|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลเวือะ,ม้ง,สภาพเศรษฐกิจสังคม,ชุมชน,เชียงใหม่ |
Author |
Pichit Thani, Venus Rauechai |
Title |
Mae Chaem Watershed Development Project, Phase II: Socio-Economic Baseline Survey Report |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
ลัวะ (ละเวือะ) ลเวือะ อเวือะ เลอเวือะ ลวะ ละว้า, ม้ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
253 |
Year |
2527 |
Source |
Department of Agricultural Economics Faculty of Agricultural and Department of Economics Faculty of Social Sciences, Chiang Mai University. |
Abstract |
งานชิ้นนี้เป็นการสำรวจขั้นพื้นฐานทางด้านเศรษฐกิจและสังคม (จำนวนประชากร การเกิด การตาย พื้นที่ทำกิน การเกษตรกรรม การศึกษา สาธารณสุข ระบบเศรษฐกิจ) โดยพิจารณาปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่และความต้องการของประชากรในพื้นที่ อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ รวมถึงเสนอแนวทางในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น และใช้รายงานการสำรวจครั้งนี้เป็นแนวทางในการพัฒนาในพื้นที่ทางภาคเหนือต่อไป |
|
Focus |
เป็นการสำรวจขั้นพื้นฐานทางด้านเศรษฐกิจและสังคมเพื่อวางแผนการพัฒนาสภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของประชากรในพื้นที่อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ เนื่องจากเป็นกลุ่มเป้าหมายที่อยู่ในสังคมชนบทและอยู่ในแผนพัฒนาของรัฐ (หน้า 1-2) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ชาวภาคเหนือ กะเหรี่ยง ลัวะ ม้ง ในอำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ชาวภาคเหนือโดยส่วนใหญ่สามารถเข้าใจภาษาเหนือและภาษากลางแม้ว่าจะไม่ได้เรียนหนังสือ กลุ่มชาวเขาเกือบครึ่งของประชากรทั้งหมดเข้าใจภาษาเหนือ แต่กลุ่มผู้หญิงกะเหรี่ยงและลัวะเป็นกลุ่มที่เข้าใจน้อยที่สุด (ตาราง 2.9 B) (หน้า 24) กลุ่มชาวเขาประมาณ 50% เข้าใจภาษากลาง กล่าวโดยสรุปมากกว่า 50% ของประชากรทั้งหมดในพื้นที่สำรวจสามารถเข้าใจภาษาเหนือและภาษากลาง แต่การใช้ภาษาเหนือในการติดต่อสื่อสารเป็นเรื่องง่ายกว่าสำหรับพวกเขา (หน้า 24-25) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
|
Settlement Pattern |
ชาวภาคเหนือ บ้านส่วนใหญ่สร้างด้วยไม้หรือไม้ไผ่ ฝาเป็นไม้ไผ่ หลังคาทำจากหญ้าคาหรือใบตองตึง เป็นบ้านชั้นเดียว ยกพื้นสูงจากดินประมาณ 2 เมตร หรือต่ำกว่า และมีลานสำหรับเก็บผลผลิตทางการเกษตร สำหรับกะเหรี่ยงและลัวะ บ้านมีลักษณะคล้ายคลึงกันและค่อนข้างเล็ก และไม่สูงจากพื้นดินมากนัก ม้ง จะมีบ้านหลังเล็กเช่นเดียวกัน แต่ไม่ยกพื้นสูงเท่า หลังคาสังกะสี (หน้า 135-136) |
|
Demography |
ในเดือนสิงหาคม ปี ค.ศ.1984 อำเภอแม่แจ่มมีจำนวนประชากรทั้งหมด 40,479 คน 7,530 ครอบครัว ในการสำรวจครั้งนี้ได้สำรวจ 3 หมู่บ้านดังนี้คือ Mae Na Chon 5,442 คน 950 ครอบครัว หมู่บ้านแม่สุก 5,068 คน 890 ครอบครัว บ้านเทพ 6,795 คน 1,280 ครอบครัว รวมทั้งสิ้น 17,505 คน 3,120 ครอบครัว (หน้า 9) อัตราเด็กรอดชีวิต 3.91 คน จำนวนต่ำสุดที่บ้าน Mae Na Chon จำนวนอัตราการตาย 13.86% ใน1 ปี การเพิ่มของประชากร 3.19% ต่อปี เมื่อรวมการอพยพ เป็น 3.044% ต่อปี ปัจจัยที่ก่อให้เกิดการอพยพคือ การแต่งงาน รองลงมาคือการแสวงหาที่ทำกินใหม่ โดยส่วนใหญ่จะอพยพภายในพื้นที่เขตอำเภอแม่แจ่ม (หน้า 18-22) |
|
Economy |
อาชีพหลักคือการทำเกษตรกรรม เช่น ทำนาที่ลุ่ม ทำนาบนพื้นที่สูง การปลูกพืช เช่น พริก ถั่วเหลือง ข้าวโพด หอม กระเทียม แตงโม ฝิ่น เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีการปลูกพืชยืนต้นสำหรับใช้กินในครอบครัว เช่น มะม่วง ขนุน ส้ม ฯลฯ การทำนาที่ลุ่ม จากการสำรวจ 300 ครอบครัว มี 154 ครอบครัวทำนาที่ลุ่ม เริ่มทำนาในเดือนมิถุนายน เก็บเกี่ยวในช่วงพฤศจิกายน เป็นต้นไปตามแต่ชนิดพันธุ์ข้าว ผลผลิตอยู่ในราว 431 กิโลกรัม/ไร่ แต่ละครอบครัวมีพื้นที่ในการทำนาโดยเฉลี่ย 4.54 ไร่ การปลูกข้าวบนพื้นที่สูง เป็นพืชหลักของพื้นที่บริเวณนี้ จากการสำรวจ 300 ครอบครัว มี 236 ครอบครัวทำนาบนพื้นที่สูง เริ่มต้นทำนาในเดือนมิถุนายนและเก็บเกี่ยวในเดือนพฤศจิกายนเช่นเดียวกัน อัตราเฉลี่ย 6.9 ไร่ต่อครอบครัว ผลผลิต 241/ไร่ ผลผลิต 88.40% ใช้บริโภคภายในครอบครัว การปลูกถั่วเหลือง เป็นพืชเสริมที่ปลูก นิยมปลูก 2 ช่วง คือ ช่วงหน้าฝน จะปลูกปลายเดือนมิถุนายน ช่วงหน้าร้อน จะเริ่มปลูกภายหลังเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จในราวเดือนมกราคม โดยส่วนใหญ่กลุ่มคนที่ปลูกคือชาวภาคเหนือและลัวะ ผลิผลิตของชาวภาคเหนือจะขายทั้งหมด สำหรับลัวะจะปลูกสำหรับใช้บริโภค ฝิ่น พื้นที่เพาะปลูกประมาณ 4.03 ไร่/ครอบครัว ผลผลิตที่ได้ 1.65 กิโลกรัม/ไร่ ราคาขาย 165.14 บาท/ ไร่แรงงานที่เข้ามาทำงานในไร่ฝิ่นจะได้รับค่าแรงเป็นฝิ่น กลุ่มคนที่ปลูกมากที่สุดคือม้ง ชาวภาคเหนือไม่มีการปลูกฝิ่น (หน้า 81-86) รายได้จากการทำการเกษตร ประมาณ 9,094 บาท/ปี ต่อครอบครัวม้งมีรายได้มากที่สุดประมาณ 13,746.06 บาท/ปี รองลงมาคือชาวภาคเหนือ กะเหรี่ยง และลัวะ รายได้อื่นๆ ประมาณ 4,675 บาท/ปี ต่อครอบครัว ชาวเหนือมีรายได้มากที่สุด คือ 7,142.13 บาท/ปี ต่อครอบครัว จากการเป็นลูกจ้างรัฐ รองลงมาคือกะเหรี่ยง ม้ง (หน้า 91) พื้นที่ในการทำการเกษตรกรรมของกลุ่มชาวเขาจะเป็นพื้นที่ภูเขาและหุบเขาแตกต่างจากชาวภาคเหนือที่จะเป็นที่ลุ่ม ส่วนใหญ่จะมีที่ดินเป็นของตัวเอง ลัวะมีการถือครองที่ดินมากที่สุด และมีบางส่วนที่เช่าที่ดิน ที่ดินเช่าจะไม่ได้รับผลผลิตดีนักเนื่องจากผู้เช่าไม่สนใจปรับปรุงสภาพดิน การจ่ายค่าเช่าจะจ่ายเป็นผลผลิตครึ่งหนึ่งที่เพาะปลูก (หน้า 56-57) |
|
Belief System |
จากการสำรวจพบการนับถือ ผี ศาสนาพุทธ และศาสนาคริสต์ ในกลุ่มชาวภาคเหนือนับถือศาสนาพุทธอย่างเดียว ศาสนาเป็นปัจจัยสำคัญในการยอมรับเทคโนโลยีและการพัฒนาสมัยใหม่ กลุ่มที่นับถือผี มีความเชื่อและถ้ามีสิ่งใหม่ที่แตกต่างไปจากความเข้าใจหรือความเชื่อพวกเขาจะไม่ยอมรับสิ่งใหม่เหล่านั้นเลย กลุ่มคนที่นับถือศาสนาคริสต์มีความสามารถในการยอมรับเทคโนโลยีมากกว่าผู้นับถือผี และเป็นกลุ่มที่ติดยาน้อยกว่าเช่นเดียวกัน และกลุ่มที่นับถือผีมีการฆ่าสัตว์เพื่อเลี้ยงผี แทนที่จะนำสัตว์เหล่านั้นมาใช้ประโยชน์ เป็นลักษณะของใช้ไปโดยไม่ได้ผลกำไร สำหรับกลุ่มคนที่นับถือศาสนาพุทธยังคงมีการทำพิธีเลี้ยงผีเช่นเดียวกันแต่ทำน้อยกว่า (หน้า 17) |
|
Education and Socialization |
อาชีพหลักของประชากรในโครงการคือการเพาะปลูก ความสามารถในการจัดการไร่เกี่ยวข้องกับการศึกษาของประชากร เพราะว่า เกษตรกรที่มีการศึกษาจะสามารถใช้เทคโนโลยีทางการเกษตรได้ดีกว่าเกษตรกรที่ไม่มีการศึกษา การเกษตรในอนาคตจะเป็นการค้าการพาณิชย์มากขึ้น ความชำนาญด้านการเกษตรจึงไม่ใช่เพียงสิ่งเดียวที่เกษตรกรจำเป็นต้องมี แต่เทคโนโลยีการเกษตรใหม่ ๆ และสถานการณ์ด้านการตลาดก็เป็นความรู้ที่เกษตรกรจำเป็นต้องรู้ด้วย โดยปกติคนไทยทุกคนต้องมีการศึกษาอย่างน้อยชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 แต่ก็พบว่ามีประชาชนที่ไม่ได้รับการศึกษาจำนวนสูง สังคมที่มีกลุ่มประชาชนที่ไม่มีการศึกษามากเพียงใด จะพบว่ามีการพัฒนาในสังคมนั้นน้อยตามไปด้วย (ตาราง 2.7 A และ 2.7 B) โอกาสของผู้หญิงที่จะได้รับการศึกษามีน้อย เนื่องจากพ่อแม่รู้สึกว่าเป็นการเสียเงิน เพราะเมื่อเติบโตขึ้นก็ต้องแต่งงานออกเรือนไป ดังนั้น จะพบว่า ในทุกระดับการศึกษาจะมีผู้ชายเรียนหนังสือมากกว่าผู้หญิง ส่วนในกรณีการศึกษาของหัวหน้าครัวเรือน หัวหน้าครัวเรือนมีการศึกษาค่อนข้างต่ำ จากการวิจัยนี้พบว่า ร้อยละ 79.69 ของหัวหน้าครัวเรือนไม่เคยได้รับการศึกษาใด ๆ เลย และเมื่อพิจารณาเรื่องการศึกษาของหัวหน้าครัวเรือนของกลุ่มชาติพันธุ์ พบว่า ไม่มีหัวหน้าครัวเรือนลัวะและม้งที่ได้รับการศึก (ตาราง 2.7 D) (หน้า 22-23) การศึกษาที่เป็นการอบรมพิเศษ : การได้รับการฝึกอบรมพิเศษที่นอกเหนือจากการศึกษาในระบบโรงเรียน เช่น อบรมด้านการเกษตร ด้านสุขภาพ ด้านอาชีพ ฯลฯ ก็เป็นปัจจัยที่สำคัญมากสำหรับการพัฒนา จากการสอบถามชาวบ้าน พบว่า ชาวบ้านร้อยละ 71 ไม่เคยเข้าร่วมโปรแกรมการอบรมใด ๆ เลย (ตาราง 2.8 A) และชาติพันธุ์ กะเหรี่ยง และม้ง ที่ไม่เคยได้รับการฝึกอบรมใด ๆ มีจำนวนมากกว่า ชาติพันธุ์ลัวะ และคนไทยชาวเหนือ (หน้า 23) |
|
Health and Medicine |
การบริการทางสาธารณสุข มีสถานีอนามัยตำบล โรงพยาบาลประจำอำเภอ แต่ยังไม่มีประสิทธิภาพที่ดีพอเนื่องจากขาดแคลนบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ แต่ส่วนใหญ่ประชากรแข็งแรง โรคที่พบเป็นโรคทั่วไป เช่น ไข้หวัด การรักษามีทั้งการซื้อยามาทานเองและไปรักษาในสถานพยาบาลของรัฐ นอกจากนี้มีโครงการให้คำแนะนำด้านสาธารณสุข กลุ่มคนที่รับคำแนะนำมากที่สุดคือชาวภาคเหนือ รองลงมาคือ ม้ง กะเหรี่ยง และ ลัวะ (หน้า 132-133) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
กล่าวถึงกลุ่มชาวภาคเหนือ กะเหรี่ยง ม้ง ลัวะ อาศัยอยู่ในพื้นที่เดียวกันคือ อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Other Issues |
การพัฒนาชนบท 1. ปัญหาที่ดินไม่เพียงพอ ในปัจจุบันยังไม่ทราบแน่ชัดว่ากลุ่มชาวเขาจะอพยพโยกย้ายอีกหรือไม่แต่จำนวนประชากรที่เพิ่มมากขึ้นเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เกิดการบุกรุกป่าขยายที่ทำกิน แนวทางในการแก้ไขที่ดินที่มีอยู่อย่างจำกัดคือ การพัฒนาเทคโนโลยีสมัยใหม่ในการผลิต เพื่อเพิ่มผลผลิตให้มากขึ้น จะส่งผลดีมากกว่าการเพิ่มที่ดินในการผลิต 2. ปัญหาภาษาในการสื่อสารแนวทางในการแก้ไขคือรัฐควรจัดการศึกษาอย่างจริงจังเพื่อให้กลุ่มชาวเขาสามารถพูดภาษาไทยได้ 3. ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและชุมชน เนื่องจากชาวเขาที่อยู่ในป่ามีการนับถือผี ถ้ามีกลุ่มคนภายนอกเข้าไปในหมู่บ้านพวกเขามีความเชื่อว่าอาจจะทำให้ผลผลิตเสียหาย การทำงานติดต่อกับเจ้าหน้าที่รัฐไม่ได้ผล แนวทางในการแก้ปัญหาคือการสร้างความเข้าใจระหว่างรัฐและชุมชนและรัฐให้ความสำคัญกับหัวหน้าหมู่บ้านมากขึ้น 4. ถนน สะพาน ชำรุด ไม่มีประสิทธิภาพและมีปัญหาในการเดินทางหน้าฝน แนวทางในการแก้ไขรัฐควรจัดงบประมาณจัดสร้างถนนและสะพานที่ดีสามารถใช้งานได้ในระยะเวลานาน 5. การสาธารณสุขไม่ได้มาตรฐาน การมีถนนที่ดีจะเป็นส่วนช่วยให้ประชาชนสามารถเดินทางเข้ารับการรักษาตามสถานพยาบาลต่าง ๆ ได้มากยิ่งขึ้น 6. ปัญหาการศึกษา การโยกย้ายถิ่นฐานและต้องใช้แรงงานในการทำการเกษตรกรรมทำให้เป็นการยากที่เด็กจะเข้ารับการศึกษในระบบสมัยใหม่ และผู้ปกครองไม่มีความเข้าใจในระบบการศึกษาแบบใหม่ทำให้ไม่สนใจที่จะส่งบุตรหลานเข้าศึกษาในโรงเรียน แนวทางในการแก้ปัญหาคือ เพิ่มงบประมาณในการศึกษาและจัดอบรมครูให้มีประสิทธิภาพและมีจิตสำนึกที่เข้มแข็ง รวมถึงเพิ่มหลักสูตร การเกษตร การรักษาหน้าดิน การปลูกพืช และการรักษาป่า เพื่อให้พวกเขาสามารถใช้ในชีวิตประจำวันได้ (หน้า 155-163) |
|
|