม่พอใจดังกล่าว ลุกลามรุนแรงขึ้นจนถึงขั้นมีการลอบฆ่าและการใช้อาวุธทำร้ายกัน เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหารัฐบาลอังกฤษและนักชาตินิยมในสหพันธรัฐมลายาจึงเห็นพ้องต้องกันว่าควรจะให้เอกราชแก่ สหพันธรัฐมลายา โดยมีเงื่อนไขว่าพรรคการเมืองจะต้องเป็นตัวแทนของเชื้อชาติที่สำคัญในสหพันธรัฐมลายาไม่น้อยกว่าสองเชื้อชาติ ด้วยเงื่อนไขดังกล่าวทำให้เกิดการรวมพรรคการเมือง ในที่สุดสหพันธรัฐมลายาก็ได้รับเอกราชอย่างสมบูรณ์ในฐานะ “สหพันธรัฐมาเลเซีย” (Federation of Malaysia) ค.ศ. 1963 (น.87)

Belief System

ชาวมลายูและชนพื้นเมือง เป็นกลุ่มประชากรหลักซึ่งส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม
ชาวจีน ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธและศาสนาพื้นเมือง ภายหลังได้รับอิทธิพลจากศาสนาอื่นๆ
ชาวอินเดีย ส่วนใหญ่นับถือศาสนาฮินดู

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ชาวมลายูและชนพื้นเมืองเป็นกลุ่มประชากรหลัก บนคาบสมุทรมลายูอาศัยอยู่ทั้งในเมืองและชนบท มักประกอบอาชีพทำนา ประมงและการเกษตร ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามและใช้ภาษามลายูเป็นหลัก (น.83)
สำหรับเชื้อชาติจีนส่วนมากจะอพยพมาจากมณฑลทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศจีน มีทั้งเข้ามาทำการค้าขายและตั้งหลักแหล่งภายในคาบสมุทรมลายูตามเมืองท่าและเกาะต่าง ๆ แถบช่องแคบมะละกา แต่เป็นชุมชนที่มีขนาดไม่ใหญ่นัก ชาวจีนในช่วงแรกมักจะปรับตัวให้เข้ากับสังคมชาวพื้นเมือง โดยเฉพาะการพูดภาษาจีนปนมลายู การแต่งกาย และมีการแต่งงานกับชาวพื้นเมือง ชาวจีนบางส่วนได้สมรสกับสตรีพื้นเมืองมลายูจนก่อให้เกิด ชุมชนใหม่ที่เรียกว่า “บาบ๋า” (Baba) เกิดการผสมกลมกลืนทาง วัฒนธรรมกับชาวพื้นเมือง (น.83)
ในส่วนของกลุ่มเชื้อชาติอินเดีย ซึ่งส่วนใหญ่อพยพมาจากอินเดียตอนใต้ โดยมากมักเข้ามาทำงานเป็นแรงงานในไร่การเกษตรขนาดใหญ่ กรรมกรในสวนยางพารา กรรมกร เหมืองแร่ เพราะเกิดการขยายตัวทางการเกษตรที่ต้องอาศัยแรงงานจำนวนมาก

Social Cultural and Identity Change

บทความนี้ได้กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์ในแง่ของการเมืองแบบเชื้อชาตินิยมที่ได้หยั่งรากลึกกลายเป็นอัตลักษณ์ในประเทศมาเลเซีย ความสัมพันธ์ระหว่างชาติพันธุ์และเศรษฐกิจการเมืองมีพัฒนาการที่พึ่งพิงซึ่งกันและกัน กลุ่มชาติพันธุ์ต้องการพรรคการเมืองให้ทำหน้าที่รักษาผลประโยชน์และสถานะเฉพาะของกลุ่มตน ในขณะเดียวกันพรรคการเมืองก็นำเสนอนโยบายที่ตอบสนองต่อกลุ่มชาติพันธุ์เฉพาะเพื่อเป็นฐานคะแนนในการเลือกตั้ง การเมืองมาเลเซียจึงยากที่จะหลุดออกจากมิติทางชาติพันธุ์ ในปัจจุบันก็มีคนมาเลเซียอีกจำนวนไม่น้อยเริ่มมีความต้องการการเมืองที่ปราศจากการยึดติดทางชาติพันธุ์หรือนโยบายเชื้อชาตินิยม (น.93) เห็นได้จากพรรคแนวร่วมฝ่ายค้านเสนอแนวนโยบายเรื่องความเท่าเทียมทางด้านชาติพันธุ์ขึ้นมา เป็นแนวทางสำคัญในการรณรงค์หาเสียง ได้ให้สัญญาว่าจะสร้างความเปลี่ยนแปลงเพื่อเอาชนะพรรคแนวร่วมแห่งชาติ ด้วยการเสนอนโยบายเศรษฐกิจแนวใหม่ที่จะลบล้างนโยบายแบบเดิมที่อาศัยพื้นฐานด้านเชื้อชาติ ที่เชื่อว่าเป็นสาเหตุนำไปสู่การคอรัปชั่นและขัดขวางการเติบโตทางเศรษฐกิจ ฐานเสียงของพรรคแนวร่วมฝ่ายค้านเป็นคนรุ่นใหม่และคนเชื้อสายจีนที่เห็นความไม่เท่าเทียมของการปกครองของพรรคอัมโนที่มักจะให้ความสำคัญกับคนเชื้อสายมลายู แต่คนเชื้อสายอื่นกลับถูกเลือกปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียม (น.95)

Critic Issues

ด้วยวัฒนธรรมการเมืองมาเลเซียมีลักษณะเฉพาะบางอย่างที่ไม่เป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ ถึงแม้ว่ามาเลเซียเป็นประเทศหนึ่งที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีเนื้อหาของรัฐธรรมนูญไม่ได้แตกต่างไปจากประเทศที่ระบอบประชาธิปไตยทั่วไป คือ มีการกำหนดโครงสร้างและกลไกของรัฐบาลรวมทั้งกฎระเบียบ ว่าด้วยสังคมและเศรษฐกิจตามแนวคิดเสรีนิยม แต่ภายหลังจากการเกิดเหตุการณ์จราจลทาง เชื้อชาติในปี 1969 ได้เกิดการเปลี่ยนนโยบายการปกครองไปสู่ระบบ “ประชาธิปไตยแบบอำนาจนิยม” (น.90) กล่าวคือ แม้ว่าโครงสร้างและกลไกตามระบอบประชาธิปไตยยังคงเดิม แต่ในทางปฏิบัติรัฐบาลจากพรรคแนวร่วมแห่งชาติได้สร้างกลไกต่าง ๆ มาควบคุมและจำกัดพฤติกรรมทางการเมือง โดยอ้างจากเหตุการณ์ดังกล่าวข้างต้น
ถึงแม้ว่ารัฐธรรมนูญของมาเลเซียจะมีการให้และรับรองเสรีภาพขั้นพื้นฐานของการเป็นพลเมืองมาเลเซียทุกคน จากนโยบายที่ปรากฏล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของการส่งเสริมกลุ่มภูมิบุตรามากกว่ากลุ่มเชื้อชาติอื่น พื้นฐานทางสังคมและการเมืองของมาเลเซียจึงยังคงรักษาและส่งเสริมสถานภาพกลุ่มนี้ผ่านนโยบายต่างๆ จนก่อให้เกิดระบบอุปถัมภ์ทางเชื้อชาติ ประชาชนเชื้อสายมลายูโดยเฉพาะชนชั้นกลางไม่ค่อยให้ความสนใจกับการปฏิรูปทางการเมืองและการพัฒนาประชาธิปไตย เพราะคอยแต่จะพึ่งพารัฐบาลให้ช่วยเหลือในทุก ๆ ด้านจนกลายเป็น “วัฒนธรรม” แห่งการพึ่งพา ดังนั้น การที่จะส่งเสริมให้มีความเป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์นั้น รัฐจะต้องมีการทบทวนถึงนโยบายภูมิบุตราและนโยบายของพรรคการเมืองเสียใหม่โดยคำนึง ถึงความเป็นพหุสังคมมาเลเซียให้สอดคล้องและไปด้วยกันได้กับการพัฒนาประชาธิปไตย (น.93)

Text Analyst สุธาสินี บุญเกิด Date of Report 03 ส.ค. 2564
TAG ชาติพันธุ์, นโยบายภูมิบุตรา, มาเลเซีย, ชนพื้นเมือง, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง