|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ม้ง,วิธีชีวิต,การใช้ทรัพยากรธรรมชาติ,สิ่งแวดล้อม,เชียงใหม่ |
Author |
วุฒิฉัตร ศรีพาเพลิน |
Title |
สภาพทางเศรษฐกิจ สังคมและวิถีชีวิตของชาวไทยภูเขาเผ่าม้งที่มีผลต่อการเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมในอำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ม้ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
สำนักหอสมุดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Total Pages |
122 |
Year |
2545 |
Source |
การค้นคว้าอิสระเสนอต่อบัณฑิตวิทยาลัย ปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต (เกษตรศาสตร์) บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. |
Abstract |
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานภาพทางเศรษฐกิจ และสังคมตลอดจนวิถีชีวิตของชาวเขาเผ่าม้ง ที่มีผลกระทบต่อความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ และหาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติกับตัวแปรอิสระต่าง ๆ คือ อายุ ระดับการศึกษา จำนวนสมาชิกในครัวเรือน สภาพทางเศรษฐกิจ ที่ดินทำกิน ที่กินถือครอง ความคาดหวังต่ออนาคตของบุตรหลานด้านการศึกษา เครื่องอำนวยความสะดวก และความรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์ดิน น้ำ ป่าไม้ และสารเคมี
ประชากรที่ศึกษา คือ ชาวเขาเผ่าม้งในอำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ทำการสุ่มตัวอย่างแบบ Simple Random Sampling ได้จำนวน 120 ตัวอย่าง เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาใช้แบบสอบถามและการสังเกตพฤติกรรม ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistic) และสถิติเชิงอ้างอิง (Inferrential Statistic) เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระและตัวแปรตาม เช่น ค่าร้อยละ ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิความสัมพันธ์แบบสเพียร์แมนแร็งค์ (rs) และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน (r) เป็นต้น
ผลการวิจัยพบว่าจากกลุ่มตัวอย่างที่สุ่มมาศึกษานั้น หัวหน้าครัวเรือนของชาวเขา เผ่าม้งส่วนใหญ่ร้อยละ 99.2 เป็นเพศชายมีอายุเฉลี่ย 40.45 ปี โดยร้อยละ 49.2 ไม่เคยเรียนและอ่านเขียนไม่ได้ มีจำนวนสมาชิกในครัวเรือนเฉลี่ย 7.35 คน และพบว่า ต้องการให้บุตรหลานเรียนจบสูงสุดระดับปริญญาตรี ร้อยละ 53.3 แต่มีฐานะยากจน ร้อยละ 45.0 มีทรัพย์สินในการประกอบอาชีพ เช่น เครื่องพ่นสารเคมี รถยนต์ปิคอัพ โดยไม่มีไฟฟ้าใช้ร้อยละ 83.3
วิถีชีวิตของชาวเขาเผ่าม้งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการประกอบอาชีพการเกษตรพบว่าร้อยละ 50.8 มีที่ดินทำกิน โดยเฉลี่ยมีที่ดินทำกิน 19.79 ไร่ และร้อยละ 73.3 มีทีดินถือครอง โดยเฉลี่ยมีที่ดินถือครอง 5.79 ไร่ แต่ทั้งหมดมีที่ดินเป็นของตนเอง โดยร้อยละ 75.0 ได้มาจากการรับมรดกและ ร้อยละ 99.2 ได้มามากกว่า 5 ปี การทำการเกษตรส่วนใหญ่ ทั้งหมดจะใช้น้ำฝน มีการปลูกไม้ผลร้อยละ 44.2 และทำการขึ้นแปลงปลูกพืชตามความยาวของความลาดชัน ร้อยละ 90.0 ระยะเวลาในการปลูกพืช ร้อยละ 95.0 จะปลูกช่วงเดินพฤษภาคม ถึงสิงหาคม มีการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดวัชพืชเป็นส่วนใหญ่ ร้อยละ 79.7
ความรู้ส่วนใหญ่ร้อยละ 79.2 มีความรู้ด้านประโยชน์ของหญ้าแฝก ร้อยละ 93.3 รู้ประโยชน์ของป่าได้และรู้ว่าอาชีพการตัดต้นไม้ไปขายเป็นอาชีพผิดกฎหมาย ร้อยละ 90.8 รู้การใช้น้ำอย่างประหยัด ร้อยละ 95.8 รู้ว่าสารสะเดาและตะไคร้หอมไม่เป็นอันตรายต่อสภาพแวดล้อม
พฤติกรรมการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ พบว่าชาวเขาเผ่าม้งมีพฤติกรรมการอนุรักษ์ดิน ป่าไม้ น้ำ และการใช้สารเคมีอย่างถูกต้อง ในเกณฑ์น้อย ซึ่งมีผลทำให้ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม เมื่อทดสอบด้วยค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน (r) พบว่า ความรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์ดินมีความสัมพันธ์ในทางบวกกับพฤติกรรมการอนุรักษ์ดิน อายุ มีความสัมพันธ์ในทางลบกับพฤติกรรมการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ ส่วนความรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ มีความสัมพันธ์ในทางบวกกับพฤติกรรมการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ ความรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ มีความสัมพันธ์ในทางบวกกับพฤติกรรมการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ ความรู้เกี่ยวกับการใช้สารเคมี มีความสัมพันธ์ในทางบวกกับพฤติกรรมการใช้สารเคมี และทดสอบด้วยสัมประสิทธิความสัมพันธ์แบบสเพียร์แมนแร็งค์ (rs) พบว่า ระดับการศึกษามีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการอนุรักษ์ดิน และการอนุรักษ์ป่าไม้ โดยมีความสัมพันธ์ในทางบวก
จากผลข้างต้น ผู้วิจัยจึงเสนอแนะให้รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดเฉพาะ ศูนย์ส่งเสริมการเกษตรในที่สูง สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงใหม่ กรมส่งเสริมการเกษตรและมูลนิธิโครงการหลวง ควรให้ความสำคัญกับระบบการศึกษานอกโรงเรียน พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านถนนและไฟฟ้า จัดทำโครงการฝึกอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม รณรงค์การอนุรักษ์ทรัพยากรดิน น้ำ ป่าไม้ และ การใช้สารเคมีให้ถูกต้อง (หน้า ง-ช) |
|
Focus |
สภาพทางเศรษฐกิจ สังคมและวิถีชีวิตของชาวไทยภูเขาเผ่าม้งที่มีผลต่อการเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมในอำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ |
|
Ethnic Group in the Focus |
ม้งในอำเภอแม่แจ่มจังหวัดเชียงใหม่ |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ในงานศึกษาได้อ้างข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของชาวเขาเผ่าแม้วหรือม้งว่า ชาวเขาเผ่านี้มีต้นกำเนิดจากตะวันออกเฉียงเหนือของธิเบต และอพยพเข้าสู่จีน เอเชียอาคเนย์ และไซบีเรีย อพยพเข้าสู่จีนในศตวรรษที่ 17 แม้วได้ทำสงครามกับจีนแพ้ จึงถอยร่นลงมาทางใต้ของประเทศจีนในระยะเวลา 150 ปี ต่อมาได้อพยพเข้าสู่เอเชียอาคเนย์ ผ่านตอนเหนือของประเทศเวียดนามเข้าสู่ไทย ได้มีการอพยพครั้งใหญ่ที่สุดโดยผ่านเข้าทางลาวในปี ค.ศ. 1860 มีการอพยพจำนวนมากเข้าไปทางประเทศพม่า และประเทศไทยในปี ค.ศ. 1890 และมีการอพยพอีกครั้งซึ่งเป็นผลจากสงครามโลกครั้งที่สองและการปฏิวัติวัฒนธรรมในจีน (หน้า 22) |
|
Demography |
จากข้อมูลประชากรในงานศึกษาได้อ้างถึงทำเนียบชุมชนบนพื้นที่สูง ปี 2540 ของกองสงเคราะห์ชาวเขา กรมประชาสงเคราะห์ พบว่ามีแม้วหรือม้งอาศัยอยู่ในประเทศไทย 13 จังหวัด 60 อำเภอ 266 หมู่บ้าน แยกเป็นหมู่บ้านที่ตั้งถูกต้องตามพระราชบัญญัติการปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 จำนวน 161 หมู่บ้าน และ 105 กลุ่มบ้าน จำนวน 15,704 หลังคาเรือน ประชากรรวม 126,300 คน แยกเป็นชายจำนวน 63,869 หญิงจำนวน 62,431 คน (หน้า 22)
ในงานศึกษาคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างประชากรจากครัวเรือนชาวเขาเผ่าม้งในอำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ประกอบด้วย 10 ตำบล มีชาวเขาเผ่าม้งอาศัยอยู่ในพื้นที่ 4 ตำบล จำนวน 451 หลังคาเรือน
1. ตำบลแม่นาจร ประกอบด้วย
บ้านห้วยหอย (แม่แฮเหนือ) 23 หลังคาเรือน ประชากร 288 คน
บ้านแม่แจ๊ะ (บ้านแม่แฮเหนือ) 33 หลังคาเรือน ประชากร 229 คน
บ้านแม่สะงะ(แม่มุ) 14 หลังคาเรือน ประชากร 232 คน
บ้านขุนแม่วาก (แม่สะลอ) 36 หลังคาเรือน ประชากร 287 คน
2. ตำบลแม่ศึก ประกอบด้วย
บ้านปางอุ๋ง 66 หลังคาเรือน ประชากร 1150 คน
บ้านปางอุ๋งใหม่ 25 หลังคาเรือน ประชากร 244 คน
บ้านปากเกี๊ยะ 13 หลังคาเรือน ประชากร 202 คน
บ้านขุนปากเกี๊ยะ 10 หลังคาเรือน ประชากร 55 คน
3. ตำบลบ้านจันทร์ ประกอบด้วย
บ้านดงสามหมื่น 30 หลังคาเรือน ประชากร 354 คน
บ้านแม่ตะละ 45 หลังคาเรือน ประชากร 526 คน
4. ตำบลปางหินฝน ประกอบด้วย
บ้านพุยเหนือ 47 หลังคาเรือน ประชากร 548 คน
บ้านพุยใต้ 13 หลังคาเรือน ประชากร 126 คน
บ้านเซโดซา 32 หลังคาเรือน ประชากร 259 คน
บ้านปางหินฝน 64 หลังคาเรือน ประชากร 333 คน
รวมทั้งสิ้น 451 หลังคาเรือน ประชากร 4,773 คน
ทำการสุ่มตัวอย่างแบบง่ายโดยแบ่งกลุ่มหมู่บ้านย่อยออกเป็นห้ากลุ่ม และจับฉลากโดยไม่ให้มีกลุ่มตัวอย่างเกิน 2 หมู่บ้ายย่อยใน 1 ตำบล การหากลุ่มตัวอย่างจากหมู่บ้านที่จับฉลากได้ โดยการคัดจากร้อยละ 50 ของจำนวนหลังคาเรือนในแต่ละกลุ่มบ้าน ซึ่งจากการสุ่มตัวอย่างได้ผลมา ดังนี้
ประกอบด้วย
1. กลุ่มหมู่บ้านย่อยที่มีจำนวนประชากรเกิน 500 คน ประกอบด้วย
บ้านปางอุ๋ง และบ้านพุยเหนือ (บ้านพุย)
2. กลุ่มหมู่บ้านย่อยที่มีจำนวนประชากร 400-499 คน ไม่มีกลุ่มตัวอย่าง
3. กลุ่มหมู่บ้านย่อยที่มีจำนวนประชากร 300-399 คน ประกอบด้วย
บ้านดงสามหมื่น (แม่แดดน้อย)
4. กลุ่มหมู่บ้านย่อยที่มีจำนวนประชากร 200-299 คน ประกอบด้วย
บ้านแม่แจ๊ะ (บ้านแม่แฮเหนือ) บ้านขุนแม่วาก (แม่สะลอ)
5. กลุ่มหมู่บ้านย่อยที่มีจำนวนประชากร 100-199 คน (คัดเลือกหมู่บ้านตัวอย่างโดยไม่ต้องจับฉลาก) ประกอบด้วย
บ้านพุยใต้ (บ้านพุย)
(หน้า 32-34) |
|
Economy |
ม้งหรือแม้วมีวิถีชีวิตในการทำการเกษตร ในงานศึกษาได้แบ่งให้เห็นช่วงเวลาของพัฒนาการด้านการทำการเกษตรของม้งไว้เป็นสองช่วงเวลาง่าย ๆ คืออดีต กับ ปัจจุบัน
การทำการเกษตรอดีต : ม้งหรือแม้วจะทำการเกษตรแบบง่าย คือ ลักษณะการทำไร่เลื่อนลอยบุกรุกพื้นที่ป่า ซึ่งผู้ศึกษานิยามว่าเป็นแบบล้าสมัย เพราะมีข้อจำกัดด้านเวลาและแรงงาน และการปลูกพืชทำเพื่อการดำรงชีวิต ซึ่งพืชที่สำคัญที่ปลูกมีดังนี้ ข้าวไร่ พืชผัก เพื่อใช้บริโภคในครอบครัว ข้าวโพด เพื่อเลี้ยงสัตว์ การปลูกฝิ่นซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจโดยมีพ่อค้าจีนฮ่อเป็นผู้รับซื้อฝิ่นดิบ
การทำการเกษตรของม้งในปัจจุบัน (2525-2545) : มีการเปลี่ยนแปลงจากระบบการผลิตแบบเดิมหลังจากที่รัฐบาลมีนโยบายพัฒนาและส่งเสริมการเกษตรบนพื้นที่สูง โดยมุ่งเน้นให้ปลูกพืชเศรษฐกิจชนิดต่าง ๆ ให้มีความสอดคล้องตามความต้องการของตลาดทดแทนการปลูกฝิ่น จากการเพาะปลูกพืชอาหารเพื่อใช้บริโภคในครัวเรือนเป็นหลัก ได้หันมาปลูกพืชเศรษฐกิจชนิดต่าง ๆ ได้แก่ ไม้ผล พืชไร่ ไม้ดอก พืชผักและกาแฟอราบิกา โดยเพาะปลูกหมุนเวียนต่อเนื่องกันไปตลอดทั้งปี โดยมีมูลค่าโดยรวมทั้งสิ้น 224.04 ล้านบาท ในปี 2544 (หน้า 23-25) |
|
Social Organization |
ในงานศึกษาได้อ้างจากข้อมูลของกรมประชาสงเคราะห์ (2540) ว่า ม้งมักจะอาศัยอยู่ในเทือกเขาที่ระดับสูงประมาณ 1,000 -2,000 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ลักษณะครอบครัวจะเป็นครอบครัวขยาย และยอมรับการที่สามีมีภรรยาได้หลายคน ครอบครัวของชาวเขาเผ่าแม้วหรือม้งเป็นหน่วยทางสังคมที่มีความสำคัญมากทั้งในด้านเศรษฐกิจ และสังคม โดยที่ม้งมีการถือลำดับวงศ์ตระกูล (แซ่) และให้ฝ่ายชายเป็นใหญ่ในครอบครัว ตลอดจนการบูชาบรรพบุรุษเหมือนชาวจีน (หน้า 23) |
|
Education and Socialization |
ผู้ศึกษาได้อ้างงานศึกษาต่าง ๆ เกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติว่าส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการได้รับข่าวสารจากสื่อต่าง ๆ (หอกระจายข่าว วิทยุ และโทรทัศน์) เกี่ยวกับความสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและความเสื่อมโทรมลงของสภาวะแวดล้อม เช่น ของชาวเขาเผ่ากระเหรี่ยง การได้รับข่าวสารนี้มีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ รวมถึงการให้ความรู้จากระบบการศึกษาระดับต่าง ๆ และจากหน่วยงานของรัฐผ่านสื่อต่าง ๆ ทำให้การมีส่วนร่วมและความรู้ของชุมชนชาวเขาในเรื่องของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติมีความตื่นตัวมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหา ป่าไม้ ดิน และน้ำ (หน้า 25-29) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ในงานศึกษาได้อ้างถึงคำนิยามความเป็นม้ง จากงานของพงศักดิ์ อังกสิทธิ์ ว่าม้งหรือชาวเขาเผ่าแม้ว มักยอมรับให้ผู้อื่นเรียกตัวเองว่า ม้ง ซึ่งหมายความถึง ความเป็นผู้เจริญแล้ว โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ ม้งน้ำเงิน ม้งขาว และม้งดำ ม้งสีน้ำเงินและม้งขาวจะอาศัยอยู่ทางตอนใต้ของประเทศไทย สำหรับม้งดำ รวมถึงม้งดอก และม้งลายจะเรียกชื่อตามเครื่องแต่งกายและสำเนียงภาษาที่ใช้ ส่วนม้งถัวมะบาเป็นอีกกลุ่มหนึ่งแต่มีจำนวนน้อยและถูกกลืนเข้ารวมกันกับม้งน้ำเงินแล้ว (หน้า 21) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ผู้ศึกษาเชื่อว่าการให้การศึกษา อาจจะเป็นการศึกษานอกระบบโรงเรียนหรือเป็นการศึกษาผู้ใหญ่จะทำให้มีความรู้เพิ่มขึ้นและจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาที่เข้าไป เพราะว่าผู้ศึกษาพบว่าหัวหน้าครัวเรือนชาวเขาเผ่าม้งวัยกลางคนส่วนใหญ่ไม่ได้เรียนหนังสือจึงอ่านไม่ออกและเขียนไม่ได้ จึงมีปัญหาในการไม่เข้าใจกระบวนการพัฒนาต่าง ๆ จากภาครัฐ และความรู้ในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ทำให้มีผลในการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของตนเองให้ดีขึ้น รวมถึงพวกเขายังอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่การพัฒนาสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของรัฐเข้าถึงได้ยาก (หน้า 85-86)
จากงานศึกษายังพบว่า หัวหน้าครัวเกินกว่าร้อยละ 50 ต้องการให้บุตรหลานจบการศึกษาระดับชั้นมัธยมขึ้นไป โดยในจำนวนนี้กว่าครึ่งต้องการให้บุตรหลานศึกษาจนจบปริญญาตรี หรือสูงกว่า และจากการนี้ผู้ศึกษาก็คาดว่าจากพัฒนาการด้านศึกษานี้จะส่งผลถึงความเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้ทรัพยากรธรรมชาติในทางที่ดีขึ้นด้วย (หน้า 50) |
|
Other Issues |
ผู้ศึกษามีข้อเสนอในบทสรุปของการศึกษาเกี่ยวกับการสนับสนุนการศึกษา โดยเฉพาะการศึกษานอกโรงเรียนให้กับชาวเขาเผ่าม้งวัยกลางคน เพื่อให้มีความรู้และยอมรับนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อการพัฒนาได้ง่ายขึ้น และรัฐบาลควรจะสนับสนุนการจัดสรรระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานรวมถึงจัดโครงการฝึกอบรมต่างๆ ในด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ไม่ว่าในเรื่องการปลูกพืชแบบขั้นบันได การใช้สารเคมีอย่างถูกต้องให้กับชาวเขาเผ่าม้งด้วยเพื่อลดการเสื่อมลงของทรัพยากรธรรมชาติ (หน้า 87-88) |
|
|