|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ชาติพันธุ์, นโยบายภูมิบุตรา, มาเลเซีย, ชนพื้นเมือง |
Author |
เฉลิมชัย โชติสุทธิ์ |
Title |
ภูมิบุตรา : นโยบายเชื้อชาตินิยมในมาเลเซีย |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
หอสมุดมหาวิทยาลัยทักษิณ, ฐานข้อมูลวารสารอิเล็กทรอนิกส์กลางของประเทศไทย
[เอกสารฉบับเต็ม] |
Total Pages |
20 |
Year |
2557 |
Source |
วารสารปาริชาต มหาวิทยาลัยทักษิณ ปีที่ 27 ฉบับที่ 1 เมษายน – กันยายน 2557 หน้า 78-97 |
Abstract |
ในยุคอาณานิคมมาเลเซียภายใต้การปกครองของอังกฤษได้ใช้วิธีการปกครองโดยพยายามแบ่งแยกเชื้อชาติ เหตุจากความสะดวกในการปกครองและไม่ให้เกิดการรวมตัวกันต่อต้านเจ้าอาณานิคมนั้น ยังเป็นผลมรดกตกทอดส่งผลกระทบถึงปัจจุบัน ภายใต้พรรคแนวร่วมแห่งชาติในนามของพรรคอัมโน ที่ยังคงให้การสนับสนุนนโยบายภูมิบุตรา ซึ่งมีลักษณะของการให้สิทธิพิเศษบางประการกับชาวมลายูและชนพื้นเมืองเดิม โดยนโยบายดังกล่าวมีนัยสำคัญต่อการครองตำแหน่งในการบริหารประเทศ (น.79) ด้วยสังคมประเทศมาเลเซียมีลักษณะแบบพหุสังคม เป็นสังคมที่แยกส่วนไม่กลมกลืน แต่ละเชื้อชาติแยกกันอยู่โดยมีวัฒนธรรม ประเพณี และภาษาต่างกัน (น.81) ซึ่งนโยบายนี้ได้แบ่งสังคมมาเลเซียออกเป็น 2 กลุ่ม คือ ชนพื้นเมืองกับกลุ่มที่ไม่ใช่ชนพื้นเมืองซึ่งก็ได้แก่ชาวจีนและชาวอินเดีย
รัฐบาลพรรคแนวร่วมแห่งชาติปกครองมาเลเซียด้วยคะแนนเลือกตั้งท่วมท้น ครองเสียงข้างมากมาอย่างยาวนานกว่า 50 ปี แต่ในระยะภายหลังผลจากการเลือกตั้งในปี 2008 และ 2013 คะแนนเสียงกลับมีแนวโน้มลดน้อยลงจนไม่สามารถครอบครองที่นั่งส่วนใหญ่ในสภาได้อย่างที่เคยเป็นมา สะท้อนให้เห็นถึงความนิยมที่ลดลงต่อพรรคแนวร่วมแห่งชาติอย่างต่อเนื่อง (น.79) สาเหตุหนึ่งมาจากปัจจัยความไม่พอใจต่อการดำเนินนโยบายภูมิบุตรา เพราะเป็นการเอื้อประโยชน์อย่างไม่เป็นธรรมและไม่สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตย จึงเริ่มมีกระแสเอียงไปในทางสนับสนุนพรรคการเมืองที่ชูนโยบายที่ไม่คำนึงถึงเชื้อชาติ |
|
Focus |
แม้ว่าในสังคมมาเลเซียปัจจุบัน “นโยบายภูมิบุตรา” จะถูกตั้งคำถามถึงความชอบธรรมบนพื้นฐานของประชาธิปไตยอย่างไร ก็ไม่อาจทัดทานต่อคะแนนนิยมที่ส่งผลกระทบต่อรัฐบาลพรรคแนวร่วมแห่งชาติในนามของพรรคอัมโนผ่านนโยบายดังกล่าวได้ ความพยายามในการสร้างเอกภาพระหว่างชาติพันธุ์ที่ปรากฎในนโยบายต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคมแลเศรฐกิจ โดยที่ผ่านมาได้สร้างความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหลายประการ แต่กระนั้นก็เป็นเพียงการประสานผลประโยชน์ระหว่างเชื้อชาติมากกว่าการมุ่งแก้ปัญหาเชื้อชาติโดยตรง |
|
Theoretical Issues |
ผู้เขียนบทความได้เชื่อมโยงปรากฏการณ์ในการศึกษานโยบายภูมิบุตรากับการเมืองมาเลเซียในปัจจุบันพบว่ามีความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหลายประการ ที่น่าสนใจ
1.การก้าวข้ามการแบ่งแยกด้านเชื้อชาติ ในมาเลเซียมีพรรคการเมืองที่แตกต่างทั้งชาติพันธุ์และอุดมการณ์ทางการเมือง แต่เพื่อเป้าหมายในการชนะการเลือกตั้งเพื่อให้ได้มาซึ่งการเป็นรัฐบาลจำเป็นต้องทำให้มีการร่วมมือกันในทางการเมือง จากผลการเลือกตั้งในระยะหลังมานี้สะท้อนว่าการเมืองมาเลเซียยังคง ตั้งอยู่บนพื้นฐานด้านเชื้อชาติและศาสนาโดยชาวมาเลเซียเชื้อสายมลายูภูมิบุตรในชนบทและชาวมาเลเซียเชื้อสายอินเดียบางส่วนให้การสนับสนุนพรรคแนวร่วมแห่งชาติ ขณะที่ชาวมาเลเซียเชื้อสายจีนและเยาวชนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ให้การสนับสนุนพรรคร่วมฝ่ายค้าน ทำให้การเมืองมาเลเซียมีแนวโน้มพัฒนาสู่ระบบสองพรรคการเมืองระหว่างพรรคร่วมฝ่ายค้านกับ พรรคแนวร่วมแห่งชาติมากขึ้น (น.95)
2.การเคลื่อนไหวทางการเมือง มาเลเซียมีกฎหมายที่ควบคุมการชุมนุมและแสดงออกทางการเมืองที่เคร่งครัด แต่ในปัจจุบันเริ่มมีการเรียกร้องทางการเมืองมากขึ้น เช่น การประท้วงของประชาชน เชื้อสายอินเดียที่เรียกว่า ฮินดราฟ (HINDRAF: Hindu Rights Action Force) เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมระหว่างเชื้อชาติ รวมทั้งการการเกิดขึ้นของสื่อสังคม (น.96)
3.นโยบายภูมิบุตราที่ยังคงหยั่งรากลึก ไม่ว่ารัฐบาลมาเลเซียจะสามารถสร้างเอกภาพท่ามกลางความหลากหลายให้เกิดขึ้นได้หรือไม่ รัฐบาลเองก็จะยังคงไม่ยอมเลิกนโยบายภูมิบุตราอย่างทันที เพราะอันที่จริงแล้วความแตกแยกของพลเมืองเชื้อสายต่างๆ ยังคงมีอยู่ ปัญหาความไม่เท่าเทียมทางเชื้อชาติยังเป็นประเด็นที่สังคมถกเถียงอยู่ตลอดมา ทางออกที่เหมาะสมคือพรรคการเมืองนอกจากมีบทบาทเป็นตัวแทนกลุ่มผล ประโยชน์แล้ว ยังต้องเน้นบทบาทเผยแพร่ให้ความรู้ทางการเมืองแก่สมาชิกของตน คำนึงถึง ประโยชน์ของสังคมโดยรวม เพื่อสร้างประเทศที่น่าอยู่สำหรับทุกคนทุกกลุ่มผลประโยชน์ และ เมื่อนั้นประชาชนทุกเชื้อสายในมาเลเซียจะอยู่ด้วยความเข้าใจระหว่างกันมากขึ้น (น.96) |
|
Ethnic Group in the Focus |
พลเมืองมาเลเซียประกอบขึ้นจากหลากหลายเชื้อชาติ ชาวมลายูถือได้ว่าเป็นชนพื้นเมืองบนคาบสมุทรมลายู ส่วนชาวจีนและชาวอินเดียเป็นผู้อพยพเข้ามาภายหลัง (น.81) |
|
History of the Group and Community |
ลักษณะสังคมหลากหลายเชื้อชาติของมาเลเซียเริ่มปรากฏเด่นชัดในช่วงคริสตศตวรรษที่ 19 หลังจากที่บริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษเข้ามามีบทบาทในคาบสมุทรมลายูทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมือง การเปลี่ยนแปลงทางสังคมบนคาบสมุทรมลายูจึงเป็นผลมาจากการพัฒนาทางเศรษฐกิจและการปกครองของอาณานิคมอังกฤษ มีชาวต่างชาติโดยเฉพาะชาวจีนและชาวอินเดียอพยพหลั่งไหลเข้ามายังคาบสมุทรมลายูเพิ่มมากขึ้น
ชาวมลายูและชนพื้นเมืองเป็นกลุ่มประชากรหลัก บนคาบสมุทรมลายูอาศัยอยู่ทั้งในเมืองและชนบท มีอำนาจในทางการเมืองและมีอิทธิพลต่อระบบสังคมของประเทศ ชาวมลายูและชนพื้นเมืองเชื่อว่าเขาเป็นผู้มีสิทธิใน ความเป็นเจ้าของประเทศที่เรียกว่า “ภูมิบุตรา” และเรียกร้องที่จะมีส่วนร่วมในการปกครอง มากกว่าเชื้อชาติอื่น ๆ
สำหรับเชื้อชาติจีนนั้นอพยพเข้ามาสู่คาบสมุทรอยู่เป็นระยะเวลานานแล้วและอาศัย อยู่ทั่วไปตามรัฐมลายูต่าง ๆ ส่วนมากจะอพยพมาจากมณฑลทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศจีน เช่น กวางตุ้ง ฟูเกียน และกวางสี ชาวจีนได้เข้ามาทำการค้ากับชนพื้นเมืองมาเป็นเวลานานแล้ว มีทั้งเข้ามาทำการค้าขายและตั้งหลักแหล่งภายในคาบสมุทรมลายูตามเมืองท่า และเกาะต่าง ๆ แถบช่องแคบมะละกา (น.83)
ในศริสต์ศตวรรษที่ 19 ชาวจีนอพยพเข้ามาระลอกใหญ่อันเนื่องมาจากความต้องการแรงงานในเหมืองแร่ เพราะว่าชาวมลายูไม่นิยมเป็นกรรมกรเหมืองจึงมีความจำเป็นที่จะต้องนำเข้าแรงงานจีนเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ ชาวจีนก็ยังประกอบอาชีพที่หลากหลาย เช่น พ่อค้าปลีกและเจ้าของร้านค้า โดยชาวจีนมักอาศัยอยู่รวมกันภายในกลุ่มภาษาเดียวกัน ซึ่งแต่ละกลุ่มจะมีหัวหน้าเรียกว่า “กัปปิตัน ไชน่า” (Kapitans China) ทำหน้าที่ดูแลชาวจีนในกลุ่มของตน ในระยะต่อมาเปลี่ยนเป็นการรวมตัวกันในรูปแบบสมาคมลับ (secret society) โดยชาวจีนที่อพยพมาใหม่จะต้องเข้าร่วมสมาคมใดสมาคมหนึ่ง ชาวจีนบนคาบสมุทรมลายูมักจะตั้งหลักแหล่งทำมาหากินอยู่ในเขต “สเตรทส์ เซ็ทเทิลเมนท์” (Straits Settlements) และรัฐใน “สหพันธ์รัฐมลายา” (Federated Malay States FMS)
ในส่วนของกลุ่มเชื้อชาติอินเดีย ซึ่งส่วนใหญ่อพยพมาจากอินเดียตอนใต้ โดยมากมักเข้ามาทำงานเป็นแรงงานในไร่การเกษตรขนาดใหญ่ กรรมกรในสวนยางพารา กรรมกรเหมืองแร่ เพราะเกิดการขยายตัวทางการเกษตรที่ต้องอาศัยแรงงานจำนวนมาก ชาวอินเดียจำนวนหนึ่งยังได้รับตำแหน่งข้าราชการประจำอาณานิคมของอังกฤษในรัฐมลายูต่าง ๆ ที่เป็น สหพันธ์ โดยเฉพาะที่มาจากศรีลังกาและชาวทมิฬจากเมืองท่าจัฟนา (Jaffna Tamils) ซึ่งพูด ภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่วและเคยชินกับการทำงานตามระบบของอังกฤษ นอกจากนี้ ชาวอินเดียยังเป็นแรงงานสำคัญในการสร้างสาธารณูปโภคต่าง ๆ ของอาณานิคมบนคาบสมุทร มลายู เช่น การสร้างถนน ทางรถไฟ และเป็นลูกจ้างที่ทำงานในกระทรวงโยธาธิการของรัฐบาล อังกฤษ จะเห็นได้ว่าชาวอินเดียเข้ามาสู่คาบสมุทรมลายูในลักษณะที่แตกต่างจากชาวจีน เพราะ มาจากดินแดนภายใต้การปกครองของอังกฤษ จึงคุ้นเคยกับกฎหมายตะวันตกและระเบียบ เป็นอย่างดี (น.84) |
|
Settlement Pattern |
อังกฤษได้แบ่งการปกครองบนคาบสมุทรมลายูออกเป็น 3 เขต คือ
1.สเตรทส์ เซตเทิลเมนต์ (The Straits Settlements)
2.สหพันธ์รัฐมลายา (The Federated Malay States)
3.สมาพันธ์รัฐหรือรัฐนอกสหพันธ์รัฐมลายา (The Unfederated Malay States)
ซึ่งชาวจีนบนคาบสมุทรมลายูมักจะตั้งหลักแหล่งทำมาหากินอยู่ในเขต “สเตรทส์ เซ็ทเทิลเมนท์” (Straits Settlements) และรัฐใน “สหพันธ์รัฐมลายา” (Federated Malay States FMS) เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและเป็นแหล่งเหมืองแร่ โดยเฉพาะในรัฐมะละกา เประ และสลังงอร์ (น.84) |
|
Economy |
ภายหลังเหตุการณ์กระทบกระทั่งกันระหว่างชาวมลายูและชาวจีนที่มีสาเหตุมาจากอคติทางเชื้อชาตินั้นเหตุการณ์ได้บานปลายนำมาซึ่งความสูญเสีย ในเวลาต่อมาพรรคอัมโนในนามของรัฐบาลมาเลเซีย ได้ประกาศใช้นโยบายเศรษฐกิจใหม่ (New Economic Policy - NEP) เพื่อปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจระหว่างเชื้อชาติต่าง ๆ ในมาเลเซียให้มีความเสมอภาคและมุ่งแก้ไขความยากจน แต่เป้าหมายดังกล่าวกลับย้อนแย้งกันเองอันเนื่องมาจากนโยบายแต่เดิมได้แบ่งกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ไว้อย่างชัดเจน แต่นโยบายเศรษฐกิจใหม่ได้ถูกประกาศใช้เพื่อลดช่องว่างทางเศรษฐกิจระหว่างชาวมลายูกับชาวจีน ด้วยการส่งเสริมและให้สิทธิพิเศษแก่ชาวมลายู
นโยบายเศรษฐกิจใหม่มุ่งหวังให้ชาวมลายูและกลุ่มภูมิบุตราเข้าร่วมในอุตสาหกรรมและการค้าขายมากขึ้น วิธีการที่รัฐบาลใช้ในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจระหว่างเชื้อชาติ คือ การเข้าไปแทรกแซงทางเศรษฐกิจโดยตรง โดยการใช้ระบบทุนนิยมโดยรัฐและการตั้งหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจของชาวมลายู เช่น ความพยายามที่จะทำให้ชาวมลายูได้เข้าถือหุ้นในบริษัทของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ การใช้เงินของกองทุนที่รัฐตั้งขึ้นมาจ่ายให้พรรคพวกตนที่เป็นชาวภูมิบุตร (pork-barrel funds) การให้ชาวภูมิบุตรเช่าที่ดินทำกินในราคาถูก ๆ ตามโครงการปฏิรูปที่ดินขององค์การพัฒนาที่ดินแห่งสหพันธ์ การตั้งองค์กร MARA (Majlis Amanah Rakyat) หรือคณะกรรมการพิทักษ์ชาวพื้นเมืองดั้งเดิม และการจัดตั้งธนาคารภูมิบุตรมาเลเซีย (Bank Bumiputra Malaysia) เพื่อช่วยเหลือด้านเงินทุนแก่ชาวมลายูรวมทั้งขายหุ้นที่เป็นกิจการของรัฐให้กับชาวมลายูในราคาที่ถูกเพื่อต้องการให้ชาวมลายูเข้าสู่ภาคธุรกิจมากขึ้น
แม้ว่าผลจากนโยบายเศรษฐกิจใหม่จะทำให้อัตราความยากจนลดน้อยลง แต่ก็เป็นผลมาจากปัจจัยอื่นและด้วยความไม่โปร่งใสในการนำนโยบายไปปฏิบัติ การตอบสนองไม่ตรงตามกลุ่มเป้าหมาย พฤติกรรมการแทรกแซงของรัฐจากนโยบายเศรษฐกิจใหม่ยังได้สร้างระบบอุปถัมภ์และการคอรัปชันขึ้นในสังคม (น.90)
นโยบายเศรษฐกิจใหม่จึงไม่ประสบความสำเร็จ นโยบายนี้จำกัดอยู่เพียงแค่ชาวมลายูชนระดับบนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนักการเมืองพรรครัฐบาลและข้าราชการระดับกลางขึ้นไป ไม่ใช่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลมาเลเซียยังมีจุดยืนที่ชัดเจนในการให้สิทธิพิเศษแก่ชาวมลายู (น.91) |
|
Social Organization |
นับตั้งแต่คริสต์ศควรรษที่ 19 เป็นต้นมา การเข้ามาของชาวจีนและอินเดียได้เปลี่ยนลักษณะสังคมของประชากรคาบสมุทรในมลายู ภายใต้การปกครองของอังกฤษเกิดการแบ่งชนออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ตามเชื้อชาติ กล่าวคือ
กลุ่มแรก ชนพื้นเมืองมลายูและชนพื้นเมือง รัฐบาลได้ให้สิทธิแก่คนกลุ่มนี้ในการเข้ารับราชการและยอมให้สุลต่านปกครองประชาชนในรัฐของตน ทำให้ชาวมลายูมีบทบาททางการเมืองและอยู่ในฐานะเจ้าของแผ่นดิน
กลุ่มที่สอง กลุ่มที่ไม่ใช่ชนพื้นเมือง ชาวจีนและอินเดีย อังกฤษได้ให้การสนันสนุนให้มีบทบาททางเศรษฐกิจ ด้วยเหตุนี้ประชากรทั้งสองกลุ่มจึงมีความต่างกันตามหน้าที่ทางเศรษฐกิจ การปกครอง ตลอดจนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษโดยแทบจะไม่ได้มีความสัมพันธ์กัน ทั้งนี้ นโยบายการแบ่งแยกอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจตามเชื้อชาติมีเหตุผลมาจากอคติของเจ้าอาณานิคมอังกฤษที่มองว่าของชาวมลายูและชนพื้นเมืองมีความเกียจคร้าน ในขณะที่ชาวจีนและอินเดียมีความขยันสู้งานหนัก เป็นปัจจัยหนึ่งที่เป็นฐานคิดของการแบ่งงานกันทำอันก่อให้เกิดช่องว่างระหว่างกลุ่ม ต่างฝ่ายต่างก็พยายามรักษาอำนาจและผลประโยชน์ให้กับกลุ่มของตน ซึ่งเป็นการสร้างเงื่อนไขอันนำไปสู่ความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ (น.85) |
|
Political Organization |
ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19เจ้าอาณานิคมอังกฤษใช้วิธีการปกครองโดยการแบ่งแยกเชื้อชาติ ทำให้ชาวมลายู จีนและอินเดีย ต่างก็มีกิจกรรมทางการเมืองโดยให้ความสัมพันธ์กลับกลุ่มเชื้อชาติตนเองเป็นหลัก ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กลับเข้ามามีอำนาจหลายครั้ง พร้อมกับนโยบายการปกครองรูปแบบใหม่ สหภาพมลายัน (Malayan Union)กำหนดให้รัฐทุกรัฐปกครองแบบเดียวกันโดยมีรัฐบาลกลางบริหารและปกครองประเทศ โดยข้าหลวงอังกฤษปกครองมีอำนาจสูงสุดในการออกกฎหมายต่าง ๆ และสามารถบังคับใช้ได้ทันที ลักษณะการปกครองดังกล่าวส่งผลให้ฐานะของสุลต่านถูกลดลงมาเป็นเพียงที่ปรึกษาของรัฐบาลกลางเท่านั้น นอกจากนี้ยังได้กำหนดสิทธิการเป็นพลเมืองแก่ผู้ที่อาศัยอยู่ ในสหภาพมลายัน โดยเปิดกว้างสำหรับทุกเชื้อชาติที่อาศัยอยู่ในคาบสมุทรมลายูให้ได้รับสิทธิเท่าเทียมกันในฐานะพลเมืองของประเทศ สร้างความไม่พอใจให้กับชาวมลายูนำไปสู่การรวมตัวและการก่อตั้งพรรคองค์การแห่งชาติเอกภาพชาวมลายู หรือ อัมโน (The United Malays National Organization - UMNO) เพื่อเป็นตัวแทนของชาวมลายูในการคัดค้านและการต่อต้านสหภาพมลายันผลงานของพรรคอัมโนในการต่อต้านสหภาพมลายัน โดยการร่วมมือกับบรรดาสุลต่าน ขุนนาง และข้าราชการเชื้อสายมลายู จนอังกฤษไม่สามารถดำเนินการจัดตั้งสหภาพมลายันได้สำเร็จ (น.84-85)
หลังจากที่อังกฤษต้องประกาศยกเลิกสหภาพมลายันไป อังกฤษก็ได้เจรจากับตัวแทนพรรคอัมโนเพื่อพิจารณารูปแบบของการปกครองใหม่และมีผลให้เกิดการจัดตั้ง “สหพันธรัฐ มลายา” (Federation of Malaya) รูปแบบการปกครองนี้ได้รับการต่อต้านอย่างรุนแรงจากกลุ่มที่ไม่ใช่ชนพื้นเมืองโดยเฉพาะชาวจีน ความไม่พอใจดังกล่าว ลุกลามรุนแรงขึ้นจนถึงขั้นมีการลอบฆ่าและการใช้อาวุธทำร้ายกัน เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหารัฐบาลอังกฤษและนักชาตินิยมในสหพันธรัฐมลายาจึงเห็นพ้องต้องกันว่าควรจะให้เอกราชแก่ สหพันธรัฐมลายา โดยมีเงื่อนไขว่าพรรคการเมืองจะต้องเป็นตัวแทนของเชื้อชาติที่สำคัญในสหพันธรัฐมลายาไม่น้อยกว่าสองเชื้อชาติ ด้วยเงื่อนไขดังกล่าวทำให้เกิดการรวมพรรคการเมือง ในที่สุดสหพันธรัฐมลายาก็ได้รับเอกราชอย่างสมบูรณ์ในฐานะ “สหพันธรัฐมาเลเซีย” (Federation of Malaysia) ค.ศ. 1963 (น.87) |
|
Belief System |
ชาวมลายูและชนพื้นเมือง เป็นกลุ่มประชากรหลักซึ่งส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม
ชาวจีน ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธและศาสนาพื้นเมือง ภายหลังได้รับอิทธิพลจากศาสนาอื่นๆ
ชาวอินเดีย ส่วนใหญ่นับถือศาสนาฮินดู |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ชาวมลายูและชนพื้นเมืองเป็นกลุ่มประชากรหลัก บนคาบสมุทรมลายูอาศัยอยู่ทั้งในเมืองและชนบท มักประกอบอาชีพทำนา ประมงและการเกษตร ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามและใช้ภาษามลายูเป็นหลัก (น.83)
สำหรับเชื้อชาติจีนส่วนมากจะอพยพมาจากมณฑลทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศจีน มีทั้งเข้ามาทำการค้าขายและตั้งหลักแหล่งภายในคาบสมุทรมลายูตามเมืองท่าและเกาะต่าง ๆ แถบช่องแคบมะละกา แต่เป็นชุมชนที่มีขนาดไม่ใหญ่นัก ชาวจีนในช่วงแรกมักจะปรับตัวให้เข้ากับสังคมชาวพื้นเมือง โดยเฉพาะการพูดภาษาจีนปนมลายู การแต่งกาย และมีการแต่งงานกับชาวพื้นเมือง ชาวจีนบางส่วนได้สมรสกับสตรีพื้นเมืองมลายูจนก่อให้เกิด ชุมชนใหม่ที่เรียกว่า “บาบ๋า” (Baba) เกิดการผสมกลมกลืนทาง วัฒนธรรมกับชาวพื้นเมือง (น.83)
ในส่วนของกลุ่มเชื้อชาติอินเดีย ซึ่งส่วนใหญ่อพยพมาจากอินเดียตอนใต้ โดยมากมักเข้ามาทำงานเป็นแรงงานในไร่การเกษตรขนาดใหญ่ กรรมกรในสวนยางพารา กรรมกร เหมืองแร่ เพราะเกิดการขยายตัวทางการเกษตรที่ต้องอาศัยแรงงานจำนวนมาก |
|
Social Cultural and Identity Change |
บทความนี้ได้กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์ในแง่ของการเมืองแบบเชื้อชาตินิยมที่ได้หยั่งรากลึกกลายเป็นอัตลักษณ์ในประเทศมาเลเซีย ความสัมพันธ์ระหว่างชาติพันธุ์และเศรษฐกิจการเมืองมีพัฒนาการที่พึ่งพิงซึ่งกันและกัน กลุ่มชาติพันธุ์ต้องการพรรคการเมืองให้ทำหน้าที่รักษาผลประโยชน์และสถานะเฉพาะของกลุ่มตน ในขณะเดียวกันพรรคการเมืองก็นำเสนอนโยบายที่ตอบสนองต่อกลุ่มชาติพันธุ์เฉพาะเพื่อเป็นฐานคะแนนในการเลือกตั้ง การเมืองมาเลเซียจึงยากที่จะหลุดออกจากมิติทางชาติพันธุ์ ในปัจจุบันก็มีคนมาเลเซียอีกจำนวนไม่น้อยเริ่มมีความต้องการการเมืองที่ปราศจากการยึดติดทางชาติพันธุ์หรือนโยบายเชื้อชาตินิยม (น.93) เห็นได้จากพรรคแนวร่วมฝ่ายค้านเสนอแนวนโยบายเรื่องความเท่าเทียมทางด้านชาติพันธุ์ขึ้นมา เป็นแนวทางสำคัญในการรณรงค์หาเสียง ได้ให้สัญญาว่าจะสร้างความเปลี่ยนแปลงเพื่อเอาชนะพรรคแนวร่วมแห่งชาติ ด้วยการเสนอนโยบายเศรษฐกิจแนวใหม่ที่จะลบล้างนโยบายแบบเดิมที่อาศัยพื้นฐานด้านเชื้อชาติ ที่เชื่อว่าเป็นสาเหตุนำไปสู่การคอรัปชั่นและขัดขวางการเติบโตทางเศรษฐกิจ ฐานเสียงของพรรคแนวร่วมฝ่ายค้านเป็นคนรุ่นใหม่และคนเชื้อสายจีนที่เห็นความไม่เท่าเทียมของการปกครองของพรรคอัมโนที่มักจะให้ความสำคัญกับคนเชื้อสายมลายู แต่คนเชื้อสายอื่นกลับถูกเลือกปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียม (น.95) |
|
Critic Issues |
ด้วยวัฒนธรรมการเมืองมาเลเซียมีลักษณะเฉพาะบางอย่างที่ไม่เป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ ถึงแม้ว่ามาเลเซียเป็นประเทศหนึ่งที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีเนื้อหาของรัฐธรรมนูญไม่ได้แตกต่างไปจากประเทศที่ระบอบประชาธิปไตยทั่วไป คือ มีการกำหนดโครงสร้างและกลไกของรัฐบาลรวมทั้งกฎระเบียบ ว่าด้วยสังคมและเศรษฐกิจตามแนวคิดเสรีนิยม แต่ภายหลังจากการเกิดเหตุการณ์จราจลทาง เชื้อชาติในปี 1969 ได้เกิดการเปลี่ยนนโยบายการปกครองไปสู่ระบบ “ประชาธิปไตยแบบอำนาจนิยม” (น.90) กล่าวคือ แม้ว่าโครงสร้างและกลไกตามระบอบประชาธิปไตยยังคงเดิม แต่ในทางปฏิบัติรัฐบาลจากพรรคแนวร่วมแห่งชาติได้สร้างกลไกต่าง ๆ มาควบคุมและจำกัดพฤติกรรมทางการเมือง โดยอ้างจากเหตุการณ์ดังกล่าวข้างต้น
ถึงแม้ว่ารัฐธรรมนูญของมาเลเซียจะมีการให้และรับรองเสรีภาพขั้นพื้นฐานของการเป็นพลเมืองมาเลเซียทุกคน จากนโยบายที่ปรากฏล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของการส่งเสริมกลุ่มภูมิบุตรามากกว่ากลุ่มเชื้อชาติอื่น พื้นฐานทางสังคมและการเมืองของมาเลเซียจึงยังคงรักษาและส่งเสริมสถานภาพกลุ่มนี้ผ่านนโยบายต่างๆ จนก่อให้เกิดระบบอุปถัมภ์ทางเชื้อชาติ ประชาชนเชื้อสายมลายูโดยเฉพาะชนชั้นกลางไม่ค่อยให้ความสนใจกับการปฏิรูปทางการเมืองและการพัฒนาประชาธิปไตย เพราะคอยแต่จะพึ่งพารัฐบาลให้ช่วยเหลือในทุก ๆ ด้านจนกลายเป็น “วัฒนธรรม” แห่งการพึ่งพา ดังนั้น การที่จะส่งเสริมให้มีความเป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์นั้น รัฐจะต้องมีการทบทวนถึงนโยบายภูมิบุตราและนโยบายของพรรคการเมืองเสียใหม่โดยคำนึง ถึงความเป็นพหุสังคมมาเลเซียให้สอดคล้องและไปด้วยกันได้กับการพัฒนาประชาธิปไตย (น.93) |
|
|